◎ มงคล ๓ สาย ◎
มงคล ๓ สาย ถือเปนการชักยันต์คุ้มตัววิชชาหนึ่ง ซึ่งครูฯมีหลายท่าน แลการชักลากยันต์ก็ต่างมติ พิธีการก็ต่างกันไป เรียกก็ต่างๆกัน แต่ในที่นี้จะขอยกเอาว่า อยู่ในกลุ่มวิชชามงคล ๓ สายที่หมายไว้ เท่าที่เคยได้รับเมตตาถ่ายทอด ศึกษาจากครูฯต่างๆดั่งนี้
๑ สายทางท่านหลวงพ่อจง วัดหน้าต่างนอก พระนครศรีอยุธยา อันนี้จำได้เลือนลางเต็มที จากกาลเวลาที่ล่วงมานานแลไม่ได้ปฏิบัติต่อเนื่อง
๒ ทางท่านหลวงพ่อแทน วัดเกาะแก้ว พิจิตร ตามตำรับปูมโหรหลวงใหญ่ อันเปนการสืบทอดวิชชาของขุนแผนแสนสะท้าน แบบนี้จะชักยันต์สาย๑ที่ศีรษะ สาย๑เปนสังวาลที่อก สาย๑เปนประคตเอว ต่อเนื่องกันรวม๓สาย
๓ ทางท่านอาจารย์เจ็ก สามแยกไฟฉาย ธนบุรี อันนี้เปนวิชชาทางเจ้าประคุณหลวงปู่ทอง วัดราชโยธา มีนบุรี ตำราต้นฉบับจริงตกทอดอยู่ที่ทางลูกหลานท่านเจ้าเมืองมีนบุรี มีทั้งแบบมงคล๙สายผูกขึ้น, มงคล๓สายราชประคตคาวเอว (คล้ายกับของท่านหลวงปู่เอี่ยม วัดสะพานสูง นนทบุรี) ซึ่งนอกจากใช้แต่งตัวยังใช้สำหรับเสกสำทับกะตุดคาดเอวกันการคัดตัดวิชชากัน
๔ ทางท่านหลวงตาภักดิ์ วัดไทรงาม อันนี้เปนแบบเสกประคตคาดเอว ๓สาย ท่านจะสอนเฉพาะ พระ เณรที่บวชกับท่าน ไว้ใช้ป้องกันตัว เมื่อก่อนแถววัด ควายใช้ไถนาของชาวบ้านมีมาก แถมดุๆทั้งนั้น
ทั้งนี้ เคล็ดในปฏิบัติก็ต่างกันไปตามมติของครูฯแต่ละท่าน การผูกลากชักยันต์ก็อาจเปนคนละตำแหน่ง เรียกชื่อก็ต่างกัน (ไม่มีใครถูกใครผิด) อยู่ที่ใครเรียนแล้วใช้เปน เห็นผลคุ้มตัวได้ เลือกใช้กันเองเถิดหนา ส่วนการสอนการเรียนครูฯรุ่นเก่าๆไม่มีการเรียนเล่นแบบกลางอากาศ โดยไม่มีการยกครูบอกกล่าวบุรพาจาริย์เพื่อขอประสิทธิ์วิชชาก่อน
ครูฯสอนมงคล๓สาย ของวัดราชโยธาท่าจะหายากในสมัยนี้ อันนี้ว่าถึงตัวจริงที่ได้เรียนสืบทอดกันมาแลได้รับการครอบครูอย่างถูกต้อง
ในสมัยก่อน ราวปี ๒๕๒๐กว่าๆพอจะหาได้ไม่ยากนัก โดยมากจะเปนศิษย์ท่าน อาจารย์แก้ว คำวิบูลย์ เช่น
ท่านสมภารวัดดอกไม้ ช่องนนทรี พระนคร (เจ้าอาวาสรูปก่อน)
พระอาจารย์นา วัดบางปิ้ง สมุทรปราการ เจ้าตำรับจิ้งจก
พระอาจารย์เปิ้น จำชื่อวัดไม่ได้ แถวบางพลี
อาจารย์ ณรงค์ มงคล
เอกลักษณ์อย่างหนึ่งที่เหมือนกันทุกท่านคือเสียงดังแลดุ ออกนักเลง
ที่เปนศิษย์อาวุโสของท่านเจ้าประคุณหลวงปู่ทองวัดราชโยธา ได้แก่ หลวงปู่ทองอยู่ วัดใหม่หนองพะอง สมุทรสาคร
ส่วนที่อาจารย์เจ็ก ท่านเน้นไปทางลงน้ำมันแลเหล็กจาร เรื่องมงคล๓สาย น้อยคนที่จะได้ไว้ ในผู้ที่ได้เรียนก็ได้แบบกระท่อนกระแท่นเต็มที ส่วนที่วัดราชโยธา อาจารย์เจ็กท่านตัดหาง(ปล่อยวัด)ไปตั้งแต่ประมาณปี๒๕๒๕(ถ้าจำปีไม่ผิด) เพราะท่านพบความไม่ชอบมาพากล ตอนคณะท่านไปทอดกฐินแล้วพบความไม่โปร่งใสในการใช้เงิน ในสมัยก่อนนั้น บารมีท่านอาจารย์เจ็กมากล้นจริงๆ เงินที่ไปทอดแต่ละครั้ง ประมาณกว่า๓แสนบาท เทียบในสมัยนี้ก็ราวกว่า๓ล้านบาท สมัยนั้นยังไม่มีถนนเข้าถึงวัด ขบวนกฐินต้องนั่งรถไป ต่อเรือเข้าไปที่วัด เดี๋ยวนี้อ้างตัวเปนศิษย์หลวงปู่ทองกันเสียมาก แถมปล่อยให้วัดทรุดโทรม อนาจใจจริงๆ
ส่วนที่ทางหลวงปู่ชัยโรจน์ วัดทุ่งใหญ่ ด่านช้าง สุพรรณบุรีนั้น ข้าฯไม่แน่ใจนัก ด้วยความชราภาพมากแลท่านหูดับหมดแล้ว การสื่อสารเปนไปด้วยความยากลำบากมาก
อีกแหล่งหนึ่งน่าจะได้ไว้คือท่านพระอาจารย์แม้น วัดหน้าต่างนอก พระนครศรีอยุธยา ส่วนพระอาจารย์ฟ้อนก็มรณะภาพเสียแล้ว ซึ่งทั้ง๒ท่านต่างก็เปนศิษย์หลวงพ่อจง วัดหน้าต่างนอก ท่านพระอาจารย์แม้นข้าฯไม่ได้ติดต่อท่านนานแล้ว ครั้งสุดท้ายก็เมื่อคราวตรวจค้นกุฏิหลวงพ่อจงแล้วพบกะตุดสาริกาตกค้างอยู่
อีกท่านที่มีความรู้ เปนฆราวาสที่เปนเซียนพระ คือ ท่าน อ เปี๊ยก (ปรีชา เอี่ยมธรรม) แต่ไม่ทราบว่าท่านได้รับการถ่ายทอดแลครอบจากใคร
ที่กล่าวมาคือที่พอจำได้ แลเชื่อถือได้เพราะได้สัมผัสมากับตัวเอง ส่วนที่อื่นไม่ยืนยัน
พิจารณาให้ดีเถิด พวกที่ชอบโฆษณาในอินตาเนต บางคนในสมัยปี ๒๕๒๐กว่าๆ ไม่มีอาชีพไม่รู้จะหากินอะไรก็ตั้งตนรับจ้างสักเสือทีละ๖บาท ปัจจุบันกลายเปนปรามาจารย์ใหญ่เสียแล้วสงสารเด็กรุ่นปัจจุบันจริงๆ
ทางบ้านท่าน อ เจ็กนั้น ข้าฯหาได้เข้าออกบ่อยไม่ ด้วยลูกศิษย์ที่ไปโดยมากต้องการไปลงเหล็กจารน้ำมันงา ซึ่งก็จะมีไล่เรียงตั้งแต่ยันต์ตัว๑ ไปถึงตัว๑๒ (ตัว๑ได้แก่ หนุมาน ตัว๑๒เปนพระพรหม เปนต้น) ครั้นเรื่องที่จะไปเรียนเอาวิชานั้นก็เปนเรื่องยาก เพราะจำนวนศิษย์ที่ไปมีจำนวนมาก กว่าจะลงของแล้วเสร็จ จากเช้าก็ตกไปถึงบ่ายแก่ๆจนเย็น แลท่านนั้น หาได้เน้นไปทางสอนวิชชาไม่
อีกอย่าง๑นั้น นักเลงในสมัยก่อนนั้น จะมีสัญลักษณ์ประจำสำนักของครูฯกัน บางสำนักก็จะไม่ถูกกัน เจอกันที่ไหนก็อาจมีการลองของกันทันที ทีนี้ครูบางท่านก็ไม่ถูกกับครูบางท่าน จะเอาวิชชาก็ต้องพลางตัวแอบขอเรียนกัน (อ เจ็กท่านไม่ถูก กับครูฯทางอยุธยาบางท่านของข้าฯ)
ศิษย์รุ่นแรกๆของท่าน อ เจ็กนั้น ถ้ามีชีวิตอยู่ก็ประมาณอายุสัก ๗๐ปีขึ้นเห็นจะได้ จะสักหมึกดำเปนยันต์อุณาโลมตัวใหญ่ที่นิ้วโป้งขวามือ ในรุ่นหลังจะมีขนาดเล็กลง แลตำแหน่งก็เรื่อยต่ำลงมาเรื่อยๆ จนรุ่นท้ายนั้นๆ เปนแค่จุดๆพอเปนพิธี เหล่านี้คือหมัดธนู ที่เห็นแปลกคือตัวพระคาถาปลุกนั้น จะต่างจากที่ข้าฯได้ศึกษามาจากท่าน อ ณรงค์ ผู้เปนศิษย์เรียนโดยตรงมาจาก ท่าน อ แก้ว คำวิบูลย์ โดยมีหลวงปู่ทองเปนผู้สักจุดหมึกเริ่มแก่ท่าน แล้วท่าน อ แก้วมาสักต่อเปนรูปยันต์จนครบสมบูรณ์ อันสัณลักษณ์ที่เปนหลักฐานที่ต้องมีคือรูปหงศ์คู่ เนื่องด้วยเจ้าประคุณหลวงปู่ทางท่านมีเชื้อสายมอญ (ส่วนทาง ท่าน อ เจ็กท่านเรียนครอบมาจาก อ แถว) อ แถวนั้นไม่ถูกกับท่าน อ ณรงค์ คนรุ่นเก่าๆแถวลำต้อยติ่ง รวมทั้งตำรวจโรงพักหลอแหลในสมัยนั้น จะทราบดี ว่าเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้น ข้าฯจะไม่ขอกล่าวในที่อันเปนสาธารณะนี้
ส่วน เกจิรุ่นหลังๆ ไม่อาจวิพากวิจารณ์ได้ ด้วยไม่ได้ไปคลุกกับท่าน พูดไปจะผิดมารยาท