ตั้งให้เราเป็นเว็บแรกที่คุณเลือก เก็บเราไว้เป็นเว็บโปรด
สมัครสมาชิก ได้มากกว่าที่คุณคิด เข้าสู่ระบบ
ดู: 3224
ตอบกลับ: 3
สั่งพิมพ์ ก่อนหน้า ถัดไป

พญานาคขึ้นมาขอฟังธรรมจาก “หลวงปู่แฟ๊บ สุภัทโท”

[คัดลอกลิงก์]
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย kit007 เมื่อ 2015-1-30 17:45

พญานาคขึ้นมาขอฟังธรรมจาก “หลวงปู่แฟ๊บ สุภัทโท”



จากประวัติของหลวงปู่แฟ๊บ สุภัทโท ในพรรษาที่ ๑๐ ท่านได้ไปจำพรรษาอยู่ที่ภูกิ่ว อำเภอศรีวิไล จังหวัดบึงกาฬ ในระหว่างที่จำพรรษาอยู่ที่ภูกิ่ว หลวงปู่แฟ๊บได้รับความลำบากและขัดสนในเรื่องของอาหารมาก แต่การภาวนาขณะที่อยู่ที่นี่ ท่านได้ปัญญาธรรมให้พิจารณาถึงความทุกข์ที่ทำให้ต้องวนเวียนอยู่ในวัฏฏะสงสารนี้มากมาย และมีอยู่คืนหนึ่งขณะกำลังภาวนาอยู่ พญานาค ๓ ตัวมากราบนมัสการและสนทนาธรรมกับหลวงปู่ตลอดคืน หลวงปู่ได้บอกถึงลักษณะของพญานาคที่ได้เห็นไว้ว่า มีลักษณะคล้ายงูจงอาง แต่มีขนาดตัวยาวและใหญ่มาก ประมาณต้นมะพร้าว มีเกล็ดคล้ายแก้วสีฟ้าใส มีสีสวยงามมาก

ในพรรษานั้น มีโยมจากบ้านโพนไคและบ้านจาร อำเภอบ้านม่วง ได้ตามไปนิมนต์ให้กลับมาวัดป่าดงหวาย อำเภอบ้านม่วง จังหวัดสกลนคร ดังนั้น เมื่อออกพรรษาแล้วจึงกลับมาที่วัดป่าดงหวาย

ตั้งแต่พรรษาที่ ๑๑ เป็นต้นมา การก่อสร้างศาลาของวัดป่าดงหวายยังไม่สำเร็จ เมื่อหลวงปู่แฟ๊บกลับมาที่วัดป่าดงหวายในครั้งนี้ ท่านได้ดำเนินการก่อสร้างศาลาต่อจนแล้วเสร็จ และสร้างกุฏิเพิ่มขึ้นอีกหลายหลัง แต่การปฏิบัติภาวนาของหลวงปู่ก็ไม่ได้ย่อหย่อนลงเลย การภาวนาของหลวงปู่แฟ๊บเป็นไปอย่างต่อเนื่อง มีนิมิตที่สำคัญๆ เกิดขึ้นหลายอย่าง เช่น แผ่นดินยุบเป็นเหวลึกรอบตัวจนหลวงปู่ตกไปในเหวลึก แต่ก็มีตาข่ายมารองรับตัวหลวงปู่ บางครั้งมีพายุฝน พายุลูกเห็บกระหน่ำพัดใส่ตัวหลวงปู่ บ้างก็เป็นท่อนไม้ตกใส่ตัวหลวงปู่หลายท่อน บ้างก็เป็นลมพายุหมุนพัดมาแต่หลวงปู่ก็ฝืนไม่ยอมปลิวไปตามลม

ในแต่ละครั้ง หลวงปู่แฟ๊บคิดอย่างเดียวว่า “ตายเป็นตาย” แต่เมื่อจิตถอนออกจากสมาธิ ทุกอย่างก็เป็นปกติเหมือนเดิม และมีเทวดาบ้าง รุกขเทพบ้าง หรือพวกภูมิต่างๆ บ้าง บางทีก็เป็นพวกพญานาค มากราบนมัสการขอฟังธรรมจากหลวงปู่อยู่ตลอด บางคืนถึงกับไม่ได้พักผ่อนเลย หลวงปู่เล่าว่าพวกพญานาคจะมากันเยอะมาก มาในลักษณะของคนธรรมดา เมื่อถามไปว่า “มาจากไหน”

พวกพญานาคก็ตอบว่า “มาจากเมืองบาดาล ขึ้นมาจากสระน้ำที่อยู่ภายในวัดป่าดงหวายนี้เอง”


ตลอดเวลาที่ออกธุดงค์หรือพำนักจำพรรษาในที่ต่างๆ แต่ละปี แต่ละพรรษา หลวงปู่แฟ๊บจะระลึกถึงคุณครูบาอาจารย์คือ หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี อยู่เสมอ และไปกราบนมัสการเยี่ยมเยียนท่านอยู่เป็นประจำ จนกระทั่งในพรรษาที่ ๑๑ หลวงปู่เทสก์ได้บอกกับหลวงปู่แฟ๊บว่า “อายุมากแล้วให้หาวัดอยู่ประจำได้แล้ว ที่วัดป่าดงหวายนั่นแหละ เหมาะดีแล้ว” หลวงปู่แฟ๊บรับคำจากหลวงปู่เทสก์ แต่เมื่อออกพรรษาในแต่ละปี หลวงปู่จะไปหลบปลีกวิเวกปฏิบัติภาวนาอยู่ที่ภูเกิ้ง บ้านท่าส้มป่อย อำเภอเมือง จังหวัดมุกดาหาร อยู่บ่อยๆ เพราะเป็นสถานที่สัปปายะเหมาะอย่างยิ่งสำหรับการภาวนาของหลวงปู่อีกที่หนึ่ง

การภาวนาของหลวงปู่ได้ปัญญาธรรมที่สำคัญที่สุดที่ภูเกิ้งนี่เอง เหตุเกิดขึ้นระหว่างการปฏิบัติภาวนาตามปกติ ในคืนหนึ่งได้มีแสงสว่าง ๔ ดวงลอยมาจากฟ้าแล้วลอยเข้ามาใกล้ๆ หลวงปู่ ปรากฏว่าเป็นพระ ๔ รูป แล้วก็เข้ามาจะกราบหลวงปู่ หลวงปู่ห้ามไว้ แล้วถามถึงพรรษาของพระทั้ง ๔ รูปนั้น พระ ๑ ใน ๔ รูปนั้นกล่าวว่า “พรรษาไม่เกี่ยว ธรรมะไม่ได้อยู่ที่พรรษา ธรรมะอยู่กับการปฏิบัติที่จริงจัง” จึงได้กราบหลวงปู่ แล้วก็เริ่มสนทนากับหลวงปู่

พระ ๔ รูป > “ท่านมาทำไมที่นี่ มาทำอะไรหรือ”

หลวงปู่ > “มาปฏิบัติหาธรรมะตามแนวทางของพระพุทธเจ้า”

พระ ๔ รูป > “ท่านอาจารย์มาหาธรรมะ แล้วใครเป็นผู้สอนธรรมะละ ? แล้วศาลาการเปรียญธรรมอยู่ที่ไหน ? ที่เห็นกันอยู่ทุกวันเป็นเสนาสนังเท่านั้นนะ ไม่ใช่ศาลาการเปรียญธรรมที่แท้จริงนะ”

หลวงปู่ > “ไม่รู้หรอก”

พระ ๔ รูป > “ให้หาคำตอบเอานะ แล้วจะกลับมาใหม่วันนี้ขอลาไปก่อน” แล้วหายตัวจากไป

หลวงปู่พยายามคิดหาคำตอบอยู่หลายวัน จนกระทั่งได้สวดมนต์บทธรรมจักรกัปปะวัตตะนะสูตร เมื่อสวดไปๆ เกิดปัญญารู้ถึงคำตอบที่พระ ๔ รูปได้ฝากเอาไว้ จากเนื้อหาของบทสวดนั่นเอง ในหลายคืนต่อมาพระเหล่านั้นกลับมาอีกครั่ง แต่คราวนี้มากัน ๓ รูปเท่านั้น แล้วจึงทวงถามถึงปัญหาที่ฝากไว้

หลวงปู่ > “ผู้ที่จะสอนธรรมะและศาลาการเปรียญธรรมนั้น อยู่ที่ตัวของเรา อยู่ที่ใจของเรา ธรรมะไม่ได้อยู่ที่ผู้อื่น หรือแม้แต่พระพุทธเจ้าก็ตาม เพราะท่านเพียงแค่ชี้แนะและให้คำสั่งสอน เพื่อเป็นแนวทางให้เราได้ปฏิบัติตามอย่างถูกทางเท่านั้น อยู่ที่ตัวเรานี่แหละ ที่จิตใจของเรานี่ที่ต้องมาวนเวียนอยู่ในวัฏฏะสงสารอันนี้ล่ะ”

พระ ๓ รูป > “ถูกแล้ว อาจารย์เก่งมาก ขอให้อาจารย์ศึกษาอยู่ตรงนี้ และไม่ช้าไม่นานต้องจบแน่” เมื่อกล่าวจบก็หายตัวจากไป


ในช่วงเวลาที่หลวงปู่อยู่ที่ภูเกิ้งนี้ มีเทวดามากราบนมัสการเป็นประจำ บ้างก็เป็นเด็กๆ บ้างก็เป็นผู้ใหญ่ บ้างก็มาขอบวชกับหลวงปู่ แต่หลวงปู่ไม่บวชให้ แต่กลับชวนเดินจงกรม ภาวนาด้วยกัน หลังจากออกพรรษาที่วัดป่าดงหวาย หลวงปู่จะไปปฏิบัติภาวนาอยู่ที่ภูเกิ้งตามแต่โอกาส บางทีก็ครึ่งเดือน บางทีก็เดือนหรือสองเดือน

ที่วัดป่าดงหวายยังมีนิมิตที่ทำให้เกิดปัญญาธรรมที่สำคัญกับหลวงปู่ขึ้นอีก คือ นิมิตว่าตัวเองได้ตายอีกครั้ง หลังจากที่เคยเห็นมาแล้วถึง ๓ ครั้ง เมื่อหลายปีก่อน คราวนี้เห็นว่าร่างของตัวเองนั้นแห้งไปจนเหลือแต่หนังหุ้มกระดูก กลิ่นก็ไม่มี อย่างนี้คงเก็บไว้ได้นานเป็นร้อยๆ ปีก็ไม่เน่าไม่เปื่อย เมื่อเป็นเช่นนั้นหลวงปู่จึงบอกว่า “เอ้า ! อยากตายนัก ตายไปเลย” แล้วจิตก็ถอนออกจากสมาธิ

ต่อมามีนิมิตว่า ตัวของหลวงปู่ กลางลำตัวนั้นใสไปหมดคล้ายกระจก แต่มีจุดอยู่ ๒ จุดกับมีแนวยาวๆ คั่นระหว่างจุด ๒ จุดยาวไปตามแนวของกระดูกสันหลัง หลวงปู่คิดหาคำตอบอยู่ว่าทำไมถึงเป็นอย่างนี้ สิ่งที่เห็นนี้คืออะไร พยายามหาคำตอบอยู่หลายเดือน

จนในขณะไปเดินบิณฑบาต มีผู้หญิงคนหนึ่งกำลังตั้งครรภ์แก่ ท้องใหญ่มาก มาใส่บาตร จึงคิดไปว่าคงจะเป็นลูกแฝด จึงกลับมาพิจารณาเพ่งจิตที่วัดก็เห็นเป็นเด็กตัวเล็กๆ งอตัวอยู่ หันหน้าไปทางกระดูกสันหลังของผู้เป็นแม่ แล้วก็ปรากฏเห็นการเกิดของเด็กทารกในเวลาคลอดจะกลับหัวออกมาก่อน ขณะนั้นก็เกิดปัญญาขึ้นมาว่า “นี่เอง ! ทางแห่งการเกิดนี่เอง ! จุดบ่อเกิดทางเส้นนี้จุด ๒ จุดนี้ เป็นเหตุแห่งการเกิด นี่ๆ ! ไม่สงสัยแล้วเหตุแห่งการเกิดในวัฏฏะสงสารนี้” พร้อมกับความรู้สึกแผ่ซ่านไปทั่วร่างกาย จิตใจสว่างผ่องใสเป็นที่สุด”

ในปัจจุบัน วัดป่าดงหวายได้รับความศรัทธาจากลูกศิษย์ทั้งพระภิกษุและฆราวาส เข้ามาขอความเมตตาฟังเทศน์ ฟังธรรมคำสั่งสอนและหลักปฏิบัติภาวนาเป็นจำนวนมาก หลวงปู่ก็ให้ความเมตตาอบรมสั่งสอน ให้อยู่ในศีลในธรรม ให้รู้จักปฏิบัติภาวนารักษาจิตใจให้สะอาด โดยเน้นหลักคำสอนของพระพุทธเจ้า หลวงปู่เป็นพระเถระที่เป็นพระอาจารย์ผู้ประเสริฐ เป็นนักภาวนาเป็นเอกอุ อย่างไรก็ดี แม้สังขารร่างกายของหลวงปู่จะทรุดโทรมด้วยความชราและโรคภัยต่างๆ ที่เข้ามาเบียดเบียน ก็ไม่ได้ทำให้หลวงปู่ลดความเมตตาหรือลดการปฏิบัติธรรมเจริญรอยตามพระบูรพาจารย์ลงตามไปด้วยแม้แต่น้อย หลวงปู่ยังคงปฏิบัติภาวนา เช่น เดินจงกรม นั่งสมาธิ อยู่เป็นประจำ เพื่อรักษาแนวทางการปฏิบัติของพระธุดงคกรรมฐานต่อไป


รูปปั้นพญานาค หน้าโรงแรมบ้านกะรนบุรี รีสอร์ท หาดกะรน จ.ภูเก็ต  

ที่มา http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=7&t=49054

สาธุค่ะท่าน

สาธุ สาธุ
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ลงชื่อเข้าใช้ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้