ตั้งให้เราเป็นเว็บแรกที่คุณเลือก เก็บเราไว้เป็นเว็บโปรด
สมัครสมาชิก ได้มากกว่าที่คุณคิด เข้าสู่ระบบ
ดู: 6292
ตอบกลับ: 12
สั่งพิมพ์ ก่อนหน้า ถัดไป

เพชรพญานาค

[คัดลอกลิงก์]
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย metha เมื่อ 2014-12-12 20:18

-


ความหมายของสีเพชรพญานาค

1. สีขาว หมายถึง พลังบารมีขององค์มหาพระโพธิสัตว์ อุปทาน ให้วางจิตให้อยู่ในสายกลาง มีสติเป็นผู้รู้ (เกิดปัญญา) เท่าทันในสภาวะปัจจุบัน เกิดความใสสะอาดบริสุทธิ์ มีจิตใจเยือกเย็นหนักแน่นมั่นคงไม่หวั่นไหวง่ายๆ เหมาะกับผู้ที่มีจิตใจอ่อนไหว รวนเร ไม่มีความมั่นใจ


2. สีชมพู หมายถึง สีแห่งพลังอานุภาพเมตตามหานิยม มีความโดดเด่น สะดุดตาดึงดูดคนรอบข้างที่เกี่ยวข้อง จะทำให้คนรอบข้างเกิดความเมตตาช่วยเหลืออย่างน่าอัศจรรย์ใจ ยิ่งสีชมพูเข้มออกสดใสยิ่งมีพลังมหาเสน่ห์ดึงดูดให้เป็นที่รักใคร่เป็นที่พึงปรารถนาของคนรอบข้างอย่างน่าอัศจรรย์


3. สีเหลือง หมายถึง ความมั่งคั่งมีโชค มีลาภ มีความเจริญสดใสรุ่งเรืองดัง “ทองคำ” ที่มีคุณค่าในตัวเอง กระแสแห่งสียิ่งสีสดใสเท่าใดยิ่งมีกระแสแห่งโชคลาภ ทรัพย์สินเงินทองเปล่งประกายมากขึ้นเท่านั้น และจะได้รับการช่วยเหลืออนุเคราะห์ ทำให้หน้าที่กิจการเจริญก้าวหน้าราบรื่น
หมายเหตุ… ผู้ใดได้เพชรนาคาสีเหลืองไว้ครอบครอง จะต้องมีจิตใจที่ชอบทำบุญ ทำทานเป็นกิจวัตร ทำตามกำลังของตนเอง และต้องเป็นผู้ที่อยู่ในศีลในธรรม ยิ่งจะส่งพลังให้เพชรนาคาสีเหลืองและองค์เทพที่รักษาดูแล มีบุญบารมีเพิ่มขึ้น ซึ่งจะส่งผลมา ให้แก่ผู้ครอบครองด้วย


4. สีส้ม หมายถึง พลังแห่งการป้องกันภัยจากอันตรายต่างๆ เหมาะกับบุคคลที่กล้าทำ กล้าคิด กล้าที่จะเผชิญ และเป็นผู้ที่มีความคิดก้าวหน้า ยุติธรรม ไม่เอารัดเอาเปรียบผู้อื่น ซึ่งจะเป็นกระแสพลังที่ป้องกัน พลังที่ไม่ดีที่เข้ามากระทบ มาเบียดเบียนต้องพ่ายแพ้ไปในที่สุด มีเทพที่มีคุณธรรมดูแลรักษา


5. สีม่วง หมายถึง พลังที่มีอำนาจลึกลับยากที่จะหยั่งถึงได้ มักจะเกียวกับวิญญาณ โอปาติกะ ยิ่งสีที่เข้มจนเกือบดำไม่ต้องพูดถึง มีพลังลึกลับอานุภาพมากขึ้นเป็นทวีคูณ ป้องกันภูติผีปีศาจ คุณไสย การกระทำย่ำยีต่างๆ ให้เสื่อมสลายหายไป และเป็นสีที่สามารถดูดซับพลังอำนาจลึกลับทั้งดีและไม่ดีได้ขึ้นอยู่กับผู้ที่เป็นเจ้าของ

6. สีแดง หมายถึง สีแห่งกำลังฤทธิ์อำนาจ กล้าหาญ เด็ดเดียว ความคิดฉับไวเฉียบคม ตัดสินใจรวดเร็วตรงเป้าหมาย ทันอกทันใจ เป็นที่เคารพน่าเกรงขาม ผู้ที่ได้ครอบครอบเพชรนาคาสีแดงนี้ จะต้องเป็นผู้ที่ปฏิบัติธรรมฝึกฝนให้จิตมี “สติ” รู้เท่าทันอารมณ์ มิเช่นนั้นจะเกิดผลกระทบที่ไม่ดีเกิดขึ้น ทั้งตนเองและผู้อื่น ยิ่งเพชรนาคาที่มีสีเข้มขึ้นมากเท่าใด ยิ่งจะมีพลังมากเท่านั้น

7. สีเขียว หมายถึง ความเมตตา มีเดช มีบารมี ของเหล่าเทพ พรหม เทวดา มีพลังอำนาจลี้ลับไหลเวียนเป็นกระแสล้อมรอบตัว จึงทำให้ผู้ครอบครองแคล้วคลาดจากภัยอันตรายต่างๆ ยิ่งสีเข้มยิ่งมีอานุภาพของพลังที่สื่อผ่านเพชรนาคายิ่งมากเป็นทวีคุณ เป็นที่เคารพนอบน้อมเป็นที่น่าเชื่อถือ ไม่ว่าจะทำสิ่งใดพูดจาอะไร ที่ไม่เกินไปกว่าบุญกุศลที่ควรได้ จะสมความตั้งใจทุกประกา

8.สีดำ (สีพิเศษ) หมายถึง สีที่มีพลังอานุภาพสามารถที่จะยับยั่งอารมณ์ความคิดที่ใช้แต่อารมณ์ ทำให้มีสติ มีปัญญา มีความรู้สึกผิดชอบชั่วดีที่ถูกที่ควร เหมาะกับผู้ที่ขาดแหล่งพึงพิงทางจิตใจหรือผู้ที่มีจิตใจเลื่อนลอยเศร้าเสียใจผิดหวังท้อแท้ และมีความพิเศษก็คือ จะมีอานุภาพทางมีโชคมีลาภและ การคุมกันอันตรายทุกๆ ด้านอย่างที่คาดไม่ถึง

2#
 เจ้าของ| โพสต์ 2015-4-30 01:07 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้

การที่ผู้เขียนได้นำเสนอเรื่อง “เพชรนาคา” ธาตุกายสิทธิ์นั้น มิได้มุ่งหวังให้ท่านผู้อ่านงมงาย แต่ขอให้ท่านผู้อ่านโปรดใช้ดุลยพินิจวิเคราะห์กันเอาเองว่าจริงหรือเท็จ โดยใช้หลัก “กาลามสูตร” ที่องค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสอนให้พิจารณาการเชื่อด้วยปัญญา การใคร่ครวญอย่างมีเหตุและผล รองรับซึ่งกันและกันมีอยู่ด้วยกัน 10 ข้อ

1. อย่าเชื่อด้วยได้ฟังตามกันมา
2. อย่าเชื่อโดยลำดับสืบๆ กันมา
3. อย่าเชื่อโดยความตื่น ว่าได้ยินว่าอย่างนี้
4. อย่าเชื่อโดยการอ้างตำรา
5. อย่าเชื่อโดยนึกคาดเดาเอา
6. อย่าเชื่อโดยนัยการคาดคะเนเอา
7. อย่าเชื่อโดยตรึกตรองตามอาการ
8. อย่าเชื่อโดยชอบใจว่าต้องกับลัทธิของตน
9. อย่าเชื่อโดยผู้พูดสมควรจะเชื่อถือได้
10. อย่าเชื่อโดยนับถือว่าเป็นครูบาอาจารย์ เป็นญาติของเรา


เพราะผู้เขียนพึงเขียนนำเสนอมาจากประสบการณ์ทางจิต, การศึกษาการเรียนรู้ และคำบอกเล่าจากครูบาอาจารย์ ผู้รู้หลายท่านของผู้เขียนมาเล่าสู่กันฟัง โดยที่ผู้เขียนมิได้มุ่งหวังให้เป็นบรรทัดฐานใดๆ ที่จะบ่งบอกให้ทุกท่านใช้เป็นกฏเกณฑ์ตัดสินใจในเรื่องนี้ ต่างคนก็ต่างประสบการณ์ ขอให้ผู้อ่านจงดูเนื้อที่แท้จริงในสิ่งนั้นๆ ไม่มีหลักการใดๆ มาพิสูจน์ในเรื่องเช่นนี้ได้จริง

นอกจากบุคคลผู้นั้นได้ศึกษาเรียนรู้ถึงที่สุดแล้ว เพียงแค่ “นรก สวรรค์ ” สาวกองค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าในปัจจุบันนี้ ก็ยังมีความคิดที่แตกแยกกันไป ไม่ต้องไปกล่าวถึง “อัตตา หรือ อนัตตา ใน นิพพาน” เพราะพูดกันไปในแต่ละคนก็ยังไปไม่ถึง เพราะถ้าถึงพูดออกไปใครจะเชื่อ

การอธิบายคำบรรยายความหมายก็เกิดขึ้นมาจาก “สมมุติบัญญัติ” ว่าสิ่งนี้คือสิ่งนี้ รูปร่างหน้าตานี้คือคน หรือ รูปร่างหน้านี้คือลิง เป็นต้น จะเอาเหตุผลกลใดมาเป็นมาตราฐานได้จริง เพียงแต่สิ่งนี้เป็นการยอมรับของมนุษย์กลุ่มหนึ่งที่เป็นสัตวโลกเท่านั้น

ตอนนี้ผู้เขียนมีความเสียดายเพียงอย่างเดียว นอกเหนือจากการที่ได้สัมผัสและเห็นของจริงไม่ว่าเป็น “เพชรนาคา” ในรูปร่างลักษณะต่างๆ และแบบที่เป็นหินห่อหุ้มเพชรนาคาไว้ภายใน นั้นก็คือไม่สามารถที่จะเดินทางไปสัมผัสและถ่ายรูป ในสถานที่เก็บรักษาเพชรนาคา ในถ้ำลึกในสถานที่ต่างๆ ที่มีการพบ “เพชรนาคา” ได้

แต่บางครั้งถึงจะยืนยันในเรื่องสถานที่รูปถ่ายก็ตาม ถ้าจะมีคนที่ชั่งสงสัยตั้งข้อสงเกตุสังกามาหักล้าง หรือไปพบแต่ของปลอมที่เลียนแบบขึ้นมา และค้นหาวิธีการแยกธาตุพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ ก็เพียงจะรู้ได้แค่มีส่วนผสมเป็นแร่อะไร, โลหะชนิดไหนเพียงเท่านั้น นอกเหนือธรรมชาติจากนั้น ไม่สามารถที่จะพิสูจน์หาเหตุผลมาได้ ที่มา http://www.tamroiphrabuddhabat.com/xmb/viewthread.php?tid=653
3#
 เจ้าของ| โพสต์ 2015-4-30 01:08 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
อจินไตย..เกินความรู้

เพชรนาคาหรือเพชร 7 สีมณี 7 แสง เป็นของศักดิ์สิทธิ์มีอาถรรพ์พลังลึกลับอย่างน่าอัศจรรย์ใจ เกิดขึ้นมาด้วยบุญญาธิการแห่งการบำเพ็ญเพียรพระโพธิญาณขององค์มหาพระโพธิสัตว์ ที่ตั้งจิตอธิษฐานปราถนาที่จะได้ลงมาตรัสรู้เป็นองค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า นับว่าเป็นความยากลำบากมาก เพราะจะต้องประกอบไปด้วยการบำเพ็ญเพียรการสร้างสมบารมีให้ครบ 30 ทัศ และต้องลงมาสร้างบารมีขั้นปรมัตถบารมีอีก 10 ชาติถึงจะสมบูรณ์ทุกประการ

การสร้างบารมีบำเพ็ญเพียรนั้นจะแบ่งออกมาได้อีก 3 ประเภทคือ
1.พระพุทธเจ้าปัญญาธิกะ ต้องบำเพ็ญสร้างบารมีถึง 4 อสงไขยกำไรแสนกัป ,
2.พระพุทธเจ้าสัทธาธิกะ ต้องบำเพ็ญเพียรบารมีถึง 8 อสงไขยกำไรแสนกัป ,
3.พระพุทธเจ้าวิริยาธิกะ ต้องบำเพ็ญเพียรบารมีถึง 16 อสงไขยกำไรแสนกัป

แค่เพียงแสนกัปนั้นก็มิอาจคาดคะเนคำนวณได้ ถ้าจะนับก็เป็นล้านล้านล้านปี เป็นสิ่งที่ไม่สามารถที่จะคาดคิดคะเนได้ ที่องค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์บรมครูได้ทรงตรัสกล่าวเอาไว้ มิให้ครุ่นคิดตรึกตรองคาดคะเน เพราะเป็นเรื่อง “อจินไตย” นั้นก็คือ..พุทธวิสัย

การกำเนิดของโลก, ฌาน,กรรม เป็นต้น เพราะเกินกำลังความรู้ความคิดคาดคะเนของมนุษย์ปถุชนคนธรรมดาที่สามารถจะกระทำได้ จะทำให้เกิดเป็นบ้าใบ้เสียสติฟุ้งซ่าน เป็นความรู้ที่ไม่รู้จักจบจักสิ้น มันเป็นการสร้างโลกขึ้นมา โลกแห่งความวุ่นวายในการเวียนว่ายในวัฏสงสาร และไม่สามารถหาเหตุผลของทางโลกได้เลย

สิ่งที่สำคัญในปัจจุบัน จงระมัดระวังการเกิดเหตุของ “วิบัติ” ซึ่งจะแบ่งออกได้หลายข้อ แต่จะกล่าวถึงความ “วิบัติแห่งทิฐิ” นี้ได้แก่ความวิบัติเพราะทิฐิแห่งตน ที่เกิดมีความคิดผิดเห็นผิดของตนอันไม่ถูกต้อง เพราะไปคบค้าสมาคมกับชนมิจฉาทิฐิเข้า หรือจะเป็นเหตุแห่งการไปพบสัมผัสกับอีกภพภูมิหนึ่งๆ หรือว่าจะเป็นเพราะเหตุอื่นก็ตาม แล้วทำให้เกิดความคิดความเห็นที่วิปริตนอกลู่นอกทางจน “สติปัญญา” ของตนเอง ตามไม่ทันและไม่สามารถรู้แจ้งเห็นจริงตามสภาวะของธรรมชาติของ “เหตุและผล, เกิดและดับ”

ทำให้เกิดมีความคิดความเห็นว่า องค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่มี!เป็นเรี่องที่แต่งขึ้นมา หลัง 2,500 ปี หมดยุคพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน , ยุคนี้เป็นยุคพระศรีอาริยเมตไตรย , พระพุทธเจ้าแบ่งภาคจากพระนารายณ์ , พระอรหันต์ไม่มีในโลกนี้ , มรรคผล นิพาน นรก สวรรค์ บุญบาปไม่มี , สิ่งศักดิ์สิทธิ์เทพพรหมเทวดาไม่มีจริง , คำสอนในศาสนาไม่มีคุณค่าไม่สามารถที่จะทำให้โลกมีสันติได้ , ตายแล้วสูญ ! ไปกันใหญ่แล้ว

เพียงแค่ตนเองเกิดมาทำไม อยู่เพื่ออะไร ทำไมจะต้องเกิด แก่ เจ็บ ตาย หาคำตอบให้ตนเองได้ไหม! จนทำให้เกิดมีความคิดเห็นที่ไม่เข้าท่าเข้าทาง เลยทำให้ไม่มีความศรัทธาจิตที่จะเลื่อมใส ไม่มีโอกาสที่จะปฏิบัติตามกระแสพระพุทธฏีกาธรรมะ อันหลุดพ้นจากกองทุกข์ทั้งปวงที่หาได้ยากในโลกนี้ หรือไม่ก็นำไปปฏิบัติได้ให้เกิดผลเพียงนิดหน่อย ก็คิดเข้าข้างตนเองหลงตนเองไปเปลี่ยนแปลงธรรมะคำสั่งสอนขององค์สัมมาสัมพุทธเจ้าไปเสียนี้ นี้แหละที่เรียกว่า “วิบัติทิฐิ” ที่ต้องประสบความฉิบหายอย่างใหญ่หลวงแห่งชีวิตของตนทั้งที่ได้เกิดมาพบกับพระพุทธศาสนา

ถึงแม้สมเด็จบรมศาสดาจารย์จะเสด็จปรินิพพานไปนานแล้วก็ตาม แต่ศาสนธรรมคำสั่งสอนของพระองค์ยังปรากฏอยู่ และถ้าประพฤติปฏิบัติตาม “มรรคแปดประการ” โลกย่อมไม่ว่างเว้น “พระอรหันต์” หรือเป็นแนวทางที่พาให้ตนเองก้าวพ้นสู่อบายภูมิโดยมี “นรก, ภูมิสัตว์เดรัจฉาน” เป็นที่ตั้ง ย่อมถือได้ว่าพ้นแล้วแห่งความวิบัติความฉิบหายอย่างใหญ่หลวงแล้วในชาตินี้ ย่อมไม่เสียชาติที่เกิดมาทนทุกข์ทรมาน
4#
 เจ้าของ| โพสต์ 2015-4-30 01:09 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ตำนานการก่อกำเนิดเพชรนาคา

นับย้อนหลังนานแสนนานไปในสมัยพุทธกาลแห่งองค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า "กัสสโป" ซึ่งได้ลงมาตรัสรู้พระโพธิญาณเพื่อรื้อขนสัตว์ข้ามห้วงวัฏฏะสงสารในมหาภัทรกัปนี้ (ที่มีพระพุทธเจ้าลงมาตรัสรู้ 5 พระองค์ พระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันเป็นองค์ที่ 4) ทำให้เกิดความสั่นสะเทือนกึกก้องไปทั่วหมื่นโลกธาตุอนันตจักรวาลด้วยพระบารมีแห่งพระโพธิญาณองค์มหาพระโพธิสัตว์

เกิดเหตุการณ์อัศจรรย์บังเกิด “ฝนโบกพรรษ” ตกลงมา ใครใคร่ให้เปียกก็เปียกใครใคร่ไม่เปียกก็ไม่เปียก ด้วยพระบุญญาธิการแห่งองค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้ากัสสโป เมื่อได้ตกลงมาสู่พื้นพสุธาบางส่วนได้ประมวลตัวรวมธาตุดึงดูดธาตุทั้งสี่ คือ ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม ธาตุไฟ จนบังเกิดก่อกำเนิดเป็น “เพชรเจ็ดสีมณีเจ็ดแสง” ธาตุกายสิทธิ์ขึ้นมา มีรัศมีสว่างไสวเปล่งประกายรัศมีถึง 7 สี ส่องแสงสว่างไปทั้งกลางวันและกลางคืนนับเป็นเวลา 7 วัน 7 คืน

รัศมีแห่งเพชรเจ็ดสีมณีเจ็ดแสงนี้ ส่องสว่างครอบคลุมจนไปถึงนครใต้บาดาล ดลบันดาลทำให้เกิดแสงสว่างเป็นรัศมี 7 ประกา รกลบรัศมีแสงสว่างอัญมณีพลอยอันมีค่าต่างๆ ที่อยู่ในนครบาดาลทั้งหมด จนเกิดความแตกตื่นโกลาหลไปทั่วทั้งนครบาดาล จนเหล่านาคีนาคาผู้ที่มีฤทธิ์ ต่างหาสาเหตุต่างๆ นาๆ ถึงเหตุการณ์อันอัศจรรย์ใจนี้

จนทำให้กษัตริย์ผู้ครองเมืองนครบาดาลทั้ง 7 เมืองนามว่า “พญานาคราชสุนันโท” กษัตริย์ผู้เป็นใหญ่ผู้ครองเมืองนครบาดาล ที่มีเหล่าบริวารนาคีนาคาผู้มีฤทธิ์อำนาจกำลังแห่งตนมากมายนับไม่ถ้วน ได้ใช้กำลังบุญฤทธิ์ของตนอธิษฐาน ขอให้รู้ถึงสาเหตุของปรากฏการณ์อัศจรรย์ใจในครั้งนี้

ด้วยเหตุของกำลังบุญฤทธิ์ที่ได้สร้างสะสมมานานในสมัยอดีตที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ได้พบพระพุทธศาสนาและได้บวชเรียนเป็นพระภิกษุสาวกแห่งองค์สมเด็จสัมมาสัมพ ุทธเจ้าในอดีตกาล ซึ่งได้ตั้งจิตอธิษฐาน จะขอทะนุบำรุงรักษาพระพุทธศาสนา ก่อนที่จะละสังขารตายลง (ขอเว้นในเหตุของกฏแห่งกรรมที่ทำให้กำเนิดเป็นพญานาคผู้มีฤทธิ์)

ด้วยเหตุนี้เองทำให้ล่วงรู้ถึงการก่อกำเนิดแห่ง “เพชรเจ็ดสีมณีเจ็ดแสง” ด้วยอำนาจผลบุญบารมีแห่ง พระโพธิญาณขององค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า และรู้ถึงหน้าที่ของตนเองที่ได้อธิษฐานเอาไว้ พญานาคราชสุนันทโทผู้เป็นใหญ่ได้แสดงฤทธิ์อำนาจ แทรกแผ่นดินขึ้นมาพร้อมกับเหล่าบริวารทั้งหลาย ขึ้นมาสู่พื้นปัฐพีมาดูต้นเหตุอัศจรรย์อันที่ทำให้เกิดความอัศจรรย์ไปทั่วพื้นพิภพใต้บาดาล

ท่านพญานาคราชสุนันโทได้มีคำสั่งให้เหล่าบริวารทั้งหลาย ต่างแสดงฤทธิ์อานุภาพอัญเชิญไปเก็บรักษาเพื่อประโยชน์ต่อพระพุทธศาสนาสืบต่อไป เหล่านาคีนาคาบริวารทั้งหลายต่างก็อัญเชิญไปเก็บตามถ้ำตามภูเขา หมวดหมู่ที่พวกตนได้สิ่งสถิตย์พักอาศัยอยู่

ส่วนหนึ่งก็ได้นำดินสีต่างๆ มาพอกหุ้มเพชรนาคาหรือเพชรเจ็ดสีมณีเจ็ดแสงเอาไว้ เพื่อให้รอดพ้นจากสายตาหรือน้ำมือจากพวกมนุษย์ ใจคิดคดไม่อยู่ในศีลในธรรม หรือจากเหล่าเทพพรหมที่เป็นมิจฉาทิฐิ ให้เห็นเป็นเพียงก้อนดินก้อนหินธรรมดา อีกกลุ่มหนึ่งได้นำไปไว้ในถ้ำที่ลึกลับ ที่ยากจะเข้าไปได้นำไปประดิษฐสถานเอาไปไว้ในแอ่งน้ำต่างๆ ภายในแต่ละถ้ำที่เห็นสมควร พร้อมกับทั้งอธิษฐานบดบังรัศมีแห่งแก้วนี้เสีย จนรอเมื่อถึงเวลาที่จะต้องทำประโยชน์ต่อพระพุทธศาสนาสืบต่อไป
5#
 เจ้าของ| โพสต์ 2015-4-30 01:09 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
หลวงปู่เทพโลกอุดร เกี่ยวข้องกับเพชรนาคา

ตามความเป็นจริงแล้ว ผมไม่ต้องการที่จะกล่าวถึง หลวงปู่เทพโลกอุดร หรอกนะครับ แต่มีเหตุที่เกี่ยวข้องกับเรื่อง “เพชรนาคา” ที่ผมได้รับและสัมผัสเป็นครั้งแรก ถ้าไม่กล่าวถึงเลยมันก็จะข้ามขั้นตอนไปเสียในความเป็นจริงที่เกิดกับตัวผมเอง และที่สำคัญผมเคารพสักการะบูชาหลวงปู่เป็นครูบาอาจารย์

ในวันหนึ่งผมเดินทางไปพบพี่จิม (นามสมมุติ) ที่บ้าน เพราะว่าพี่จิมได้บูชาเพชรนาคามาจากบุคลท่านหนึ่งก่อนหน้านี้หลายปี ผมได้อ่านข่าวที่ลงทางหน้าสื่อพิมพ์เกี่ยวกับเพชรพญานาคว่า เป็นการหลอกลวงเรียกเงินกันเป็นแสนๆ ว่าเป็นของศักดิ์สิทธิ์เป็นของอาถรรพ์ จึงทำให้ผมไม่ค่อยจะเชื่อถือเท่าใดนัก นี้นับเป็นครั้งที่จะได้เห็นของจริง

เมื่อได้สัมผัสเห็นของจริงแวบ..แรกที่สัมผัสเห็น ภายในจิตบอกว่าเป็นของศักดิ์สิทธิ์ แต่ในความที่ผมได้อ่านข่าวคราวมา มันเลยทำให้จิตผมขุ่นมัวต่อต้านอยู่บ้าง ผมจึงขออนุญาตินั่งเข้าสมาธิสัมผัสดู ช่วงจังหวะนั้นเองปรากฏเห็นภาพหนึ่งขึ้นมา เห็นเป็นลักษณะมองเห็นทิวยอดไม้เห็นภูเขาสูง เหมือนดึงซูมภาพเข้าไปจนถึงปากถ้ำ เมื่อมองลงไปด้านข้างภูเขามองเห็นสายน้ำไหลคดเคี้ยวยาวมากอยู่พื้นดินด้านล่าง ก่อนที่จะเข้าไปในถ้ำผมถอยออกมาจากสมาธิเสียก่อน เพราะไม่แน่ใจว่าจะเกิดอะไรขึ้น
6#
 เจ้าของ| โพสต์ 2015-4-30 01:10 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
รูปร่างสัณฐานสีสันของเพชรนาคา

"เพชรนาคา" หรือ "เพชรเจ็ดสีมณีเจ็ดแสง" นั้น มีรูปร่างหลายสัณฐานหลายขนาดหลายสีสัน เพชรนาคาสามารถที่จะแบ่งออกได้เป็น 3 สัณฐานใหญ่คือ

1. สัณฐานลูกรักบี้ จะมีรูปร่างกลมยาวเรียวหัว-ท้ายเรียวมนคล้ายหัวจรวด จะมีความยาวประมาณตั้งแต่ 2-3 ซ.ม.จนถึง 9-10 ซ.ม. สามารถแบ่งเป็นประเภท
1.1 เป็นเพชรนาคา ,
1.2 เป็นเหล็กไหลชนิดดูดติดเหมือนแม่เล็ก หรือแบบดูดไม่ติด

2. สัณฐานเหมือนพลอยหลังเบี้ย จะมีรูปร่างสัณฐานแบ่งออกได้อีก 2 แบบคือ
2.1. รูปกลม (แฮมเบอเกอร์) จะมีรูปลักษณะทรงกลมตรงกลางจะนูนขึ้นมาดังหลังเบี้ยทั้งสองด้าน ด้านข้างจะสามารถมองเห็นคล้ายขอบรอยเชื่อมของเพชรนาคา จะมีขนาดเส้นผ่าศูนย์ตั้งแต่ 7 มิลลิเมตรถึง 1 ซ.ม.กว่าๆ
2.2. รูปวงรี จะมีรูปทรงเป็นวงรีตรงกลางจะนูนขึ้นมาดังหลังเบี้ยทั้งสองด้าน จะมีขนาดตั้งแต่ 5 มิลลิเมตรจนกระทั่งมีความถึงยาว 1-2 นิ้ว

3.สัณฐานกลมแบบลูกแก้ว จะมีลักษณะกลมเป็นลูกแก้ว แต่สังเกตุดูดีๆ แล้วบางเม็ดจะมีรอยขอบ รอบๆ มีตั้งแต่ขนาดเม็ดเท่าปลายนิ้วก้อย ( ประมาณ 1 ซ.ม.) จนถึงขนาดเท่าไข่ไก่

4.สัณฐานพิเศษที่หายาก จะมีคือ..
4.1 ลักษณะลูกสมอจันทน์ จะมีลักษณะออกจะกลมคล้ายดังลูกแก้ว เหมือนกับสัณฐานกลมหลังเบี้ยแบบที่ 2.1 จะมีขนาดใหญ่เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณเกือบ 2 ซ.ม. หรือขนาดเท่านิ้วหัวแม่โป้ง
4.2 ลักษณะเป็นเขี้ยวแก้ว จะมีลักษณะรูปทรงสัณฐานเป็นเขี้ยว จะมีความยาวประมาณหนึ่งข้อนิ้วก้อยนิดๆ จนกระทั่งมีความยาว 6 - 7 นิ้ว
4.3 ลักษณะรูปหยดน้ำ จะมีลักษณะรูปทรงคล้ายหยดน้ำขนาดใหญ่ประมาณปลายนิ้วก้อย
4.4 ลักษณะเป็นฟันกราม จะมีลักษณะรูปทรงคล้ายฟันหน้าหรือฟันกรามของคน จะมีส่วนที่ยื่นออกมาดังรากฟัน จะมีหลายขนาดทั้งฟันกรามเล็กฟันกรามใหญ่
4.5 ลักษณะรูปหัวใจ
4.6 ลักษณะรูปดอกบัว
4.7 ลักษณะรูปหงอนพญานาค
4.8 ลักษณะเป็นไข่

ซึ่งเพชรนาคานั้นจะมีสีสันที่สวยงามส่องแสงเป็นประกายมาก ยิ่งเอาไปส่องด้วยแสงไฟจะส่องเป็นประกายสีถึง 7 สี และจะมีความมันเงาแวววาว บางสัณฐานภายในคล้ายกับมีน้ำหล่อเลี้ยงอยู่ หรือคล้ายกับมีดวงตาซ้อนอยู่ภายใน แต่ส่วนใหญ่ที่เห็นได้ชัดเจนนั้น จะเป็นสัณฐานเหมือนพลอยหลังเบี้ย จึงนับว่าแปลกอัศจรรย์เป็นอย่างมาก

มีผู้ที่มีความชำนาญในการดูพลอยบอกว่า ถ้าพลอยดีชั้นดีเวลาส่องดูจะเห็นเป็นแถบสายรุ้ง ถ้าเป็นพลอยรองลงมาเวลาส่องดูจะเห็นเป็นประกายของสี ทั้ง 7 สี เมื่อนำเพชรนาคานำมาส่องดู (แบบสัณฐานที่2)บางเม็ดด้านหนึ่งส่องดูเห็นเป็นแถบสี พอพลิกดูอีกด้านหนึ่งส่องดูเห็นเป็นประกายสีเหมือนมีชีวิต เป็นเรื่องที่แปลกประหลาดมาก

ซึ่ง หลวงปู่พวง สุวีโร วัดป่าปูลูสันติวัฒนา จ.อุดรธานี ได้เล่าให้ฟังว่า ลูกศิษย์ท่านได้นำไปตรวจสอบตรวจดูที่ต่างประเทศ ซึ่งผลปรากฏว่ามีคุณค่าเกือบจะเท่าอัญมณี แต่ก็ถือว่าเป็นแร่รัตนชาติชนิดหนึ่งที่มีคุณค่า

การแบ่งสีสันของเพชรนาคานั้น สามารถที่จะแบ่งออกได้ 3 ประเภทก็คือ

1. สีอ่อนแต่ใส
2. สีเข้ม
3. สีเข้มออกโทนเทาดำ

จะมีอานุภาพพลังที่แตกต่างกันไป ตามสีสันและตามขนาดสัณฐานด้วย ยิ่งออกเป็นสีในประเภทที่ 3 ยิ่งมีพลังลึกลับอาถรรพ์เพิ่มมากขึ้น

การแบ่งตามวรรณะตามโทนสีของ "เพชรนาคา" สามารถแบ่งออกได้คือ

1. สีน้ำเงิน วรรณะกษัตริย์
2. สีฟ้าน้ำทะเล วรรณะเชื้อพระวงศ์
3. สีเขียว วรรณะนักบวช, ผู้ทรงศีล
4. สีแดง วรรณะนักรบ,ขุนพล
5. สีม่วง วรรณะขุนนาง
6. สีขาว วรรณะ กลาง
7. สีเหลือง,สีส้ม,สีชมพู วรรณะทั่วไป

7#
 เจ้าของ| โพสต์ 2015-4-30 01:10 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
การอธิษฐานจิตบูชา

การอธิษฐานจิตบูชา ”เพชรนาคา” นั้นมีเครื่องสักการะบูชา
1. ธูป 5 ดอก ,
2. เทียน 2 เล่ม ,
3. พวงมะลิหรือพวงมาลัย

จุดธูปเทียนตั้ง ”นะโม 3 จบ ,ท่องไตรสรณคม , อาราธนาศีล 5 , บทพุทธคุณ , ธรรมคุณ , สังฆคุณ และคาถาบูชา โอม อุ อะ มะ นะ โม พุท ธา ยะ ยะ สะ สุ มัง” ต่อด้วยการตั้งจิตอธิษฐานตามที่ต้องการ (ไม่เกินกำลังของกฏแห่งกรรม)

หมายเหตุ : แต่ในเว็บ suvannaka.com แนะนำว่า..เมื่อได้รับ "เพชรพญานาค" หรือ "วัชรธาตุเพชรนาคา" มาแล้ว ให้นำไปแช่ในน้ำมนต์ก่อน แล้วเช็ดด้วยผ้าขาวสะอาด ก่อนนำใส่พานหรือผอบ บูชาด้วยธูป 10 ดอก เทียนขาว 10 เล่ม ดอกดาวเรืองหรือดอกไม้อะไรก็ได้ที่พอจะหาได้จำนวน 10 ดอก ผลไม้ 5 อย่าง

"เพชรพญานาค" หรือ "วัชรธาตุเพชรนาคา" ให้วางใส่พานเล็กๆ หล่อด้วยน้ำไว้ในที่อันควร แล้วตั้งจิตอธิฐานบูชา จะนำมาซึ่งความร่มเย็นเป็นสุข มีความเจริญรุ่งเรือง และมีโชคลาภกับทุกท่านที่ครอบครอง คาถาบูชา ตั้ง นะโม 3 จบ แล้วกล่าว คัด-สะ-มะ-อุ-มะ ทุกวันพระบูชาด้วยน้ำผลไม้ ถวายพวงมาลัย และถวายน้ำมะพร้าวอ่อน
ต้องการทำนำมนต์ โดยการหาขันใส่น้ำสะอาด อัญเชิญ ”เพชรนาคา” ลงแช่ในน้ำ พร้อมกับการจุดธูปเทียนบูชาท่องคาถา พร้อมกับสำรวมกายวาจาใจให้สงบนิ่งสักอึดใจหนึ่ง แล้วตั้งจิตอธิษฐานด้วยความแน่วแน่ตั้งมั่นจบด้วยบทแผ่เมตตา เมื่อสำเร็จสมหวังดังที่ได้อธิษฐานทุกครั้ง จะต้องทำบุญใส่บาตร, ถวายสังฆทาน, ถวายพระพุทธรูป เป็นต้น อุทิศถวายให้ ”พระแม่ธรณี,หลวงปู่เทพโลกอุดร, ปู่ทวดนาคราชสุนันโท, นาคานาคีเงือกบริวารทั้งหลาย ตลอดจนเจ้ากรรมนายเวรเป็นที่ตั้ง” ซึ่งจะเป็นการสร้างกุศลผลบุญบารมีไปในตัว

การอธิษฐานเพชรนาคา 9 สี นำมาบรรจุรวมกันในภาชนะเดียวกัน แล้วอธิษฐานและหมุนตามเข็มนาฬิกา คือหมุน 1 ครั้งป้องกันภัย , หมุน 2 ครั้งป้องกันภูติผีปีศาจ , หมุน 3 ครั้งขอโชคลาภ , หมุน 4 ครั้งสะท้อนป้องกันสิ่งไม่ดี ( ป้องกันการทำร้ายจากศัตรู ) , หมุน 5 ครั้งป้องกันสัตว์เลื้อยคลาน , หมุน 6 ครั้งรักษาโรค , หมุน 7ครั้ง ครอบครัวอยู่เย็นเป็นสุข ( สามี,ภรรยารัก ) , หมุน 8 ครั้งถ้าไม่สบายรักษาตนเอง , หมุน 9 ครั้งชนะศัตรูหมู่มาร

หลังจากเสร็จสิ้นจากการที่นำเพชรนาคาติดตามตัวเช่น เป็นเครื่องประดับเป็นหัวแหวน, เป็นจี้ห้อยคอ, เป็นสร้อยข้อมือก็ตาม หรือนำมาบูชาเอาไว้ที่บ้าน ควรที่จะจัดหาพานรองรับตามความเหมาะสม วางผ้าแดงผ้าขาวรองพื้นก่อนที่นำเพชรนาคา หรือเครื่องประดับที่มีเพชรนาคาวางลงบนพาน และจัดหาขันหรือถ้วยใส่น้ำสะอาดโรยมะลิร่วงวางบูชาไว้ตรงด้านหน้าพานที่วางบรรจุเพชรนาคาอยู่ ควรจะเปลี่ยนน้ำสะอาดทุกวันหรือวันเว้นวันตามความเหมาะสม

น้ำที่วางบูชาเพชรนาคานี้เป็นน้ำมนต์ที่มีพลังอานุภาพ ใช้ดื่มกินอาบราดทั่วตัวไล่สิ่งไม่ดีสิ่งไม่ดีเสนียดจัญไรที่มาเกาะติดตามตัวเรา เพื่อเป็นสิริมงคลเป็นเกราะคุ้มกันปกป้อง พร้อมระลึกขอบารมี "ปู่ทวดนาคราชสุนันโท" กำหนดเห็นเป็นรูปองค์พญานาคมาขดล้อมรอบตัวของเรา ส่องแสงสว่างเป็นรัศมีกระจายรอบตัวประมาณ 1 วา หรืออาจจะหาขันหรือภาชนะที่ใส่น้ำสะอาด พร้อมขันหรือภาชนะเล็กที่ลอยน้ำได้เพื่อนำเพชรนาคาหรือเครื่องประดับมีเพชรนาคาวางอยู่ในขันหรือภาชนะที่ลอยน้ำได้
8#
 เจ้าของ| โพสต์ 2015-4-30 01:11 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
บ่งบอกลักษณะผู้เป็นเจ้าของ

“เพชรนาคา” นั้นสามารถบ่งบอกลักษณะนิสัยหรือข้อติดขัด (วาระกรรม) ของผู้ที่ครอบเป็นเจ้าของ เพราะธาตุกายสิทธิ์นี้ เมื่อได้เลือกผู้ใดบุคคลใด จะเชื่อมกำลังบารมีซึ่งกันและกัน คล้ายดังเป็นดวงจิตเดียวกัน มีพลังอำนาจที่จะบ่งบอกจุดบกพร่องจุดที่จะต้องพัฒนา เพื่อยกระดับภูมิจิตภูมิธรรมและเพื่อแก้ไขสภาวะกรรมที่เป็นอกุศลที่ได้ตามติดมาจากอดีตที่จะส่งผลในชาติปัจจุบันนี้ (ไม่เกินกฎแห่งกรรมที่หนัก)

ที่สำคัญเพชรนาคานี้สามารถ “ขยายโตใหญ่และเล็กลงได้ เกิดความขุ่นใสเปลี่ยนสีได้” ตามระดับภูมิจิตภูมิธรรมของผู้ที่ครอบครองประพฤติปฏิบัติอยู่ในศีลในธรรมแค่ไหน เพชรนาคามีพลังงานของธรรมชาติที่สะสมประมวลธาตุมานานหลายล้านล้านปีประมาณมิได้ ย่อมสามารถที่จะ “เปิดสภาวะกรรม” ให้รู้ให้เห็นได้ และมีพลังที่สามารถลดกระกรรมหนักให้สลายเป็นเบาได้

แต่ไม่สามารถที่จะเปลี่ยนแปลงสภาวะกฏแห่งกรรมได้ นอกจาก “จิต” ผู้เป็นเจ้าของต้องเป็นผู้พฤติปฏิบัติในแนวทาง “ศีลอริยะมรรค” ก่อกำเนิดพลัง “โลกุตระ” ยกภูมิจิตยกภูมิธรรมให้จากอบายภูมิมีสัตว์และสัตว์เดรัจฉาน เป็นการ “อโหสิกรรม” กันไป
9#
 เจ้าของ| โพสต์ 2015-4-30 01:14 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
แก้วนาคราช หรือ "ปัฐวีธาตุ" จากลำน้ำโขง
......ธาตุกายสิทธิ์อีกชนิดนึ่งที่พบได้ในบ้านเรา กายสิทธิ์ชนิดนี้เป็น "หินแก้ว" ที่เกิดอยู่ภายใต้ลำน้ำโขง กายสิทธิ์ชนิดนี้แหละครับที่เราจัดว่าเป็น "เพชรพญานาค" โดยแท้เพราะมีอิทธิฤทธิ์สูงส่งมาก ครูบาอาจารย์ที่มีญาณสื่อกับพญานาคได้ ท่านจะนำเอาหินชนิดนี้มาทำการเสกอธิฐานให้เป็นของที่มีฤทธิ์เพิ่มขึ้นตามใจปราถนา ฝากให้พญานาคท่านช่วยดูแลคุ้มครองผู้ที่ได้รับ

ธาตุกายสิทธิ์ชนิดนี้ไป ผู้ที่ได้ฌานได้ญาณหลายท่านเมื่อนั่งตรวจดูด้วยทางใน ก็มักพบว่ามีเทพยดาที่เป็นนาคราช หรือพญานาครักษาดูแลอยู่ แม้ว่าเป็นหินที่อาจหาพอได้ตามแม่น้ำลำธารแต่ก็ประมาทไม่ได้ ในธรรมชาตินั้นมีสิ่งที่เราไม่รู้ไม่เห็นเสมอดั่ง เช่น "หินแก้วใต้น้ำ" หรือที่เรียกกันว่า "ปฐวีธาตุ"

ลักษณะของ "ปฐวีธาตุ" นั้นมีรูปร่างกลมบ้าง แบนบ้าง บางชิ้นเรียวยาวเป็นรูปลักบี้ และมักมีลัษณะมน เนื่องจากถูกกระแสน้ำพัดกลิ้งไปมาอยู่โดยตลอด อำนาจจากกระแสน้ำได้ทำการเจียหิน กลึงหิน ด้วยอำนาจจากธรรมชาติจึงทำให้หินแก้วเหล่านี้มีลักษณะกลมมน ดูแล้วสวยงามอย่างน่าอัศจรรย์ บางชิ้นอาจมีรูปทรงที่ไม่แน่นอน สีขาวใสคล้ายสาคู โปร่งแสน บางชิ้นก็ขาวขุ่น ใครเห็นแล้วก็จะรู้สึกชอบในรูปร่างของธาตุกายสิทธิ์ชนิดนี้ทันที

บางท่านอาจเรียกว่า "เพชรพญานาค" ซึ่งก็ไม่ผิด เพราะสิ่งนี้มีญาณพญานาครักษาดูแลอยู่ ในความเป็นจริงเราอาจพบปฐวีธาตุหรือหินปก้วใต้น้ำได้จากหลายๆ สถานที่ แต่สำหรับสถานที่ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นแก้วใต้น้ำที่มีคุณภาพดีที่สุด ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดต้องเป็นหินแก้วใต้น้ำที่มาจากแม่น้ำโขงเท่านั้น ทั้งนี้เพราะแม่น้ำโขงเป็นเวียงวังของเหล่าบรรดา "นาคราช" ทั้งปวง เป็นสายน้ำแห่งความศักดิ์สิทธิ์

หินปฐวีธาตุนี้ ถือว่าเป็นกายสิทธิ์จากเมืองบาดาล เป็นบริวารของดวงแก้วบรมจักรพรรดิ บางชิ้นนี้มีกายทิพย์ชั้นจุลจักรรักษา บางชิ้นมีกายในเป็นพระมหาจักรพรรดิ บางชิ้นมีกายในเป็นพระบรมจักรพรรดิ์ก็มี ต้องให้ผู้ที่ได้ตาใน หรือได้ธรรมกายตรวจสอบดูจึงทราบได้แน่ชัด

นอกจากนี้กายสิทธิ์จากลำน้ำโขง ปฐวีธาตุยังถือว่าเป็นกายสิทธิ์ที่มีพลานุภาพจากธาตุน้ำ หรือเด่นในอาโปธาตุ ผู้ที่บูชาจะพบกับความร่มเย็นเป็นสุข และเกิดความอุดมสมบูรณ์แก่บุคคลผู้นั้น เพราะตามธรรมชาติธาตุน้ำ เป็นธาตุแห่งความอุดมสมบูรณ์ และยังมีอำนาจทางเส่นห์เมตตามหานิยมอย่างยอดเยี่ยมด้วย

แก้วกายสิทธิ์จากลำน้ำโขง ที่เรียกว่า "ปฐวีธาตุ" นี้นับว่าเป็นแก้วจักรพรรดิชนิดนึง ที่ให้คุณทางด้าน บันดาลลางสังหรณ์ บันคาลความสำเร็จ ความร่มเย็นเป็นสุขแก่ผู้ที่มีไว้ในครอบครอง เป็นวัตถุธาตุที่เป็นตัวกลางในการสื่อสารกับพญานาคได้ ผู้ที่ได้สมาธิจิตมีศีล สมาธิ ปัญญาอันอบรมดีแล้วท่านั้นจึงสามารถครอบครองกายสิทธิ์ชนิดนี้ได้ และสามารถนำกายสิทธิ์ชนิดนี้มาอธิฐานจิต เพื่อประกอบการกุศลได้ด้วย

"แก้วปฐวีธาตุ" หรือ "แก้วนาคราช" นี้ถือว่าเป็นดวงแก้วที่มีตัว คำว่า "มีตัว" ในภาษาชาวบ้านนั้นหมายถึงมีชีวิต มีจิตใจจิตวิญญาณอยู่ภายในนั้นเอง สามารถแสดงฤทธิ์ด้วยตัวเองได้ ดูเป็นของตายแต่ที่จริงเป็นของมีชีวิต หากดวงแก้วนาคราชเห็นว่าผู้ใดไม่ควรอยู่ด้วยท่านก็จะเสด็จหนีหายไป แต่หากปฏิบัติดีปฏิบัติชอบท่านย่อมบันดาลสิ่งดีๆ ให้เกิดขึ้น รวมทั้งอาจทำให้องค์อื่นๆ เสด็จมาเพิ่มอีกอย่างน่าอัศจรรย์ยิ่ง

ทั้งหมดนี้เป็น "ตำนานแก้วนาคราช" โดย. ป๊อก เชลซี ทิพยจักร
ที่มา - หนังสือธาตุกายสิทธิ์พิชิตโรค


10#
 เจ้าของ| โพสต์ 2015-4-30 01:16 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
"มณีใต้น้ำ เพชรพญานาค"
เป็นหินที่อยู่ใต้ลำน้ำโขง หรือ ตามถ้ำริมแม่น้ำโขง
......จากเรื่องราวของแก้วมังกรหรือแก้วกายสิทธิ์ของนาคราชแห่งเมืองบาดาล เรื่องราวของธาตุกายสิทธิ์ที่เป็นแก้วสารพัดนึก แก้วกายสิทธิ์อันหาได้ยาก เรื่องราวที่เล่าขานจากรุ่นปู่รุ่นย่าถึงอภินิหารแห่งของกายสิทธิ์ชนิดนี้ แต่ในเวลาต่อมายุคเงินตราเป็นใหญ่ เรื่องราวหลายเรื่องของธาตุกายสิทธิ์อันวิเศษ


เรื่องราวของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ ก็ได้ถูกคนกลุ่มหนึ่งนำเอาเรื่องราวเหล่านี้มาเป็นช่องทางในการทำมาหากิน โดยอาศัยความเชื่อของคนเราที่มีต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์มาเป็นช่องหากำไร อย่างเหล็กไหลจนกระทั่งมาถึงเพชรพญานาคของล้ำค่าแห่งนาคโลก

ตามที่มาของแก้วกายสิทธิ์จากเมืองบาดาลนี้ตามแต่โบราณหรือที่มาในยุคต้นๆ นั้นของเพชรพญานาคมาจากการที่ทางวัดพระธาตุมหาชัยได้มีการพบแก้วปะกำหรือเพชรพญานาค โดยมีญาติโยมบางท่านนำมาถวายและได้ทำการบรรจุไว้ในเจดีย์พระธาตุมหาชัย เรื่องราวในครั้งนั้นได้จุดประกายเรื่องราวเพชรเมืองบาดาลให้ตื่นเต้น และยังทำให้หลายท่านต้องการครอบครอง

ต่อมาไม่นานได้มีข่าวของฆราวาสนักบุญผู้หนึ่ง ซึ่งมีการให้บูชาเพชรพญานาคของดีจากเมืองบาดาล โดยมีเจ้าศรีสุทโธเป็นผู้อนุญาตให้นำออกมาสู่โลกมนุษย์ได้ เพื่อจะได้คนศรัทธามาทำบุญกันทราบว่า เมื่อแรกนั้นเพชรพญานาคก้อนนึงตกราคาเป็นแสน ทั้งนี้มีข้อมูลอีกว่าได้มีการจำแนกสรรพคุณของเพชรกายสิทธิ์ล้ำค่านี้ตามสีสันที่พบเจอ โดยแบ่งออกเป็น ๗ - ๙ สี ดังนี้ คือ

การแบ่งตามวรรณะตามโทนสีของเพชรนาคา สามารถแบ่งออกได้คือ
1. สีนำเงิน วรรณะกษัตริย์
2. สีฟ้าน้ำทะเล วรรณะเชื้อพระวงศ์
3. สีเขียว วรรณะนักบวช,ผู้ทรงศีล
4. สีแดง วรรณะนักรบ,ขุนพล
5. สีม่วง วรรณะขุนนาง
6. สีขาว วรรณะ กลาง
7 .สีเหลือง, สีส้ม, สีชมพู วรรณะทั่วไป


ความหมายตามสีสันของเพชรนาคา ก็คือ

1. สีขาว หมายถึง พลังบารมีพุทธคุณหรือบารมีขององค์มหาพระโพธิ ที่ได้ทรงบำเพ็ญเพียรถือศีลภาวนาปฏิบัติธรรมลดละกิเลสตัณหาอุปทาน ให้วางจิตให้อยู่ในสายกลางไม่มีบุญไม่มีบาป มีสติเป็นผู้รู้(เกิดปัญญา)เท่าทันในสภาวะปัจจุบัน เกิดความใสสะอาดบริสุทธิ์ มีจิตใจเยือกเย็นหนักแน่นมั่นคงไม่หวั่นไหวง่ายๆ เหมาะกับผู้ที่มีจิตใจอ่อนไหวรวนเรไม่มีความมั่นใจ

2. สีแดง หมายถึง สีแห่งกำลังฤทธิ์อำนาจ กล้าหาญเด็ดเดียวความคิดฉับไหวเฉียบคมดุดัน ตัดสินใจรวดเร็วตรงเป้าหมายทันอกทันใจ เป็นที่เคารพน่าเกรงขาม ผู้ที่ได้ครอบครอบเพชรนาคาสีแดงนี้จะต้องเป็นผู้ที่ปฏิบัติธรรมฝึกฝนให้จิตมี ”สติ” รู้เท่าทันอารมณ์ มิเช่นนั้นจะเกิดผลกระทบที่ไม่ดีเกิดขึ้น ทั้งตนเองและผู้อื่น

- สีแดงเป็นสีที่บ่งบอกถึง ”โทสะจริต” ที่มีความต้องการให้ทันอกทันใจรวดเร็ว บางครั้งไม่เป็นตามที่เราต้องการก็จะเกิดอารมณ์โมโหโกรธขึ้นมานี้ละตัวร้าย ยิ่งเพชรนาคาที่มีสีเข้มขึ้นมากเท่าใดยิ่งจะมีพลังทางลบมากเท่านั้น มันจะเผาผลาญทั้งกายและจิตใจให้เกิดความหม่นหมองมืดมัวเศร้าสร้อยไปทางทุคติที่ไม่ดี

2.1.สีแดงพิเศษ…จะมีเฉพาะเม็ดขนาดใหญ่จัมโบ้ รูปวงรีความยาวประมาณ 3 ซ.ม.ขึ้นไป จะเป็นสีที่พลังอานุภาพฤทธิ์อำนาจสูงกว่าสีปกติมาก เพราะจะเป็น”เพชรนาคาสีแดงขอบดำ ครูบาอาจารย์บอกว่า ”เป็นพลังอนันตจักรวาล”

- ผู้ที่สามารถที่จะครอบครองได้ จะต้องเป็นผู้ที่มีบุญวาสนาบารมีที่ได้สร้างสมมาจากอดีตชาติไว้มาก หรือและต้องเป็นผู้ที่มี ”จิต” เป็นฤทธิ์เดชตบะมหาอำนาจที่ฝึกฝนมาทางนี้ มิเช่นนั้นไม่สามารถที่จะรองรับพลังอานุภาพของเพชรนาคาที่มีพลังอนันตจักรวาลได้

3.สีเขียว หมายถึง อำนาจจิตที่มีความเมตตาเย็นกายเย็นจิต มีเดช ตบะบารมีของผู้ทรงธรรมที่มีจิตสัมผัสทางโลกลี้ลับเหล่าเทพพรหมเทวดา มีพลังอำนาจลี้ลับไหลเวียนเป็นกระแสล้อมรอบตัว ทำให้จิตมีความสงบเยือกเย็นมั่นคงแคล้วคลาดจากภัยอันตรายต่างๆ

- ยิ่งสีเข้มยิ่งมีอานุภาพของพลังที่สื่อผ่านมาจากเพชรนาคาจนเย็นยะเยือก เป็นที่เคารพนอบน้อมเป็นที่น่าเชื่อถือไม่ว่าจะทำสิ่งใดพูดจาอะไร เป็นเหตุที่เกิดมาจากการบำเพ็ญเพียรตบะบารมี”สัจจะอธิษฐาน”ที่ไม่พูดปดมดเท็จหลอกลวงตลบแตลง และเป็นสีของกายทิพย์ผู้เป็นจอมเทพใหญ่ในสวรรค์ชั้นฟ้าทรงช้างเอราวัณ 3 เศียรที่มีอำนาจฤิทธานุภาพจ้าวแห่งสรวงสวรรค์แห่งสวรรค์ชั้นดาวดึงส์

4. สีเหลือง หมายถึง ความนุ่มนวลมีสง่าราศีสีที่แสดงถึงความมั่งคั่งมีโชคมีลาภไหลมาเทมา มีความเจริญสดใสรุ่งเรืองดัง ”ทองคำ” ที่มีคุณค่าในตัวเอง กระแสแห่งสียิ่งสีสดใสเท่าใดยิ่งมีกระแสแห่งโชคลาภทรัพย์สินเงินทองเปล่งประกายมากขึ้นเท่านั้น เป็นกระแสที่ทำให้น่าเกรงขามเคารพศรัทธาในความมีสง่าราศีดังเจ้าขุนคุณนายเจ้าพระยาผู้มีศักดิ์มีศรี จะได้รับการช่วยเหลืออนุเคราะห์สงเคราะห์ทำให้หน้าที่กิจการเจริญก้าวหน้าราบรื่น

- หมายเหตุ… ผู้ใดได้เพชรนาคาสีเหลืองไว้ครอบครองจะต้องมีจิตใจที่ชอบทำบุญทำทานเป็นนิจวัตร มีน้อยทำน้อยมีมากเท่ามากตามกำลังของตนเองและต้องเป็นผู้ที่อยู่ในศีลในธรรม ยิ่งจะส่งผลให้เกิดกระแสแห่งทานบารมีที่บริสุทธิ์ส่งเสริมพลังเพชรนาคาสีเหลืองและองค์เทพที่รักษาดูแลมีบุญบารมีเพิ่มขึ้น



ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ลงชื่อเข้าใช้ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้