ตั้งให้เราเป็นเว็บแรกที่คุณเลือก เก็บเราไว้เป็นเว็บโปรด
สมัครสมาชิก ได้มากกว่าที่คุณคิด เข้าสู่ระบบ
ดู: 1735
ตอบกลับ: 4
สั่งพิมพ์ ก่อนหน้า ถัดไป

ความเป็นมาและความเชื่อเรื่องพระธาตุ

[คัดลอกลิงก์]


ความเป็นมาและความเชื่อเรื่องพระธาตุ

(เขียนโดย ส. ศิวรักษ์)











---เมื่ออังกฤษขุดค้นพบอัฏฐิธาตุ ที่กรุงกบิลพัสดุ์ พร้อมจารึก ว่าเป็นพระสารีริกธาตุของพระบรมศาสดา สัมมาสัมพุทธเจ้านั้น พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าปฤษฏางค์ ซึ่งเวลานั้นบวชเป็นพระภิกษุ มีสมณฉายาว่าชินวรวงศ์ ได้เสด็จจากลังกาไปยังกบิลพัสดุ์ ซึ่งอังกฤษเพิ่งค้นพบ แล้วเสด็จไปหาลอร์ด เคอร์ซัน อุปราชอินเดีย แนะนำให้ถวายพระบรมสารีริกธาตุแด่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ด้วยเหตุผลว่าพระเจ้ากรุงสยามเป็นพระองค์เดียวในโลก เวลานั้น  ที่ทรงเป็นพุทธมามกะและทรงอุปถัมภ์บำรุงพระพุทธศาสนา ลอร์ดเคอร์ซันเห็นดี  ว่านี่จะช่วยในทางพระราชไมตรีกับอังกฤษ ซึ่งอนุมัติให้อุปราชอินเดียถวายพระธาตุดังกล่าวกับพระเจ้ากรุงสยาม



---เมื่อรัฐบาลสยามได้รับ สาส์นจากอุปราชอินเดีย ได้มีการอภิปรายกันกับฝ่ายศาสนาจักรด้วย ว่าจะรับพระอัฏฐิธาตุดังกล่าวหรือหาไม่ เพราะไทยเราเชื่อตามลังกามานาน ว่าเมื่อถวายพระเพลิงพระพุทธสรีระแล้ว พระอัฏฐิ (กระดูก) และพระอังคาร (เถ้า) ได้กลายไปเป็นพระบรมสารีริกธาตุ คือแปรสภาพไปเป็นดุจดังรัตนมณี มีขนาดเท่ากับเมล็ดข้าวสารบ้าง เมล็ดข้าวโพดบ้าง หาไม่ก็คล้ายกับก้อนศิลาเล็กๆ ก็นี่อุปราชอินเดียแจ้งว่า ขุดค้นได้อัฏฐิ คือท่อนกระดูก



---ประเด็นที่ต้องอภิปราย กันในเวลานั้น ก็คือจะรับนับถือตามปรัมปราคติจากลัทธิลังกาวงศ์ที่ไทย เชื่อเรื่องพระบรมสารีริกธาตุดังกล่าวอีกต่อไปหรือไม่ ทั้งๆ ที่ความเชื่อที่ว่านี้ฝังอยู่ในวัฒนธรรมไทยมานาน แม้ในพระราชพงศาวดารก็มีข้อความว่า พระนเรศวรเป็นเจ้าทอดพระเนตร เห็นพระบรมสารีริกธาตุ เสด็จมาแผ่พระรัศมีเป็นประกาย ก่อนเสด็จออกไปกระทำยุทธหัตถีกับพระมหาอุปราชเมืองหงสาวดี เป็นต้น

ขออภัย! โพสต์นี้มีไฟล์แนบหรือรูปภาพที่ไม่ได้รับอนุญาตให้คุณเข้าถึง

คุณจำเป็นต้อง ลงชื่อเข้าใช้ เพื่อดาวน์โหลดหรือดูไฟล์แนบนี้ คุณยังไม่มีบัญชีใช่ไหม? ลงทะเบียน

x
2#
 เจ้าของ| โพสต์ 2015-9-5 00:47 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
---ใช่แต่เท่านั้น เมื่อเราสมาทานลัทธิลังกาวงศ์จากสำนักมหาวิหาร แห่งเมืองอนุราธปุระนั้น พระสงฆ์สยามบวชแปลงในสำนักดังกล่าว เวลากลับมาเมืองไทย ได้นำพระธาตุแบบลังกามาด้วย ดังประดิษฐานไว้ในพระบรมธาตุที่เมืองนครศรีธรรมราช แล้วนำมาสร้างเป็นวัดมหาธาตุขึ้นที่กรุงสุโขทัย ซึ่งแบ่งปันพระธาตุไปให้พระเจ้าเชียงใหม่ ดังตำนานกล่าวว่าช้างที่บรรทุกพระธาตุนั้นขึ้นไปจนถึงยอดดอยสุเทพ ดังมีพระธาตุเจดีย์อยู่ที่นั่นตราบมาจนบัดนี้



---ถือกันว่าพระธาตุเป็น พุทธสรีระ จึงใช้คำว่าพระสารีริกธาตุ ทุกราชธานีของไทยย่อมต้องมีวัดมหาธาตุเป็นพระอารามอันสำคัญยิ่ง แม้เมื่อเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบราชาธิปไตยไปเป็นประชาธิปไตยแล้ว อังกฤษก็มอบพระสารีริกธาตุให้มาอีก เพื่อกระชับสัมพันธไมตรีกับรัฐบาลใหม่ ซึ่งให้สร้างวัดใหม่สำหรับประดิษฐานพระธาตุที่ได้มาใหม่ และให้ชื่อว่าวัดพระศรีมหาธาตุ โดยกำหนดไว้ด้วยว่าวัดนี้จะเป็นสถานที่ที่รวมนิกายสงฆ์ของมหานิกายกับธรรมยุ ติกนิกายให้เป็นหนึ่งเดียวกัน ดังพระยาพหลพลพยุหเสนา อดีตนายกรัฐมนตรี  ก็บวชที่วัดนี้ในสงฆ์ทั้งสองนิกาย



---พระธาตุที่ได้มาใหม่ก็ เป็นอัฏฐิธาตุอีกนั่นเอง แล้วความเชื่อเดิมที่ว่าพระธาตุเป็นดังมณีรัตนะหรือเมล็ดกรวดและเมล็ดข้าว นั่นเล่า  ขัดกับหลักวิทยาศาสตร์สมัยใหม่หรือไม่ กระดูกจะกลายไปเป็นดังรัตนมณีได้อย่างไร



---ในสมัยรัชกาลที่ ๕ ถ้าไม่รับพระอัฏฐิธาตุของพระบรมศาสดาตามที่อุปราชอินเดียเสนอมา เกรงกันว่าจะถูกหาว่าป่าเถื่อน ไม่ยอมรับวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ โดยที่มีการขุดค้นทางโบราณคดีที่อังกฤษกระทำมาอย่างได้ผลในอินเดีย จนอาจรู้ได้จากจารึกของพระเจ้าอโศก  ผนวกกับการแปลจดหมายเหตุของหลวงจีนที่เขียนไว้เมื่อไปชมพูทวีป มาประกอบกัน แล้วรู้ได้ว่า กรุงราชคฤห์อยู่ที่ไหน สาวัตถีอยู่ที่ไหน กบิลพัสดุ์อยู่ที่ไหน



---พุทธศาสนิกไทยสมัยใหม่ใน รัชกาลที่ ๕ เชื่อตามผู้รู้อังกฤษกระแสนี้กันยิ่งๆ ขึ้นทุกที ถึงกับถือว่าพระบรมศาสดาทรงเป็นสามัญมนุษย์ โดยที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ ก็ทรงมีพระราชดำริเช่นนี้มาก่อนแล้ว จากการตรวจค้นในพระไตรปิฏก ในขณะที่คนไทยสมัยก่อนแต่นี้ไปเชื่อว่าพระพุทธองค์ทรงพระสถานะเหนือสามัญ มนุษย์ โดยทรงเป็นพระโพธิสัตว์อยู่ในสวรรค์ชั้นดุสิตก่อน แล้วทรงรับอาราธนาลงมาประสูติเป็นมนุษย์ เฉกเช่นพระอดีตพุทธเจ้าได้ทรงบำเพ็ญพุทธกรณียกิจทำนองนี้มาก่อนแล้ว แม้ในภัทรกัลป์นี้เอง ก็มีพระกกุสันโธพุทธเจ้า พระโกนาคมโนพุทธเจ้า พระกัสสโปพุทธเจ้า ซึ่งทรงตรัสรู้และเผยแผ่พระธรรม แล้วเสด็จดับขันธปรินิพพานมา ๓ พระองค์แล้ว และหลังศาสนาของพระสมณโคดมพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันล่วงไปแล้ว ก็จะมีพระศรีอารยเมตไตรยโพธิสัตว์มาตรัสรู้ เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ต่อไป ดังคนไทยแต่ก่อนนับถือพระพุทธเจ้าห้าพระองค์ ก็ตามนัยนี้นั่นเอง


ขออภัย! โพสต์นี้มีไฟล์แนบหรือรูปภาพที่ไม่ได้รับอนุญาตให้คุณเข้าถึง

คุณจำเป็นต้อง ลงชื่อเข้าใช้ เพื่อดาวน์โหลดหรือดูไฟล์แนบนี้ คุณยังไม่มีบัญชีใช่ไหม? ลงทะเบียน

x
3#
 เจ้าของ| โพสต์ 2015-9-5 00:48 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
---ยิ่งถ้านับเลยภัทรกัลป์ ไปด้วยแล้ว เรามีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอีกเป็นอันมาก ดังภาพจิตรกรรมฝาผนังในพระวิหารวัดสุทัศน์ ก็ปรากฎพระรูปและพระนามพระพุทธเจ้าถึง ๒๘ พระองค์ เฉกเช่นที่มีปรากฏอยู่ ณ พระวิหารพระทันตธาตุ (พระเขี้ยวแก้ว) ที่เมืองแคนดี ในศรีลังกา* โดยที่ถ้านับกันจริงๆ แล้ว ก็คงต้องเริ่มที่พระตัณหังกรและพระทีปังกรพุทธเจ้าเอาเลย ดังบทสัมพุทเธ ที่พระมหานิกายสวดสังวัธยายกันนั้น รวมพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไว้ถึง ๒ ล้าน ๔ หมื่น ๗ พัน ๑๐๙ พระองค์ สมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ รับสั่งว่าจำนวนพระพุทธเจ้ามีเท่าจำนวนเม็ดกรวดเม็ดทรายในแม่น้ำพระคงคา โดยอาจกล่าวได้ว่านี่เป็นคติของฝ่ายมหายาน ซึ่งคืบคลานเข้ามามีอิทธิพลกับคณะสงฆ์สยาม ดังพระบรมสารีริกธาตุนั้นเอง อักนัยหนึ่งพระบรมสารีริกธาตุที่เท่ากับเม็ดกรวดก็มี



---คตินี้ สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ทรงกล่าวหาว่าเหลวไหล ดังทรงรจนาบท โย จักขุมา ขึ้นแทน เพื่อสรรเสริญคุณพระศากยมุนี สมณโคดมพระพุทธเจ้าเพียงพระองค์เดียว แล้วโปรดให้พระธรรมยุติสวดบทนี้แทนบทสัมพุทเธ แล้วภายหลังพระมหานิกายแปลง ก็พลอยสวดตามไปด้วย



---ว่าถึงการจะรับพระอัฏฐิธาตุ ว่าเป็นพระบรมสารีริกธาตุหรือหาไม่นั้น ต้องตราไว้ว่า สารีริกธาตุในที่นี้ มาจากพระธาตุ ที่เป็นพระพุทธสรีระ (คือร่างกายของพระพุทธเจ้านั้นเอง) ถ้าเชื่อตามนักวิทยาศาตร์ฝรั่ง และการขุดค้นโบราณคดีในเวลานั้น ก็หมายความว่าความเชื่อเรื่องพระบรมสารีริกธาตุแต่เดิมๆ มาเป็นเรื่องเหลวไหลไร้สาระ ดุจบทสวดสัมพุทเธนั้นเอง สมเด็จพระมหาสมณเจ้าทรงอยู่ฝ่ายนี้ แต่เพื่อความแน่ใจ ควรส่งใครไปตรวจดูพระธาตุที่ขุดค้นได้ใหม่เสียให้ชัดเจนก่อน แม้อุปราชอินเดียจะส่งคำจารึกที่คัดลอกมาให้อ่านกันแล้วก็ตาม



---สมเด็จพระมหาสมณะรับสั่ง ว่าอยากเสด็จไปเอง แต่เกรงว่าจะเป็นเรื่องใหญ่โตเกินไป ทรงเสนอให้สมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระยานริศฯ เสด็จไปแทนพระองค์ เพราะทรงสนพระทัยทางโบราณคดีและมีพระปัญญาแหลมคม อาจตัดสินได้ว่าเราจะถูกฝรั่งหลอกหรือไม่ แต่พระองค์ท่านไม่ทรงทราบภาษาอังกฤษ ทั้งยังเป็นเจ้านายใหญ่โตอีกด้วย ตกลงเป็นอันส่งเจ้าพระยายมราช (แต่เมื่อยังเป็นพระยาสุขุมนัยวินิต) ไปแทน เพราะเคยบวชเรียนเป็นเปรียญมาแล้ว และรู้ภาษาอังกฤษ



---สรุปได้ว่ารัฐบาลสยาม ยินดีรับพระอัฏฐิธาตุที่ฝรั่งขุดค้นขึ้นได้ที่กรุงกบิลพัสดุ์ โดยนำมาประดิษฐานไว้ในพระเจดีย์ที่ยอดบรมบรรพต (ภูเขาทอง) วัดสระเกศ เป็นเหตุให้แพร่พระบรมกฤษฏาภินิหารไปยังประเทศที่ถือพุทธต่างๆ อย่างมากมาย ดังประเทศนั้นๆ ส่งทูตมาขอส่วนแบ่งพระบรมธาตุไปยังหลายประเทศ



---ทั้งนี้ มิได้หมายความว่าไทยเราเลิกนับถือพระบรมสารีริกธาตุ ดังที่เคยประพฤติปฏิบัติกันมาแต่ก่อน ทั้งๆ ที่พวกพุทธศาสนิกหัวก้าวหน้าในเวลานั้น จะไม่เห็นคุณค่าของความเชื่อเดิม แม้จนไม่เห็นคุณค่าในเรื่องพระอดีตพุทธเจ้า โดยหันมาเน้นที่พระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน ที่อาจยืนยันหลักฐานทางประวัติศาสตร์และโบราณคดีได้ว่าประสูติที่ไหน ตรัสรู้ที่ไหน นิพพานที่ไหน



---ดังได้กล่าวแล้วว่านัก โบราณคดีฝรั่งอาศัยจารึกอโศกกับบันทึกการเดินทางของหลวงจีน โดยเฉพาะก็พระฟาเหียนและพระถังซำจั๋ง แต่ฝรั่งมุ่งเพียงพระพุทธเจ้าร่วมสมัย เมื่อราวๆ ๒๕๐๐ ปีล่วงแล้วมานี้เท่านั้น ทั้งๆ ที่ศิลาจารึกของพระเจ้าอโศกและบันทึกของหลวงจีน เอ่ยถึงพระอดีตพุทธเจ้าด้วย เช่นว่าพระธาตุของพระกัสสโปพุทธเจ้าอยู่ตรงไหน นักโบราณคดีฝรั่งก็ไม่ขุดค้นที่ตรงนั้น  เพราะถือว่าเรื่องของพระอดีตพุทธเจ้าเป็นเพียงความเชื่อ ไม่ใช่ความเป็นจริงทางประวัติศาสตร์

ขออภัย! โพสต์นี้มีไฟล์แนบหรือรูปภาพที่ไม่ได้รับอนุญาตให้คุณเข้าถึง

คุณจำเป็นต้อง ลงชื่อเข้าใช้ เพื่อดาวน์โหลดหรือดูไฟล์แนบนี้ คุณยังไม่มีบัญชีใช่ไหม? ลงทะเบียน

x
4#
 เจ้าของ| โพสต์ 2015-9-5 00:49 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้



---พร้อมกันนั้น พระบรมสารีริกธาตุ อย่างที่เราเคยนับถือมาแต่ไหนแต่ไร  ที่มีขนาดเท่าเมล็ดข้าวสาร เมล็ดข้าวโพดนั้น ก็มีผู้ยืนยันว่าเป็นพระธาตุของพระกัสสโปพุทธเจ้าด้วย ซึ่งยังปรากฎอยู่จนทุกวันนี้



---พร้อมกันนี้ ก็ปรากฎว่าพระธาตุที่เป็นของพระสารีบุตรก็มี ของพระอานนท์ก็มี และนี่ก็ยังมีปรากฏอยู่จนทุกวันนี้เช่นกัน



---นอกไปจากนี้แล้ว พระธาตุดังกล่าวยังปลาสนาการไปได้ พร้อมๆ กับเพิ่มปริมาณขึ้นได้อีกด้วย ความจริงข้อนี้ ก็ประจักษ์แจ้งอยู่กับคนไทยเป็นอันมาก ดังพวกพระป่าททางบ้านเรานั้น ศิษย์หายืนยันกันว่าเมื่อครูบาอาจารย์ที่สำเร็จมรรคผลแล้วนั้น หลังปลงศพท่านแล้ว อัฏฐิธาตุของท่านย่อมกลายเป็นพระธาตุ ดุจดังรัตนมณีนั้นแล



---เมื่อนายอนันต์ เสนาขันธ์บวชอยู่นั้น ก็สามารถเชิญเสด็จพระธาตุ ดังกล่าว  มาแจกใครต่อใครได้ทีละมิใช่น้อย ไม่มีใครสงสัยว่านั่นเป็นของปลอม ผิดกับกรณีของหลวงตายี ที่แสดงพระธาตุและอื่นๆ หลอกลวง นายปิ่น มุทุกัณฑ์ อธิบดีกรมการศาสนามาแล้ว ทั้งนายปิ่นยังพ่วงเอาอาจารย์สัญญา ธรรมศักดิ์  ไปถูกหลวงตายีหลอกเข้าอีกคนหนึ่งจนได้



---สำหรับพระทันตธาตุ ที่เมืองแคนดี ราชธานีเดิมของศรีลังกานั้น พุทธศาสนิกที่นั่นเชื่อกันว่าเป็นพระเขี้ยวแก้วที่แท้ของพระสมณโคดมสัมมา สัมพุทธเจ้า ดังที่เชื่อกันว่าพระพุทธองค์ทรงเหาะไปเกาะลังกาถึง ๓ ครั้ง ดังประดิษฐานรอยพระพุทธบาทไว้บนยอดเขาแห่งหนึ่ง (ซึ่งฝรั่งเรียกว่า Adam's Peak และฮินดูว่านั่นคือวิษณุบาท) เพื่อฝากพระศาสนาไว้ที่ลังกาทวีป โดยทรงมีพุทธพยากรณ์ว่าพระศาสนาจะปลาสนาการไปจากชมพูทวีป แม้จนบัดนี้ พระลังกาส่วนใหญ่ก็ยังถือว่าลังกาทวีปศักดิ์สิทธิ์ จนบางพวกถึงกับลงมติให้ขับพวกทมิฬที่ไม่ถือพุทธให้หมดไปจากประเทศนั้นเอาเลย ดังเกิดปัญหาความขัดแย้งของชนชาติทั้งสองนี้อยู่จนบัดนี้



---เมื่อโปรตุเกสไปยึดครอง ลังกาได้ก่อนพวกวิลันดาและอังกฤษนั้น ได้อ้างว่าพวกตนได้ทำลายพระทันตธาตุลงแล้ว จนป่นให้ละเอียดไปเอาเลย และฝรั่งเขียนไว้ด้วยว่า พระทันตธาตุที่พวกสิงหฬอ้างว่าเป็นของจริงนั้น แท้ที่จริงคือของปลอม เอาเขี้ยวสัตว์มาใช้แทนต่างหาก



---พระบาทสมเด็จพระจุล จอมเกล้าฯ ทรงเชื่อฝรั่ง  เมื่อเสด็จเมืองแคนดี จึงไปทรงแผลงฤทธิ์ที่วิหารพระทันตธาตุ  อย่างน้อยก็ให้ฝรั่งในเวลานั้นเห็นว่าไม่ทรงเชื่อถืออะไรง่ายๆ หรืออย่างไม่งมงายนั่นเอง



---ฝรั่งที่อยู่ในอินเดีย ร่วมสมัยกับการขุดค้นพบพระอัฏฐิธาตุของพระพุทธเจ้าในสมัยรัชกาลที่ ๕ ก็เล่าว่าเขาเอาเขี้ยวสุกรไปหลอกขายพระพม่า ว่าเป็นพระเขี้ยวแก้วของพระพุทธเจ้าและก็ได้ราคาดี



---ความข้อนี้ ทำให้ต้องย้อนไปนึกถึงเรื่องเล่าทางธิเบต ความว่าชาวธิเบตคนหนึ่งเดินทางไปค้าขายยังอินเดีย (ก่อนจีนคอมมูนิสต์บุกธิเบต) แม่รู้เข้าจึงบอกว่าให้ไปหาพระบรมสารีริกธาตุมาฝากแม่ด้วย หมอนั่นเสร็จธุรกิจแล้ว เดินทางกลับบ้าน นึกถึงคำของแม่ได้ เมื่อออกมานอกอินเดียแล้ว กลัวว่าแม่จะเสียใจ ไปเจอสุนัขนอนตายข้างทางเข้าตัวหนึ่ง จึงงัดเอาฟันสุนัขมาซี่หนึ่ง แล้วไปมอบให้แม่ บอกว่านั่นคือพระทันตธาตุ แม่ดีใจมาก  กราบไหว้ บูชาด้วยความเคารพเลื่อมใสทุกวันคืน อีกไม่นาน พระทันตธาตุที่ว่านั้นกลายไปเป็นพระบรมสารีริกธาตุ ดุจดังรัตนมณี ที่ผู้คนกราบไหว้กันทั่วไป ทั้งทางเมืองไทย เมืองลาว เมืองพม่า ลังกาและเขมร

5#
 เจ้าของ| โพสต์ 2015-9-5 00:50 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
*นิทานเรื่องนี้ สอนว่าอย่างไร ก็ขอให้สรุปกันเอาเอง



---ข้าพเจ้าเองนั้น เคยไปสอนหนังสือที่มหาวิทยาลัยคาลิฟอเนีย เมืองเบอร์กเล่ย์ ในสหรัฐ ศาสตราจารย์หลุย แลงคาสเตอร์ สอนพุทธศาสนาฝ่ายมหายานที่นั่น โดยเขาเชี่ยวชาญทางด้านจีนนิกายเป็นพิเศษ  เขาบอกข้าพเจ้าว่า การทำสมาธิภาวนานั้น ถ้าเลือกที่ที่มีพระบรมสารีริกธาตุ จะได้นิมิตเร็ว ดังเขาบอกว่าพวกพม่าจึงชอบไปภาวนาบนลานพระเจดีย์ชเวดากอง เพราะที่นั่นบรรจุพระบรมสาริกธาตุไว้มาก



---แลงคาสเตอร์บอกข้าพเจ้า ว่า เขาเคยชวนเพื่อนพม่ามากรุงเทพฯ และหมอนั่นชอบภาวนาในหอสมุดแห่งชาติ (หลังใหม่) ในห้องเก็บคัมภีร์เก่าๆ แล้วได้นิมิต ยังกับภาวนาที่พระเจดีย์ในเมืองพม่า ทั้งๆ ที่หอสมุดแห่งชาติไม่น่าจะมีพระบรมสารีริกธาตุ ข้าพเจ้าบอกเขาว่ามีพระบรมสารีริกธาตุอยู่ในอาคารหลังนี้ เขาก็เลยโล่งใจ



---เขาว่าพระธาตุต้องมีความ ศักดิ์สิทธิ์มหัศจรรย์แน่ๆ แต่ถ้านำไปใช้ในทางที่ผิด ก็เป็นไสยเวทวิทยา หรือกลายเป็นการค้าไป เขาบอกว่าในสมัยกลางของยุโรป (Middle Ages) คริสตศาสนิกก็เคารพนับถือพระธาตุกันมาก แม้จนหาเศษส่วนของไม้กางเขน ที่อ้างว่ามาจากอันที่ตรึงพระเยซู รวมถึงผ้าที่ปิดพระพักตร์ตอนสิ้นพระชนม์ชีพ พวกนักบุญที่ตายแล้วไม่เน่าเอย แม้จนเศษจากสรีระของท่านนั้นๆ ก็ถือกันว่าเป็นพระธาตุอันศักดิ์สิทธิ์ ใช้ป้องกันภยันตราย ใช้ไล่ผีปีศาจ แม้จนอาจอำนวยโชคลาภให้อีกด้วย



---บาทหลวงคาทอลิกใช้พระ ธาตุของฝ่ายคริสต์เกินเลยไป จนมอมเมาผู้คน เมื่อเกิดนิกายโปรเตสแตนท์ขึ้น พวกใหม่นี้จึงปฏิเสธพระธาตุทั้งหมด แม้จนปฏิเสธรูปเคารพ ถึงบางกิ่งนิกายปฏิเสธไม้กางเขนเอาเลยทีเดียว รูปเคารพที่มีอยู่ ก็ตัดเศียรออกมากมาย โดยเฉพาะก็ในสมัยที่ครอมแวลเรืองอำนาจอยู่ที่อังกฤษ หลังจากตัดพระเศียรกษัตริย์ราชวงศ์สจ๊วตไปได้แล้ว



---ไทยเราเอง พุทธศาสนิกที่ตั้งตัวเป็นคนหัวสมัยใหม่ ออกจะคล้ายไปทางโปรเตสแตนท์ ดังในลังกาก็มีคำว่า Protestant Buddhism ปรากฎอยู่  ว่ามีต้นตอที่มาจากอนาคาริกธรรมปาละ ผู้ต้องการฟื้นฟูพุทธศาสนาให้ไปพ้นไสยเวทวิทยา และสินธูธรรม ซึ่งปนเปเข้ามากับพุทธธรรม



---สำหรับคนไทยทั่วๆ ไป ดูจะหันไปหาพระบรมสารีริกธาตุกันมาก ทั้งๆ ที่ในเมืองไทยเองก็มีอยู่มิใช่น้อยแล้ว ยังเชิญมาจากลังกาเอย จากจีนเอย จนออกจะเป็นพุทธพาณิชย์ เฉกเช่นการปลุกเสกวัตถุมงคลต่างๆ นั้นแล ยิ่งปราศจากสติ ปราศจากปัญญาเท่าไร หายนภัยจะมีกับพระพุทธศาสนาเท่านั้น เพราะการมอมเมา ไม่เป็นบ่อเกิดแห่งปัญญา ซึ่งจะนำเวไนยสัตว์ให้ไปพ้นความโลภ โกรธ หลงเสียได้ โดยที่ประเพณีและพิธีกรรมพวกนี้มีมิจฉาทิฏฐิเป็นปัจจัยหลัก นั่นคือ ต้นทางของความโลภ และเจ้ากูที่ใช้โลภจริตสะกดคน ก็มักชอบลาภ ยศ และชอบอิงกับผู้มีอำนาจ นั่นคือตัวโทสจริต และทั้งหมดนั้นคือความหลงหรือโมหจริตนั่นเอง กล่าวคืออกุศลมูลทั้งสามรวมอยู่กับความเชื่อที่ผิดแท้ทีเดียว แต่การเชื่อที่ถูก ไม่จำต้องปฏิเสธพระสารีริกธาตุ หรือพระพุทธรูป หากให้รู้เท่าทันว่านั่นเป็นเพียงสัญลักษณ์  เป็นเพียงพาหะ  ให้เข้าถึงพุทธะคือความตื่นจากอกุศลมูลทั้งสามนั้นก็ได้ และก็อาจเป็นภูเขาขวางกั้นไม่ให้เข้าถึงพุทธธรรมก็ได้



---ฝรั่งเองเมื่อแรกมาถือ พุทธ ก็ปฏิเสธรหัสยนัยต่างๆ ที่ไม่อาจพิสูจน์ได้ตามทางของวิทยาศาสตร์ นางริคส์ เดวิดส์ ผู้ร่วมก่อตั้งสมาคมบาลีปกรณ์ มากับสามีแต่ปี ค.ศ. ๑๘๘๑ โดยเธอเองก็สอนภาษาบาลีที่มหาวิทยาลัยของอังกฤษด้วย ถึงกับเขียนพุทธประวัติให้พระพุทธเจ้าเป็นเพียงสามัญมนุษย์ (Gotama The Man) ทั้งๆ ที่พระพุทธองค์ทรงเป็นสามัญมนุษย์ด้วย และทรงเป็นอะไรๆ ที่เกินกว่าสามัญมนุษย์ จนไม่อาจอธิบายได้ตามแนวทางของตรรกอีกด้วย ถึงกับบางทีใช้คำว่าทรงเป็นเทวาทิเทพเอาเลยก็มี



---ฝรั่งร่วมสมัยบางคนก็ยืนยันว่า คนเราอาจถือพุทธได้ โดยไม่จำต้องมีความเชื่อ ดังเรื่อง พุทธพ้นลัทธิ ของ สตีเฟ่น แบชเลอร์เป็นตัวอย่าง พร้อมกันนั้นก็มีฝรั่งร่วมสมัยหลายคนเชื่ออย่างสนิทในเรื่องการกลับชาติมา เกิดและเรื่องพระบรมสารีริกธาตุ Vicki Mackenzie เป็นคนหนึ่ง ซึ่งเขียนเรื่อง Reincarnation: The Boy Lama (เข้าใจว่ามีแปลเป็นไทยแล้ว) เธอรู้จักท่านลามะก่อนท่านมรณภาพ และเชื่อกันว่าท่านกลับมาเกิดเป็นเด็กสเปน  เธอตามไปพบเด็กดังกล่าว และเธอเชื่อได้ทันทีเลยว่าเด็กคนนั้นคือท่านลามะกลับชาติมาเกิดจริงๆ ดังเธอเขียนเล่าเรื่อง The Mystery of Buddhist Relics ตีพิมพ์อยู่ใน Tricycle: The Buddhist Review (Spring 2007) อย่างน่าสนใจยิ่งเช่นกัน



---บทความชิ้นนี้ วิกกี้เล่าถึงลามะธิเบตอีกรูปหนึ่ง ซึ่งเธอคุ้นเคยและดูท่านออกจะเป็นพระสมถะอย่างธรรมดาๆ  หากความเป็นพระที่แท้ของท่านนั้น ปรากฎว่าเมื่อเผาศพท่าน มีพระธาตุปรากฎออกมามากมาย เลือดก็เป็นพระธาตุอย่างหนึ่ง กระดูกก็เป็นพระธาตุอย่างหนึ่ง ผมอันขาวโพลนของท่านก็เป็นพระธาตุอีกอย่างหนึ่ง



---ไทยเราเองก็มี เช่นว่าอัฏฐิของพระป่า สายพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต ได้กลายเป็นพระธาตุไปก็หลายองค์ บางองค์ยังมีชีวิตอยู่และประกาศตนว่าเป็นพระอรหันต์แล้วด้วย โดยที่เมื่อไปฉายเอ็กซเรย์ดูนั้น ก็ปรากฏว่ากระดูกของท่านเป็นพระธาตุไปก่อนถึงแก่มรณภาพเอาเลยด้วยซ้ำ



---แปลกตรงที่พระอาจารย์จาม มหาปุญฺโญ ซึ่งมีชาตกาลแต่ พ.ศ. ๒๔๕๓ และบิดามารดาถวายให้เป็นลูกศิษย์พระอาจารย์มั่นแต่ในวัยเด็กแล้วบวชเรียนใน สำนักนั้น มาจนบัดนี้  มีอายุอยู่ได้ ๙๗ ปีแล้ว (พรรษา ๗๗) หากท่านสั่งไว้ชัดเจนว่า "ตายแล้ว ให้เผาในระยะเวลาอันควรทันที อย่าเก็บศพเอาไว้นาน กระดูกขี้เถ้าให้ขุดหลุมฝังเสีย หรือจะเอาไปหว่านลงแม่น้ำโขงก็ได้"[๑] ฟังดูก็คล้ายปณิธานท่านอาจารย์พุทธทาส อินทปัญโญ แห่งสวนโมกขพลาราม ไชยา ที่แปลกก็คือ ณ สำนักของท่านพระอาจารย์จามรูปนี้ ที่วัดป่าวิเวกวัฒนาราม บ้านห้วยทราย อำเภอคำชะอี จังหวัดมุกดาหาร กลับมีพระธาตุมิใช่น้อย โดยพระธาตุเสด็จมาเพิ่มปริมาณอยู่เรื่อยๆ อีกด้วย



*ในปี ๒๕๔๒ น้ำหนักของพระธาตุที่วัดป่าวิเวกฯ ชั่งแห้งก่อนอัญเชิญสรงน้ำ มีสถิติดังนี้



๑)พระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้า          ๑๓.๖๕  ก.ก.



๒)พระธาตุของพระอรหันตสาวก          ๑.๐๐     ก.ก.



๓)พระธาตุพระสิวลี          ๐.๓๕     ก.ก.



๔)พระธาตุพระอุปคุต          ๐.๓๕     ก.ก.[๒]



---ชาวพุทธลังกานับถือพระสิวลียิ่งนัก เฉกเช่นชาวพุทธมอญ พม่า ก็นับถือพระอุปคุต* ยิ่งนักคล้ายๆ กัน ที่เล่ามาทั้งหมดนี้ เพียงเพื่อให้ประกอบการพิจารณา  ลงพิมพ์ใน แสงพระธรรม ปีที่ ๑ ฉบับที่ ๒ มิถุนายน - สิงหาคม ๒๕๕๐ หน้า ๔๓-๕๒



---ข้าพเจ้าไปลังกาครั้งล่าสุดเมื่อต้น พ.ศ. ๒๕๕๐  วันที่ ๑ มีนาคม ได้ไปไหว้โพธิพฤกษ์ ที่เมืองอนุราธปุระ คือต้นที่พระอรหันตเถรี สังฆมิตตา ราชธิดาพระเจ้าอโศก ตอนกิ่งมาจากต้นพระศรีมหาโพธิเดิมที่พุทธคยา พอไหว้ต้นโพธิ์แล้วพระลังกาพาไปเดินปทักษิณรอบพระสถูปใกล้ ๆ กันนั้น และพระเถระเหล่านั้นพากันเจริญพระปริตให้พวกเราชาวไทยที่ไปด้วยกัน ท่านสวดภาษาบาลีเอ่ยพระนามพระพุทธเจ้าทั้ง ๒๘ พระองค์ ก่อนขึ้นบทมหากรุณานิโก ซึ่งพวกเราชาวไทยรู้จักดี คือขอพระมหากรุณาคุณของพระพุทธเจ้าทั้ง ๒๘ พระองค์ให้ทรงคุ้มครองพวกเรา นับว่าน่าจับใจยิ่งนัก.


.......................................................................................


[๑]จาก ธรรมประวัติของหลวงปู่จาม มหาปุญฺโญ ผู้มากมีบารมี โดยคณะศิษยานุศิษย์ พ.ศ. ๒๕๕๐ หน้า ๕๘๐

[๒] จาก ธรรมประวัติของหลวงปู่จาม มหาปุญฺโญ ผู้มากมีบารมี โดยคณะศิษยานุศิษย์ พ.ศ. ๒๕๕๐ หน้า ๗๐๖

ขอขอบคุณแหล่งข้อมูล

รวบรวมโดย...แสงธรรม

ที่มา http://www.watkaokrailas.com/

ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ลงชื่อเข้าใช้ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้