ตั้งให้เราเป็นเว็บแรกที่คุณเลือก เก็บเราไว้เป็นเว็บโปรด
สมัครสมาชิก ได้มากกว่าที่คุณคิด เข้าสู่ระบบ
ดู: 6691
ตอบกลับ: 8
สั่งพิมพ์ ก่อนหน้า ถัดไป

“หลวงพ่อสด วัดปากน้ำ โปรดขอทานชรา”

[คัดลอกลิงก์]
“หลวงพ่อสด วัดปากน้ำ โปรดขอทานชรา”


เรื่องเล่าชาวสยาม ได้เพิ่มรูปภาพใหม่ในอัลบั้ม: อภินิหาร
14 ชม. ·




“หลวงพ่อสด วัดปากน้ำ โปรดขอทานชรา”
ในสมัยที่ หลวงพ่อสด จนทฺสโร หรือ พระมงคลเทพมุนี หลวงพ่อวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ มีชื่อเสียงและกิตติคุณไพศาลยิ่ง ด้วยเป็นผู้ค้นพบวิชาพระธรรมกาย และได้เผยแผ่วิชานี้
จนมีพระภิกษุ สามเณร อุบาสก อุบาสิกา พากันมาขอเรียนวิชาธรรมกายปราบมารนี้ จนแน่นขนัดบริเวณวัดทุกเมื่อเชื่อวัน
อีกทั้งมีศิษย์ที่เป็นโยมอุปฐากวัด ทั้งที่เป็นข้าราชการระดับสูง ทั้งขุนทหาร ตำรวจ และข้าราชการศาลยุติธรรม เจ้าสัว มหาเศรษฐี ตลอดจนผู้มีหน้า มีตาในวงสังคมชั้นสูงอีกจำนวนมาก มากราบฝากตัวเป็นศิษย์
วัดปากน้ำ ณ เวลานั้น จึงคราคร่ำ แน่นเนืองไปด้วยผู้คน ราวกับวัดมีงานรื่นเริงอยู่ตลอดเวลา
วันหนึ่ง เมื่อหลวงพ่อวัดปากน้ำ ฉันเพลเสร็จ และบอกกรรมฐานให้กับผู้ต้องการขึ้นวิชาธรรมกายปราบมาร เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ก็ถึงเวลาที่ท่านรับแขก คือสงเคราะห์ญาติโยม เมื่อหลวงพ่อท่านนั่งอยู่ ณ ที่ใด ที่นั้นย่อมเต็มไปด้วยผู้คน ทั้งที่เป็นโยมวัด โยมอุปฐาก แขกผู้มาเยือน ตลอดจนชาวบ้าน พากันเบียดเสียดเพื่อรอชมบารมีท่านไม่ห่างตา
ที่เชิงบันไดขึ้นศาลาใหญ่ ที่หลวงพ่อวัดปากน้ำนั่งรับแขกอยู่นั้น มีชายชราผู้หนึ่งเนื้อตัวสกปรกมอมแมม ผมเผ้ารุงรัง ใส่หมวกผ้าใบเก่า
เสื้อผ้าล้วนแล้วแต่ นุ่งห่มด้วยเสื้อผ้าขาดๆ ปะปุรอบตัวปากแดงด้วยเลอะคราบหมาก ลักษณะท่าทาง เสื้อผ้า เหมือนขอทานไม่มีผิดเพี้ยน
กำลังแหวกคน ขอทางเพื่อขึ้นไปกราบหลวงพ่อวัดปากน้ำ เมื่อชายขอทานเดินผ่านหน้าใคร หญิงชาย คนชรา รวมทั้งเด็กเล็ก เด็กโต ต่างพากันรีบหลีกเป็นช่องให้ เพราะรังเกียจ และกลัวความสกปรก จะมาพาลติดตัว
แต่แปลก ที่ชายชราขอทานผู้นี้ กลับไม่มีกลิ่นตัว เหม็นสาบ เหม็นสางเลยแม้แต่น้อย
ใบหน้าชายชราอิ่มเอิบ ยิ้มย่องผ่องใส แววตาฉายแววประหลาดลึกซึ้ง ชายหนุ่มหลายคน ที่ทำหน้าที่ดูแลความเรียบร้อย รีบกางมือห้ามไม่ให้ขึ้นไปบนศาลา
“คนบ้า ไปเสียให้พ้น ๆ” บ้างก็ว่า
“ถ้าปล่อยให้เข้าพบหลวงพ่อ แล้วเกิดคุ้มคลั่ง จะว่า อย่างไร ไม่น่าไว้ใจ”
แต่ชายชรา กลับแสดงอาการนอบน้อมยกมือไหว้ ขอเข้าพบหลวงพ่อวัดปากน้ำ หลายคนชี้ชวนกันดู พลางพูดว่า ดูซิ บารมีของหลวงพ่อวัดปากน้ำนี่ท่านดีจริง
แม้แต่คนบ้าก็ยังดั้นด้นมากราบท่านเลย คนแก่หลายคนสงสาร ขอให้เจ้าหน้าที่วัด ช่วยหลีกทางให้ชายขอทานนี้ ได้พบหลวงพ่อวัดปากน้ำสมดังความตั้งใจด้วย
สายตาของทุกคู่ บนศาลาการเปรียญ วัดปากน้ำ ภาษีเจริญวันนั้น พากันจ้องมองชายขอทานคนนี้ เป็นตาเดียว มีแต่หลวงพ่อสด วัดปากน้ำ เท่านั้นที่ยิ้มที่มุมปาก
เมื่อชายขอทานชรา มาอยู่ตรงหน้าหลวงพ่อสด วัดปากน้ำแล้วก็ก้มลงกราบงาม ๆ 3 ที พอเงยหน้าขึ้น ก็บอกกับหลวงพ่อว่า
“ผมชื่ออิน จะมาขอเรียนวิชาธรรมกายด้วยคน”
หลวงพ่อวัดปากน้ำ รินน้ำชาส่งให้ พร้อมกับบอกว่า
“อินเอ๊ย จะมัวซ่อนร่างอยู่ทำไม จงทำร่างให้ปรากฏตามความจริง ให้ถูกต้องเสียเถิด คนเขาจะได้รู้ตามความเป็นจริงเสียที”
ตาอิน อมยิ้ม สอบถามหลวงพ่อสด ถึงวิชาธรรมกาย ซึ่งท่านก็ตอบข้อสงสัยให้จนเสร็จสิ้น
ถ้าใครเคยฝึกวิชาธรรมกายชั้นสูง ก็จะรู้ว่า คำถามของขอทานอิน กับคำตอบของหลวงพ่อสดนั้น ล้วนแล้วแต่เป็นข้ออรรถ ข้อธรรม ในวิปัสสนาชั้นสูงทั้งสิ้น
แสดงให้เห็นถึงภูมิรู้ของผู้ถาม และแสดงให้เห็นภูมิธรรม ของผู้ตอบ อย่างชัดเจนที่สุดว่าต่างก็เป็น นักวิปัสสนาชั้นยอดด้วยกันทั้งคู่
บ่ายคล้อย ตาอินเสร็จสิ้นคำถาม ได้กราบลาหลวงพ่อสด กลับบ้านที่พระประแดง
ตอนนั้นศิษย์รุ่นเก่าที่เข้าถึงธรรมกายของหลวงพ่อสด พากันยกมือไหว้ คุณตาอินกันทุกคน
และถ้าจะมีใครเดินตามขอทานอิน หรือตาอิน หรือคุณตาอิน ไปเพื่อซักถามประวัติ ความสนใจในวิปัสสนา และอภิญญาจิตของตาอินแล้ว ละก็เขาก็จะได้รู้ว่า ตาอินผู้นี้ อีกไม่ช้าไม่นาน ก็จะมีคนรู้จักในนาม
หลวงพ่ออิน เทวดา หรือหลวงพ่ออิน ตาทิพย์ แห่งวัดใหม่ตาอินทร์ หรือวัดราษฎร์รังสรรค์ ต.บางกระเจ้า อ.พระปะแดง จังหวัดสมุทรปราการ
ผู้ที่มรณภาพแล้ว ร่างกายไม่เน่าไม่เปื่อย และเป็นพระอภิญญาจารย์ ผู้มีฤทธิ์ ดุจพระอรหันต์ จี้กง นั่นเอง


ขอบคณมากครับ
ขอบคุณครับ หลวงพ่อสดท่านเก่งจริง ผมได้รับรู้จากชายคนหนึ่งที่รู้จัก ท่านผู้นี้ถือศีลทานอาหารแบบฤาษี ทำงานบริษัทและมีฐานะร่ำรวยคนหนึ่ง ผืวพรรณผ่องใส ไม่ผ่อมไม่อ้วน ท่านผู้นี้นั่งสมาธิได้เป็นวันๆ โดยไม่ลุกไปที่ใหนเลย วันหนึ่งท่านมาคุยกับผู้ชราท่านหนึ่งที่ผมรู้จัก ท่านเล่าว่า ท่านได้ไปที่วัดปากนำ้ พบแม่ชีท่านหนึ่งซึ่งเป็นศิษย์ของหลวงพ่อสด ท่านรู้สึกคุ้ยเคยมาก เหมือนรู้จักแต่ไม่เคยพบกัน รู้สึกแปลกๆ แม่ชีก็มองท่าน ผู้ชราบอกว่าให้ไปพบแม่ชีอีกครั้ง ไปครั้งนี้คงได้คุยกัน เพราะแม่ชีคงจำได้แล้ว ต่อมาท่านก็มาเล่าให้ผู้ชราฟังว่า พบแม่ชีแล้วได้คุยกัน แม่ชีก็เรียกท่านว่าลูก และเล่าว่า แม่ชีบอกว่า ท่านเป็นลูกชายของแม่ชีในอดีตชาติ แต่ไม่ได้มาเกิดด้วย เพราะแม่ชีบวชชีอยู่กับหลวงพ่อสด จึงไปเกิดกับคนอื่น และท่านเล่าว่า ได้คุยกันหลายเรื่องเกี่ยวกับธรรม และลากลับ ผู้ชราพูดว่า "หลวงพ่อสดท่านเก่ง ศิษย์ของท่านก็เก่ง" ผมอยู่ด้วยในเหตุการณ์ที่เขาสนทนากัน สมัยเด็กผมได้ฟังจึงจำได้ หลวงพ่อสด วัดปากน้ำเป็นพระอีกองค์หนึ่งที่ผมนับถือ .......
ท่านศักดิ์สิทธิ์เกินไป


พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร)

        เรื่องนี้..เป็นเรื่องของลุงเปล่ง..ซึ่งเป็นบุคคลต้นวิชชาที่ชอบมาเล่าเรื่องราวของหลวงปู่ให้หลวงพ่อธัมมชโยฟังบ่อยๆ อีกทั้งยังเคยมาวัดฟังธรรมตั้งแต่ครั้งยังเป็นทุ่งนาฟ้าโล่งอีกด้วย


    ลุงเปล่งเป็นทานบดีของวัดปากน้ำ..ที่ชอบมาถวายภัตตาหารกับหลวงปู่..ร้อมกับภรรยาอยู่เป็นประจำ  ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ลุงเปล่งคุ้นเคยกับหลวงปู่  แต่ทว่า..แม้คุ้นเคยกับหลวงปู่มากสักแค่ไหน  ลุงเปล่งก็ไม่เคยจะเชื่อในความศักดิ์สิทธิ์ของหลวงปู่สักเท่าไรที่บอกอย่างนี้ไม่ใช่เพราะลุงเปล่งไม่เคารพหรือลบหลู่หลวงปู่  แต่เป็นเพราะลุงเปล่งไม่ค่อยเข้าใจและตามไม่ทันในเรื่องการทำวิชชาของหลวงปู่  โดยลุงเปล่งจะชอบพูดว่า “หลวงพ่อท่านศักดิ์สิทธิ์เกินไป”  อีกทั้งยังไม่ค่อยเชื่อในอานุภาพวิชชาธรรมกายอีกด้วย

      ด้วยเหตุนี้....ลุงเปล่งจึงเป็นคนพิเศษเพียงคนเดียว ที่แม้ยังไม่เข้าถึงพระธรรมกาย แต่หลวงปู่ท่านก็เอ็นดู และอนุญาตให้เข้าไปในโรงงานทำวิชชาซึ่งก็คือกุฏิของท่าน  เพื่อให้ลุงเปล่งได้ประจักษ์ในความศักดิ์สิทธิ์ของพระธรรมกายด้วยตัวเอง ทั้งๆ ที่ในสมัยนั้น ผู้ที่จะเข้าไปในโรงงานทำวิชชาได้  ต้องเป็นพวกที่เข้าถึงพระธรรมกายเท่านั้น  แต่สำหรับลุงเปล่งแล้ว หลวงปู่จะพาท่านไปที่ประตูของโรงงานทำวิชชาแล้วบอกว่า..
     

      “เปล่ง..เวลาเอ็งเข้ามาที่นี่  เอ็งเอามือล้วงข้างล่าง..แล้วดันไม้อย่างนี้นะ  แล้วประตูมันจะเปิดเอง  และถ้าเอ็งเข้าไปแล้ว..ก็ให้นั่งเฉยๆ นะ..อย่าส่งเสียงพูดอะไร  เพราะเขากำลังทำวิชชากัน”

    ซึ่งพอลุงเปล่งลองเข้าไปจริงๆ  ท่านก็ออกมาเล่าว่า “พอเข้าไปแล้ว..เราเหมือนคนบ้านะ  เพราะไม่รู้เขาพูดอะไรกัน  พูดกันอยู่ 2 คำ คือ ทำให้ละเอียด..ละเอียดลงไป  ..ละเอียดหรือยัง  ซึ่งถ้าเป็นผู้หญิงก็จะตอบหลวงปู่ว่า  ละเอียดแล้วเจ้าค่ะ  ถ้าเป็นพระก็จะตอบว่า  ละเอียดแล้วครับ  คือ  ฟังแล้ว..ไม่เห็นจะมีอะไร  มีแต่คำว่าละเอียด  และพอหลวงปู่ถามพวกที่ทำวิชชาว่า  สว่างหรือยัง เขาก็ตอบออกมาว่า  สว่างแล้วเจ้าค่ะ..”


     จากนั้นหลวงปู่ก็บอกลุงเปล่งว่า “..เออ เปล่ง!!  ไหนเอ็งลองออกไปดูสิ   ท้องฟ้าสว่างหรือยัง”  ซึ่งลุงเปล่งก็ได้ยินแต่ไม่เข้าใจ  คือ  ไม่รู้ว่าเขากำลังทำอะไรกัน  แต่พอเปิดประตูออกมาดูนอกโรงงานทำวิชชา  ทันใดนั้น..ลุงเปล่งก็เห็นท้องฟ้าสว่างจ้าเลย  แต่ลุงเปล่งก็แค่นึกในใจว่า “..เอ..!! ตอนเราเข้ามาวัดใหม่ ๆ ท้องฟ้ายังมืดตื้ออยู่เลย...มืดจนน่ากลัว  เอ๊ะ..!! แต่ทำไมตอนนี้มันสว่างจ้าเลย..”


    จากนั้นก็กลับเข้ามารายงานหลวงปู่ทั้งๆ ที่ยังงงไม่หายว่า.. “สว่างแล้วครับ” ซึ่งพอหลวงปู่ฟังเสร็จ  ท่านก็นิ่งๆ ต่อไปโดยไม่พูดอะไร จากนั้นลุงเปล่งก็คิดในใจว่า.. “เรานั่งมาตั้งนานแล้ว  ไม่เห็นจะมีอะไร  มีแต่พูดคำว่าละเอียด..ออกไปดีกว่า..ขืนอยู่ในนี้ต่อไป..บ้ากันพอดี”

    ในช่วงนั้น..นอกจากลุงเปล่งจะยังไม่ค่อยเข้าใจเรื่องการทำวิชชาแล้ว  ลุงเปล่งยังเชื่อและศรัทธาในวิชาโหราศาสตร์อีกด้วย เพราะในช่วงที่ลุงเปล่งหัดเป็นหมดดู  ท่านจะชอบมาคุยอวดให้หลวงปู่ฟังว่าตำราโหราศาสตร์...มันดีอย่างนั้น..อย่างนี้  แม่นอย่างนั้น..อย่างนี้  ซึ่งพอหลวงปู่ฟังเสร็จ  ท่านก็บอกว่า “..สู้  “สัมมา  อะระหัง”  ไม่ได้หรอกวะ  เพราะเป็นทางมรรคผลนิพพาน”  


    แต่ลุงเปล่งก็ยังไม่เข้าใจเท่าไร  แถมยังยืนยันความเชื่อของตัวเองอยู่ดี  คือ  เมื่อลุงเปล่งมาหาหลวงปู่ทีไร  ก็จะบอกแต่ว่าโหราศาสตร์แม่นอย่างนั้น..อย่างนี้..อยู่เรื่อย  จนหลวงปู่รำคาญ จึงพูดกลับไปว่า.. “เปล่ง..ข้าให้เอ็งดูแม่นสัก 10 ปี  คือ  ในช่วง 10 ปีนี้..เอ็งจะแม่นมากทีเดียว  แต่หลังจากนั้น  ตอนท้ายของชีวิตนี่..เอ็งจะจำได้แค่ “สัมมา  อะระหัง” วิชาอย่างอื่นเอ็งจะลืมหมดเลย..!!





    ซึ่งตอนนั้น..ไม่ว่าหลวงปู่จะพูดยังไงลุงเปล่งก็ไม่เชื่อ  หนำซ้ำยังไม่คิดจะเป็นไปได้เลย  เพราะช่วงนั้นลุงเปล่งเป็นหมอดูที่แม่นมาก คือ แม่นในระดับเทพเรียกทวด  เพราะไม่ว่าลุงเปล่งจะจับตำราเล่มไหนมาอ่าน ก็เข้าใจทะลุปรุโปร่งหมด แถมยังแตกฉานถึงขนาดเขียนตำราหมอดูเองได้ แต่หลังจาก 10 ปี ผ่านไปเท่านั้นเอง...ลุงเปล่ง..เกิดเป็นอะไรไปก็ไม่ทราบ ทายใครก็แค่เกือบถูก  ซึ่งก็แปลว่าไม่ถูก  แถมไม่แม่นเหมือนเก่า  เพราะที่เคยศึกษามา มันลืมไปจริงๆ ซึ่งลุงเปล่งบอกว่า ที่พอจะจำได้บ้าง..ก็เป็นพวกคาถาอาคม  และเมื่อเป็นอย่างนี้  ลุงเปล่งก็เลยเกิดอาการเสียเซลฟ์ (Self) เพราะอะไร..ทำไมมันดูไม่แม่น  ซึ่งท่านก็ตอบลุงเปล่งไปว่า “..ก็มันครบ 10 ปี แล้วนี่หว่า”


    ซึ่งลุงเปล่งนับเวลาดู ท่านก็ต้องทึ่ง เพราะเมื่อนับเวลาดูแล้วมันเลย 10 ปีไปแค่  1 วันเท่านั้นเอง ลุงเปล่งก็กลายเป็นหมอดที่ดูไม่แม่นแล้ว  และที่น่าทึ่งมากไปกว่านั้น  คือ  ในบั้นปลายชีวิตของลุงเปล่ง  ก็เป็นไปตามที่หลวงปู่บอกไว้เป๊ะเลย คือ ลุงเปล่งบอกว่า..” เป็นไงก็ไม่รู้  คาถง..คาถา  หมอดง..หมอดู  อะไรที่เคยเรียนมามันลืมไปหมดเลย  เหลือแต่ “สัมมา  อะระหัง”  อย่างเดียวจริงๆ ซึ่งทำไมมันลืมก็ไม่รู้เหมือนกัน  ทั้งๆ ที่พยายามนึกๆ แล้ว แต่นึกยังไงก็นึกไม่ออก”


        ซึ่งภรรยาลุงเปล่งเล่าให้พระเดชพระคุณหลวงพ่อธัมมชโยฟังที่อาคารดาวดึงส์ “คุณเปล่งเขาจำอะไรไม่ได้เลย จริงอย่างที่หลวงพ่อพูดไว้ไม่มีผิด คือ ไม่รู้..คุณเปล่งแกเป็นอะไร  เขาบอกจำอะไรไม่ค่อยได้เหลือแต่ “สัมมา  อะระหัง” อย่างเดียวเท่านั้น”

   
      จากการที่ลุงเปล่งไม่ค่อยเชื่อในความศักดิ์สิทธิ์ของหลวงปู่เลยทำให้มีคนไปถามลุงเปล่งว่า ทำไม..ถึงไม่ค่อยเชื่อหลวงพ่อ? ซึ่งลุงเปล่งก็จะตอบทันทีเลยว่า “ก็จะให้เชื่อได้ยังไง  เพราะเคยเห็นเกจิอาจารย์แทบทุกคนเลย  เวลาเขาจะทำของขลัง  หรือทำอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์อะไร  เขาจะมีพิธีรีตอง จะต้องท่องคาถา ต้องเขียนเลขสักยันต์  หรือไม่ก็เสกเป่าอะไรเลยสักอย่าง คือ พอเราพูดหรือขออะไรเสร็จ..แป๊ปเดียว..ยังไม่ทันไรเลย..หลวงพ่อท่านก็พูดกลับมาว่า..เรียบร้อยแล้ว หรืออย่างขณะที่หลวงพ่อกำลังนั่งฉันอยู่ พอมีญาติโยมเข้ามาขอบารมีให้ท่านช่วยอะไรสักอย่าง  ท่านก็ทำแค่ส่งเสียง  อือๆ..แถม อือ..ไป..ฉันไปอีกต่างหาก..”


    อย่างมีอยู่ครั้งหนึ่ง  ลุงเปล่งก็ขนเอาผ้าเช็ดหน้าที่พิมพ์รูปหลวงปู่  ที่ทำไว้แจกญาติโยมที่มาร่วมงานมุทิตาหลวงพ่อ ในครั้งที่ท่านได้รับเลื่อนสมศักดิ์  เป็นจำนวนร้อยๆ  ฝืน.. มาให้หลวงปู่ช่วยทำให้ศักดิ์สิทธิ์  ซึ่งลุงเปล่งก็เอาไปวางไว้ข้างๆ สำรับอาหารของหลวงปู่ เพราะหลวงปู่ว่าให้วางไว้นั่น แล้วท่านก็นั่งฉันไปเรื่อยๆ และพอฉันเสร็จ  ท่านก็บอกลุงเปล่งว่า “เสร็จเรียบร้อยแล้ว เอ็งยกออกไปได้เลย”


   



พอลุงเปล่งเห็นดังนั้น..แทนที่จะอะเลิร์ตดีอกดีใจ กลับขัดอกขัดใจมาก  อีกทั้งยังรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาทันที เพราะมองว่าหลวงปู่ไม่ยอมทำอะไรให้สักอย่าง คิดว่าหลวงปู่ท่านไม่ยอมเสกผ้าเช็ดหน้าให้ และเมื่อคิดดังนี้..ก็เลยเอาผ้าเช็ดหน้านั้น เที่ยวไล่แจกญาติโยมจนหมดเกลี้ยง ไม่เหลือเลยแม้แต่ผืนเดียว แถมไม่ยอมเก็บไว้เปนของตัวเองเลยสักผืน เพราะมัวแต่คิดว่า ผ้าเช็ดหน้าทั้งชุดนี้..จะศักดิ์สิทธิ์ได้อย่างไร เพราะหลวงปู่ท่านไม่ยอมเสกให้ แต่ที่ไหนได้...หลังจากที่ลุงเปล่งแจกเขาจนหมดแล้ว  ไม่นานต่อมา ปรากฏว่ามีคนเจออานุภาพกันมากมาย อีกทั้งยังมาเล่าเรื่องความศักดิ์สิทธิ์ของผ้านั้นให้ลุงเปล่งฟัง ว่าเจออานุภาพอย่างนั้น..อย่างนี้ เช่น บางคนไปทดลองเอาปืนยิงผ้า ซึ่งปรากฎว่าปืนพังไปเลย คือ  ยิงไม่ออก

    ด้วยเหตุนี้..เลยทำให้ลุงเปล่งนึกเสียดายขึ้นมาทันที จนพูดออกมาว่า “ตายแล้ว..ๆ ไม่มีแล้ว ...แจกเขาไปหมดแล้ว” และพอลุงเปล่งมารู้ทีหลังว่า  ผ้าเช็ดหน้านั้นศักดิ์สิทธิ์  ลุงเปล่งก็เกิดคาใจขึ้นมาว่า..อยู่ๆ ผ้าเช็ดหน้าเกิดศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมาได้อย่างไร  ในเมื่อหลวงปู่ไม่ได้เสก  ไม่ได้เป่าอะไรเลย!!


     ด้วยความคาใจอย่างแรงนี้เอง ลุงเปล่งก็เลยเข้าไปถามท่านว่า “หลวงพ่อ..ทำยังไงหรือครับ ไม่เห็นเสกเป่าอะไรกับเขาเลย แล้วทำไมเขาเอาไปยิงแล้ว..ยิงไม่ออก..”
   

      ซึ่งหลวงปุ่ก็ตอบแบบนิ่งๆ ว่า ก็นึกๆ เอา..” ลุงเปล่งก็ถามต่ออีกว่า “นึกยังไง..??” หลวงปู่ก็ตอบเพิ่มว่า ก็นึกในตำแหน่งที่นึกๆ แล้วมันสำเร็จสิ”  ซึ่งก็คือศูนย์กลวงกายฐานที่ 7 นั่นเอง...

    และนี่ก็คือสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ลุงเปล่งชอบพูดว่า  “หลวงพ่อท่านศักดิ์สิทธิ์เกินไป” คือ ดูภายนอกเหมือนหลวงปู่ท่านไม่ทำอะไร  แต่จริงๆ ท่านทำงานภายในตลอดเวลา จนเป็นเรื่องปกติธรรมดาของท่าน  จึงทำให้ท่านเป็นมหาปูชนียาจารย์ที่ศักดิ์สิทธิ์  และมีอานุภาพอันไม่มีประมาณ..


    หรืออีกคราวหนึ่ง ลุงเปล่งและภรรยาได้ไปถวายภัตตาหารเพลกับหลวงปู่และคณะพระภิกษุสงฆ์ที่วัดปากน้ำ และพอหลวงปู่ฉันเสร็จ ท่านก็พูดกับลุงเปล่งว่า.. “เออ..! พระจะให้พรแล้วนะ  เดี๋ยวพระพุทธเจ้าท่านเสด็จลงมานี่นะ  เอ็ง..จะเอากี่องค์  ..เดี๋ยวให้ท่านมาให้พรเอ็งสักหมื่นองค์  ศักดิ์สิทธิ์นัก..อธิษฐานเอาเลยนะ  เอ็งอธิษฐานเอา..ศักดิ์สิทธิ์  เดี๋ยวท่านมาหมื่นองค์” แถมท่านยังย้ำอีกว่า “มาแน่นอน..!!!”   
   

      พอลุงเปล่งฟังหลวงปู่พูดอย่างนี้..ก็เกิดอาการเป็นงง  ไม่เข้าใจและคิดในใจว่า “เราคงบ้าแน่  ท่านพูดอะไรของท่านไม่รู้..พระพุทธเจ้าจะเสด็จลงมาให้พรได้ยังไง

    ซึ่งการที่ลุงเปล่งคิดอย่างนี้  เนื่องจากลุงเปล่งไม่เข้าใจเรื่องการทำวิชชา  ก็เลยไม่เข้าใจความหมายที่หลวงปู่พูด  แต่ถ้าพวกที่ทำวิชชาเป็นได้มาฟัง  ก็จะเข้าใจทันทีว่า  การอาราธนาพระพุทธเจ้ามาแค่หมื่นองค์  เป็นเรื่องที่ง่ายนิดเดียว  หรือเป็นเรื่องเล็กน้อยเท่านั้น ซึ่งนอกจากลุงเปล่งจะไม่เข้าใจคำพูดที่หลวงปู่พูดแล้ว  ลุงเปล่งก็ยังมีแนวร่วม  คือ   ภรรยาของลุงเปล่งที่มาด้วยกัน  และไม่เข้าใจสิ่งที่ท่านพูดเหมือนกัน  ซึ่งภรรยาลุงเปล่งบอกว่า


      “ไม่รู้ว่าหลวงปู่ท่านพูดอะไรของท่าน  เราก็เลยอธิษฐานส่งเดชไป  เพราะตอนนั้น..ไม่คิดว่า..ท่านจะศักดิ์สิทธิ์จริง  เพราะหลวงพ่อท่านก็แค่พูดนิ่งๆ เฉยๆ อีกทั้งยังไม่เห็นมีพิธีรีตองอะไร  เราก็เลยนึกว่าไม่มีอะไร...”  

   


และจากการที่ลุงเปล่งไม่ค่อยเข้าใจ และไม่ค่อยเชื่อในความศักดิ์สิทธิ์ของหลวงปู่นี่เอง ลุงเปล่งก็เลยไม่คิดที่จะอธิษฐานขออะไรที่มันใหญ่โตมาก คือ แทนที่ลุงเปล่งจะอธิษฐานขอให้เป็นมหาเศรษฐีระดับโลก มีกินมีใช้เหลือเฟือ จะได้ไม่ต้องทำมาหากินอีกแล้วไปจนกว่าบริษัทจะเจ๊ง ซึ่งนั่นหมายถึง ลุงเปล่งอยากจะทำงานไปให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้ เนื่องจากบริษัทบอร์เนียวเป็นบริษัทที่มีความมั่นคงสูงมาก แต่แม้บริษัทบอร์เนียวจะมั่นคงแค่ไหน แต่สิ่งที่ไม่มั่นคงก็คือ สถานภาพของลุงเปล่ง เพราะลุงเปล่งทะเลาะกับหัวหน้าที่เป็นฝรั่งทุกวัน ท่านก็เลยกลัวว่า จะโดนไล่ออก เพราะคนที่ทะเลาะกับฝรั่งโดนไล่ออกไปกันหลายคนแล้ว คือ ถูกยื่นซองขาวจนซองขาวข้ามหัวไปข้ามวัน  ซึ่งลุงเปล่งก็กลัวมาก  ตัวเองจะต้องเป็นรายต่อไป...

    ส่วนคุณป้าที่เป็นภรรยาของลุงเปล่งก็พอกัน..สมกับเป็นภรรยาของลุงเปล่งจริง ๆ คือ แทนที่จะอธิษฐานขออะไรใหญ่ๆ โตๆ ก็อธิษฐานขอแค่ให้มีตึกสักหลัง แถมยังบอกว่า เอาไม่ต้องใหญ่ ขอหลังเล็กๆ ที่พอมีบริเวณสนามหญ้านิดหน่อย มีรั้วแค่นี้ก็พอแล้ว และพอลุงเปล่งและภรรยาอธิษฐานเสร็จ หลวงปู่ก็พูดย้ำเพิ่มความมั่นใจให้อีกว่า “ที่อธิษฐานนี่นะ..สำเร็จทุกอย่าง  เอ้า..ให้ตั้งใจรับพร”  ซึ่งพอท่านขึ้นยถาฯ ให้พรจนจบ  ขณะที่ท่านลุกเดินเข้าโรงงานทำวิชชา  ท่านก็ยังหันหน้าไปย้ำลุงเปล่งอีกว่า “เปล่งเอ๊ย...สิ่งที่เอ็งอธิษฐานน่ะ..สำเร็จ.!!!..”



    แต่ลุงเปล่งก็ไม่ถึงกับเชื่อหลวงปู่ เพราะหลังจากนั้น ลุงเปล่งก็ยังมากราบเรียนหลวงปู่อยู่เรื่อยๆ ว่า “หลวงพ่อครับ เขาจะไล่ผมออกแล้วครับ  เพราะผมทะเลาะกับฝรั่งหนักขึ้นทุกวัน ทำยังไงดีครับ..?”


    และพอหลวงปู่ฟังดังนั้น ท่านก็บอกว่า “เออ..เดี๋ยวข้าจะฝากเขาให้” ซึ่งทันทีลุงเปล่งได้ฟังประโยคนี้ ลุงเปล่งก็ยิ่งงงใหญ่เลยและเพื่อให้หายงง  จึงรีบถามหลวงปู่กลับว่า  “เขาไหนครับ ??”  แต่ท่านก็นิ่ง ๆ ไม่ยอมตอบอะไร  เพราะตอบไปลุงเปล่งก็ไม่รู้เรื่อง



    แต่เรื่องมันก็ไม่จบง่ายอย่างนั้นหรอก  เพราะวันต่อๆ มาลุงเปล่งก็ร้อนรนมากราบเรียนหลวงปู่ใหม่อีกว่า “หลวงพ่อครับๆ  ซองขาวมันใกล้เข้ามาแล้วนะหลวงพ่อ  ผมทะเลาะกับฝรั่งหนักเลย”  ซึ่งหลวงปู่ได้ยิน  ท่านก็บอกอีกว่า  “เออ..!! ไม่เป็นไรหรอกข้าฝากเขาไว้แล้ว”  ซึ่งการที่หลวงปู่ตอบอย่างนี้  ทำให้ลุงเปล่งงงหนักเข้าไปอีก   “เขาไหน..??  ใครคือเขา..!!”  แต่พอลุงเปล่งพยายามถามหลวงปู่ทีไร  ท่านก็ไม่ยอมตอบสักที  ก็เลยทำให้ลุงเปล่งนึกถามตัวเองในใจว่า  “เขานี่  คือ  พวกอธิบดง..อธิบดี  หรือปลัด  กระทรง..กระทรวงอะไรรึเปล่า”

    ต่อมาจนกระทั่งหลวงปู่มรณภาพไปแล้ว  ลุงเปล่งก็ยังไม่รู้เลยว่า  “เขา”  ที่หลวงปู่ว่า  คือ  ใคร   แต่ตอนหลังลุงเปล่งมารู้คำเฉลยว่าเขา..คือใคร  ก็ตอนที่ได้มากราบพระเดชพระคุณหลวงพ่อธัมมชโยและคุณยายอาจารย์มหารัตนอุบาสิกาจันทร์  ขนนกยูง  และหลังจากรู้แล้ว  ลุงเปล่งก็เรียนถามคุณยายอาจารย์ฯ  ใหญ่เลยว่า  “ แล้วทำไมตอนนั้นหลวงปู่ท่านไม่บอกล่ะ ??”   คุณยายท่านก็ตอบกลับว่า  “ถ้าบอกไปตอนนั้น..คุณก็ไม่เชื่อ..!!!”

   
      ขอย้อนกลับมาเรื่องที่ลุงเปล่งทะเลาะกับฝรั่งต่อ..เพราะเรื่องนี้มันแปลกมาก  อีกทั้งยังน่าอัศจรรย์ใจสุดๆ คือ  หลังจากที่หลวงปู่ฝากเขาไว้แล้ว  ไม่ว่าลุงเปล่งจะทะเลาะกับนายฝรั่งมากขนาดไหนก็ไม่โดนไล่ออกสักที ทั้งๆ พวกที่ทะเลาะกับฝรั่งน้อยกว่าลุงเปล่งตั้งเยอะ กลับถูกยื่นซองขาวให้ออกกันไปหมดแล้ว


    และสุดท้าย..ก็เป็นไปตามที่ลุงเปล่งอธิษฐานไว้จริงๆ คือ ได้ทำงานอยู่ที่บริษัทบอร์เนียวนามสมใจอยาก เพราะนานจนกระทั่งบริษัทบอร์เนียวเปลี่ยนเจ้าของไปจริงๆ ส่วนคุณป้าที่เป็นภรรยาของลุงเปล่งก็เช่นกัน  คือ  สุดท้ายก็ได้บ้านตึกหลังเล็กๆ มีสนามหญ้าหน่อยๆ จริงๆ อยู่แถวเทเวศร์  ซึ่งคุณป้าก็พูดว่า  “หากรู้ว่าหลวงปู่ศักดิ์สิทธิ์ขนาดนี้..รู้งี้..อธิษฐานขอบ้านให้มันใหญ่ๆ โตๆไปเลยดีกว่า..”

    ส่วนเรื่องที่น่าทึ่งอีกเรื่องหนึ่ง  เกิดขึ้นตอนที่ลุงเปล่งพาภรรยามาถวายภัตตาหารเพลที่วัดปากน้ำ  ซึ่งพอเลี้ยงพระเสร็จ  หลวงปู่ท่านเห็นในที่ของท่านว่า  จะมีเหตุร้ายเกิดขึ้นกับภรรยาของลุงเปล่ง  ก็เลยทำให้หลวงปู่บอกภรรยาลุงเปล่งว่า “เดี๋ยวคอยเดี๋ยว..อย่าเพิ่งไปไหน !!!”


    จากนั้นหลวงปู่ท่านก็หายเข้าไปในโรงงานทำวิชชาประมาณครึ่งชั่วโมง  พอออกมา  ท่านก็บอกว่า “ต่ออายุให้แล้ว!!!”   ซึ่งพอภรรยาลุงเปล่งฟังดังนั้น  ท่านก็งง  และรำพึงว่า “เอ๊ะ..เราก็แข็งแรงดี  ไม่ได้เจ็บได้ป่วยอะไรเลย  ทำไมหลวงพ่อมาบอกว่า  ต่ออายุให้เรียบร้อยแล้ว !!!”


    ..และนี่คือความศักดิ์สิทธิ์ของหลวงปู่  ที่ลุงเปล่งกับภรรยาได้ประจักษ์กับตัวเอง  ซึ่งเป็นเรื่องมหัศจรรย์เหนือความคาดหมาย  ทำให้ท่านทั้งสองเกิดอาการคาดไม่ถึงแทบทุกเรื่อง  จนท่านทั้งสองชอบพูดเน้นๆ ย้ำๆ อยู่บ่อย ๆ ว่า หลวงพ่อท่าน..ศักดิ์สิทธิ์เกินไป!!!


https://www.dmc.tv/pages/phramongkolthepmuni/%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%B8%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%9E%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%B9%E0%B9%88-%E0%B8%95%E0%B8%AD%E0%B8%99-%E0%B8%97%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%A8%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%94%E0%B8%B4%E0%B9%8C%E0%B8%AA%E0%B8%B4%E0%B8%97%E0%B8%98%E0%B8%B4%E0%B9%8C%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B9%84%E0%B8
7#
 เจ้าของ| โพสต์ 2017-4-12 12:01 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ขอบคุณครับ

ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ลงชื่อเข้าใช้ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้