[size=14.3000001907349px]ทั้งนี้ เราจะปฏิเสธไม่ได้เลยว่า "ลูกเทพ" มีสถานะเป็นของซื้อของขายในโลกอินเทอร์เน็ตไปเรียบร้อยแล้ว ไม่ต่างไปจากเครื่องสำอาง อาหารเสริม เสื้อผ้าเครื่องแต่งกายที่ขายกันเกลื่อนในโซเชียลมีเดีย ซึ่งตัวคุณคิงส์เองก็ยอมรับว่ามันมีการตลาดเข้ามาเกี่ยวข้อง
"ถ้าจะบอกว่าเป็นการตลาดก็คงใช่ ตั้งแต่เราเรียกว่า "ลูกเทพ" มันก็คือการตั้งชื่อให้กับของที่เราชอบ โดยหาคำที่เหมาะสม แล้วคนอื่นๆ จะได้เข้าใจตรงกันกับเรา"
โดยเฉพาะในเรื่องของราคาที่ฝ่ายตรงข้ามจะโจมตีเป็นพิเศษ เพราะมีตั้งแต่หลักพันไปจนถึงหลักแสน ซึ่ง คุณคิงส์ ได้ชี้แจงว่า "มันเป็นความชอบส่วนบุคคล" พูดง่ายๆ คือ ใครใคร่จ่ายจ่าย แต่ที่ผ่านๆ มาก็ยังไม่เคยเห็นใครซื้อตัวละเป็นแสน
"ไม่อยากให้มาโจมตีกันเพราะเข้าใจไม่ถูกต้อง ถ้าถามว่าทำไมตั้งราคาแพงขนาดนั้น ก็อยากให้เข้าใจว่ามันไม่มีผลิตในเมืองไทย ถ้าเป็นคนที่เล่นตุ๊กตาแบบนี้จะรู้ว่ามันเป็นของนำเข้า มียี่ห้อ ผลิตล็อตละไม่กี่ตัว บางทีก็เป็นรุ่นลิมิเต็ด มันก็ต้องแพงเป็นธรรมดา"
"ลูกเทพ" ในสายตานักการตลาด
คุณผรินทร์ สงฆ์ประชา เลขาธิการสมาคมผู้ดูแลเว็บไทย ในฐานะนักการตลาดผู้คร่ำหวอดในวงการอีคอมเมิร์ซ เขามองเห็นว่าปรากฏการณ์ลูกเทพจะเกิดขึ้นไม่ได้เลยหากขาดปัจจัยทั้ง 3 ประการดังต่อไปนี้
ประการแรกคือ บุคคลที่มีชื่อเสียง ดารา คนหน้าตาดีๆ ซึ่งถ้าจะพูดในเชิงการตลาดแล้วก็ต้องบอกว่าคนเหล่านี้เป็น Influencer หรือผู้มีอิทธิพลทางความคิดต่อคนอื่นๆ อยู่แล้วโดยธรรมชาติ ในกรณีของลูกเทพ เราก็จะเห็นว่ามีซเลบจำนวนหนึ่งออกมาพูดถึงพร้อมกับเล่าประสบการณ์ส่วนตัวที่เกี่ยวข้องกับลูกเทพ ทั้งในรายการโทรทัศน์ ยังไม่นับสื่อส่วนตัวอย่างแฟนเพจหรือ
อินสตาแกรมปัจจัยที่สองคือ ความต้องการแก้ปัญหาทางลัดของคนไทย ซึ่งจะเห็นได้ว่าการทำมาหากินกับดวง ผี พระ
หวยไม่เคยหายไปจากบ้านเรา จะบอกว่ามันเป็นตลาดที่ไม่เคยซบเซาก็คงไม่ผิด ด้วยเหตุที่คนส่วนมากชอบมองหาวิธีแก้ปัญหาแบบง่ายๆ ทำได้เร็ว หวังผลเร็วๆ ประกอบกับการได้ยินหรือได้ฟังบุคคลที่มีชื่อเสียงให้คำแนะนำเกี่ยวกับวิธีแก้ปัญหา ก็ยิ่งชวนให้เชื่อได้แบบสนิทใจ
และปัจจัยสุดท้าย ต้องยกเครดิตให้กับโซเชียลมีเดีย ซึ่งเป็นช่องทางการสื่อสารที่เซเลบแต่ละคนเป็นเจ้าของ และมีฐานผู้ติดตามเป็นจำนวนมาก ทันทีที่คนดังเหล่านี้โพสต์รูปลูกเทพ คนจำนวนมากก็เห็นมันได้โดยง่าย เมื่อเห็นบ่อยๆ เห็นซ้ำๆ จึงไม่แปลกอะไรเลยที่มันจะกลายเป็นกระแส
ในแง่มุมของนักการตลาด คุณผรินทร์ ระบุว่า ทั้ง 3 องค์ประกอบนี้คือกลไกสำคัญในการปั้นเรื่องใดเรื่องหนึ่งให้กลายเป็นกระแสฮิตติดลมบน จะเห็นได้ว่าเมื่อใดก็ตามที่ทั้ง 3 ปัจจัยนี้รวมตัวกัน เมื่อนั้นคือช่วงเวลาแจ้งเกิด ย้อนกลับไปในช่วง "เฟอร์บี้" ระบาด มันก็อธิบายได้ด้วยสูตรนี้เช่นกัน
ถ้าจะพูดแบบภาษานักการตลาดดิจิทัล จะเรียกปรากฏการณ์นี้ว่า "ไวรัลลูกเทพ" ก็คงไม่ผิด กระแสนี้จะค่อยๆ เงียบลงไปในไม่กี่วันข้างหน้า หากไม่มีเหตุการณ์อื่นๆ มากระตุ้น
มอง "ลูกเทพ" แบบพุทธแท้
พระมหาไพรวัลย์ วรวณฺโณ ผู้สำเร็จเปรียญ 9 ประโยค จากวัดสร้อยทองอารามหลวง เห็นว่าปรากฎการณ์ลูกเทพคือสิ่งที่บอกว่าคนไทยกับเรื่องงมงายไม่มีวันแยกจากกันได้
"พุทธกับเรื่องแบบนี้ ไปด้วยกันไม่ได้นะโยม ต้องแยกให้ชัด ใครอยากจะเชื่อจะเชื่อไป เป็นสิทธิส่วนบุคคล แต่อย่ามาอ้างหรือทำในนามของพุทธศาสนา ลูกเทพมีสถานะไม่ต่างพวกกุมารทอง มีการอ้างการอัญเชิญเทพมาอยู่ ให้คอยช่วยเหลือดูแล พูดง่ายลูกเทพก็คือกุมารทองหรือรักยม ในเวอร์ชั่น 2015 นี่เอง"
กล่าวโดยสรุปแล้ว ตุ๊กตาลูกเทพไม่ได้เป็นแค่ตุ๊กตาที่มีไว้คลายเครียดหรือแก้เหงาเหมือนตุ๊กตาบลายธ์ที่เคยเป็นกระแสไปก่อนหน้านี้หลายปี แต่มันคือการเปลี่ยนสิ่งน่ากลัวให้ดูน่ารักขึ้น ทั้งนี้ก็เพื่อผลทางการตลาด
"อาตมามองว่ามันคือปัญหา เพราะการอ้างความเป็นของศักดิ์สิทธิ์หรือลี้ลับ มันเปิดโอกาสให้คนเป็นมิจฉาชีพ หลอกลวงคนอื่น เราอย่าลืมว่าคนไทยพร้อมที่จะจ่ายอะไรให้กับของพวกนี้อยู่แล้ว ขอแค่มันเป็นสัญลักษณ์ของโชคลาภ เงินทอง เท่าไหร่ก็จ่ายได้"
สังคมไทยมีการผสมผสานระหว่าง พราหมณ์ พุทธ ผี แบบแทบจะแยกจากกันไม่ออก ในกรณีของตุ๊กตาลูกเทพก็เช่นกัน มีทั้งความเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจของผู้ครอบครอง มีทั้งการปลุกเสกหรือสวดมนต์เพื่อเพิ่มบารมีให้กับตุ๊กตา ซึ่งคนที่ทำพิธีกรรมให้ก็มีทั้งพระสงฆ์และผู้ที่ตั้งตัวเป็นกูรูด้านคุณไสย
"นั่นแหละมันคือ กลอุบาย คือความหัวหมอของคนขาย คุณไม่ตลกหรอ ที่เมืองไทยมาจนถึงขั้นที่ว่าจะกราบไหว้ขอพรตุ๊กตากันแล้ว แต่อาตมาเชื่อว่าคนไทยเห่ออะไรเป็นพักพัก พอเบื่อแล้วลูกเทพก็จะมีสถานะอะไร ไม่ต่างจากตุ๊กตาที่เด็กไม่เล่นแล้ว"
หลวงพี่ไพรวัลย์ กล่าวทิ้งท้ายไว้ว่า อยากให้คนพุทธเราใช้ปัญญาในการดำเนินชีวิต ใช้ชีวิตอย่างพุทธะ คือตื่นรู้อยู่ตลอดเวลา อย่าใช้ชีวิตแบบไสย คือครึ่งหลับครึ่งตื่น หากมารู้ที่หลังก็จะยิ่งเจ็บใจตัวเอง
เพราะต้องมาเสียทั้งทรัพย์เสียทั้งเวลาให้กับเรื่องไร้สาระ ทั้งยังกลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้ และสุดท้ายนี้...ช่วยดึงสติกันหน่อยน่า