ตั้งให้เราเป็นเว็บแรกที่คุณเลือก เก็บเราไว้เป็นเว็บโปรด
สมัครสมาชิก ได้มากกว่าที่คุณคิด เข้าสู่ระบบ
ดู: 20057
ตอบกลับ: 43
สั่งพิมพ์ ก่อนหน้า ถัดไป

อานุภาพพระแสงศรกำลังราม

[คัดลอกลิงก์]
อานุภาพพระแสงศรกำลังราม






มีหนังสือเล่มหนึ่ง ชื่อ  Arrow Of The Blue-Skinned God โดยนาย Jonah Blank ที่ได้พูดถึงองค์พระราม จากมหากาพย์รามายณะ หรือรามเกียรติ์ โดยหนังสือดังกล่าว ได้พูดถึงศรขององค์พระราม ที่มีอานุภาพอันยิ่งใหญ่ ที่สามารถทำลายทุกสิ่งทุกอย่างให้ย่อยยับไป ถ้าศรขององค์พระรามตกลงไปในมหาสมุทร หรือตกลงบนพื้นพิภพ ก็จักทำให้น้ำในมหาสมุทรหรือพื้นพิภพต้องพบกับความหายนะที่สุด ศรขององค์พระราม จึงเป็นอาวุธทำลายล้างที่อาวุธอื่นๆ บนจักรวาลนี้ ก็ไม่สามารถต่อกรได้ และผู้ที่สามารถแผลงศรดังกล่าวได้ก็มีแต่องค์พระราม

ศรขององค์พระราม ยังมีน้ำหนักเหลือคณา ที่ไม่มีผู้ใดสามารถยกศรขึ้นจากแท่นวางได้ ก็มีแต่องค์พระรามเท่านั้น ที่สามารถจะยกศรดังกล่าวขึ้นจากแท่นวาง และองค์พระรามก็สามารถนำศรดังกล่าว ถือติดมือไปกับพระองค์ได้ และถ้าศรดังกล่าว ได้ถูกไปวางทับกับผู้ใด หรือศรได้ถูกยิงไปตกกับผู้ใด ผู้ที่ถูกศรหรือถูกยิงปักเข้าไปที่ตัวหรือหัวใจของผู้ใดแล้ว ผู้ที่ถูกยิงผู้นั้น ก็ไม่สามารถที่จะดึงศรดังกล่าวให้ออกจากตัวเขาได้ ผู้ที่จะดึงศรดังกล่าว ออกจากผู้ที่ถูกยิงได้นั้นก็คือองค์พระรามแต่องค์เดียว




ศรของพระราม จึงกลายเป็นอาวุธที่ทรงอานุภาพที่สุด





ที่ไม่เพียงแต่มีความสามารถในการทำลายล้างฝ่ายตรงข้ามได้แล้ว แต่ยังสามารถทำการสะกดจิตวิญญาณของเหล่ามนุษยชาติทั้งมวลได้ นาย Jonah Blank ได้มองว่า..


สังคมวรรณะของอินเดีย ที่แบ่งคนเป็นวรรณะพราหมณ์ วรรณะกษัตริย์ วรรณะแพทย์ วรรณะศูทร และวรรณะจัณฑาล ให้แยกออกจากกันอย่างชัดเจน โดยไม่ขัดแย้งกัน ก็มาจากการที่ศรขององค์พระราม ได้เข้าไปกำกับวิถีชีวิตของมนุษย์เหล่านั้น ตามวรรณะต่างๆที่พวกเขาได้ถูกกำหนดไว้แล้ว โดยเฉพาะวรรณะอย่างวรรณะจัณฑาล ก็ย่อมไม่สามารถที่จะย้ายวรรณะตนเองได้




เพราะ 'ศรของพระราม' ได้ยิงเข้าไปทับหัวใจของพวกเขาแล้ว


อานุภาพและความแข็งแกร่งของศรพระรามนั้น


ไม่มีใครที่จะสามารถไปดึงให้ออก


มาจากอกหรือจากหัวใจของมนุษย์ที่ต้องศรได้?




http://baanjompra.com/webboard/thread-8170-1-1.html







พระแสงศรกำลังรามเป็นศรโบราณเครื่องสัมฤทธิ์ฝีมือประณีต


หลวงพ่อรุ่งเจ้าอาวาสวัดหนองสีนวล อำเภอตาคลี จังหวัดนครสวรรค์ พบศรนี้บนไหล่เขาชอนเดื่อ อำเภอตาคลี จังหวัดนครสวรรค์

และได้นำถวายพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ทรงประกอบพิธีอัญเชิญเป็นพระแสงอัษฎาวุธประจำองค์ และทรงพระราชทานนามศรนี้ว่า “พระแสงศรกำลังราม” พระแสงศรกำลังรามมีลักษณะ หัวคันศรเป็นรูปนาคราช ๓ เศียร และหางคันศรเป็นหางนาคราชทำด้วยสัมฤทธิ์ คันศรทำด้วยเหล็กหุ้มด้วยสัมฤทธิ์ สายคันศรทำด้วยเหล็ก คันศรยาว ๘๑ เซนติเมตร หัวลูกศรเป็นรูปวชิระ ลูกศร ยาว ๑๑.๔ เซนติเมตร

จากหนังสือ ของม.จ.หญิงพูลพิศสมัยดิศกุล

" เมื่อวันที่ 13 เดือน มกราคม ร.ศ.129(พ.ศ.2456) พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 6) เสด็จไปสมโภชน์พระราชมนเฑียรที่พระที่นั่งสนามจันทร์ ราษฎรขุดได้แผ่นสัมฤทธิ์รูปกระบี่ 1 รูป ครุฑ 1 รูป เป็นคู่กัน เป็นของใช้เป็นเครื่องประดับในงานพิธีต่างๆ

     พระบาสมเด็จพระปรเมนทรมหาวชิราวุธมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว จำเดิมแต่ได้พระบรมราชาภิเษก แล้วมีพระภิกษุน้อมนำโบราณ ทำด้วยฝีมืออันวิจิตรยิ่งนักมาถวาย เพิ่มพูลพระบารมีในปีต้นแห่งรัชสมัยคือแผ่นสัมฤทธิ์ รูปพระกระบี่ธุชพระครุฑพ่าห์ เป็นของโบราณครั้งพระปฐมเจดีย์เป็นพระนครราชธานี ซึ่งพระ กลั่น เจ้าอธิการวัดพระประโทน พระสุนทรบุรีศรีพิไชยสงคราม (ชม) ข้าหลวงเทศาภิบาลสำเร็จราชการ มณฑลนครไชยศรี เป็นผู้นำทูลเกล้าถวายเวลาเสด็จพระราชดำเนินพระปฐมเจดีย์ ในงานเฉลิมพระราช มณเฑียรที่พระราชวังสนามจันทร์ และสมโภชน์พระปฐมเจดีย์ ณ วันที่ 13 มกราคม รัตนโกสินทร์ศก 129 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้สมเด็จพระบรมวงศ์เธอกรมหลวงนริศรานุวัติวงศ์ ทรงคิดเครื่องประกอบเป็นธงพระกระบี่พระครุฑพ่าห์น้อยขึ้น พระอนุรักษ์ราชมณเฑียร (หม่อมราชวงศ์ปุ้ม) เป็นผู้จัดทำ แล้วทันงานราชพิธีสัมพัจฉรฉินท์ ในวันที่ 25 มีนาคม รัตนโกสินทร์ศก 129 ซึ่งเป็นวันตั้งน้ำวงด้ายเริ่ม การพระราชพิธีโปรดเกล้า ฯ ให้ตั้งราวไว้ข้างพระแท่นมณฑลสำหรับจะได้เชิญขึ้นผูกเสาพระแท่นมณฑล เข้าราชพิธีต่อไป พร้อมกับพระฤกษ์จุดเทียนชัยครั้นรุ่งขึ้น วันที่ 26 มีนาคม เวลาเช้าพระฤกษ์จุดเทียนไชยประจำธงกษัตริย์แต่โบราณ พระยาสุนทรบุรีข้าหลวงเทศาภิบาลนำขึ้นทูลเกล้าถวายและมีประกาศอยู่ในราชกิจนุเบกษาเล่ม 28 หน้า 37 วันที่ 9 เมษายน ร.ศ.130 ดังนี้ "การพิธีและเครื่องหมายในพิธีที่สวัสดีมงคลย่อมเป็นที่นิยมอยู่ด้วยกันทั่วโลก ตั้งแต่สมัยดึกดำบรรพ์ ตลอดมาจนกาลปัจจุบันนี้ อันในทวีปตะวันออก เช่น ประเทศสยาม ซึ่งเคยนับถือศาสนาพราหมณ์มาก่อน เดิมย่อมนิยมว่า พระเจ้า แผ่นดินเป็นพระนารายณ์อวตารมาโปรดสัตว์ในโลก มีเรื่องรามาวตาร เป็นต้น พระเจ้าแผ่นดินจึงทรงพระนามว่าพระรามาธิบดี ตั้งแต่โบราณกษัตริย์เนื่องมาถึงกรุงรัตน-โกสินทร์นี้ คงมีพระนามาภิไธยเป็นพระรามาธิบดีสืบมา การถวายพระนามเป็นพิเศษย่อมเกิดจากพระคุณสมบัติส่วนพระองค์พระเจ้าแผ่นดิน หรือเนื่องมาทางพระพุทธศาสนาไม่ได้ห้ามการนับถือพระมหากษัตริย์เป็นพระนารายณ์อวตาร จึงดำรงอยู่ในความนิยมแห่งประชาชน ส่วนพระนารายณ์นั้น พราหมณ์นิยมว่ามีพระยาครุฑเป็นพาหนะ กระบี่เป็นบริวาร จึงเป็นราชประเพณีนิยมมาแต่โบ-ราณกษัตริย์ใช้ธงกระบี่ธุชพระครุฑพ่าห์ เป็นเครื่องประดับพระเกียรติยศเชิญ นำเสด็จพระราชดำเนินในงานพระราชสงครามฤาในขบวนพยุหยาตรา

     และในเวลานั้นพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมหลวงดำรงราชานุภาพ เสนาบดีกระทรวงมหาดไทย ทรงนำศรเครื่องสัมฤทธิ์ศีรษะเป็นนาคราช 3 เศียร มีสายและลูกพร้อมขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายเป็นของพระรุ่งเจ้าอธิการวัดหนวงตานวล ท้องที่กิ่งตาคลี(แต่ก่อน) อำเภอพยุหะคีรี ได้จากเขาชอนเดื่อ พรมแดนเมืองลพบุรี พระนครละโว้ เป็นฝีมือโบราณอันประณีตและไม่มีรอยมือจับหรือสิ่งใดที่ส่อให้เห็นว่า จะได้นำขึ้นสำหรับเทวรูปถือ

     จึงเป็นว่าศรนี้น่าจะได้สร้างขึ้นไว้สำหรับการพิธีตามลัทธิพราหมณ์ เช่น ใช้ชุบน้ำมนต์ฤาแช่งน้ำสาบาน อย่างทำน้ำพิพัฒน์สัตยา เป็นต้น ทั้งปลายลูกศรมีรูปวชิระ ประหนึ่งว่าราวกับจะทำขึ้นไว้สำหรับพระมหากษัตริย์ พระบาทสมเด้จพระเจ้าอยู่หัวพระองค์นี้ เป็นสิ่งที่สูงสมควรที่เข้าพิธีได้ต่อไป ประจวบกับเวลาที่ได้โปรดเกล้าฯ ให้เชิญธงพระกระบี่ธุชพระครุฑพ่าห์น้อยขึ้นผูกเสาพระแท่นมณฑล จึงทรงหลั่งน้ำพระมหาสังข์ และทรงเจิมธงแลศรโบราณแล้ว เจ้าพนักงานเชิญธงพระกระบี่ธุชพระครุฑพ่าห์ ขึ้นผูกเสาพระแท่นมณฑลด้านหน้า ทรงพระครุฑพ่าห์ใหญ่ ของเดิมผูกเสาพระแท่นมณฑลด้านหลัง เชิญศรขึ้นวางในแท่นมณฑลพระราชพิธีสัมพัจฉรฉินท์ ตั้งแต่เช้าวันนั้น และใช้ในพระราชพิธีอื่นต่อไป พระราชทานนามศรโบราณว่า "พระแสงศรกำลังราม" ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานพัดครุฑงานรัชมงคลแก่พระรุ่งเจ้าอธิการ และพระราชทานเงินตราแก่ศิษย์เป็นบำเหน็จตามสมควร

     การที่พระรุ่งได้ศรโบราณนี้ สอบสวนได้ความว่าเดิมเจ้าอธิการรุ่ง วัดหนองตานวล (แต่ก่อน) ท้องที่กิ่งตาคลี อำเภอพยุหะคีรี คุมคนกับช้างไปตัดไม้อยู่ในดงหนองคันไถ ครั้นเมื่อวันอังคาร เดือนยี่ แรม 3 ค่ำ ตรงกับวันที่ 17 มกราคม ร.ศ.129 อธิการรุ่งให้เด็กชายตี๋กับเด็กชายแบน ซึ่งเป็นศิษย์ไปเที่ยวหาใบตองบนเขาชอนเดื่อ ถึงไหล่เขามีศิลาอยู่สองก้อนอยู่เคียงกัน เด็กชายตี๋แลเห็นศีรษะนาคโผ่จากใบไม้ที่ร่วงสะสมอยู่ในซอกศิลา สำคัญว่าเป็นพระพุทธรูปจึงหยิบยกขึ้นมาเห็นเป็นศรทั้งคัน เด็นชายแบนค้นที่ซอกศิลาต่อไปได้ลูกศรอีกลูกหนึ่ง จึงนำมาถวายอธิการรุ่งอาจารย์ ในเวลานั้นขุนวิจารณ์พยุหพลปลัดว่าการกิ่งอำเภอตีคลี กำลังเดินทางมาตรวจราชการได้ข่าวเรื่องศรนี้ จึงไปขอดูแล้วรายงานขึ้นไปยังมณฑลนครสวรรค์ จึงได้พาอธิการรุ่งกับเด็กชายตี๋ เด็กชายแบน พร้อมด้วยศรเข้ามายังกรุงเทพฯ เพื่อทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวาย

      ในสมัยต้นรัชกาล (ร.6) ซึ่งงานพระราชพิธีบรมราชาภิเษก มีการเลียบพระนคร พระแสงศรกำลังรามอยู่ในแถวที่ 4 มีนายสุดจินดาเป็นผู้ถืออัญเชิญเสด็จ ปัจจุบันจะนำมาใช้ในงานพระราชพิธีใหญ่ เช่น งานพระราชพิธีบรมราชาภิเษกและงานพิพัฒน์สัตยา หรือชุบน้ำทำน้ำมนต์ ฤาแช่งน้ำสาบาน เป็นต้น

      ปล.ต่อมาหลวงพ่อรุ่งได้เขียนจาร วัน เดือน ปีที่พบศรไว้ ณ สถานที่พบศรบริเวณเชิงเขาชอนเดื่อ โดยเขียนจารไว้กับก้อนศิลาหินอ่อน ที่วนอุทยานถ้ำเพชรถ้ำทอง

คัดลอกจากหนังสือประวัติหลวงพ่อรุ่งฆํคสุววณโณ

ที่มา :: http://www.takhli.ac.th/thumpet/prasangson.html

นายศุภกิจ  บุญฤทธิพงศ์  ผู้ว่าราชการจังหวัดนครสวรรค์ได้ให้ความสำคัญเกี่ยวกับหลักฐานทางประวัติศาสตร์การค้นพบพระแสงศรกำลังรามนี้ และมอบหมายให้สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดนครสวรรค์  สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดนครสวรรค์สืบค้นหาหลักฐานเพิ่มเติม เพื่อให้เยาวชนและผู้สนใจได้ศึกษาหาความรู้  โดยถือเป็นความภาคภูมิใจของชาวอำเภอตาคลี และคนนครสวรรค์ที่ค้นพบพระแสงคู่พระบารมีสมกับชื่อนครสวรรค์อย่างแท้จริง ซึ่งสำนักประชาสัมพันธ์จังหวัดนครสวรรค์ได้ศึกษาความ


สำคัญเกี่ยวกับศรและพระรามไว้ดังนี้

จากมหากาพย์รามายณะของประเทศอินเดียแต่งโดยพระฤาษีวาลมิกิซึ่งชาวอินเดียสมัยโบราณได้กล่าวถึงพระรามเป็นลักษณะการสรรเสริญพระรามซึ่งเป็นองค์หนึ่งในการอวตารของพระนารายณ์ลงมาเป็นมนุษย์เพื่อช่วยดับทุกข์ต่างๆในชมพูทวีป  ซึ่งมีหมู่อธรรมเหล่ายักษาต่างๆได้ก่อไว้  ปฐมบทแห่งเรื่องราวมาจากการประทานพร พระราม คือ พระนารายณ์อวตาร (แบ่งภาค)  

ลงมาถือกำเนิดเป็นพระราชโอรสของท้าวทศรถกับนางเกาสุริยาเพื่อจะปราบทศกัณฐ์  พระรามมีพระอนุชาต่างมารดา ๓ พระองค์ คือ  พระพรต  พระลักษมณ์  และพระสัตรุต  ซึ่งต่างมีความรักใคร่กันอย่างมาก  พระมเหสีของพระรามคือนางสีดา พระรามมีกายสีเขียวสามารถปรากฏร่างเป็นพระนารายณ์มีสี่กรได้  อาวุธประจำพระองค์คือศรซึ่งเป็นอาวุธพิเศษที่ได้ประทานจากพระอิศวร           บทบาทที่สำคัญในเรื่องรามเกียรติ์  ได้แก่  

เมื่อเยาว์วัยพระรามได้รับการศึกษาศิลปศาสตร์กับสำนักฤาษีสวามิตรหรือวิศวามิตร  มีความเก่งกล้าถึงกับฆ่ากากนาสูรและสวาหุซึ่งมารบกวนเหล่าฤาษีชีไพร  ท้าวชนกจักรวรรดิ (ฤาษีชนก) ได้ให้หมู่กษัตริย์มาประลองยกศรรัตนธนูเพื่ออภิเษกกับนางสีดา  พระรามก็สามารถยกรัตนธนูได้สำเร็จและได้อภิเษกกับนางสีดา  ระหว่างเดินทางกลับกรุงอโยธยาสามารถปราบรามสูร (ยักษ์ผู้ถือขวาน) และได้รับศรจากรามสูร  ได้ฆ่าพระยาขรและพระยาทูษณ์พี่ชายของนางสำมนักขา  ระหว่างออกเดินป่าได้ปราบพิราบยักษ์ ได้ช่วยสุครีพปราบพาลี ไปรบกับทศกัณฐ์  และฆ่าทศกัณฐ์ได้สำเร็จ  สถาปนาพิเภกให้ครองกรุงลงกา




                ในกาพย์นี้จะเห็นว่าอาวุธประจำกายของพระราม  ที่มีอานุภาพร้ายแรงสามารถปราบศตรูได้อย่างราบคาบก็คือศรพระราม  เช่น  เมื่อครั้งที่พระรามทำสงครามกับทศกัณฐ์อยู่นานหลายปีต้องออกรบเอง  พระรามแผลงศรถูกหลายครั้งแต่ทศกัณฐ์ก็ไม่ตายเพราะถอดดวงใจฝากพระฤาษีโคบุตรไว้และตอนหนึ่งทศกัณฐ์รบกับพระรามจนตัวตาย ทศกัณฐ์ส่งเมืองแล้วแปลงเป็นพระอินทร์ออกรบกับพระรามเป็นครั้งสุดท้าย และต้องศรพระรามปักอกล้มด่าวดิ้นสิ้นชีพ  พระรามแผลงศรเสี่ยงเมืองพระรามตั้งจิตอธิฐานเสี่ยงทายโดยการแผลงศรว่า “ศรปัก ณ ที่ใดก็ให้หนุมานไปสร้างเมืองขึ้นครองนั้น” เป็นต้น คนไทยรู้จักเรื่องรามเกียรติ์มาแต่โบราณ  รู้จักมาตั้งแต่ครั้งกรุงสุโขทัยหรือกรุงศรีอยุธยาตอนต้น  สันนิษฐานว่าเข้ามาพร้อมศาสนาพราหมณ์ – ฮินดู (เพราะรามยณะเป็นความเชื่อทางลัทธิพราหมณ์ – ฮินดู)   ชื่อของกรุงศรีอยุธยาหรือเมืองอโยธยาก็มาจากความเชื่อในเรื่องรามเกียรติ์ ที่เรียกเมืองของพระรามว่า  อโยธยา  (Ayodhya)  และพระมหากษัตริย์ไทยสมัยกรุงศรีอยุธยาก็ออกพระนามว่า  สมเด็จพระรามาธิบดี  คือพระนาม  ราม  มาเป็นพระปรมาภิไธย เช่นเดียวกับสมเด็จพระรามาธิบดีศรีสินทรวชิราวุธพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๖
พระแสงศรกำลังราม
Nujeab ตอบกลับเมื่อ 2017-7-6 13:27
พระแสงศรกำลังราม




เพราะ 'ศรของพระราม' ได้ยิงเข้าไปทับหัวใจของพวกเขาแล้ว


อานุภาพและความแข็งแกร่งของศรพระรามนั้น


ไม่มีใครที่จะสามารถไปดึงให้ออก


มาจากอกหรือจากหัวใจของมนุษย์ที่ต้องศรได้?
Sornpraram ตอบกลับเมื่อ 2017-7-9 20:45
เพราะ 'ศรของพระราม' ได้ยิงเข้าไปทับหัวใจของพวกเขา ...

อยากได้ซักเล่มครับ กัปตัน
Nujeab ตอบกลับเมื่อ 2017-7-11 10:08
อยากได้ซักเล่มครับ กัปตัน

ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ลงชื่อเข้าใช้ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้