ตั้งให้เราเป็นเว็บแรกที่คุณเลือก เก็บเราไว้เป็นเว็บโปรด
สมัครสมาชิก ได้มากกว่าที่คุณคิด เข้าสู่ระบบ
ดู: 13340
ตอบกลับ: 29
สั่งพิมพ์ ก่อนหน้า ถัดไป

ความศักดิ์สิทธิ์ของ..พระแท่นดงรัง

[คัดลอกลิงก์]

สาระความรู้


ความศักดิ์สิทธิ์ของ..พระแท่นดงรัง



เมื่อเอ่ยชื่อ “พระแท่นดงรัง” คิดว่าคนไทยโดยเฉพาะพุทธศาสนิกชนคงจะเคยได้ยินชื่อและไปนมัสการหรือไปเที่ยวชมสถานที่แห่งนี้มาแล้ว

พระแท่นดงรัง ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของเขาถวายพระเพลิง ตำบลพระแท่น อำเภอท่ามะกา จังหวัดกาญจนบุรี ห่างจากตัวจังหวัดประมาณ 38 กิโลเมตร หรือถ้านับจากกรุงเทพฯ ก็เพียง 100 กิโลเมตรเศษๆ ไม่ถึง 110 กิโลเมตร ถือว่าอยู่ใกล้ไปมาสะดวกทีเดียว

พระแท่นดงรังแห่งนี้นับเป็นปูชนียสถานที่มีประชาชนนิยมนับถือมากแห่งหนึ่งไม่แพ้พระพุทธบาทที่จังหวัดสระบุรี เพระเหตุว่าผู้คนพากันเชื่อว่าพระพุทธเจ้าได้เสด็จมาปรินิพาน ณ สถานที่แห่งนี้ ทั้งนี้ เพราะลักษณะภูมิประเทศที่รายล้อมพระแท่นมีลักษณะและม้ายคล้ายคลึงกับสถานที่ที่พระพุทธเจ้าเสด็จเข้าสู่พระนิพพาน ในประเทศอินเดียเป็นอย่างมาก กล่าวคือ มีแท่นบรรทมและต้นรังคู่หน้าวิหารพระแท่น แต่ปัจจุบันนี้ต้นรังที่ว่านี้ไม่มีแล้ว

สิ่งก่อสร้างที่พบในบริเวณพระแท่นดงรัง ยังไม่มีหลักฐานใดเป็นเครื่องยืนยันแน่ชัดว่าสร้างขึ้นในสมัยใด แต่จาก “นิราศพระแท่นดงรัง” ของสามเณรกลั่น ซึ่งแต่งขึ้นเมื่อคราวตามสุนทรภู่ไปนมัสการพระแท่นดงรังเมื่อ ปี 2376 เขียนไว้ว่า

“ถึงพระแท่นแสนสงัดเห็นวัดมี    ทั้งโบสถ์ที่ครอบพระแท่นแผ่นศิลา
กับต้นรังทั้งคู่ยังอยู่พร้อม              ดูยอดน้อมเข้ามาข้างแท่นที่แผ่นผา
ต่างชื่นชมโสมนัสยิ่งศรัทธา          ตามบิดาทักษิณด้วยยินดี
เข้าประตูดูแผ่นพระแท่นดัง          เหมือนบัลลังก์แลจำรัสรัศมี”


นอกจากมีพระแท่นดังรังประดิษฐานอยู่ในวิหารพระแท่นซึ่งตั้งอยู่เชิงเขาสูงกว่าพื้นดินประมาณ 1 เมตรแล้ว ด้านในของกำแพงแก้วทางมุมตะวันออกเฉียงเหนือ ของวิหารพระแท่น มีวิหารเล็กๆ เรียกกันว่า “วิหารพระอานนท์” และในบริเวณใกล้เคียงกันนี้แต่อยู่ทางด้านนอกกำแพงแก้วเป็นที่ตั้งของ “วิหารพระทรมานกาย” ซึ่งเป็นที่เก็บพระพุทธรูปปางทุกข์กิริยา

ด้านหลังของพระแท่นมีหินซึ่งมีลักษณะคล้ายบ่อน้ำ กว้างประมาณ 20 ซม. และลึกประมาณ 75 ซม. เป็นสถานที่ที่คนทั่วไปเรียกว่า “ที่บ้วนพระโอษฐ์”

ทางทิศตะวันตกของวิหารพระแท่น มีภูเขาเล็กๆ เรียกว่า “เขาถวายพระเพลิง” ส่วนที่สูงที่สุดของภูเขาประมาณ 55 เมตรจากระดับน้ำทะเล มีบันไดก่ออิฐถือปูนเป็นขั้นๆ ลาดตั้งแต่เชิงเขาถึงยอดเขานับได้ 94 ขั้น ยอดเขามีมณฑป 12 เหลี่ยมกว้างยาวประมาณ 3 วา ยอดมณฑปแหลมคล้ายพระเมรุ มีประตู 2 ประตู

ภายในวิหารทางทิศตะวันออกของพระแท่นมีหินอยู่ก้อนหนึ่งซึ่งกล่าวกันว่าเป็นที่บดยาถวายพระพุทธเจ้า ชาวบ้านที่มานมัสการพระแท่นดงรังใช้ก้อนหินนี้เป็ฯที่บดยารับประทานกันเป็นจำนวนมาก บางคนก็นำสมุนไพรมาบดแล้วนำกลับไปฝากญาติพี่น้องก็มี

ภายในบริเวณป่ารังซึ่งอยู่ห่างจากพระแท่นไปทางทิศใต้ประมาณ 200 เมตรมีบ่อลึกอยู่ 1 บ่อ ปากบ่อก่อด้วยอิฐโบราณเป็นคันสำหรับกั้นดินพังทับปากบ่อ มีเรื่องเล่าต่อกันมาว่าบ่อแห่งนี้เป็น “ปล่องพญานาค” สำหรับพญานาคจะขึ้นมานมัสการเชิงตะกอนที่ถวายพระเพลิงพระพุทธเจ้าบนเขาถวายพระเพลิงแต่ครั้งโบราณ

ถ้าท่านได้มีโอกาสไปนมัสการพระแท่นดงรังระหว่างหน้าเทศกาล ซึ่งจัดประมาณกลางเดือนสี่ทุกปี คงจะนึกประหลาดใจอยู่มิใช่น้อย ที่เห็นผู้คนจากทุกภาคของประเทศหลั่งไหลกันมาบูชาพระแท่นจนดูประหนึ่งว่าคนเหล่านี้จะพากันมาชมงานมหกรรมครั้งมโหฬาร

เพราะเหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น

หากใช้ความสังเกตให้ดีแล้วจะพบว่า โดยส่วนรวมของคนไทยเป็นจำนวนมากยังมีความเลื่อมใส ศรัทธา ในสิ่งศักดิ์สิทธิ์และของขลังแล้วจะมีผู้เลื่อมใสเป็นอันมาก

พระแท่นดงรังก็คงจะไม่พ้นกรณีนี้ไปได้

สาเหตุแห่งความเลื่อมใสศรัทธาของประชาชน น่าจะเกิดขึ้นเพราะเสียงเล่าลือกับความศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ ดังที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงบันทึกเรื่องอภินิหารของพระแท่นไว้ว่า

-ชาวอินเดียคนหนึ่งที่มาเที่ยว ได้ขึ้นไปนอนเล่นบนพระแท่นได้ถึงแก่ความตายเพราะเลือดออกทางปากและจมูก

-น้ำจากที่บ้วนและโอษฐ์เป็นน้ำศักดิ์สิทธิ์รักษาโรคตาแดงได้

-หินบดยาที่อยู่ในศาลานอกกำแพง ถ้านำไปบดใบไม้ ไม่ว่าจะเป็นชนิดใดก็ตามใบไม้ที่บดจะกลายเป็นยาทั้งสิ้น

-น้ำมันที่ตามตะเกียงในพระวิหารพระแท่น ก็เป็นน้ำมันมนต์ไม่ว่าจะทาแผลที่ใดเป็นหายหมด

-เวลาขึ้นเขาถวายพระเพลิง ถ้านับขั้นบันไดได้เท่าใด ผู้นั้นก็จะมีอายุเท่ากับขั้นบันไดที่นับได้

-หลังมณฑปที่บนเขาถวายพระเพลิง จะเป็นบริเวณเมืองลับแล ถ้าเดินออกไปแล้ว จะหาทางกลับมายังที่เดิมไม่ได้

ในปัจจุบันความเชื่อในสิ่งศักดิ์สิทธิ์และของขลังของคนลดน้อยลงแต่มันก็มิได้หมายความว่า จะมีผลพลอยให้ความศรัทธาของคนลดตามลงมาด้วยจำนวนผู้คนที่พากันไปนมัสการพระแท่นดงรังมีแต่จะเพิ่มจำนวนมากขึ้นทุกปี และสาเหตุสำคัญที่ทำให้ปูชนียสถานแห่งนี้ทรงความศักดิ์สิทธิ์อยู่ได้ตลอดมา คงจะเป็นด้วยพระแท่นดังนี้ สมมติเป็นเสมือนที่นิพพานของพระพุทธเจ้าที่สามารถน้อมนำจิตใจพุทธศาสนิกชนให้รำลึกถึงพระพุทธประวัติตอนปัจฉิมกาลได้เป็นอย่างดี และในประเทศไทยก็มีสถานที่เช่นนี้เพียงแห่งเดียวเท่านั้น คือ พระแท่นดงรัง

ปัญหาจึงอยู่ตรงที่ว่า ชาวกาญจนบุรีจะทำประการใดที่จะทำให้สังเวชนียสถานแห่งนี้ คงอยู่ในสภาพเดิมได้นานเท่านาน เพื่อรักษาระดับความศรัทธาของประชาชนให้คงอยู่เช่นนี้ตลอดไป



http://webboard.yenta4.com/topic/122174
2#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-11-19 07:45 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
"พระร่วงวัดพระแท่นดงรัง"




..มีคนเป็นคนจำนวนมากเชื่อว่า อำนาจของพระพุทธคุณที่มีอยู่ในพระเครื่อง สามารถคุ้มครองให้ผู้สวมใส่ แคล้วคลาดจากภัยอันตรายทั้งปวงได้อย่างน่าพิศวง


พระพุทธคุณในพระเครื่องก็ยังจำแนกแยกออกได้อีกหลายประการ อย่างเช่นพระสมเด็จวัดระฆัง คนทั่วไปเข้าใจว่า ใครก็ตามหากสวมใส่พระสกุลดังกล่าว มักจะแคล้วคลาด ปลอดภัยและไม่ตายโหง



ในความเป็นจริงแล้วหาได้เป็นเช่นนั้นไม่ ผู้เชี่ยวชาญในวงการพระเครื่องคนหนึ่ง บอกกับผมว่า พระสมเด็จวัดระฆังไม่ได้มีพระพุทธคุณถึงเพียงนั้น


"พระเครื่องไม่ใช่เครื่องรางของขลังชนิดครอบจักรวาล พระเครื่องสกุลหนึ่งก็มีพระพุทธคุณอย่างหนึ่ง แต่คนทั่วไปมักจะเข้าใจว่าพระเครื่องเป็นของวิเศษ หามาใส่องค์เดียวก็จะดีไปเสียทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นโชคลาภ แคล้วคลาด คงกระพันชาตรี คนที่จะใช้พระเครื่องจะต้องศึกษาเรื่องนี้ให้ถ่องแท้ อย่าได้สับสนเป็นอันขาด"



            พระร่วงเป็นพระที่มีลักษณะค่อนข้างใหญ่ รูปทรงขององค์พระแลดูไม่สวยงาม ดังนั้นพวกที่นิยมห้อยพระเพื่อ "แฟชั่น" จึงมองข้ามพระร่วงไปอย่างน่าเสียดาย


จังหวัดลพบุรีถือเป็นจังหวัดที่มีการขุดพบพระร่วงมากที่สุด สถานที่ขุดพบพระร่วงได้แก่ วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ



ซึ่งสันนิษฐานว่าสร้างขึ้นในสมัยที่ขอมยังเรืองอำนาจ หรือเมื่อประมาณ พ.ศ.1600
พระร่วงที่ขุดพบเป็นพระร่วงพิมพ์หลังลายผ้า นับว่าเป็นต้นตระกูลของพระเครื่องสกุลพระร่วงทั้งปวง
เนื้อขององค์พระเป็นตะกั่วสนิมแดง อายุประมาณ 800-900 ปี


  ประสบการณ์จริงคนถูกผีหลอก





ศิลปะขององค์พระที่ปรากฏ


พระร่วงหลังลายผ้า เป็นพระเครื่องพิมพ์เดียวที่ช่างศิลปะแห่งเมืองละโว้ได้สร้างขึ้น เป็นพระเครื่องที่ผู้พบเห็นจะเกิดความน่าเกรงขาม
พระพุทธคุณของพระเครื่อง


...........สำหรับพระพุทธคุณของพระร่วงหลังลายผ้า ในแวดวงนักเล่นพระต่างยกย่องว่า พระสกุลดังกล่าวมีพระพุทธคุณในทางคงกระพันชาตรี
พระร่วงกรุทั่วไป

จังหวัดลพบุรีนั้นเป็นเมืองที่มีความเก่าแก่ มีการสร้างและบรรจุพระเครื่องไว้แทบจะทุกอาณาบริเวณ
ดังที่เรามักจะพบว่ามีการขุดพบพระเครื่องกรุเก่าตามสถานที่ต่างๆ อยู่เนืองๆ เป็นต้น


-วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ
-โรงเรียนช่างกล
-กรุวิหารกรอ
-กรุวิหารคต
-กรุเจดีย์เล็ก
-กรุวัดไผ่แหลม
-กรุวัดปืน
-กรุวัดใหญ่
-กรุถ้ำมหาเถร
-กรุวัดอินทราราม


...........ในสนามพระเครื่องเมื่อกล่าวถึงพระร่วงหลังลายผ้า กรุวัดพระศรี ฯ ถ้าหากสภาพสวยจริงๆ

(และเป็นพระแท้) ราคาที่เช่าหากันจะสูงถึงหลักล้านเลยทีเดียว


เซียนพระคนหนึ่งแนะนำคนที่คิดจะเล่นพระ "หลักแสน-หลักล้าน" ผ่านผมด้วยความหวังดีว่า
"อย่าไปสนใจเลย พระเครื่องที่ดังๆ และมีราคาแพง น่ากลัวจะตายไป ใส่ก็ต้องคอยระวังตัว ไม่มีความสุข สู้หาพระเครื่องดีๆ ที่ราคาไม่แพงมาใส่ดีกว่า เรื่องพระพุทธคุณก็ไม่ได้แตกต่างกันเลยแม้แต่น้อย และยังแน่ใจอีกด้วยว่าเป็นพระแท้ ไม่ใช่พระปลอมหรือพระเลียนพิมพ์"
สำหรับสถานที่เช่าพระเครื่องหรือวัตถุมงคล เซียนพระคนนั้นบอกว่า


"ไปเช่าตามศูนย์พระเครื่อง หรือหากมีเวลาก็ไปเช่าที่วัด ราคาอาจจะไปไกลสักหน่อย แต่ตัดปัญหาเรื่องพระปลอมออกไปเลย หากว่ามาเช่าถึงวัดแล้วเจอพระปลอม ก็ไม่รู้จะพูดอย่างไรอีกแล้ว"


............ประสบการณ์พระเครื่อง ซึ่งเกิดกับคุณลุงแถว สีนวล ปัจจุบันอายุ 73 ปี ทำให้เราได้ทราบว่า พระเครื่องจะขลังหรือไม่นั้น สิ่งสำคัญอยู่ที่ความเชื่อมั่นของผู้ใส่ (บางคนเรียกว่าใช้พระเครื่อง ซึ่งผมเห็นว่าเป็นการใช้คำพูดที่ไม่เหมาะสม เพราะคนธรรมดาจะ "ใช้" หรือ "สั่ง" ให้พระเครื่องทำสิ่งนั้น ทำสิ่งนี้เป็นเรื่องที่ไม่บังควรเป็นอย่างยิ่ง)
บ่ายวันนั้นลุงแถว สีนวล ได้เดินทางไปทำธุระในตัวจังหวัดกาญจนบุรี ชายวัย 73 ปีไม่ได้เฉลียวใจเลยว่า วันนี้เขาจะพบกับเหตุการณ์ที่ตัวเขาหวิดจะเอาชีวิตไปทิ้ง !



"รถที่ลุงนั่งมานั้นเป็นรถส่งน้ำอัดลม ทีแรกก็ว่าจะนั่งรถเครื่อง แต่พอดีเจอคนรู้จักเขาชวนขึ้นรถก็เลยขึ้น ตอนที่อยู่บนรถก็ไม่ได้มีลางบอกเหตุว่าจะเกิดอะไรขึ้น จนกระทั่งรถวิ่งข้ามสะพาน ซึ่งพวกชาวบ้านเรียกว่าสะพานผีสิง สะพานแห่งนี้มีคนตายเป็นประจำ ตอนนั้นรถขับมาเร็วมาก ...........ลุงได้ยินเสียงคนกระซิบที่ข้างๆ หูว่า ระวังให้ดีรถกำลังจะคว่ำ ความรู้สึกในขณะนั้นเหมือนรถกำลังเสียหลัก คนขับประคองรถไม่อยู่ ลุงแน่ใจว่ารถจะต้องคว่ำอย่างแน่นอน ตอนนั้นนึกถึงพระเครื่องที่เราห้อยอยู่เป็นประจำ ซึ่งเป็นพระร่วง สร้างและปลุกเสกโดยหลวงพ่อทองดำ อดีตเจ้าอาวาสของวัดพระแท่น จังหวัดกาญจนบุรี



ตอนที่รถมันพลิกคว่ำคิดว่าเราคงจะตายอย่างแน่นอน เพราะรถมันตีลังกาหลายตลบ เสียงมันดังเหมือนกับฟ้าผ่า จากนั้นลุงก็เหมือนกับฝันไป ในความฝันลุงเดินไปตามทางแคบๆ ซึ่งสองข้างทางมีหมอกควันฟุ้งกระจาย เบื้องหน้ามีสะพานข้ามคลองเล็กๆ เมื่อมองไปก็เห็นคนแต่งชุดแดง 4 คนยืนอยู่ ท่าทางดุร้าย น่ากลัว


ลุงจึงคิดจะหันหลังกลับ แต่เหมือนกับมีคนมาดึงเอาไว้ จากนั้นก็ได้ยินเสียงคนพูดขึ้นว่า เจ้ามันหมดอายุขัยแล้ว ถึงเวลาที่เจ้าจะต้องชดใช้เวรกรรมที่ทำเอาไว้ ตอนนั้นลุงเข้าใจว่าลุงตายไปแล้ว แต่ในความเป็นจริงลุงยังไม่อยากตาย ...........ลุงนึกถึงพระเครื่องที่ห้อยอยู่บนคอ จากนั้นได้ตั้งจิตอธิษฐานขอให้ท่านช่วยลุงด้วย



พวกพญายมทั้ง 4 ที่กำลังเดินมารับตัวลุงต่างหยุดชะงัก จากนั้นก็ได้พูดขึ้นว่ามันมีของดีติดตัวมาด้วย สงสัยว่าจะเอาวิญญาณมันไปไม่ได้เสียแล้ว จากนั้นพญายมทั้ง 4 ก็เดินกลับไป หมอกควันเริ่มหนาขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งลุงเริ่มหายใจไม่ออก รู้สึกแน่นหน้าอก จึงได้ไอออกมา
ในเวลานั้นได้ยินเสียงคนพูดขึ้นว่า ลุงรู้สึกตัวแล้ว ลุงไม่เป็นอะไรแล้ว ไม่น่าเชื่อว่าแกจะฟื้นขึ้นมาได้จริงๆ พอลุงลืมตาก็เห็นพวกชาวบ้านคนรู้จักเต็มไปหมด"


ลุงแถวประสบอุบัติเหตุ แกหมดสติไปถึง 2 วัน 2 คืน หมอลงความเห็นว่าลุงแถวอาจจะหลับไปอย่างไม่มีวันตื่น เพราะสมองได้รับความกระทบกระเทือนอย่างแรง แต่ปาฏิหาริย์ก็มีจริง ลุงแถวกลับฟื้นขึ้นมา โดยที่ตามเนื้อตัวไม่มีร่องรอยของบาดแผลปรากฏให้เห็นแม้แต่น้อย

............ลุงแถวมั่นใจว่าแกได้เสียชีวิตไปแล้ว แต่ด้วยอำนาจของพระเครื่องที่แกสวมใส่อยู่เป็นประจำ ทำให้แกรอดปลอดพ้นจากเงื้อมือของมัจจุราชอย่างเฉียดฉิว พระร่วงหลังรางปืนที่ลุงแถวห้อยอยู่บนคอตลอดเวลา วัดพระแท่นดงรัง จังหวัดกาญจนบุรี สร้างและปลุกเสกโดยหลวงพ่อทองดำ อดีตพระเกจิฯ ดังของจังหวัดกาญจนบุรีนั่นเอง  


http://www.oocities.org/vinateth/V4.htm
3#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-11-19 07:46 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
พระร่วงหลังรางปืน เนื้อชินตะกั่วสมัยรัชกาลที่สาม พุทธาภิเษก ปี ๒๕๒๕ วัดพระแท่นดงรัง   

จากการค้นพบชินตะกั่ว ที่ใช้ปูดาษพื้นวิหารครอบพระแท่นระหว่างการซ่อมแซมพระวิหาร เมื่อปี ๒๕๒๕ ซึ่งชินตะกั่วที่พยนี้จากหนังสือประวัติพระแท่นนั้นทราบว่าปูไว้ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๓ และท่านเจ้าอาวาส พระราชวิสุทธาภรณ์ ท่านจึงได้นำมาปั้มเป็็นพระร่วงหลังรางปืน ๓๐๐๐ องค์และ พระนางพญา ๓๐๐๐ องค์ โดยเฉพาะพระร่วงหลังรางปืนนั้น มีลักษณะงดงาม กระทัดรัด คือ มีความสูงประมาณ ๕ เซนติเมตร กว้าง ๑.๕ เซนติเมตร ด้านหน้าเป็นรูปองค์พระประทานพร ยกพระหัตถ์ขวาขึ้นเสมอพระอุระ ปรากฎรายละเอียดของ พระเนตร พระนาสิก พระโอษฐ์อย่างชัดเจน (ซึ่งบางองค์ก็ปั้มติดไม่ชัด เพราะความผุกร่อนของเนื้อตะกั่ว) และได้ทำพิธีพุทธาภิเษก เมื่อปี ๒๕๒๕ โดยพระเกจิอาจารย์ทั้งสิ้น ๑๙ รูป อาทิ

      - ท่านสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปรินายก

      - หลวงพ่ออุตตมะ   วัดวังก์วิเวการาม

      - หลวงพ่อแพ     วัดพิกุล

      - หลวงพ่อเปิ่น   วัดบางพระ

      - หลวงพ่อลำไย  วัดทุ่งลาดหญ้า

      - หลวงพ่อแช่ม  วัดดอนยายหอม

      - หลวงพ่อแย้ม   วัดสามง่าม

ฯลฯ
4#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-11-26 09:18 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
อยากให้ทุกท่านได้ไปนมัสการสักครั้งหนึ่งในชีวิต
พระประธานในพระอุโบสถ วัดพระแท่นดงรัง

http://www.baanjompra.com/webboa ... 3%E0%B8%B1%E0%B8%87

ตั้งใจจะไปสักครั้งครับ
7#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-11-27 06:38 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
sritoy ตอบกลับเมื่อ 2014-11-26 15:51
ตั้งใจจะไปสักครั้งครับ

ไปให้ได้นะครับ

ทำอะไรให้ไว

ต้องไปให้ได้ซักครั้งครับ อยากได้พระร่วงรางปืนด้วย ไม่รู้ที่วัดยังพอมีไหม
9#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-12-3 17:51 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
Nujeab ตอบกลับเมื่อ 2014-12-3 15:55
ต้องไปให้ได้ซักครั้งครับ อยากได้พระร่วงรางปืนด้วย ไ ...

ยังพอมีครับ

ทราบมาว่าเหลือน้อยแล้ว
Sornpraram ตอบกลับเมื่อ 2014-12-3 17:51
ยังพอมีครับ

ทราบมาว่าเหลือน้อยแล้ว ...

ขอบคุณครับ
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ลงชื่อเข้าใช้ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้