ตั้งให้เราเป็นเว็บแรกที่คุณเลือก
เก็บเราไว้เป็นเว็บโปรด
สมัครสมาชิก ได้มากกว่าที่คุณคิด
เข้าสู่ระบบ
บ้านหลวงปู่
คศช.
ข่าวสารล่าสุด
ประสบการณ์
โชว์วัตถุมงคล
สอบถาม
นานาสาระ
นครนาคราช
ร่วมประมูล
บูชาวัตถุมงคล
เพื่อน
กระทู้แนะนำ
บุ๊คมาร์ก
ไอเท็ม
เหรียญ
ภารกิจ
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
ดูบริการทั้งหมด
เว็บบอร์ด
BBS
บูชาวัตถุมงคลหลวงปู่ชื่น
ศรีสุทธรรมนาคราช
ร้านจอมพระ
ศูนย์พระเครื่องจอมพระ
ค้นหา
ค้นหา
HOT TAG:
พระศรีราม
ขุนแผนแสนตรีเวทย์
พระเจ้าชัยวรมัน
บอร์ดนี้
บทความ
เนื้อหา
สมาชิก
Baan Jompra
›
นานาสาระ
›
ตำนาน เรื่องเล่า เกร็ดความรู้ เรื่องลี้ลับ
»
บทเรียน ล้ำค่า ศึกษา"ประวัติศาสตร์" ของ คนขี่เสือ
กลับไป
ตั้งกระทู้ใหม่
ดู: 1968
ตอบกลับ: 3
บทเรียน ล้ำค่า ศึกษา"ประวัติศาสตร์" ของ คนขี่เสือ
[คัดลอกลิงก์]
Sornpraram
Sornpraram
ออฟไลน์
เครดิต
36164
ไปยังโพสต์
1
#
โพสต์ 2015-5-31 11:18
|
ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
|
โพสต์ใหม่ขึ้นก่อน
|
โหมดอ่าน
คอลัมน์ มติชน 30 พ.ค. 2558
วาทะที่ว่าการอยู่ในอำนาจเหมือนกับ"การขี่เสือ" และความเด็ดเดี่ยวในการ "ฆ่าเสือ" ก่อนลงจากหลังเสือนั้นเหี้ยมหาญอย่างยิ่ง
สะท้อนให้เห็นว่า "การขี่เสือ" ต้องมากด้วย "ศิลปะ"
ที่ซับซ้อนมากยิ่งกว่า "การขี่เสือ" ก็คือ การลงจากหลังเสือได้อย่างราบเรียบ นิ่มนวลปลอดภัย
ไม่ต้องถูกเสือขบ ไม่ต้องถูกเสือขม้ำ
วาทกรรมว่าด้วยการอยู่บน "หลังเสือ" จึงสัมพันธ์กับ "อำนาจ" อย่างแนบแน่น ไม่ว่าจะเป็นอำนาจทางการเมือง ไม่ว่าจะเป็นอำนาจทางเศรษฐกิจ
เท่ากับยืนยันว่า "อำนาจ" เป็นเรื่องน่ากลัวพึงต้อง "ระมัดระวัง"
บางคนจึงเปรียบเทียบอำนาจเหมือนกับ "ยาเสพติด" ยิ่งเสพ ยิ่งอยู่ในอำนาจยิ่งถลำลึก ยากจะถอนตัวออกมาได้
ในที่สุด แทนที่จะ "คุม" อำนาจ กลับถูกอำนาจ "ครอบงำ"
บทเรียนจากประวัติศาสตร์ยืนยันอย่างเป็นรูปธรรมให้เห็นว่า การขึ้นสู่อำนาจยากอย่างยิ่งอยู่แล้ว การถอนตัวหรือลงจากอำนาจยิ่งยากมากกว่า
ประวัติศาสตร์จึงเท่ากับเป็น "บทเรียน"
หากศึกษาจาก พล.อ.เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ หากศึกษาจาก พล.อ.สุจินดา คราประยูร จะตระหนักในบางแง่มุมในทางการเมือง
พล.อ.เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ มาจาก "รัฐประหาร"
เริ่มต้นจากรัฐประหารเมื่อเดือนตุลาคม 2519 ตามมาด้วยรัฐประหาร "ซ้ำ" ในเดือนตุลาคม 2520
ปี 2519 ยังอยู่ในตำแหน่งทาง "การทหาร"
ต่อเมื่อหลังรัฐประหารเดือนตุลาคม 2520 นั้นหรอกจึงทะยานไปยังตำแหน่งทางการเมืองเป็นนายกรัฐมนตรี
ดำรงตำแหน่งครั้งแรกเป็นไปอย่าง "ราบรื่น"
แต่ภายหลังการเลือกตั้งในเดือนเมษายน 2522 การดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของ พล.อ.เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์
กลับไม่ราบรื่น
1 ประสบกับวิกฤตน้ำมันโลก 1 ประสบกับวิกฤตการเมืองภายใน
เป็นการเมืองภายในจากพรรคการเมือง เป็นการเมืองภายในจากกองทัพ เพราะว่าเมื่อพ้นจากตำแหน่งผู้บัญชาการทหารสูงสุด พล.อ.เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ ก็ขาลอย ต้องฝากผีฝากไข้ไว้กับ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ผบ.ทบ.และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม
พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ นั่นแหละคือ นายกรัฐมนตรี คนต่อไป
พล.อ.เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ มาจากกระบวนการรัฐประหาร
พล.อ.สุจินดา คราประยูร ก็มาจากกระบวนการรัฐประหาร
เป็นรัฐประหาร รสช.เมื่อเดือนกุมภาพันธ์2534
ในเบื้องต้น พล.อ.สุจินดา คราประยูร อยู่ในตำแหน่ง ผบ.ทบ. ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเป็นของ นายอานันท์ ปันยารชุน
มีการร่างรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2534 ออกมา
เปิดช่องให้นายกรัฐมนตรีมาจาก "คนนอก" คนที่มีบทบาทเป็นอย่างสูงในการร่างก็หน้าคุ้นๆ เอ่ยชื่อออกมาก็ร้องฮ้อกันเกรียวกราว
หลังการเลือกตั้งเดือนมีนาคม 2535 ทุกอย่างก็ "ฉลุย"
เพราะรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2534 เปิดช่องให้ พล.อ.สุจินดา คราประยูร ก็สไลด์จาก ผบ.ทบ.เข้าดำรงตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรี โดยมีฐานจากพรรคการเมืองและนักการเมืองอันมาจากการเลือกตั้ง
แต่อยู่ได้เพียงไม่กี่วันก็ต้อง "อำลา"
แม้จะมีพรรคการเมืองหนุนเสริม แม้จะมีกองทัพไม่ว่า กองทัพบก กองทัพเรือ กองทัพอากาศ รวมถึงตำรวจให้การค้ำยันอย่างแข็งแกร่ง
แล้ว นายอานันท์ ปันยารชุน ก็หวนคืนมาเป็นนายกรัฐมนตรีอีก
อาจเป็นเพราะ พล.อ.เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ และ พล.อ.สุจินดา คราประยูร ไม่ได้ "ฆ่าเสือ"
แต่คำถามที่เสนอเข้ามาก็คือ ปัจจัยอันใดในทางการเมืองที่เรียกว่า "เสือ" เพราะภาวะปั่นป่วนอันเกิดขึ้น ดำรงอยู่และดำเนินไป ล้วนมิได้เกิดขึ้นห่างจากแวดวงแห่งอำนาจ
จึงต้องทำให้ชัดว่าที่ว่าเสือ-เสือนั้นคืออะไร
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1432978579
บุ๊คมาร์ก
0
ตอบกลับ
ใช้ไอเท็ม
รายงาน
Sornpraram
Sornpraram
ออฟไลน์
เครดิต
36164
2
#
เจ้าของ
|
โพสต์ 2015-5-31 11:30
|
ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
น้ำตาซึม! ชาวสวนยางจ.พิษณุโลก
เจอป่าไม้กว่า100บุกโค่นต้นยางต่อหน้าต่อตา
ชาวบ้านฮือปะทะคารม จนท.ป่าไม้พิษณุโลกระหว่างตัดโค่นสวนยางพาราต่อหน้าต่อตา ก่อนดีเดย์ตัดทิ้งทั่วประเทศ ผู้ใหญ่บ้านหมู่ 13 บ้านตอเรือ อ.วังทอง พร้อมชาวบ้านน้ำตาซึม ดูสวนยางพาราถูกโค่นทิ้ง ผวาขาดรายได้เลี้ยงชีพ
วันนี้ 30 พฤษภาคม นายมานพ สายอุ่นใจ ผู้อำนวยการสำนักจัดการทรัพยากรป่าไม้ที่ 4 สาขาพิษณุโลก สั่งการให้ 11 หน่วยป้องกันรักษาป่าในพื้นที่พิษณุโลกประมาณ 100 นาย ตัดโค่นทิ้งจำนวน 287 ไร่ ที่ หมู่ 13 บ้านตอเรือ ต.วังนกแอ่น อ.วังทอง ซึ่งเป็นการตัดโค่นสวนยางเพื่อทำเวที ก่อนดีเดย์ตัดต้นยางพาราทั่วประเทศพร้อมกันวันที่ 1 มิถุนายนนี้ ตามนโยบายรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
ระหว่างที่เจ้าหน้าที่ป่าไม้กำลังตัดต้นยางพารามีชาวบ้านตอเรือไม่ต่ำกว่า 30 คน นำโดยนายคำเงิน แก้วอินทิม ผู้ใหญ่บ้านหมู่ 13 บ้านตอเรือ ต.วังนกแอ่น พร้อมชาวบ้านมาร้องขอว่า อย่าตัดต้นยางพาราทิ้ง เป็นที่ดินของชาวบ้านทำกินมาก่อน ทำให้นายมานพ สายอุ่นใจ ผอ.สำนัก 4 ต้องเข้าเจรจากับผู้ใหญ่บ้านอย่างดุเดือด จากนั้นทางชาวบ้านได้ให้บุคคลที่อ้างเป็นเจ้าของที่ดินหรือสวนยางพาราที่กำลังตัดโค่นมาแสดงตัว แต่ก็ไม่ปรากฏว่าไม่มีใครกล้าแสดงตัว กระทั่งนายมานพและปลัดอำเภอวังทองร่วมชี้แจงจนชาวบ้านเข้าใจ ต่อมากำลังทหารช่าง ช.พัน 302 ค่ายบรมไตรโลกนาถ ซึ่งรับผิดชอบในพื้นที่รีบเดินทางเข้ามาในสวนยางพาราทันที
กระทั่งเวลาผ่านไปกว่า 2 ชั่วโมง ชาวบ้านเข้าใจพร้อมเก็บขี้ยางรวมกองเตรียมนำไปขาย ก่อนแยกย้ายเดินทางกลับ โดยไม่มีเหตุรุนแรง แต่สีหน้าชาวบ้านไม่ค่อยดีนัก บางรายน้ำตาซึม เนื่องจากชาวบ้านหลายราย เคยมีรายได้จากการรับจ้างกรีดยางพาราแห่งนี้ไม่ต่ำกว่า 2-3 ปี แต่วันนี้ถูกตัดโค่นทิ้งต่อหน้าต่อตา
นายคำเงิน แก้วอินทิม ผญบ.หมู่ 13 กล่าวว่า ตนและชาวบ้านเข้ามาดูว่า จนท.ป่าไม้ทำอะไร มาตัดสวนยางพาราของชาวบ้าน โดยไม่ได้บอกกล่าวมาก่อน เพราะตนได้รับคำสั่งจากนายอำเภอวังทองให้ไปติดประกาศตัดโค่นต้นยางพาราอีกแปลงหนึ่ง แต่เจ้าหน้าที่ป่าไม้มาตัดอีกแปลงหนึ่ง ซึ่งแปลงที่ตัดโค่นวันนี้ ชาวบ้านรับจ้างกรีดยางอยู่ทุกวัน ยอมรับว่า ชาวบ้านเดือดร้อนและเสียใจกับเหตุการณ์ครั้งนี้ เพราะเคยมีรายได้ทุกวัน จากต้นยางอายุร่วม 10 ปี แต่ถูกจนท.ป่าไม้ตัดเหี้ยน
นายมานพ สายอุ่นใจ ผู้อำนวยการสำนักจัดการทรัพยากรป่าไม้ที่ 4 สาขาพิษณุโลก เปิดเผยว่า สวนยางพาราที่กำลัดตัดโค่น เดิมเป็นของชาวบ้าน แต่วันนี้เปลี่ยนมือเป็นของนายทุน ซึ่ง จนท.ป่าไม้เข้าตรวจยึดและจับกุม แต่ไม่มีผู้ต้องหา หรือใครแสดงตัวว่าเป็นเจ้าของ เนื่องจากเกรงความผิด ส่วนกรณีผู้ใหญ่บ้านหมู่ 13 บ้านตอเรือและชาวบ้านที่มาดูในที่เกิดเหตุ เป็นเหตุเข้าใจผิด เกรงว่า จะตัดโค่นแปลงของชาวบ้าน
อนึ่ง วันดีเดย์ตัดสวนยางพารา 1 มิ.ย.นี้ใน จ.พิษณุโลก จะเข้าตัดโค่นสวนยางพาราของนายทุนที่ถูกตรวจยึดและจับกุมแล้วทิ้งจำนวน 287 ไร่ พื้นที่หมู่ 13 บ้านตอเรือ ต.วังนกแอ่น อ.วังทอง จ.พิณุโลก ซึ่งได้เชิญผู้ว่าราชการจังหวัดพิษณุโลก และแม่ทัพภาคที่ 3 ร่วมดีเดย์ตัดต้นยางในครั้งนี้ด้วย โดยจะทำการตัด 60 เปอร์เซ็นต์ของพื้นที่เพื่อรักษาระบบนิเวศ ลักษณะตัด 3 แถว เว้น 1 แถว
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1432981164
ตอบกลับ
สนับสนุน
คัดค้าน
ใช้ไอเท็ม
รายงาน
Sornpraram
Sornpraram
ออฟไลน์
เครดิต
36164
3
#
เจ้าของ
|
โพสต์ 2015-5-31 11:37
|
ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ดีเดย์ลุยรื้อร้านอาหารรุกที่ ริมเขื่อนลำตะคองโคราช | เดลินิวส์
„ดีเดย์ลุยรื้อร้านอาหารรุกที่ ริมเขื่อนลำตะคองโคราชผวจ.นครราชสรมา "ธงชัย ลืออดุลย์ " นำทีม ทหาร-ตำรวจ-ปกครอง กว่า 1,000 คน เข้ารื้อรานอาหาร ริมเขื่อนลำตะคอง แก้ปัญหารุกที่หลวง เผยข้อมูลมี 29 รายที่ไม่ยินยอม แต่ทางการอาศัยกฎหมายต้องรื้อทั้งหมดวันศุกร์ที่ 8 พฤษภาคม 2558 เวลา 11:18 น.
หมวด: ข่าวทั่วไทย คำสำคัญ: ดีเดย์ลุยรื้อร้านอาหารรุกที่ ริมเขื่อนลำตะคองโคราช เมื่อวันที่ 8 พ.ค. นายธงชัย ลืออดุลย์ ผวจ.นครราชสีมา นายวินัย วิทยานุกุล รองผวจ.นครราชสีมา พล.ต.ต.ฐากูร นัทธีศรี ผบก.ภ.จว.นครราชสีมา พ.อ.ปติกร เอี่ยมลออ เสนาธิการ มทบ.21 นายปัญญา วงศ์ศรีแก้ว นายอำเภอปากช่อง นายมิชา พงษ์สว่าง นายก อบต.หนองสาหร่าย ร่วมกันปล่อยแถว กำลังเจ้าหน้าที่คณะทำงานฯ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ในการดำเนินการแก้ไขปัญหาการบุกรุกที่ราชพัสดุ เพื่อประกอบกิจการร้านอาหารบริเวณริมอ่างเก็บน้ำลำตะคอง ณ สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย อำเภอปากช่อง จ.นครราชสีมา โดยมีเจ้าหน้าที่จากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นของอำเภอเมือง อำเภอสูงเนิน อำเภอสีคิ้วและอำเภอปากช่อง กว่า1,000คน พร้อมอุปกรณ์เครื่องมือหนักออกปฏิบัติงานในการรื้อถอนอาคารร้านค้าร้านอาหาร "มอปลาย่าง" ริมอ่างเก็บน้ำลำตะคอง เริ่มตั้งแต่ ร้านน้องเบ็นช์ ริมถนนมิตรภาพ ขาเข้าจังหวัดนครราชสีมา กม.79 เป็นต้นไป
ซึ่งในวันนี้ ทำการรื้อถอนร้านอาหารของผู้ประกอบการที่ยินยอมให้รื้อถอนจำนวน16ราย และมีผู้ไม่ยอมให้รื้อถอนอีกจำนวน29รายโดยนายธงชัย กล่าวว่า การนำเจ้าหน้าที่เข้ารื้อถอนร้านอาหารริมอ่างเก็บน้ำลำตะคองในวันนี้ เนื่องจากขั้นตอนทางกฎหมายจบไปแล้ว ทางผู้ประกอบการทุกร้าน ไม่มีสิทธิ์ที่จะดำเนินกิจการต่อไป เพราะเข้ามาบุกรุกพื้นที่ของทางราชการโดยไม่ได้รับอนุญาต หากใครดื้อดึง ไม่ยอมให้รื้อหรือขัดขืน ก็จะมีการบังคับใช้กฎหมายในการรื้อถอนโดยขอกำลังจากกองทัพภาคที่2จำนวน100นาย ชุดปราบจลาจลตำรวจภูธรภาค3อีก100นาย กองร้อยอาสาจำนวน100นาย เพื่อป้องกันเหตุร้ายที่อาจเกิดขึ้น จากผู้ประกอบการที่ไม่พอใจในการรื้อถอนดังกล่าว ทั้งนี้ กำลังฝ่ายตำรวจ-ทหาร รวมทั้งเจ้าหน้าที่ อีโอดี เข้าเคลียร์พื้นที่ไว้ก่อนแล้ว ตั้งแต่เช้ามืดของวันเดียวกันนี้ เมื่อกำลังเข้าประจำจุดรื้อถอน การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคอำเภอปากช่องจึงเข้าตัดกระแสไฟ เพื่อตัดวงจรไม่ให้ผู้ประกอบการร้านค้าได้ใช้ด้านนายวินัย กล่าวว่า ได้ให้ นายปัญญา นำเจ้าหน้าที่ทหาร ปกครอง ตำรวจ เข้าแจ้งและอธิบายแก่ แต่ผู้ประกอบการส่วนหนึ่งที่ไม่ยินยอม และไม่ยอมเก็บสิ่งของ พบว่ายังคงเปิดร้านอาหารตามปกติ เมื่อเจ้าหน้าที่เข้าไปพบตัวแทนและเจ้าของร้านอาหาร ก็มีการถ่ายคลิปวีดีโอ กลุ่มเจ้าหน้าที่เอาไว้ตลอดเวลา ส่วนร้านค้าส่วนหนึ่งยินยอมที่รื้อถอนอาคารและย้ายไปอยู่ที่รองรับซึ่งทางจังหวัดได้จัดไว้ให้ ซึ่งเป็นพื้นที่ของกรมการสัตว์ทหารบก โดยทางกองทัพบกได้อนุมัติพื้นที่ให้กับจังหวัดได้ใช้พื้นที่ ริมถนนพายพาส
เยื่องสำนักงานขนส่ง อำเภอปากช่องทั้งนี้ ผู้ประกอบการที่ไม่ยอมรื้อถอน ทางราชการจำเป็นที่จะต้องบังคับใช้กฎหมาย โดยอาศัยอำนาจ พรบ.ควบคุมอาคาร ปี2552ในการเข้าดำเนินการรื้อถอน โดยจะรื้อถอนให้เสร็จภายในวันเดียว และมีการถ่ายภาพนิ่งและภาพวีดีโอไว้เป็นหลักฐาน เมื่อรื้อถอนเสร็จแล้วก็จะนำวัสดุทั้งหมดมาเก็บไว้ที่สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย เพื่อรอเจ้าของมาติดต่อรับกลับไปซึ่งการมาติดต่อรับของกลับก็จะต้องมีค่าใช้จ่ายในการรื้อถอนให้กับทางราชการด้วย และเมื่อทำการรื้อถอนโดยถูกต้องตามกฎหมายแล้วภาย 30วันแล้วไม่มารับวัสดุดังกล่าว ทาง อบต.ก็จะมีความชอบด้วยกฏหมายที่จะขายทอดตลาดและนำเงินนั้นมาจ่ายเป็นค่ารื้อถอนได้สำหรับการรื้อถอนร้านอาหารดังกล่าว ก็เพื่อแก้ไขปัญหาการบุกรุกที่ราชพัสดุบริเวณริมอ่างลำตะคอง ที่มีมานานจนไม่สามารถแก้ไขได้ในระยะสั้น กระทั่งผู้บุกรุกได้ใจ ขยายการปลูกสร้างอาคารร้านค้าอย่างต่อเนื่อง ทางจังหวัดพยายามพูดคุยกับผู้ประกอบการร้านอาหารริมเขื่อน ให้รื้อถอนออกไปเพื่อปรับภูมิทัศน์ รอบอ่างลำตะคอง ให้เป็นที่ชมวิวและ สร้างสวนหย่อมที่สะอาดและสวยงาม แต่เจ้าของร้านต่าง ๆ ก็ไม่สนใจ จนต้องอาศัยอำนาจของกฎหมายเข้าดำเนินการดังกล่าว.“
อ่านต่อที่ :
http://www.dailynews.co.th/regional/319727
ตอบกลับ
สนับสนุน
คัดค้าน
ใช้ไอเท็ม
รายงาน
Sornpraram
Sornpraram
ออฟไลน์
เครดิต
36164
4
#
เจ้าของ
|
โพสต์ 2015-6-3 07:53
|
ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
หลักการให้อภัยกัน
โดย
วงค์ ตาวัน
กรณีผู้ประกาศข่าวสาวช่อง 7 อ่านชื่อ
พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง
ผิดพลาดอย่างน่าตกใจ แล้วต่อมาพล.ต.อ.สมยศ แสดงท่าทีไม่ถือโทษโกรธเคือง ขอให้กำลังใจให้ทำงานตามหน้าที่ต่อไป ทั้งอวยพรขออย่าได้ผิดซ้ำอีก รวมทั้งขอให้ผู้บริหารช่อง 7 อย่าลงโทษอะไรเลยนั้น
เป็นกรณีตัวอย่าง สำหรับสังคมไทยในยุคขัดแย้งแตกแยกได้ดีที่สุด
ทั้งตัวผู้ประกาศข่าวเอง ได้แสดงท่าทียอมรับความผิดพลาด ประกาศขออภัยทันที ถึงขั้นเตรียมจะไปกราบขอขมาอีกด้วย
ฝ่ายผู้เสียหายคือผบ.ตร. รีบบอกกล่าวไม่ติดใจเอาความแต่อย่างใด
"เรื่องเล็กน้อย ใครๆ ก็ผิดพลาดกันได้ทั้งนั้น ยิ่งถ้าเธอยอมรับในความผิดพลาด แสดงว่าเธอมีความรับผิดชอบในสิ่งนั้น ผมเป็นผู้ใหญ่ก็ต้องให้อภัย และให้กำลังใจให้เธอเข้มแข็งทำหน้าที่ต่อไป"
ฝ่ายหนึ่งแสดงความรับผิดชอบ
อีกฝ่าย แสดงความเป็นผู้ใหญ่ ไม่คิดเล็ก คิดน้อย!
เป็นเช่นนี้แล้ว เรื่องจึงจบลงได้อย่างสวยสดงดงาม ไม่ยืดเยื้อและไม่บานปลาย
จึงบอกว่าเป็นกรณีที่น่าศึกษา และน่าจะเป็นแบบอย่างสำหรับสังคมเรา
ยุคนี้ที่เต็มไปด้วยคนคิดเล็กคิดน้อย จะเอาชนะคะคานกันทุกอย่าง
ทั้งที่คนร่วมสังคมเดียวกันทั้งนั้น หาใช่ศัตรูคู่อาฆาตที่ต้องรบทัพจับศึกกันแต่อย่างใด
แค่ความคิดต่างกัน กลับจะอยู่ร่วมโลกร่วม แผ่นดินเดียวกันไม่ได้!
ในปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองก็ประการหนึ่ง
ในปัญหาการทำหน้าที่ของสื่อกับบุคคลที่ตกเป็นข่าว เหตุการณ์นี้ยิ่งเป็นบทเรียนตรง
แน่นอนว่า การอ่านชื่อผิดพลาดได้เกิดขึ้นแล้ว ออกอากาศไปทั่วบ้านทั่วเมืองแล้ว
แต่ชัดเจนว่า ไม่ได้เกิดจากความตั้งใจ ไม่ได้มีเจตนาจะทำลายชื่อเสียง ทั้งส่วนตัวไม่ได้มีเหตุโกรธเคืองใดๆ กันมาก่อน!!
เชื่อว่าพล.ต.อ.สมยศ พิจารณาได้เช่นนี้แล้วก็ตัดใจไม่เอาความได้ทันที
การฟ้องร้องไปมีแต่ยิ่งผลักให้กลายเป็นคู่กรณี เสียเวลาเสียเงินเสียทอง นำความบาดหมางติดตามมาอีก
แต่เมื่อให้อภัย กลับทำให้คนได้รู้ความจริง ยิ่งบังเกิดเสียงชื่นชมในพล.ต.อ.สมยศ
ลบล้างความเสียหายของพล.ต.อ.สมยศ ได้มากมายมหาศาล มากกว่ามุ่งจะฟ้องร้องเพื่อเอาผลชนะแพ้ทางคดี
ด้วยหน้าที่ของสื่อต้องนำเสนอข่าวอย่างรวดเร็ว เพื่อประโยชน์ต่อประชาชนส่วนใหญ่ ย่อมเกิดความผิดพลาดได้ทุกเวลานาที
กรณีช่อง7กับผบ.ตร. คือคำตอบว่า ทางออกเช่นนี้แหละสดสวยที่สุด!
ที่มา..
http://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php?newsid=1433264887
ตอบกลับ
สนับสนุน
คัดค้าน
ใช้ไอเท็ม
รายงาน
กลับไป
ตั้งกระทู้ใหม่
โหมดขั้นสูง
B
Color
Image
Link
Quote
Code
Smilies
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง
ลงชื่อเข้าใช้
|
ลงทะเบียน
รายละเอียดเครดิต
ตอบกระทู้
ข้ามไปยังโพสต์ล่าสุด
ตอบกระทู้
ขึ้นไปด้านบน
ไปที่หน้ารายการกระทู้
Share To Facebook
Share To Twitter
Share To Google+
Share To ...