ตั้งให้เราเป็นเว็บแรกที่คุณเลือก เก็บเราไว้เป็นเว็บโปรด
สมัครสมาชิก ได้มากกว่าที่คุณคิด เข้าสู่ระบบ
ดู: 1959
ตอบกลับ: 2
สั่งพิมพ์ ก่อนหน้า ถัดไป

แง่คิดดีๆ จากชายชราผู้จากไป

[คัดลอกลิงก์]
สัปดาห์สุดท้ายของปี 2548
ผมไปงานสวดและงานเผาศพผู้ชายวัย 81 ปี
ที่ผมรู้จักเขามายาวนาน 30 ปี
ไม่ใช่ญาติ แต่สนิทนักรักใคร่เสมือนญาต

ก่อนเสียชีวิตไม่กี่วันเขาสั่งลูกและภรรยา
แบบคนไม่ครั่นคร้ามความตายว่า
สวดสามวันแล้วเผาไม่ต้องบอกใครให้ วุ่นวาย
อย่าเศร้า อย่าร้องไห้ ทุกคนต้องมีวันนี้
เพียงแต่เขาอยู่หัวแถวเลยต้องไปก่อน
แล้วลูกเมียก็ทำตามคำสั่ง สวดสามวันเผา
งานสวด 3 คืนมีคนฟังพระสวดคืนละ 14 คน
คือเมีย ลูก หลาน เขย สะใภ้ และผมซึ่งเป็นคนนอก เป็นงานศพที่มีคนไปร่วมงานน้อยที่สุด
เท่าที่ผมเคยไปฟังสวด วันเผามีเพิ่มเป็น 17 คน
สามคนที่เพิ่มเป็นเพื่อนบ้าน
ที่เคยคุยด้วยเกือบทุกเย็นคนหนึ่ง
เป็นแม่ค้าล็อตเตอรี่ที่เคยยืมเงินแล้วไม่มีสตังค์จ่าย เลยเอาล็อตเตอรี่ทยอยผ่อนใช้หนี้แทนเงิน
งวดละสองใบคนหนึ่ง
และคนสุดท้ายเป็นหญิงที่ผู้ตายเคยผูกปิ่นโตทุกมื้อเย็น
ทั้งสามคนบอกว่าเกือบมาไม่ทันเผา
เคราะห์ดีที่แวะไปเยี่ยมที่โรงพยาบาล
เจ้าหน้าที่บอกว่าเสียชีวิตไปแล้ว 3 วัน
หลังฌาปนกิจพระกระซิบถามเจ้าหน้าที่วัด
ว่าเจ้าของงานจ่ายเงินค่าศาลาสวดพระอภิธรรมแล้วหรือยัง พระท่านคงไม่เคยเห็นงานศพที่มีคนน้อย
แบบที่ผมก็รู้สึกตั้งแต่สวดคืนแรก
จริงๆ แล้วผู้ตายเป็นคนค่อนข้างมีสตังค์ ทำงานธนาคารแห่งประเทศไทย
จนเกษียณอายุที่ตำแหน่งหัวหน้าหน่วย
แต่ด้วยความที่รักและศรัทธา อาจารย์ป๋วย อึ๊งภากรณ์
อดีตผู้ว่าการแบงค์ชาติ
จึงดำเนินชีวิตแบบไม่ปรารถนาให้ใครเดือนร้อน -
แม้กระทั่งวันตาย
ผมสนิทกับเขาเพราะเขามีความฝันในวัยเด็ก
อยากเป็นนักประพันธ์แบบ ไม้ เมืองเดิม
ที่เขาเคยนั่งเหลาดินสอและวิ่งซื้อโอเลี้ยงให้

เมื่อตัวเองเป็นนักเขียนไม่ได้
พอมาเจอะผมที่เป็นนักข่าว
ก็เลยถูกชะตาและให้ความเมตตา
การมีโอกาสได้พูดได้คุยกับเขา ตามวาระโอกาส
ตลอด 30 ป ีทำให้ได้แง่คิดดีๆ
มาใช้ในการดำรงชีวิต
วันหนึ่ง เขารู้ว่าขโมยยกชุดกอล์ฟของผมไปสองชุด
ราคา 4 แสนกว่าบาท เขาปลอบใจผมว่า
"ของที่หายเป็นของฟุ่มเฟือยของเรา
แต่มันอาจเป็นของจำเป็นสำหรับลูกเมียครอบครัวเขา
คิดซะว่าได้ทำบุญ จะได้ไม่ทุกข์"
เขามีวิธีคิด "เท่ๆ" แบบผมคิดไม่ได้มากมาย
เป็นต้นว่า "สุขและทุกข์อยู่รอบตัวเรา
อยู่ที่ว่าเราจะเลือกหยิบเลือกคว้าอะไร"
คงเป็นเพราะเขาเลือกคว้าแต่ความสุข
ช่วงปีสุดท้ายของชีวิตเขาต่อสู้กับโรคชรา
เบาหวาน หัวใจ ความดัน เกาต์
และไตทำงานเพียง 5 เปอร์เซ็นต์โดยไม่ปริปากบ่น แถมยังสามารถให้ลูกชายขับรถพาเที่ยว
ในวันหยุดสุดสัปดาห์โดยที่ตัวเอง
ต้องหิ้วถุงปัสสาวะไปด้วยตลอดเวลา
เนื่องจากไตไม่ทำงาน ปัสสาวะเองไม่ได้
6 เดือนสุดท้ายของชีวิต ต้องนอนโรงพยาบาลสามวัน
นอนบ้านสี่วันสลับกันไป
2#
 เจ้าของ| โพสต์ 2015-6-20 12:23 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
เวลาลูกหลานหรือเพื่อนของลูกรวมทั้งผมด้วย
ไปเยี่ยมที่โรงพยาบาล เขามีแรงพูด
ติดต่อกันไม่เกิน 10 นาที แต่ 10 นาทีที่พูด
มีแต่เรื่องสนุกสนานเรียกรอยยิ้มและเสียงหัวเราะ
จากคนไปเยี่ยมไข้ทุกคนพูดตรงกันว่า
"คุณตาไม่เห็นเหมือนคนป่วยเลย ตลกเหมือนเดิม"
พอแขกกลับ ลูกหลานถามว่า
ทำไมคุยแต่เรื่องตลก เขาตอบว่า
"ถ้าคุยแต่เรื่องเจ็บป่วย
วันหลังใครเขาจะอยากมาเยี่ยมอีก"
เขาเป็นคนชอบคุยกับผู้คน
ไม่ว่าจะอยู่บนเตียงคนไข้หรืออยู่บนรถแท็กซี่
บ่อยครั้งที่นั่งรถถึงหน้าบ้านแล้ว
แต่สั่งให้โชเฟอร์ขับวนรอบหมู่บ้าน
เพราะยังคุยไม่จบเรื่อง แล้วจ่ายเงิน ตามมิเตอร์ !
4เดือนสุดท้ายของชีวิต
แพทย์ที่รักษาโรคไตมาตั้งแต่สมัยเป็นแพทย์อินเทิร์น
จนกระทั่งเป็นหัวหน้าแผนกแนะนำให้
พักรักษาตัวในโรงพยาบาล
ให้แข็งแรงแล้วค่อยกลับบ้าน
แต่อยู่ได้ 4 วันเขาวิงวอนหมอว่าขอกลับบ้าน
หมอซึ่งรักษากันมา 16 ปีไม่ยอม เขาพูดกับหมอด้วยความสุภาพว่า
"ขอให้ผมกลับบ้านเถอะ ผมอยากฟังเสียงนกร้อง
คุณหมอไม่รู้หรอกว่าคนคิดถึงบ้านมันเป็นอย่างไร
เพราะพอเสร็จงานหมอก็กลับบ้าน"
หมอได้ฟังแล้วหมดทางสู้ ยอมให้คนไข้กลับบ้าน
แต่กำชับให้มาตรวจตรงตามเวลานัดทุกครั้ง
1 เดือนถึงวาระสุดท้ายของชีวิต
เขาสูญเสียการควบคุมอวัยวะของร่างกายเกือบทั้งหมด
เคลื่อนไหวได้อย่างเดียวคือ กะพริบตา
แต่แพทย์บอกว่าสมองของเขายังดีมาก
เวลาลูกเมียพูดคุยด้วยต้องบอกว่า
"ถ้าได้ยินพ่อกะพริบตาสองที"
เขากะพริบตาสองทีทุกครั้ง !
เห็นแล้วทั้งดีใจและใจหาย
เขายังรับรู้ แต่พูดไม่ได้
นี่กระมังที่เรียกว่าถูกขังในร่างของตนเอง
สิบวันก่อนพลัดพราก
ภรรยากระซิบข้างหูว่า "พ่อสู้นะ"
เขาไม่กะพริบตาซะแล้ว
ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้สองเดือนเคยตอบว่า "สู้"
เขาสู้กับสารพัดโรคด้วยความเข้าใจโรค
สู้ชนิดที่หมอออกปากว่า "คุณลุงแกสู้จริงๆ"
ตอนที่วางดอกไม้จันทน์
ผมนึกถึงประโยคที่แกพูดกับลูก เมื่อสี่เดือนก่อนว่า
"โรคภัยมันเอาร่างกายของพ่อไปแล้ว
อย่าให้มันเอาใจของเราไปด้วย"
’ แง่คิดดีๆ จากชายชราที่จากไป ‘
สอนให้เรารู้ว่า…
เราเกิดมาพร้อมกับจิตใจบริสุทธิ์
และมันสมองมหัศจรรย์ ที่จะสามารถเรียนรู้
แยกแยะเรื่องดีๆ และสิ่งร้ายๆในชีวิต
จงใช้โอกาสดีๆที่ร่างกายและจิตใจของเรา
ยังทำอะไรๆได้อย่างที่สมองสั่ง
จงเรียนรู้ และสร้างประโยชน์สุข
ให้กับตนเองและผู้อื่นอย่างพอเพียง
และดำรงชีวิตอย่างพอเพียงทางเศรษฐกิจ
หากทุกๆครั้งที่เรียนรู้ เราล้ม เราพลาด…
อาจจะรู้สึกท้อบ้างในบางที
แม้ไม่มีกำลังกายที่จะลุกในทันที
….. แต่ขอให้มีกำลังใจที่จะสู้ต่อไป
ถ้าเราเรียนรู้…ก็จะทำให้เราพบว่า
การล้มหรือพลาดครั้งต่อไป เราจะไม่เจ็บเท่าเดิม
Credit : คุณพิษณุ นิลกลัด
เรื่องเศร้า
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ลงชื่อเข้าใช้ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้