ตั้งให้เราเป็นเว็บแรกที่คุณเลือก เก็บเราไว้เป็นเว็บโปรด
สมัครสมาชิก ได้มากกว่าที่คุณคิด เข้าสู่ระบบ
ดู: 8420
ตอบกลับ: 14
สั่งพิมพ์ ก่อนหน้า ถัดไป

ตำนานเล่าขานอภินิหาร

[คัดลอกลิงก์]
#‎เสือเฝ้าดูหลวงปู่ผาง‬
คราวหนึ่งหลวงปู่ได้พักปักกลดอยู่ที่ป่าซึ่งเป็นดงเสือโคร่งลายพาดกลอน ในคืนนั้นหลังจากที่ท่านได้สวดมนต์แล้ว ก็ออกไปนั่งสมาธิภาวนาธรรมให้แก่สัตว์โลก ในขณะนั้นมีเสือโคร่งลายพาดกลอนตัวหนึ่ง ยืนมองดูท่านอยู่ แต่ก็มิได้แสดงอาการดุร้ายแต่อย่างใด ครั้นพอหลวงปู่ออกจากภาวนาก็มาเดินจงกรม ท่านเดินไป เดินมา อยู่อย่างนั้น เสือตัวนั้นเกิดความสงสัย จึงค่อยๆ คืบคลานเข้าไปดูใกล้ๆ ข้างๆ ทางที่หลวงปู่เดินจงกรม มันหมอบดูเฉย หลวงปู่ก็มองเห็นมันอยู่ แต่ท่านมิได้สนใจแต่อย่างใด สายตาของท่านทอดต่ำ ไม่มองดูอะไรทั้งสิ้น เพียงแต่เดินจงกรมอย่างเดียว
เสือโคร่งตัวนั้นมองดูหลวงปู่ด้วยความสนใจเป็นเวลานาน ด้วยความเมตตาของหลวงปู่ที่เห็นว่ามันมาดูด้วยลักษะเฝ้าท่านเช่นนี้ จึงพูดขึ้นพอได้ยินไปถึงเสือโคร่งว่า “เจ้าเสือโคร่งเอ๋ย เวลานี้เป็นเวลาค่ำคืนแล้วนะ และเป็นเวลาที่เจ้าต้องไปหาอาหารกินเยี่ยงสัตว์อื่น จะมานอนมองอยู่อย่างนี้ไม่หิวหรือ...ถ้าหิวก็ไปหากินเสียเถิด เราก็จะเดินจงกรมปฏิบัติธรรมของเราเยี่ยงนี้ ไม่หนีไปไหน”
เหมือนปาฏิหาริย์ พอท่านพูดจบคำลงเสือโคร่งตัวนั้นเข้าใจในคำพูดของท่านกระโดดหายไป เสียง...โฮก...โครมคราม คล้ายดังกับดีใจที่ได้รับอนุญาตจากหลวงปู่
เรื่องจริงที่นำมาเล่านี้เป็นตำนานของวัดดูน ที่หากท่านได้มีโอกาสไปกราบย้อนรอยตำนาน จะเห็นบรรดารูปปั้นของสัตว์ในตำนาน ของพระอริยสงฆ์ผู้ทรงอภิญญาและเปี่ยมด้วยเมตตาปาฏิหาริย์ หลวงปู่ผาง จิตฺตคุตฺโต แห่งเทือกเขาภูผาแดง อยู่ตามพุทธสถานศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ ภายในพื้นที่ ๔๘๐ ไร่ของวัดดูน
2#
 เจ้าของ| โพสต์ 2015-9-19 16:55 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
#‎ผจญฝูงควาย‬
วันหนึ่งขณะที่ท่านเดินธุดงค์ผ่านดงแม่เผด ตำบลนาขาม อำเภอกุฉินารายณ์ จังหวัดกาฬสินธุ์ ก่อนจะถึงหมู่บ้านแห่งหนึ่งตอนบ่ายๆ มีควายฝูงใหญ่ประมาณสี่สิบกว่าตัว กำลังเล่นปลัก นอนกลิ้งเกลือกไปมาอยู่ในโคลนตมกลางทุ่ง มันเป็นควายของชาวบ้าน เมื่อหมดฤดูทำนา เขาก็ปล่อยมันเข้าป่าเข้าดงไปหากินเอง สมัยก่อนไม่ได้เลี้ยงวัวเลี้ยงควายลำบากเหมือนสมัยนี้ ปล่อยไว้ตามป่าอย่างนั้นแหละ เพราะไม่มีขโมย โจร เหมือนทุกวันนี้ พอถึงหน้าฤดูทำนา เจ้าของก็ไปไล่ต้อนกลับเอามาทำนา ลากแอกลากไถใส่คราด สาเหตุที่มันชอบเล่นปลักเล่นโคลน ก็เพื่อป้องกันตัวเองจากทาก เห็บ เหา ยุง ริ้น เหลือบ ที่ชอบมากัดกินเลือดมันนั่นเอง เพราะในดงในป่า มีสัตว์ที่เกาะกินเลือดวัวควาย หรือสัตว์อื่นชุกชุม โดยเฉพาะเหลือบนี่ ตัวมันคล้ายๆ แมลงวันป่า เกาะปุ๊บดูดเลือดปั๊บ โดนเกาะดูดเลือดแต่ละตัวนี่ต้องสะดุ้งโหยงเลยทีเดียว เจ็บมากเลย
ตัวทากนี่ก็อันตราย ลักษณะมันเหมือนปลิงเข็ม เล็กเท่าก้านไม้ขีด หรือใหญ่กว่านิดหน่อย เวลามันกัดเรา ทั้งๆ ที่เราก็ระวังอย่างดีแล้ว ยังไม่รู้ว่ามันมาเกาะดูดเลือดเรากินตั้งแต่เมื่อไร มันชอบไต่เข้าไปกัดตามร่มผ้า ถ้าโดนกัดต้องรู้วิธีเอาออก ถ้าดึงมันออก เลือดเราจะไหลไม่หยุด อันนี้ให้ระวัง ต้องรู้วิธีแก้ คืออย่าเพิ่งดึงมันออก เอายาฉุนชุบน้ำนิดหนึ่ง แล้วบีบใส่ตัวมันให้โดนตรงที่มันกัด เมื่อมันเหม็นกลิ่นยาฉุนก็จะหลุดออกไปเอง อันนี้ไม่เป็นไร รู้สึกคันนิดๆ เลือดก็หยุดไหล
เห็บนี่ก็เหมือนกัน นักเดินป่าทั้งหลายต่างรู้กิตติศัพท์ของมันดี อันตรายพอๆ กัน ผู้ที่โดนกัดต้องรู้วิธีเอาออก อย่าเพิ่งดึงออกทันที ถ้าลงว่ามันได้ฝังเขี้ยวดูดกินเลือดเราแล้ว ถ้าไม่อิ่มจนท้องป่องแล้วเป็นไม่หลุด ถูกดึงออกก็ออกแต่ตัว ส่วนเขี้ยวของมันยังฝังตัวเราอยู่ ผู้ที่แพ้พิษของมันจะออกตุ่มเปื่อย ลามไปเรื่อยๆ รักษาไม่หายง่ายๆ หรือถึงกับเป็นไข้ นี่เคยเห็นมาแล้ว ต้องเอายาหม่องนี่แหละ ทาตรงที่มันกัดแล้วมันจะหลุดออกเอง
ท่านกำลังเดินลัดเลาะไปตามคันนา ห่างจากฝูงควายประมาณ ๓๐ เมตร ทันใดท่านก็ต้องหยุดชะงัก เมื่อมองเห็นควายฝูงนั้นแสดงอาการฟืดฟาดๆ ขู่พระอาคันตุกะผู้มาเยือน พร้อมกันลุกพรวดพราด ท่าทางไม่ประสงค์ดี สายตาของมันจ้องมองมายังท่าน แสดงอาการราวกับว่าเป็นศัตรูกันมานาน พร้อมกับวิ่งตะบึงตะบันเข้ามาหา เจอดีเข้าให้แล้วไหมล่ะ เราจะทำยังไงดี เอาล่ะ ตายเป็นตาย หนีไม่พ้นแล้วจะทำยังไง
เราพึ่งใครไม่ได้แล้ว มีแต่คุณพระพุทธ คุณพระธรรม คุณพระอริยสงฆ์เท่านั้นแหละ เสี้ยววินาทีก่อนฝูงควายจะมาถึงตัวนั้น เมื่อตั้งสติได้ จึงกำหนดแผ่เมตตาจิตอย่างไม่มีประมาณ เจาะจงพุ่งเป้าไปที่ควายฝูงนั้นทันที อย่าได้เบียดเบียนซึ่งกันและกันเลย จงอยู่เป็นสุขๆ ทุกเมื่อเถิด อัศจรรย์ใจนัก โอ คุณพระรัตนตรัย คุณบิดามารดา คุณครูบาอาจารย์ ควายทั้งฝูงหยุดชะงักทันที กิริยาอาการที่เป็นศัตรู หรือดุร้ายก่อนหน้านี้ กลับกลายท่าทางเป็นมิตร เหมือนกับว่าท่านเป็นเจ้าของมัน ทำท่าสะบัดหูสะบัดหางเหมือนรู้จักกัน และได้เดินนำหน้าหลวงปู่เข้าสู่หมู่บ้าน ท่านก็เดินตามหลังพวกมันไป
เมื่อท่านเดินเข้าไปถึงในหมู่บ้าน ชาวบ้านต่างอัศจรรย์ใจมาก และได้เล่าให้ท่านฟังจึงได้รู้ว่า ควายฝูงนี้ดุร้ายมาก เคยไล่ขวิดไล่ชนพระเณรมรณภาพมาแล้วหลายรูป แม้ท่านเดินทางผ่านเลยไปสู่หมู่บ้านข้างหน้า ควายฝูงนี้มันก็ยังเดินนำไปส่งถึงหมู่บ้านนั้นอีก มันก็น่าแปลกอยู่
และก็มีอยู่ครั้งหนึ่งอีกเหมือนกัน แต่ครั้งนี้ท่านเที่ยวธุดงค์อยู่อุบลฯ ไปด้วยกันกับพระอีกสองรูป ไปถึงกลางทุ่ง ไปเจอเอาวัวฝูงใหญ่ พอมันเห็นผ้าเหลืองๆ เท่านั้นแหละ ได้เรื่องเลย วิ่งไล่ขวิดพระที่ไปด้วยผ้าเหลืองปลิวว่อน บาตรกระเด็นไปคนละทิศละทาง สัญชาตญาณความกลัวตาย ก็ย่อมวิ่งเอาตัวรอดไว้ก่อนเป็นธรรมดา เห็นต้นไม้ปั๊บไม่รู้ขึ้นไปอยู่บนต้นไม้ตั้งแต่เมื่อไร แต่หลวงปู่เองกลับยืนนิ่งแผ่เมตตาให้พวกมัน จึงไม่เป็นอะไรเลย
ธรรมดาว่าวัวหรือควาย มักจะไม่ค่อยถูกกันกับพระหรือสีผ้าเหลืองเท่าไรนัก ตั้งแต่ไหนแต่ไรมาแล้ว แม้ในครั้งพุทธกาลก็เคยมี อย่างเช่น พระพาหิยทารุจีริยเถระเป็นต้น ถูกวัวแม่ลูกอ่อนขวิดเอาจนถึงมรณภาพ ขณะที่ท่านกำลังแสวงหาเศษผ้าตามกองขยะ เพื่อเอามาทำเป็นสบงจีวรนุ่งห่ม ในประวัติพระเถระเล่าว่า วัวตัวนี้เคยเป็นคู่เวรคู่กรรม เข่นฆ่ากันมาแต่ชาติปางก่อน หลายภพหลายชาติ
คงเป็นเพราะว่า หลวงปู่ไม่เคยมีเวรมีกรรมกับพวกมันกระมัง จึงทำให้มันละพยศ จากร้ายกลายมาเป็นดีด้วย อีกอย่างหนึ่งพลังจิตที่ประกอบด้วยเมตตาหาประมาณมิได้
3#
 เจ้าของ| โพสต์ 2015-9-19 16:55 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
#‎ผจญช้างพลายตกมัน‬
ครั้งหนึ่งขณะที่หลวงปู่ผาง จิตฺตคุตฺโต พักธุดงค์เจริญบำเพ็ญภาวนาอยู่กลางป่า และที่ท่านพักปักกลดอยู่นั้นเป็นดงช้างพลาย
บังเอิญช้างพลายหัวหน้าฝูงเกิดตกมัน พอเห็นหลวงปู่กำลังยืนทอดกริยาสงบอยู่เช่นนั้น ช้างตกมันตัวนั้นซึ่งมีความดุร้ายมาก ก็วิ่งรี่ตรงเข้ามาจะทำร้ายท่าน
แต่แทนที่หลวงปู่จะหลบหลีกกำบังท่านกลับยืนเฉยนิ่งอยู่กับที่ แผ่เมตตาจิตอันเยือกเย็นให้กับช้างพลายตกมันตัวนั้น
เมื่อช้างตัวนั้นวิ่งมาถึงก็หยุดพรืด คล้ายขาทั้ง ๔ ข้างถูกยึดตรึงเอาไว้ยืนเฉย
หูของมันกระพือไปมา แววตาเล็กๆ ยังกับปลาดุกนั้นส่ออาการดุร้าย หูสองข้างกระพือพัดไปมาอย่างน่าสะพรึงกลัว
หลวงปู่ แผ่เมตตาให้มัน แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงอันไมตรี
“พี่ช้างเอ๋ย เราและพี่ช้างเคยโกรธกันมาแต่ปางไหนกัน พี่ช้างจึงรีบเร่งจะมาเอาชีวิตเรา ถ้าแม้นว่าเราเคยทำบาปทำกรรมต่อกันมากับท่าน ก็เอาเถิด เรายินดีรับใช้เวรกรรม แต่ถ้าพี่ช้างกับเราไม่เคยมีเรื่องขุ่นข้องหมองใจกันมาก่อนแล้ว จะเอาอารมณ์ขุ่นมัวขณะตกมันมาคิดฆ่าแกงเราซึ่งเป็นพระและสละแล้วซึ่งกิเลส ตัณหา อุปาทาน ทั้งหลาย เพื่อหาทางวิมุตติ หลุดพ้น มันเป็นบาปกรรมแก่พี่ช้างนะ
ก็ดีเหมือนกัน ถ้าเราตายไปด้วยงวง ด้วยเท้า ของท่าน ก็ขอขอบใจที่สงเคราะห์ เราจะได้ไม่ต้องกลับมาเกิดอีกต่อไป"
หลวงปู่พูดเสร็จก็หักเอากิ่งไม้เล็กๆ ที่อยู่ใกล้มือ เคาะหัวมันเบาๆ ๒-๓ ครั้ง แล้วยืนเฉยๆ
ฝ่ายช้างพลายตกมันได้สติก็นึกอายตัวเองที่ปล่อยอารมณ์หงุดหงิดขณะตกมันนั้น มาระบายอารมณ์กับพระผู้มีศีล มีธรรม มันไม่ยอมลงนรกเพราะทำร้ายพระผู้สละแล้วซึ่งกิเลสและมีกระแสเมตตาที่เปี่ยมล้น และด้วยกระแสเมตตาที่หลวงปู่ได้แผ่เมตตาให้ช้างพลายเชือกนั้นทำให้ฝูงช้างป่ายังวนเวียนอยู่ในป่าใกล้ๆ กับบริเวณที่หลวงปู่ปักกลดด้วยอาการสงบ
และเป็นที่น่าแปลกใจแก่ชาวบ้านที่ขึ้นไปหาของป่าว่าข้างๆ กลดพระธุดงค์มีรอยเท้าช้างและรอยเหมือนช้างหมอบอยู่ข้างกลดหลวงปู่จำนวนมาก
และเพื่อเป็นพุทธานุสติแก่อนุชนคนรุ่นหลังลูกศิษย์ลูกหาผู้ศรัทธาได้นำรูปปั้นช้างพลายในตำนานหลวงปู่มาไว้ที่หน้าประตูทางเข้าวัดดูน และใต้หอระฆังภายในพระเจดีย์ชัยมงคลตราบเท่าทุกวันนี้





4#
 เจ้าของ| โพสต์ 2015-9-19 16:57 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
#‎หลวงพ่อสุดร่ำเรียนวิชาจาก‬
หลวงปู่เม้า วัดกลางพนมไพร (วัดกลางอุดมเวทย์ อำเภอพนมไพร จังหวัดร้อยเอ็ด ในปัจจุบัน)
หลวงพ่อรุ่ง วัดท่ากระบือ
หลวงพ่อคง วัดบางกระพ้อม เป็นต้น‪#‎ยันต์ตะกร้อ‬ เป็นยันต์ที่หลวงพ่อสุดได้ปลุกเสกขึ้นมา โดยตอนปลุกเสกนั้นหลวงพ่อท่านได้ลงคาถาอาคมโดยใช้ภาษาขอม เขมร และลาว โดยที่บทสวดที่ท่านสวดมีใจความว่า
"จะกระสุนก็ดี จะไฟก็ดี ก็ไม่สามารถจะทำอะไรเนื้อหนัง และกระดูกได้"
นอกจากนี้ยันต์ตะกร้อยังเป็นที่กล่าวขานและเป็นที่นิยมกันใน ชาว จ.สมุทรสาคร อีกด้วย
‪#‎ปาฎิหาริย์เผาศพไม่ไหม้‬
มีการเผาศพอยู่กรณีหนึ่งซึ่งเป็นข่าวดังทางหน้าหนังสือพิมพ์รายวันหลายฉบับ เกี่ยวกับศพของพระครูสมุห์ ธรรมสุนทร หรือ “หลวงพ่อสุด อดีตเจ้าอาวาสวัดกาหลง เกจิอาจารย์ชื่อดังของจังหวัดสมุทรสาคร ซึ่งเคยเป็นอาจารย์ของ “ตี๋ใหญ่” ที่มีพิธีพระราชทานเพลิงศพไปเมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 2545 ที่ผ่านมาที่วัดกาหลง
เนื้อข่าวน่าสนใจที่ว่าศพของท่านโดนไฟเผาไหม้ไม่หมด แม้ว่าร่างจะเป็นเนื้อหนังกระดูกเผาหมดแล้วแต่กระดูกหรืออัฐิยังอยู่ในภาพที่สมบูรณ์มาก ไม่บิ่นหรือแตกร้าวเป็นชิ้นๆ แบบการเผาศพท่าวไปเลย ทำให้หลายคนไม่อยากเชื่อ จึงต้องไปพิสูจน์ให้เห็นกับตา
ที่มาแห่งเหตุอัศจรรย์นี้มีนิมิตเกิดแก่พระศิษย์เอกของหลวงพ่อสุดรูปหนึ่งซึ่งปัจจุบันท่านรักษาการแทนเจ้าอาวาสวัดกาหลง ท่านเล่าว่า
“ก่อนหน้าที่จะเผาประมาณ 2 เดือนที่ผ่านมาอาตมาฝันเห็นหลวงพ่อสุดมาบอกว่าไม่มีใครเผาท่านได้นอกจากตัวท่านเอง อาตมาเลยถามกลับไปว่า แล้วจะให้ทำอย่างไร ท่านบอกให้จัดดอกไม้จันทน์มาบายศรีขอขมาไว้และให้อาตมาเป็นคนจุดไฟเผา โดยให้อาตมาจับมือท่านเผาร่างท่านเอง อาตมาก็นำเรื่องความฝันไปเล่าให้ลูกศิษย์ที่ใกล้ชิดฟัง
ต่อมาในวันพระราชทานเพลิงศพ ช่วงพิธีเผาจริงเจ้าคณะจังหวัดสมุทรสาครท่านมาเป็นประธานจุดไฟ ปรากฏว่าเกิดเหตุประหลาดขึ้นเมื่อไฟที่จุดกับดอกไม้จันทน์ดับลงเฉยๆ ต้องวางเอาไว้อย่างนั้น อาตมาเห็นจึงเข้าไปจุดไฟเผาตามที่ฝันเอาไว้
“ปกติแล้วศพโดยทั่วไปใช้เวลาเผาประมาณ 2 ชั่วโมงก็ไหม้หมด แต่นี่เวลาเผาท่านก็ใช้น้ำมันเชื่อเพลิง ระดับไฟร้อนมากประมาณ 300 องศา ขณะที่เผาก็จะมีเจ้าหน้าที่ไปกลับร่างท่าน แต่เมื่อได้เวลาราไฟ ปรากฏว่ายังเห็นร่างของท่านยังอยู่เป็นโครงกระดูกทั้งโครงทั้งที่เผามานาน”
คุณอุบลรัตน์ ใยไหม กำนันตำบลกาหลง ยังได้ให้ข้อมูลเพิ่มเติมอีกว่า
“ก่อนวันประชุมเพลิงท่าน คณะกรรมการก็ได้เตรียมงานแต่เนิ่นๆ โดยได้เคลื่อนสรีระร่างของท่านมา หลวงพ่อคล้ายคนนอกหลับ ร่างท่านมีแต่หนังหุ้มกระดูกไม่มีกลิ่นเหม็นเน่า จีวรเก่าแต่ก็ไม่เปียกคราบน้ำเหลืองเลย ที่เผาท่านเป็นคนสุดท้าย เมื่อเจ้าหน้าที่เปิดให้ดูก็เห็นภาพที่ว่าท่านยังเป็นโครงกระดูกอยู่นะ พี่ก็แปลกใจเลยตะโกนบอกว่า “หลวงปู่ไม่ไหม้” แล้วชาวบ้านก็วิ่งไปดู เพราะชาวบ้านก็ยังไม่กลับ เขาจะรอดูที่ว่ากันว่าหลวงปู่จะเผาไม่ไหม้จะเป็นจริงมั้ย เขาก็เลยอยากพิสูจน์ แล้วก็เป็นจริง หนังท่านไหม้แต่กระดูกท่านยังไม่หลุด”
สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้ชาวบ้านละแวกนวัดและประชาชนทั่วงไปที่สนใจมั่นใจมากขึ้นว่าเป็นปาฏิหาริย์ของหลวงพ่อสุดเพราะท่านสำเร็จวิชาอยู่ยง
คงกระพันชาตรีศาสตร์ลี้ลับที่ทำให้ฟังขารของท่านไม่อาจเผาให้ไหม้หมดอย่างคนธรรมดาทั่วไปได้...
‪#‎ตามประวัติของหลวงพ่อสุดแห่งวัดกาหลง‬ จ.สมุทรสาคาเจ้าตำรับยันต์ตะกร้อและเสือเผ่น ท่านเป็นชาวอำเภอพนมไพร จ.ร้อยเอ็ด เกิดในตระกูลชาวน้าในสมัยราชกาลที่ 5 ท่านบวชเป็นสามเณรเมื่ออายุ 16 ปี ที่วัดกลางพนมไพร จ.ร้อยเอ็ด แล้วเดินทางรอนแรมจากร้อยเอ็ดไปแสวงหาวิชาและความรู้ในทางธรรมตามที่ต่างๆ จนกระทั่งได้มาจำพรรษาอยู่ที่วัดกาหลง จนมรณภาพ
เรื่องราวของหลวงพ่อสุดเกี่ยวกับพลังอำนาจจิตที่อยู่ในรูปการสักยันต์ตะกร้อปละเสือแผ่นนั้นโด่งดังมากแม้แต่ “ตี๋ใหญ่” ขุนโจรชื่อดังที่เขาลือกันว่าหนังเหนียวและแคล้วคลาดอยู่ตลอดยังนับถือ ไปมาหาสู่หลวงพ่ออยู่บ่อยๆ “ตี๋ใหญ่” มีของดีคือมีผ้ายันต์กับตะกรุดของหวงพ่อสุดไว้ป้องกันตัว ขนาดถูกตำรวจเป็นร้อยล้อมจับก็ยังหนีเอาตัวรอดไปได้ จนใครๆ ลือกันว่าตี๋ใหญ่มีวิชาล่องหนหายตัวได้!
มีเรื่องเล่าถึงวันที่ “ตี๋ใหญ่” สิ้นชื่อ คือวันนั้นก่อนที่จะหนีไปหลบซ่อนตัว “ตี๋ใหญ่” ให้ลูกน้องขับรถพามาหาหลวงพ่อสุดที่วัดกาหลง แต่มาแล้วไม่พบหลวงพ่อจึงกลับออกมา ระหว่างที่รถวิ่งออกมาก็โดนถล่มจากเจ้าหน้าที่ทั้งสองข้างทาง นับไม่ถ้วนว่ากี่นัด
จะเห็นว่าคนเราเมื่อดวงขาดมันก็ต้องมีอันเป็นไป และเหตุที่ตี๋ใหญ่มาหาลวงพ่อสุดนั้นเป็นเพราะว่าพวงพระและตะกรุดของตี๋ใหญ่หายไปก็เลยจะมาขอใหม่จากหลวงพ่อ จึงมาพบจุดจบในวันนั้น
หลายคนกล่าวว่าถ้าผ้ายันต์กับตะกรุดยังอยู่ ตี๋ใหญ่อาจจะยังไม่ตาย แต่ถึงอย่างไรตี๋ใหญ่ก็ก่อกรรมทำเข็ญไว้มากพลังอำนาจจิตหรืออิทธิฤทธิ์ใดๆ ก็มาอยู่ “เหนือกรรม” ไม่ได้ สุดท้ายตี๋ใหญ่ก็ต้องจบชีวิตลงท่ามกลางการสาปแช่งของผู้คน และใครจะรู้ว่านั้นเป็นสิ่งที่หลวงพ่อสุดกำหนดให้เป็นไปด้วยหรือไม่?
ก็ยังมีเรื่องเล่าถึงอดีตนาวิกโยธินคนหนึ่งที่ได้เครื่องรางของหลวงพ่อสุดไปเป็นเหรียญเสือเผ่นและรอยสัก ขณะที่รับราชการอยู่เขาถูกส่งไปปราบผู้ก่อการร้ายที่ท่าศาลา จ.นครศรีธรรมราช ในปี พ.ศ.2519 แล้วโดนถล่มขณะอยู่บนรถจีเอ็มซี เพื่อนคนหนึ่งถูกยิงจนตาตุ่มหายไปทั้งแถบ ส่วนตัวเองถูกยิงห้านัด กระสุนเข้ากลางหลังตรงยันต์พอดี เสื้อทะลุเป็นรูแต่กระสุนกลับไม่เข้าเนื้อและไม่มีบาดแผลเพียงแต่เป็นรอยจ้ำๆ เท่านั้น
ส่วนอีกคนเป็นศิษย์หลวงพ่อสุดเหมือนกันคนนี้เป็นโรคที่ตา ต้องเข้ารับการผ่าตัดที่โรงพยาบาลศิริราช ระหว่างการรักษาต้องฉีดยาเพื่อผ่าตัด เข้าใจว่าเป็นยาชา แต่พอฉีดเข็มฉีดยากลับไม่เข้าเนื้อ เพราะคนนี้หลวงพ่อสุดสักน้ำมันครอบไว้ ผลสุดท้ายต้องมานิมนต์หลวงพ่อสุดไปโรงพยาบาลเพื่อทำพิธีถอน คนป่วยจึงได้รับการฉีดยาและผ่าตัดเรียบร้อย
ปัจจุบันทางวัดกาหลง จ.สมุทรสาคร ได้นำร่างที่เป็นโครงกระดูกของหลวงพ่อสุดบรรจุไว้ในโลงแก้วตั้งให้ประชาชนไปกราบนมัสการอยู่ที่ชั้นสองของศาลาการเปรียญภายในวัดซึ่งทุกวันจะมีประชาชนและลูกศิษย์ที่เลื่อมใสแวะเวียนไปกราบสรีระร่างของท่านไม่ขาดสาย












5#
 เจ้าของ| โพสต์ 2015-9-19 16:59 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้

พระมหาชวน เปรียญ ๗ ประโยค ได้เข้ามาเล่าเรียนพระปริยัติธรรมในสำนักวัดบวรนิเวศวิหาร จนได้เปรียญ ๗ ประโยค ครั้นเมื่อท่านได้ไปทอดกฐินที่วัดหลวงพ่อกบ วัดเขาสาลิกา ที่ลพบุรี ได้เห็นหลวงพ่อกบ เผาสมบัติที่มีผู้นำมาถวาย จึงเข้าไปกราบนมัสการเรียนถามเหตุผล เมื่อได้ฟังธรรมจากหลวงพ่อกบแล้วก็เลื่อมใส จนเมื่อกลับมาถึงวัดบวรนิเวศวิหาร ก็หยุดการเรียนปริยัติหันมาเรียนทาง ปฏิบัติ ออกธุดงค์และบูชาไฟตามรอยหลวงพ่อกบ วัดเขาสาลิกา
บรรดาพระในวัดบวรนิเวศวิหารเข้าร้องเรียนเรื่อง มหาชวนเผาข้าวของที่มีผู้นำมาถวายและ บูชาไฟ ว่าอาจทำให้เกิดเพลิงไหม้วัดบวรฯ ขึ้นได้ อีกประการหนึ่งวัดบวรนิเวศวิหารเป็นวัดหลวง ฝ่ายธรรมยุต การบูชาไฟย่อมขัดกับข้อวัตรปฏิบัติแห่งธรรมยุติกนิกาย
สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ เจ้าอาวาสวัดบวรฯ ขณะนั้น จึงเรียกมหาชวนมาพบ สมเด็จพระมหาสมณเจ้าฯ ทรงให้มหาชวนเลือกปฏิบัติสองทาง คือทางแรกอยู่ในสำนักวัดบวรฯ ต่อไป แต่ต้องยุติการบูชาไฟ และทางที่สอง คือย้ายออกจากวัดบวรฯ ไปจำพรรษาที่อื่น
มหาชวนกราบทูลว่าขอเลือกทางที่สอง คือแบบแบกกลดธุดงค์ออกจากวัดบวรฯ
มหาชวนซึ่งต่อมาได้เรียกตัวเองว่า “โอภาสี” โดยบอกว่า มหาชวนได้ตายจากโลกนี้ไปแล้ว ที่อยู่นี่คือ “โอภาสี”
หลังจากนั้นหลวงพ่อโอภาสีได้ไปอาศัยลานดินว่างในสวนส้มที่ตำบลบางมดเป็นที่ปักกลด โดยออกบิณฑบาต และบูชาไฟ
มีผู้ที่เคยไปนมัสการท่านที่วัดบวรนิเวศวิหารติดตามมาคอยอุปัฏฐาก
ต่อมาเจ้าของสวนได้ถวายที่ดินโดยรอบสถานที่ที่ท่านปักกลดทำ เป็นสำนักสงฆ์ ซึ่งปัจจุบันได้ยกฐานะเป็นวัดโอภาสีจนทุกวันนี้
ตอนนั้นชาวสวนแบ่งออกเป็นสองพวก พวกหนึ่งบอกว่าหลวงพ่อโอภาสี ทำให้สวนของพวกเขาอยู่ในอันตราย หากกองไฟที่หลวงพ่อโอภาสีเผาสมบัติลุกลาม ไหม้สวนจนวอดวายเป็นขนัดๆ
นายตี๋ อันธพาลรับจ้างเป็นรายแรกที่มาลองดีกับหลวงพ่อโอภาสี
นายตี๋เล่าว่า ได้รับค่าจ้างจากเจ้าของสวนที่ไม่พอใจหลวงพ่อโอภาสี ว่าจ้างให้ทำอย่างไรก็ได้เพื่อให้หลวงพ่อโอภาสีถอนกลดออกไปจากพื้นที่เสีย
คืนแรกนายตี๋ได้เก็บก้อนหินขนาดเหมาะมือใส่ถุงปุ๋ยมาแอบซ่อนไว้ไม่ไกลจากกลดที่หลวงพ่อปักไว้ พอได้โอกาสเหมาะ หลวงพ่อโอภาสีอยู่เพียงลำพัง ก็ใช้ก้อนหินขว้างปากลดของหลวงพ่อ ถูกบ้าง ไม่ถูกบ้าง
ก้อนที่ถูกก็ปรากฏสิ่งมหัศจรรย์ขึ้นแก่ตาตนคือ พอก้อนหินกระทบหลังคากลด ก็เกิดกระเด้งกลับมาอย่างแรง ทีแรกก็เฉียดตัวนายตี๋ นายตี๋จึงคำรามในใจว่า แน่นักเรอะ! คราวนี้แหละจะเขวี้ยงให้ผ่านประตูกลดที่เปิดไว้ให้ถูกตัวหลวงพ่อเลยทีเดียว ให้มันรู้กันไปว่าจะแน่สักแค่ไหน
‘‘พอผมขว้างก้อนหินเข้าไปตรงจุดที่ผมกะไว้ ก้อนหินก็กระเด็นย้อนกลับมาด้านบน หล่นลงมากลางกบาลของผมพอดี หัวแตกเลือดไหลโกรก จนผมต้องวิ่งไปเข้าโรงพยาบาลให้หมอเย็บถึง ๑๐ เข็ม ไม่อาจไปรบกวนหลวงพ่อได้อีก พอแผลหายผมจึงไปกราบเท้าท่าน ไปสารภาพให้ท่านอโหสิให้แก่ผม ท่านยิ้มแล้วพูดกับผมว่า...
‘‘อาตมาไม่ได้คิดร้ายกับใคร ไม่พยาบาทใคร กรรมของโยมต่างหากที่มันย้อนกลับไปทำร้ายโยม’’
ทางด้านนายโสม ผู้ว่าจ้างนายตี๋ให้เอาก้อนหินไปขว้างใส่กลดของหลวงพ่อโอภาสี แต่นายตี๋กลับกลายไปเป็นศิษย์อุปัฏฐากหลวงพ่อแทน จึงเกิดความเคียดแค้นมาก
คืนนั้นกินเหล้าย้อมใจจนได้ที่ แล้วเอาปืนพกเหน็บเอว แอบเข้ามาที่ใกล้ๆ กับกลดของหลวงพ่อโอภาสี ชักปืนขึ้นมาหันปากกระบอกขึ้นฟ้า แล้วตะโกนร้องว่า
‘ไปให้พ้นโว๊ย ไปเผาของที่อื่น หากยัง อยู่ที่นี่ชาวบ้านเขาจะเดือดร้อน’
จากนั้นก็รัวกระสุนเข้าใส่กลดจนหมดลูกโม่ สะใจแล้วก็เดินทางกลับบ้าน

6#
 เจ้าของ| โพสต์ 2015-9-19 17:00 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
นายโสมเล่าว่า‘‘เช้ามืดวันรุ่งขึ้น มีตำรวจจากกองปราบมาล้อมบ้านผม เอาหมายค้นมาด้วย มาค้นบ้านและยึดปืนที่ผมเอาไปยิงขู่หลวงพ่อโอภาสีเมื่อคืนก่อน โดยระบุว่าจะเอาไปตรวจพิสูจน์ว่าเป็นปืนกระบอกเดียวกันกับที่ก่อคดีฆ่านายสุชาย เจ้าของสวนย่านเดียวกับผมหรือเปล่า แต่ผมไม่ได้เป็นคนทำ’’
กว่าเรื่องจะเรียบร้อย นายโสมต้องถูกนำตัวไปสอบสวนแล้วสอบสวนอีก เสียเงินเสียทองจ้างทนายมาสู้ความ จนหมดเงินไปมากมาย ที่สุดก็ต้องมากราบหลวงโอภาสีเพื่อขอให้ท่านช่วย
โดยสารภาพผิดว่าเคยเอาปืนมายิงขู่หลวงพ่อตอนกลางคืน
หลวงพ่อโอภาสีท่านก็อโหสิและพรมน้ำมนต์ให้
ในที่สุดนายโสมก็พ้นผิดและได้กลายมาเป็นศิษย์ของหลวงพ่อโอภาสีเช่นกัน
นายกวย ชายชาวจีนซึ่งเช่าที่ดินทำสวนผักในบริเวณนั้น เห็นว่าสำนักสงฆ์ของหลวงพ่อโอภาสีมีข้าวของมากมาย น้ำมันก๊าด น้ำมันมะพร้าว น้ำมันบัว เครื่องใช้ไม้สอยวางไว้มากมาย นายกวยเลยถือวิสาสะมาหยิบเอาไปใช้
ตอนแรกก็แค่เอาขวดมากรอกน้ำมันก๊าดเมื่อ เห็นว่าหลวงพ่อโอภาสีไม่ว่าอะไรก็เลยหิ้วไปเป็นปี๊บ
ต่อมาเมื่ออยากได้อะไรก็มาหยิบฉวยเอาไปตามใจชอบ
ผู้ดูแลสำนักสงฆ์จึงไปกราบเรียนหลวงพ่อโอภาสีเรื่องที่นายกวยมาหยิบข้าวของไปตามอำเภอใจ หลวงพ่อโอภาสีจึงพูดกับผู้ดูแลสำนักสงฆ์ว่า
‘‘ไอ้คนบ้า หากอยากได้อะไรมาขอ มีหรือจะไม่ให้ ก็ของพวกนี้ เขาเอามาถวาย เผาทิ้งยังทำได้เลย แล้วคนมาขอเอาไปกินไปใช้ ใครจะปฏิเสธ ไอ้คนนี้มันทำบ้าๆ’’
หลังจากหลวงพ่อโอภาสีพูดว่า ไอ้คนบ้า ได้เพียงไม่กี่วัน นายกวยก็กลายเป็นบ้า ร้องเล่นเต้นงิ้วไปตามเรื่อง งานการไม่ทำ วิ่งไปมาร้องเพลงแต่เพลงงิ้ว
ญาติพาไปปากคลองสานก็รักษาไม่หายกลับเป็นหนักขึ้นอีก
จนมีชาวจีนที่เป็นศิษย์ของหลวงพ่อโอภาสีไปบอกว่า อาจเป็นเพราะนายกวยไปลักขโมยของจากสำนักสงฆ์เลยเป็นบ้า
จึงช่วยกันมัดนำตัวไปหาหลวงพ่อโอภาสี พอไปถึงท่านก็พูดว่า
‘‘อ๋อ นี่หรือที่ชอบมาขโมยของในสำนักสงฆ์ ขอดีๆ ทำไมจะไม่ให้ นี่คงบ้าๆ บอๆ ใช้กรรมไปพอสมควรแล้วนี่ ทีหลังอยากได้อะไรก็มาขอดีๆ หายได้แล้ว ไม่ได้บ้าอะไรนี่นา เป็นคนดี ๆ แท้ ๆ จะบ้าได้อย่างไรกัน’’
สิ้นคำหลวงพ่อ นายกวยก็ได้สติกลับเป็นนายกวยคนเดิม ทำหน้าตาเหรอ ถามว่าตนมาอยู่ที่สำนักสงฆ์ได้อย่างไร พอรู้เรื่องละเอียดก็เข้ามากราบขอโทษ
หลวงพ่อได้ให้น้ำมันก๊าด กับน้ำมันบัวแก่นายกวยอย่างละหนึ่งปี๊บ
นายสมานได้เล่าถึงอภินิหารของหลวงพ่อโอภาสีให้ผู้เขียนฟังว่า
ได้มานมัสการหลวงพ่อให้ลงธนบัตรขวัญถุงชนิดใบละ ๑๐๐ บาท
หลังจากหลวงพ่อลงให้เรียบร้อย จึงเอากลับมาที่ร้านขายอาหาร กะว่าจะเอาไปใส่กรอบ ก็พอดีญาติกัน เดินทางจากสหรัฐฯ กลับมาเยี่ยมบ้าน ได้คุยกัน ญาตินายสมานบอกว่าจะกลับไปเปิดร้านอาหารที่ลอสแองเจลิส อยากได้ธนบัตรขวัญถุงไปไว้ที่ร้านสักใบ
นายสมานจึงเอาธนบัตรขวัญถุงที่หลวงพ่อโอภาสีลงให้มอบให้ญาติเอาไปใส่กรอบติดร้านขายอาหาร โดยคิดว่าเดี๋ยวตนไปหาหลวงพ่อให้ทำให้ใหม่ได้
หลังจากนั้นนายสมานก็นำธนบัตรใบละ ๑๐๐ บาทใบใหม่ไปให้หลวงพ่อโอภาสีลงให้
แต่ใบที่ท่านส่งกลับมาให้ปรากฏว่าเป็นธนบัตรขวัญถุงใบที่ตนได้ให้ญาติเอาไปสหรัฐอเมริกา
เป็นใบเดียวกันแน่นอนเพราะตนเองจำหมวดหมายเลขได้แม่นยำ
แล้วหลวงพ่อโอภาสีก็พูดขึ้นว่า ‘‘น่าจะเก็บไว้ให้ดี เป็นของเฉพาะตัว กลับให้ท่านบินไปสหรัฐฯ ท่านเลยกลับมาอยู่เมืองไทย ใบใหม่ที่เอามา จะลงให้แล้วส่งไปอเมริกาเอง ไม่ต้องเป็นห่วง’’
หลายเดือนต่อมา มีจดหมายจากญาติที่สหรัฐฯ มาถึงนายสมานใจความในจดหมายเล่าว่า
‘‘อยู่ดี ๆ ธนบัตรขวัญถุงที่ให้มาและเราใส่กรอบผนึกแขวนไว้ที่ฝาผนังใกล้กับโต๊ะแคชเชียร์ ก็หายไปเหลือแต่กรอบเปล่า ๆ โดยไม่รู้ว่าหายไปได้อย่างไร แต่แล้ววันหนึ่งเราก็แทบไม่เชื่อสายตา ในกรอบกลับมีธนบัตรขวัญถุงอยู่ภายใน เป็นใบละ ๑๐๐ บาท แต่หมวดตัวเลขผิดกับของเก่า หากเรามีเวลากลับมาเมืองไทย ช่วยพาเราไปหาอาจารย์ของนายด้วย’’
ขอบคุณข้อมูลจาก
อภินิหารของหลวงพ่อโอภาสี ๒
เกร็ดประวัติหลวงพ่อโอภาสี
จากนิตยสารโลกหน้ามีจริง
โพสท์ในเวบกองทัพพลังจิต โดย vacharaphol เมื่อ 17/10/2549
http://www.dharma-gateway.com/…/lp-opa…/lp-opasi-hist-04.htm
7#
 เจ้าของ| โพสต์ 2015-9-19 17:20 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้

























◎อภินิหารว่านพญาแร้งคอดำ◎

ว่านพญาแร้งคอดำเป็นว่านอยู่ยงคงกระพันชาตรีว่านชนิดนี้มีปรากฏอยู่แถวจังหวัดชลบุรีและจังหวัดตราดชอบพื้นที่เค็ม ลักษณะต้นว่านมีรูปร่างเหมือนว่านบอลที่โคนใบมีสีเหลืองๆ เขียวๆแดงๆ ทุกใบ ก้านสีน้ำตาลไหม้ใบมีรอยจุด 3 สี พื้นของต้นว่านเป็นสีเขียวต้นหนึ่งมีประมาณ 7-8 ใบ

ลักษณะการปลูก เอาหัวมาเพาะดินนั้นต้องเอาดินกลางทะเลลึกกลางแม่น้ำเจ้าพระยาเป็นดินสะอาดไม่สกปรกโสโครก พวกว่านอยู่ยงคงกระพันชาตรีทุกชนิดชอบปุ๋ยและดินปู่สะอาดเราปลูกวันที่ 1 มกราคม เราก็ไปกู้วันที่ 1มกกราคม เป็นระยะเวลา 1 ปีเราก็ขุดมาเอาหัวเก็บไว้เวลาเราจะกินเฉือนมาเพียงเเว่นเดียวกินประมาณ 3 นาที ก็จะรู้สึกขนลุกซู่ นักโทษในคุกที่อยู่จังหวัดชลบุรีมีว่านพญาแร้งคอดำประจำตัวกันทุกคน เพื่อนำมาป้องกันอันตรายซึ่งจะเกิดขึ้นจากฝ่ายศัตรูเป็นผู้ทำร้ายเป็นว่านที่มีประสิทธิภาพ

ในคุกบางขวางหรืออีกนัยหนึ่งเค้าเรียกว่าเรือนจำบางขวางภายใน 8 แดน บรรจุนักโทษได้ประมาณ 1หมื่น คน เป็นเรือนจำที่รับนักโทษอุกฉกรรจ์ที่ส่งมาจากต่างจังหวัด ถึง 70 จังหวัดมีนักโทษทุกๆภาค ภาคเหนือ ใต้ ตะวันตก ตะวันออก และภาคกลางมีนักโทษประหารตลอดชีวิต 20 ปี และมีโทษชั้นเสือตัวร้ายๆ ในคุกมีนักโทษหลายประเภทไอ้เสือร้ายบางคนเข้าคุกทำเป็นแมวนอนหวด ไม่ยุ่งธุระกับใคร บางคนก็แสดงเป็นนักเลงโต

พวกที่แสดงเป็นนักเลงโตนี้ เป็นนักโทษที่หาผลประโยชน์ให้กับผู้บัญชาการและหัวหน้าแผนกควบคุม ตอนนี้พ.ศ. ๒๔๘๗ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ได้แก่พระกล้ากลางสมร มงคลหงสไกร พ.ต.ท.หลวงฤทธิสรไกร ร้อยเอกศิริ ภักดีรักษาการในตำแหน่งหัวหน้าแผนกควบคุม พัศดีโพธิทอง รักษาการในตำแหน่งผู้บังคับแดนหนึ่งในคุกยุคนี้เป็นยุคทมิฬ นักโทษประหารถูกจะยิงทิ้งวันละสองคนกลิ่นคาวเลือดคาวน้ำหนอง ที่อยู่แดนประหารเป็นเลือดของนักโทษประหารที่ถูกยิง ไหลชุ่มโชก อยู่ในตะเเลงเเกง ไม่ค่อยได้มีโอกาสเหือดแห้งหายเพราะยิงกันทุกวัน เหม็นคาวเลือด คาวหนอง กลิ่นตลบทั่วคุก

ยังมีนักโทษชั้นเสือและ นักโทษธรรมดาฆ่ากันตายเสมอป่าช้าวัดบางแพรกเหนือบางแพรกใต้หาว่างสักวันก็ไม่มี ศพที่ตายถูกถ่ายทอดออกมาจากนอกคุก นำมาฝังหลุมหนึ่งซ้อนกันถึง 2-3 ศพขาแข้งโด่เด่ พ้นจากหลุมหมาและเหี้ยได้กลิ่นก็มาลากศพกินศพสัตว์พวกนี้ไม่ต้องไปหากินที่ไหน หากินในป่าช้าวัดบางแพรก ก็อ้วนพีทุกตัว

ในวันที่ 12 เมษายน 2487 มีคดีเรื่องเกิดฆ่ากันตายในแดน 1 น.ช.ต่อง งามมงคลและ น.ช.จิต อุทุมพร ทั้งสองคนเป็นคู่ก็ดีกันอยู่ในคุกก็เป็นเพื่อนตาย ศาลจังหวัดชลบุรีตัดสินเขาทั้ง 2 ในข้อหาเรื่องปล้นเเละฆ่าเจ้าทรัพย์ตาย ศาลจังหวัดชลบุรีพิพากษาจำคุกตลอดชีวิต

8#
 เจ้าของ| โพสต์ 2015-9-19 17:20 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
นักโทษชายเฉลียว นาคะยนต์ ศาลจังหวัดนนทบุรี พิพากษาลงโทษในข้อหาว่าฆ่าคนตายโดยเจตนาศาลจังหวัดจันทบุรีจำคุกตลอดชีวิต

ในตอนเย็นของวันนี้ น.ช.เฉลียว น.ช.ต่อง น.ช.จิต ได้เล่นการพนันไพ่ป๊อก 21เเต้ม น.ช.เฉลียวเล่นไม่ซื่อเล่นโกง นช.ต่อง กับน.ช.จิต จึงช่วยกันใช้อาวุธมีดแทงรุมเเทง น.ช.เฉลียวถึงแก่ความตาย

ทางหัวหน้าแผนกควบคุมสั่งให้นช. ตั๋ว น.ช.อนันต์ซึ่งเป็นนักโทษที่หัวหน้าแผนกเลี้ยงเอาไว้ใช้งานในเวลาต้องการ หัวหน้าแผนกจึงเรียก น.ช.ตั๋ว น.ช.อนันต์ มาพบเเละสั่งให้ไป ซ้อมและทำร้าย น.ช.ทั้ง2ให้ตาย ก่อนจะซ้อมให้จับตัวไปขังไว้ในตึกแดงเวลาจะตีให้ตายตีในตอนเวลากลางคืน พอตกตอนกลางคืนเวลา 24.00น. นายสรรค์ โพธิ์ทอง(พัศดี) เป็นผู้ไข เอานช. ทั้งสองออกจากตึกแดง น.ช.ต่อง น.ช.จิต รู้ตัวว่าจะถูกลงอาญาถึงตาย มีสิ่งที่จะคุ้มกันอันตรายก็เอาออกมาใช้ ของดีของน.ช.ทั้งสองคือกินว่านพญาแร้งคอดำ เพื่อป้องกันตัวในยามคับขัน

เมื่อนช. ทั้งสองออกจากตึกแดง นายสรรค์ โพธิ์ทอง น.ช.ตั๋ว น.ช. อนันต์ ช่วยกันตีทำร้าย น.ช. ทั้งสองด้วยไม้กระบอง นช. ทั้งสองไม่มีอาวุธที่จะต่อสู้ และ มิหนำซ้ำยังถูกจองจำเครื่องพันธนาการขนาดหนักทั้ง 2 คน ถูกตีล้มลุกคลุกคลานแต่กระบองไม่อาจระคายผิวหนังตามร่างกายทุกส่วนเป็นรอยผื่นบวมถูกตีจนสลบ นายสรรค์ น.ช.ตั้ว และน.ช.อนันต์ จึงปล่อย น.ช. ทั้งสองทิ้งไว้หน้าตึกแดงนอนตากน้ำค้างจนมดขึ้นตาจมูก

รุ่งเช้าจึงพลิกฟื้นตื่นความรู้สึกเป็นที่แปลกประหลาดมหัศจรรย์ที่น.ช.ทั้งสองไม่มีบาดเจ็บและมีรอยแผลให้เห็นเป็นที่ประจักษ์ว่า น.ช. ทั้งสองกินว่านพญาแร้งคอดำจึงไม่เป็นอันตรายถึงชีวิต น.ช.ทั้งสองถูกขังและในวันนี้ นี้จะถูกลงโทษโดยเพชฌฆาตหวายเป็นผู้โบย ตามคำตัดสินของคณะกรรมการให้โบย 20ที

นช. ทั้งสองถูกโบยทั้งสองคนคนละ 20ที เสร็จสิ้นการโบยแล้ว ก็นำเข้าขังตึกแดง ตามคำของคณะกรรมการ อภินิหารของว่านพญาแร้งคอดำก็มีเพียง เท่าที่ผู้เขียนกล่าวมาแล้วเท่านี้

ว่านพญาแร้งคอดำนั้นเป็นวันที่มีประสิทธิภาพ บรรดาเหล่าเกจิอาจารย์ชำนาญในอภินิหารของว่านทั้งหลายย่อมรู้จักดีถึงอิทธิฤทธิ์ของว่านพญาแร้งคอดำ ในตอนสองต่อจากนี้เป็นตอนที่นช. อนันต์ สินธุรักษ์ น.ฃ. ตั้ว แต่ตระกุล รับอาสาเป็นมือเพชฌฆาต ฆ่าหลวงฤทธิสรไกร เป็นคำบงการของร้อยเอกศิริภักดีซึ่งทั้งสองท่านนี้มีเรื่องขัดแย้งในเรื่องผลประโยชน์ของการงานโปรดติดตาม..จบตอน

*(ว่านพระยาเเร้งคอดำและหัวของว่านนั้นเหมือนกับว่านหลายชนิดควรศึกษาและพิจารณาก่อนหามาปลูกมาใช้นะครับของปลอมมีเกลื่อนในยุคนี้จะหาผู้มีความรู้ทางด้านว่านโดยละเอียดก็เเทบไม่มี)

สำหรับตอนนี้ขอมอบ◎พระคาถาหัวใจไก่เถื่อน◎

เวทาสากุ กุสารทาเว ทายะสาตะ ตะสายะทา ทาสารทิกุ กุตะกุภู ภูกะตะกุฯ

คาถาบทนี้ เป็นของเก่าสืบมาแต่โบราณ ท่านว่าภาวนาทุก ๆ วันให้ได้ 3เดือน จะเป็นผู้มีปัญญาเฉลียวฉลาดยิ่ง ภาวนาครบ 7 เดือน จะเป็นคนเจ้าปัญญากว่าคนทั่วไป เดินทางให้ภาวนา 8 คาบ จะได้ลาภไม่มีภัยใช้เสกดินหรือหินแร่ 4 ก้อน วางไว้ 4 มุม เรือนหรือบริเวณบ้าน เขียนอักขระนี้เป็นอักษรขอมลงเป็นยันต์ในแผ่นเงิน แผ่นทอง หรือตะกั่ว ป้องกันโจรผู้ร้ายหรือคนภายนอกที่จะเข้ามากระทำมิดีมิร้าย จะต้องกลับใจหนีไปหมดวิเศษนักแล
9#
 เจ้าของ| โพสต์ 2015-9-19 17:23 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้



















งาช้างเจริญหมายถึงช้างเชือก นั้นอายุชราตายเองเรียกว่างาช้างเจริญ เป็นงาช้างที่มีอิทธิฤทธิ์อภินิหารคุ้มครองรักษาตัวเราได้ในทางป้องกันยาพิษ งาช้างที่จะป้องกันยาพิษนั้นโดยมากผู้ที่มีความรู้เจ้ากรมคช หลวงสัจจาคชสีห์ เจ้ากรมสมัยรัชกาลที่ 6 นำมาถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีมาตั้งเเต่วงค์จักรีชยางกูร ร.๑ ถึงร.๙ สิ่งที่เป็นงา จะเป็นกล้องยานัด ตะเกียบ ไม้แคะหู ช้อนซ่อม ปิ่นปักผม กำไลมือ ทุกชนิดเป็นของป้องกันยาพิษได้
สิ่งต่างๆที่กล่าวมาเราจะทำสิ่งใดก็ได้แล้วเก็บเอาไว้ในตัวเวลารับประทานอาหารให้เอางานั้นเเตะที่อาหาร ถ้าอาหารที่เราเอางาเเตะมีพิษถึงกับจะทำอันตรายเราได้ ถ้าเราแตะแล้วงาที่เราแตะนั้นจะเกิดเป็นควันสีเขียวจับที่งาบอกสัญลักษณ์ว่าอาหารสิ่งนี้เป็นพิษกินเข้าไปก็ตาย เป็นงาที่ศักดิ์สิทธิ์มีความศักดิ์สิทธิ์อภินิหารอยู่ในตัว
งาไม่มีพระคาถาหรือบทใดช่วย ทางที่ดีเราก็จ้างช่างเขาแกะตัวงาช้าง ที่เรามีตัวเก็บเอาไว้
ท่านผู้อ่านมีเอาไว้ก็ดีกว่าไม่มีเพราะชีวิตเราท่านไม่แน่ใจว่าจะมีศัตรูมาปองร้ายในลักษณะลักลอบฆ่าทางยาพิษเป็นเครื่องประหารเราก็จะได้รู้ว่ามีศัตรูคนไหนคิดปองร้ายถ้าไม่มีสิ่งที่เราป้องกันกินอาหารเข้าไปถูกยาพิษก็ไม่รู้ตัว รู้ก็ต่อเมื่อแพทย์มาตรวจหลังจากท่านไปสู่ปรโลกแล้ว
ท่านขุนปวงชน ทวยราษฎร์ เป็นข้าราชการที่ถูกปลดเกษียณเพราะเป็นโรคหลายโรค โรคหัวใจ วัณโรค โรคตับ รักษากันจนไม่มีหมอรักษา หมดสมรรถภาพในทางกามารมณ์
ท่านขุนมีภรรยาชื่อคุณนายเวียง มีลูกสาวคนหนึ่งชื่อพยอม อายุ 25 ปีเป็นหญิงสาวหน้าตาหมดจด ทางฝ่ายคุณนายเวียงอายุ 50 ปียังมีความกำหนัดอยู่ในกามารมณ์ท่านขุนสามีไม่สามารถที่จะอำนวยความสุขทางกามารมณ์ให้กับคุณนายเวียงได้ดังนั้นคุณนายจึงคิดนอกใจผัวคิดคบชู้ ชู้ของคุณนายคือท่านขุนประสงค์ซึ่งเป็นเพื่อนกับสามี
คุณนายให้หูให้ตาทอดสะพานให้ท่านขุนประสงค์ ท่านขุนก็เกิดเดินขึ้นสะพานที่คุณนายเวียงทอดให้ และร้ายยิ่งกว่านั้นท่านขุนประสงค์ละโมบอยากได้ลูกสาวและสมบัติอันมหาศาลมาเป็นของตัว
ทางฝ่ายผัวนอนซมเจ็บปวดทรมานอยู่ในบ้านซึ่งคุณนายปลูกไว้ให้อยู่ต่างหาก การติดต่อระหว่างคุณนายกับท่านขุนประสงค์ หารอดพ้นจากสายตาของพยอมผู้เป็นลูกไม่ นำข่าวนี้มาบอกพ่อ ผู้พ่อได้ทราบข่าวจึงมีความเป็นห่วงบุตรและทรัพย์สมบัติทั้งหมดจะต้องตกอยู่กับคุณประสงค์ โดยคุณนายเวียงคิดนอกใจไม่มีทางใดที่จะช่วยให้เหตุร้ายเกิดขึ้นได้ เพราะมันเกิดขึ้นแล้ว
จนคุณนายได้เสียกับท่านขุนประสงค์ เมื่อเรื่องนี้เกิดขึ้นทำให้ท่านขุนปวงชนคิดถึงชีวิตของตัวเองจะอยู่รอดก็ไม่แน่เลยคิดถึงภัยอันตรายที่จะเกิดขึ้นกับตัวเองว่าทางฝ่ายเมียเล่นชู้จะคิดค่าตัวท่านขุนในทางยาพิษ
ท่านขุนจึงให้พยอมลูกสาวไปเอาแหวนงาช้างเจริญที่เก็บเอาไว้มาให้ ลูกสาวก็นำมาให้ตามประสงค์ท่านขุนจึงนำมาใส่และบอกยอมลูกสาวติดไม้แคะหูอยู่เสมอซึ่งไม้แคะหูนั้นทำด้วยงาช้างเจริญและอธิบายให้พยอมลูกสาวฟังว่าสิ่งนี้เป็นงาช้างเจริญป้องกันยาพิษทุกชนิดเวลาจะกินอาหารให้เอาแตะอาหารดูพยอมรับปากรับคำแล้วก็จากกับพ่อไป
ทางฝ่ายท่านขุนประสงค์กับคุณนายเวียงก็เสพสุขกันอย่างปีเปรมคุณนายเวียงอยากจะอยู่ด้วยความสุขโดยสมบูรณ์จึงปรึกษาสมคบคิดกับคุณท่านขุนประสงค์ผู้เป็นชู้ แล้วจะได้แต่งงานกันได้อย่างเปิดเผย อยู่อย่างนี้ล่ะขโมยเขากินไม่มีความสุขอย่างสมบูรณ์หญิงก็ร้าย ชายก็เลวที่ปรึกษากันเป็นที่ตกลงแล้ว ขุนประสงค์ซึ่งเป็นนายเเพทย์ ก็จัดยาสติ๊กนิน ซึ่งเป็นยาพิษชนิดร้ายแรงมาให้คุณนายเวียงจัดการ
เย็นวันนี้คุณนายเวียงก็จัดการเอายาพิษใส่ในยาหอมสุคนธ์โอสถตราม้า ซึ่งเป็นยาชูกำลังคุณนายให้ท่านขุนกินอยู่เป็นประจำ
และยังไม่หนำใจเอายาพิษใส่ซุปไก่เป็นอาหารที่ท่านขุนกินทุกวันเมื่อผสมเสร็จแล้วก็นำมาให้ท่านขุน นั่งคุกเข่าด้วยท่าทางเคารพนบน้อมนั่งคอยรับใช้ผัวอยู่

10#
 เจ้าของ| โพสต์ 2015-9-19 17:24 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ท่านขุนรับถ้วยยามาแล้วก็บอกว่าแม่เวียงอยากกินน้ำยาอุทัยให้หามาให้ที คุณนายเวียงก็ออกจากห้องเพื่อมาหาน้ำอุทัย คุณนายพ้นไปแล้วท่านขุนก็เอาเเหวนงาช้างแตะที่แก้วยาสุคนธโอสถตราม้าปรากฏว่าสีเขียวขึ้นจับ ท่านขุนก็เทแก้วยาทิ้งพอดีกับคุณนายเอายาอุทัยมาไห้และถามว่าคุณทานยาแล้วหรือแล้วคุณนายก็นำถ้วยยาเก็บ

คุณนายกระวนกระวายเพราะสิ่งที่คุณนายทำไปนั้นเป็นการฆ่าผัวซึ่งกำลังป่วยอยู่ คุณนายใช้หางตาชำเลืองดูท่านขุน ท่านขุนก็รู้ในเชิงกิริยาของภรรยา แต่ทำเป็นไม่รู้เรื่องหลังจากคุณนายให้ยาสุคนธโอสถ ตราม้า แล้วพอ 8.00น. ถึงเวลารับประทานอาหารคุณนายก็นำซุปไก่มาให้ ท่านขุนเอาเเหวนเเตะสีเขียวก็ขึ้น ท่านขุนก็เสแสร้งขอเกลือป่นเพิ่มเติม คุณนายก็ออกมาเอาเกลือป่นท่านขุนอยู่ทางนี้ เมื่อรู้ว่าซุปมียาพิษก็บอกคุณนายว่าเอาไว้ก่อนวันนี้พะอืดพะอม

ท่านขุนเห็นว่าคุณนายเวียงมีเจตนาฆ่าท่านขุนผู้เป็นผัวเป็นพระพรหมของลูกนึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับลูก ในอนาคตข้างหน้าท่านขุนจะขืนนิ่งเอาไว้เป็นความลับต่อไปคุณนายรู้ว่าวางยาพิษครั้งนี้ไม่ตายต่อไปก็จะต้องหาวิธีไม่คาดคิด

ดังนั้นแล้วก็เรียกให้ลูกมาหาให้ลูก ไปหานายแพทย์ชื่อขุนบุญ ศิริเวทย์ ตั้งร้านอยู่ที่นางเลิ้งและให้ไปแจ้งความกับ ร.ต.อ.ขุนอินทร์
พยอมลูกสาวก็ไปตามขุนบุญ และแจ้งความตามที่พ่อต้องการเมื่อตำรวจรับขุนบุญมาแล้ว ท่านขุนก็บอกว่าคุณนายเวียงวางยาพิษให้ตำรวจจับตัวไปและหม้อซุปไก่ และยาสุคนธโอสถในกระโถนให้นายแพทย์ขุนบุญไปพิสูจน์

ขุนบุญได้พิสูจน์สิ่งของทั้งสองอย่างพบยาพิษชนิดร้ายแรงถ้ากินเข้าไปก็จะถึงซึ่งความตาย ทางฝ่ายคุณนายเวียงถูกตำรวจสอบสวนตำรวจบอกว่าให้รับสารภาพ โทษจะได้ลดน้อยลงถ้าไม่ให้ความจริงโทษจะประหารชีวิต คุณเวียงให้การรับสารภาพว่า สมคบคิดฆ่าผัวกับท่านขุนประสงค์ โดยนำยาพิษเอามาให้

ตำรวจเข้าจับกุมประสงค์มาสอบสวนขุนประสงค์ก็รับสารภาพทางฝ่ายตำรวจได้หลักฐานพร้อมแล้วจึงนำตัวจำเลยทั้งสองมาขังที่สถานีตำรวจนางเลิ้งและสอบปากคำหลักฐานพยานคือคำให้การของท่านขุนและของพยอมลูกสาวเสร็จสิ้นแล้วส่งเรื่องไปให้ทนายประจำแผ่นดินดำเนินการ

ทางฝ่ายทนายประจำแผ่นดินได้นำเรื่องราวมาเรียบเรียงยื่นฟ้องต่อศาลเพื่อให้ศาลพิพากษาลงโทษตามกฎหมาย ศาลประทับรับฟ้องคดีนี้โจทก์ฟ้องว่าจำเลยทั้งสองได้ทำผิดกฎหมายด้วยสมคบการใช้ยาสติ๊กนิน ลอบปนอาหารให้ท่านขุนป่วงชนผู้เป็นโจทก์ท่านขุนปวงชนรู้ได้เพราะสวมแหวนงาช้างเจริญ จึงได้นำความมาแจ้งกับร.ต.อ.ขุนอินทร์ ตำรวจสอบสวนจำเลยรับสารภาพตลอดข้อหา
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ลงชื่อเข้าใช้ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้