ตั้งให้เราเป็นเว็บแรกที่คุณเลือก เก็บเราไว้เป็นเว็บโปรด
สมัครสมาชิก ได้มากกว่าที่คุณคิด เข้าสู่ระบบ
ดู: 3430
ตอบกลับ: 3
สั่งพิมพ์ ก่อนหน้า ถัดไป

ปราสาทนารายณ์เจงเวง

[คัดลอกลิงก์]
ตั้งอยู่ที่บ้านธาตุนาเวง อำเภอเมืองสกลนคร ปราสาทหลังนี้มีตำนานที่กล่าวถึงการแข่งขันระหว่าฝ่ายชายและฝ่ายหญิงเพื่อแย่งชิงพระอุรังคธาตุ ในทางโบราณคดีถือว่าเป็นโบราณสถานที่สมบูรณ์ที่สุดของจังหวัดสกลนคร ขณะเดียวกันในทางดาราศาสตร์ ปราสาทหลังนี้เลือกออกแบบให้ทำมุมกวาด 90 องศาจากทิศเหนือ (Azimuth 90) โดยหันหน้าเข้าสู่ทิศตะวันออกแท้ หรือวสันตวิษุวัต (Vernal equinox) เป็นคนละสไตล์กับปราสาทเชิงชุม จากข้อมูลของกรมศิลปากรระบุว่าสร้างในสมัย “ศิลปะปาปวน” ตรงกับแผ่นดินของพระเจ้าอุทัยอาทิตย์วรมัน ที่ 2 ระหว่าง ค.ศ.1050 — 1066 (พ.ศ. 1593 — 1609) หรือช่วงต่อระหว่าง พุทธศตวรรษ ที่ 16 — 17              ปราสาท “ปาปวน” ตั้งอยู่ในบริเวณ “นครธม” ประเทศกัมพูชา เป็นต้นแบบของปราสาทนารายณเจงเวง สร้างในสมัยพระเจ้าอุทัยอาทิตย์วรมัน ที่ 2  ตัวปราสาทหันหน้าเข้าหาทิศตะวันออกแท้ หรือ วสันตวิษุวัต (Vernal equinox)            ปราสาท “นารายณเจงเวง” มาสไตล์เดียวกันกับปราสาท “ปาปวน” ที่นครธม ประเทศกัมพูชา หันหน้าเข้าหาทิศตะวันออกแท้ เพื่อให้ดวงอาทิตย์ในวัน “วสันตวิษุวัต” ส่องเข้าประตูทิศตะวันออก ในระหว่างประกอบพิธีอันศักดิ์สิทธิ์









ภาพถ่ายดาวเทียม Google Earth แสดงให้เห็นปราสาทนารายณ์เจงเวง และสระน้ำศักดิ์สิทธิ์ “บาราย” ซึ่งปัจจุบันเป็นที่ดินของประชาชน อยู่ด้านหลังตลาดสดบ้านธาตุนาเวง อำเภอเมืองสกลนคร


เปรียบเทียบความเหมือนในรูปแบบการก่อสร้างและศิลปะระหว่างปราสาทปาปวน เมืองเสียมราช ประเทศกัมพูชา กับปราสาทนารายณ์เจงเวง เมืองสกลนคร ประเทศไทย บ่งชี้ให้เห็นว่ามีแบบแผนการก่อสร้างและศิลปะคล้ายกันมาก ด้วยเหตุผลนี้กรมศิลปากรจึงให้ความเห็นว่าปราสาทนารายณ์เจงเวงอยู่ในยุคสมัยปาปวน


เปรียบเทียบศิลปะจากภาพแกะสลักหินทรายของปราสาทนารายณ์เจงเวง สกลนคร กับปราสาทปาปวน เสียมราช พบว่ามีความเหมือนกันมากแสดงว่าน่าจะสร้างในยุคสมัยเดียวกัน



ปราสาทหลังนี้มีท่อน้ำมนต์ศักดิ์สิทธิ์ “ท่อโสมสูตร” เห็นได้ชัดเจนอยู่ที่ฐานด้านทิศเหนือ โดยมีรางยื่นออกมาจากประตูหลอกทิศเหนือ และปลายท่อเป็นรูปหัวเต่า น่าจะหมายถึง   “อวตาลกอร์มะ” ของพระวิศนุ ซึ่งอยู่ในเรื่องราวของพิธีกวนน้ำอมฤต โดยพระวิศนุแปลงกายลงมาเป็นเต่ายักษ์ช่วยหนุนภูเขามันทราระ ซึ่งเป็นแกนสำหรับกวนทะเลน้ำนม ไม่ให้จมลงในทะเล
2#
 เจ้าของ| โพสต์ 2015-1-6 16:01 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้

อวตาลกอร์มะ จ้องมองไปยังดาวเหนือ เนื่องจากทิศเหนือเป็นสถานที่ตั้งเขา   พระสุเมรุ ซึ่งเป็นแกนของโลก



เข็มทิศแสดงร่องน้ำศักดิ์สิทธิของท่อโสมสูตรชี้ไปทางทิศเหนือ


          ปราสาทหลังนี้มีท่อน้ำมนต์ศักดิ์สิทธิ์ “ท่อโสมสูตร” เห็นได้ชัดเจนอยู่ที่ฐานด้านทิศเหนือ โดยมีรางยื่นออกมาจากประตูหลอกทิศเหนือ และปลายท่อเป็นรูปหัวเต่า น่าจะหมายถึง   “อวตาลกอร์มะ” ของพระวิศนุ ซึ่งอยู่ในเรื่องราวของพิธีกวนน้ำอมฤต โดยพระวิศนุแปลงกายลงมาเป็นเต่ายักษ์ช่วยหนุนภูเขามันทราระ ซึ่งเป็นแกนสำหรับกวนทะเลน้ำนม ไม่ให้จมลงในทะเล ทางออกของท่อโสมสูตรที่อยู่ภายในตัวปราสาท ด้านทิศเหนือ  พระวิศนุบรรทมอยู่บนหลังอนันตนาคราช บนซุ้มประตูหลอกด้านทิศเหนือ ข้างเดียวกับท่อโสมสูตรที่อยู่ข้างล่าง  
      ที่ตรงกลางของธรณีประตูทิศตะวันออก ยังมีรอยขีดแสดงตำแหน่งทิศตะวันออกแท้ หรือ Vernal equinox  เป็นช่องทางที่แสดงอาทิตย์ยามเช้าของวันที่ 21 มีนาคม จะผ่านเข้าไปภายในห้อง








ธรณีประตจูทิศตะวันออก GPS ชี้ที่มุมกวาด Azimuth 90 องศา หรือ Equinox



ที่พื้นหน้าประตูหลอกทิศใต้มีเส้นแสดงทิศใต้เหลืออยู่พอมองเห็นได้ เส้นนี้ตรงกับ center line ของประตูหลอก


              หากพิจารณาภูมิประเทศย้อนหลังไปถึงสมัยนั้น ปราสาทนารายณ์เจงเวงตั้งอยู่บนที่สูง สามารถมองเห็นหนองหารที่อยู่ห่างออกไปประมาณ 5 กิโลเมตรได้อย่างชัดเจน และแสงอาทิตย์ก็สามารถส่องเข้าหน้าประตูปราสาทอย่างตรงๆโดยไม่มีอะไรมาบดบัง แต่กาลเวลาผันเปลี่ยนไปความเจริญของบ้านเมืองเข้ามาแทนที่ ทำให้ภูมิประเทศถูกปรับเปลี่ยนเป็นตึกรามบ้านช่อง และสิ่งก่อสร้างนานาชนิด ภาพของปราสาทที่สร้างขึ้นโดยอิงปรากฏการณ์ทางดาราศาสตร์จึงเลือนหายไปอย่างน่าเสียดาย


       ปราสาทหลังนี้มีความเกี่ยวข้องกับเรื่องราวของพิธีกวนน้ำอมฤต เนื่องจากมีภาพแกะสลักของพระวิศนุและอวตาลกอร์มะ (เต่ายักษ์) ซึ่งเป็นความเชื่อของชาวขอมและยังตกทอดมาถึงพี่ไทยอย่างเราๆท่านๆในปัจจุบัน สนามบินสุวรรณภูมิอันอลังกาลของชาวไทยก็มีรูปปั้นขนาดยักษ์ของพิธีกรรมนี้ เพื่อความเป็นศิริมงคลแก่สนามบินของเรา น้ำอมฤตเป็นสิ่งที่บรรดาเทพและอสูรต้องการเป็นอย่างยิ่งเพราะก่อให้เกิดความคงกระพันเป็นอมตะ มีฤทธิ์เดชเหลือรับประทาน แต่ต้องใช้เวลากวนทะเลน้ำนมนานมากถึงล้านปี โดยให้ท่านพญานาคชื่อ "วาสุกรี" เป็นเชือกพันรอบภูเขา "มันทราระ" และใช้บรรดาเทพกับเหล่าอสูรช่วยกันดึงให้ภูเขาทำหน้าที่เสมือนไม้พายกวนทะเลน้ำนม อย่างไรก็ตามทั้งเทพและอสูรต่างอ่านกินกันในที เพราะวางแผนจะยึดเอาน้ำอมฤตเป็นของตนฝ่ายเดียว ในที่สุดเทพก็ชนะตามสูตรได้น้ำอมฤตไปกินโดยความช่วยเหลือของพระวิศนุ อย่างไรก็ตามระหว่างพิธีกวนทะเลน้ำนม ภูเขามันทราระทำท่าจะจมมหาสมุทร พระวิศนุจึงต้องแปลงกายลงมาเป็น "อวตาลกอร์มะ" หรือเต่ายักษ์ ทำหน้าที่หนุนไม่ให้ภูเขาจมน้ำทะเล ดังนั้นรูปปั้นพิธีดังกล่าวจึงต้องมีเต่ายักษ์ปรากฏกายอยู่ข้างล่าง



ปราสาทนารายณ์เจงเวง ได้รับการบูรณะโดยกรมศิลปากรซึ่งใช้วิธีการแบบฝรั่งเศส เรียกว่า "อนาสติโลซีส" (Anastylosis) โดยรื้อทุกชิ้นส่วนออกมาทำความสะอาด ซ่อมแซม และประกอบเข้าไปใหม่ตามเบอร์ที่กำกับไว้แต่แรก ปรากฏว่าปราสาทของเราอาจจะเข้าตำรา ซ่อมรถยนต์เสร็จยังมีชิ้นส่วนเหลือข้างนอกอีกมากโข แต่รถวิ่งได้ซะอย่าง เพราะหินจำนวนมากที่มีเป็นรูปแกะสลักสวยงามถูกกองทิ้งอยู่ใต้ต้นไม้มานานหลายปี เผลอๆอาจจะไปโผล่ที่ร้านค้าวัตถุโบราณหรือพิพิธภัณฑ์ในต่างประเทศ และเราๆท่านๆต้องไปทวงคืนเหมือกรณี "นารายณ์บรรทมสินธุ์"





         ในความเห็นของผม เทศบาลเมืองสกลของเราจะสยายปีกเป็น "เทศบาลนคร" ยังไงก็อย่าลืมหันมาจัดการเรื่องโบราณสถานอันล้ำค่าแห่งน้ีด้วย ......นะคร้าบ

http://www.yclsakhon.com/ไขความลับปราสาทนารายณ์เจงเวง.html
ขอบคุณครับ อ่านเพลินๆ แต่ข้อมูลเยอะมากๆ จำไม่หมดแต่ก็สนุกดี
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ลงชื่อเข้าใช้ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้