ตั้งให้เราเป็นเว็บแรกที่คุณเลือก เก็บเราไว้เป็นเว็บโปรด
สมัครสมาชิก ได้มากกว่าที่คุณคิด เข้าสู่ระบบ
ดู: 13071
ตอบกลับ: 14
สั่งพิมพ์ ก่อนหน้า ถัดไป

ฆราวาสจอมงเวทย์ # อาจารย์แปลก ร้อยบาง

[คัดลอกลิงก์]
อ.แปลก ร้อยบาง





เรื่องเล่าของอาจารย์แปลก จอมขมังเวทย์แห่งวัดสะพานสูง ถ้าเคยได้ยินวัดสะพานสูงนนทบุรี ก็จะนึกถึง พระเดชพระคุณ

หลวงปู่เอี่ยม(ปฐมนาม)แห่งวัดสะพานสูง เจ้าของวิชาตะกรุดโสฬสมงคล อันโด่งดัง และศิษย์ของท่าน ที่สืบทอดวิชาสายนี้

ทั้ง ปลวงปู่กลิ่น ถึงหลวงพ่อทองสุข แต่ถ้าไม่กล่าวถึง อาจารย์ แปลก ก็คงไม่ได้ ท่านเป็นศิย์เอกของหลวงปู่เอี่ยม

แม้จะสึกเป็นฆารวาสก็เข้มขลังไม่แพ้ใครครับ ว่ากันตามคำบอกเล่าต่อๆกันมาได้ความคร่าวๆว่าอาจารย์เเปลก (หรือ เเปลก เรือลอย)

ท่านเป็นศิษย์ของหลวงปู่เอี่ยม ปฐมนาม แห่งวัดสะพานสูง เล่ากันว่าพื้นเพเดิมท่านก็เป็นคนเมืองนนท์โดยกำเนิด

ในคราวที่อุปสมบทที่วัดสะพานสูงก็เป็นพระรุ่นพี่ของหลวงปู่กลิ่นซึ่งบวชใน ยุคราวคราวเดียวกัน แต่อาจารย์แปลก

นั้นบวชมาก่อนเลยแก่พรรษากว่าหลวงปู่กลิ่น ท่านได้ศึกษาสรรพวิชาจากหลวงปู่เอี่ยมมาพร้อมๆกับหลวงปู่กลิ่น

โดยเฉพาะวิชาการสร้างตะกรุดอันลือลั่นของสายวัดสะพานสูง ตะกรุดของท่านนั้นขมังมากนัก เน้นหนักไป

ทางคงกระพันและแคล้วคลาดเป็นหลัก ถึงขนาดนักเลงเมืองนนท์สมัยก่อนเชื่อกันถึงความหนียวของพุทธคุณตะกรุด

อาจารย์แปลก ปืนและมีดดาบไม่เคยต้องหวั่นกลัว ถึงคราวที่จะต้องประลองกัน ถ้าได้อาราธนาตะกรุดของอาจารย์แปลก

มีแต่จะวิ่งเข้าใส่ เพราะของท่านแรงจริงๆ ด้วยความที่ท่านได้เคร่งศึกษาการสร้างตะกรุดให้ดีเลิศ จนทำให้ท่านถึงขั้นร้อนวิชา

หลวงปู่เอี่ยมท่านจึงแนะนำให้ลาสิขาเพื่อไปครองเพศฆราวาสจะดีกว่า แต่อาจารย์ท่านก็ยังให้ถือศีลและข้อห้ามต่างๆ

อย่างเคร่งครัดเพื่อให้ได้ถึง ความขลังในการสร้างตะกรุดของอาจารย์แปลก หลังลาสิขา ชีวิตของท่านส่วนใหญ่

จะอาศัยกินนอนอยู่บนเรือ เพราะถือหลักที่ว่าความแรงและความขลังสามารถบรรเทาอากัปกิริยา

และปล่อยวางได้ถ้าได้อาศัยอยู่บนน้ำ ท่านจึงไม่มีที่อยู่เป็นหลักเเหล่ง เร่ร่อนไปเรื่อยๆ ปล่อยให้เรือลอยไปโดยไม่ใช้ไม้พาย



เล่ากันว่าในคลองพระอุดมสมัยก่อน ถ้าได้ข่าวว่าเรือของอาจารย์แปลกท่านลอยมาถึง ทุกๆบ้านที่มีลูกสาว..

ก็จะเตรียมท่อนไม้ไผ่ยาวๆไว้ที่ท่าเทียบเรือ เมื่อไรที่เรืออาจารย์แปลกลอยมาติดที่ท่าเรือหลังบ้าน

เจ้าของบ้านก็จะคอยเอาไม้ไผ่ที่เตรียมไว้ เขี่ยเรืออาจารย์แปลกออกไป ไม่ให้มาติดที่ท่าจอด

ถ้าบ้านไหนไม่ได้เตรียมไว้แล้วเรืออาจารย์แปลกมาลอยติดที่ท่าแล้วจอด เพียงแค่พ้นคืนราตรีเดียว

ลูกสาวของบ้านนั้นก็ไม่พ้นที่จะตกเป็นเมียของท่าน



บางครั้งก็จะมาจอดที่หน้าวัดสะพานสูง มีเหตุการณ์ครั้งหนึ่ง

ช่วงนั้นเป็นช่วงเข้าพรรษา อยู่ดีๆเรืออาจารย์เเปลกก็มาจอดหน้าวัดสะพานสูง ทันทีที่อาจารย์เเปลกถึงวัด

ก็เดินตรงเข้ามาที่กุฎิหลวงปู่กลิ่นทันที เเล้วตรงเข้ามากราบหลวงปู่กลิ่นอย่างนอบน้อม เเล้วเอ่ยถามหลวงปู่กลิ่นว่า ...

อาจารย์ลากเรือผมมาที่วัดทำไมครับ หลวงปู่กลิ่นท่านยิ้มเเล้วตอบว่าน้ำปีนี้จะมีมาก อยากให้มาอยู่ที่วัดเสียด้วยกัน

เเละเป็นที่น่าอัศจรรย์ยิ่งในปีนั้นเอง เกิดมีน้ำมากจริงๆ เหตุการณ์ครั้งนี้เเสดงให้เห็นว่าหลวงปู่กลิ่นท่านรับรู้ด้วยญาณก่อนเเล้ว

เเละในปีนี้เองที่อาจารย์เเปลกลงตะกรุดโสฬสมงคลเเจกศิษย์ไว้มากที่สุด การสร้างตะกรุดของอาจารย์แปลกนั้นเข้มขลังมาก








พระยันต์ที่ประทับด้านในมักจะเป็นพระยันต์โสฬสมงคลของวัดสะพานสูง ส่วนจารนอกก็แล้วแต่ท่านจะลงหรือไม่ และมียันต์หลายๆ

แบบที่ใช้ในการประทับหน้า


เล่ากันว่าเวลาท่านจารและเสกตะกรุด คนที่มาขอตะกรุดท่านต้องไปนั่งห่างๆด้านหน้า พออาจารย์แปลกทำตะกรุดเสร็จก็จะโยนไปข้าง

หน้าที่ศิษย์มาขอ แล้วเอ่ยวาจาให้ศิษย์ก้มเก็บตะกรุดของท่านให้หน่อย เพราะมันกระโดดไป พอศิษย์เผลอก้มเก็บตะกรุดของท่าน

ในช่วงวินาทีที่มือของศิษย์ได้จับสัมผัสกับตะกรุดแล้ว ในเวลานั้นอาจารย์แปลกก็จะหยิบหลาวไม้ยาวที่มีปลายเป็นเหล็กแหลม

คว้างเข้าใส่อย่างแรงและเร็วเพื่อหวังจะได้เข้ากลางหลัง แต่หลาวดังกล่าวก็จะกระดอนออกไปจากตัวศิษย์ทุกครั้งไป

ตัวศิษย์เองก็ตกใจไม่น้อย แต่ก็ทำให้เชื่อและศรัทธาถึงอานุภาพตะกรุดของอาจารย์แปลก และจะหวงแหนเป็นอย่างยิ่งเมื่อ

ได้ครอบครอง จะเก็บไว้ติดแนบกายไม่ห่างเลย นอกจากตะกรุดโสฬสที่ท่านมักจะสร้างเสมอๆแล้ว ยังมีตระกรุดอีกหลายแบบ

ที่ท่านได้สร้าง ซึ่งล้วนแต่จะขลังและหายากยิ่ง เช่น ตะกรุดคุ้มบ้าน ตะกรุดเมตตา

และที่หายากและเป็นที่หวงแหนกันยิ่งคือ ตะกรุดเป่าแล่น ใครได้ครอบครองก็จะใช้ติดตัวไม่เคยห่าง

เรื่องนี้คนเก่าแก่ในพื้นที่จะรู้จักกันดี ในสมัยคราวที่ท่านอาจารย์แปลกทำการสร้างตะกรุดนั้น

ท่านเน้นย้ำเสมอว่าตะกรุดของท่านไม่ให้ซื้อขาย อยากได้ก็มาขอเอาเอง ยกเว้น พ่อให้ลูก อาจารย์ให้ศิษย์ หรือให้กันเองในเครือ

ญาติ ผู้ใหญ่กับผู้น้อย ผู้บังคับบัญชากับผู้อยู่ใต้บังคับบัญชา ถ้าจะต้องให้ผู้อื่นด้วยความเสน่หาแล้วมีผลตอบแทนกลับมา

เป็นสินน้ำใจ ให้นำเอาสินน้ำใจหรือเงินดังกล่าว มาถวายหรือทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา คำสอนดังกล่าวของท่านนั้นทำให้รู้สึกได้ว่า

ถึงแม้ท่านอาจารย์จะเป็นฆราวาส แต่อาจารย์แปลกท่านก็เปี่ยมไปด้วยคุณธรรมและเมตตาธรรม นั่นเองที่ทำให้ท่านขลังมากนักแล

สำหรับชื่อของท่าน "แปลก" นั้นก็ไม่แน่ใจว่าเป็นชื่อเดิมของท่านเองเลยหรือเปล่า หรือเป็นการเรียกฉายาตามพฤติกรรมของท่านที่

บางครั้งแปลกผิดกับคนทั่วไปกระทำ ครั้นท่านสร้างตะกรุดให้กับผู้หลักผู้ใหญ่ ท่านจะทุ่มเทในการสร้างเป็นอย่างมาก ปราณีตในการ

เสก ขนาดทุ่มเทสรรพกำลังที่มีอยู่เพื่อให้ได้ตะกรุดที่มีอานุภาพขั้นสูง ในบางครั้งถึงขึ้นที่ต้องคาบแผ่นทองแดงและเหล็กจาร

ปีนขึ้นไปบนต้นตาลหน้าวัดที่สูงเป็นสิบๆเมตร เมื่อถึงปลายยอดก็ใช้ขาหนีบต้นตาลไว้แล้วห้อยหัวลงมาเพื่อทำการจารตะกรุด

แล้วเสกจนเสร็จ ถึงได้ลงมาจากต้นตาล ซึ่งท่านห้อยหัวอยู่บนนั้นนานเป็นหลายชั่วโมง พอได้ลงมาศิษย์ก็ถามว่าทำไม

ท่านจึงต้องปีนต้นตาลเช่นนั้น ท่านว่า...



"มันแรง มันร้อน มันร้อนมากๆ ต้องไปให้ลมแรงๆโกรกใส่"


2#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-5-28 07:10 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย รามเทพ เมื่อ 2013-5-28 07:49

สำหรับตะกรุดพิเศษนี้ท่านจะให้ศิษย์นำทองแดงที่ม้วนเป็นตะกรุดดังกล่าว เข้าไปกราบหลวงปู่กลิ่นผู้ที่อาจารย์แปลกนับถือ

อย่างยิ่งท่านหนึ่ง เพื่อของผงพุทธคุณ ที่เรียกว่าผงโสฬสมงคลซึ่งเป็นผงชนิดเดียวกันกับที่หลวงปู่กลิ่นท่านใช้

สร้างพระปิดตา มาโรยที่ตะกรุดหลังจากถักเชือก แล้วนำไปคลุกหรือลงรักคลุมไว้เพื่อให้ผงวิเศษได้เกาะตัวติดกับตะกรุด

แล้วนัดให้ศิษย์เข้ามารับตะกรุดอีกทีในวันหลัง ก่อนที่จะมอบให้กับศิษย์ท่านก็จะนำตะกรุดดังกล่าวไปปลุกเสกอีกครั้งหนึ่ง

เพื่อเพิ่มความเข้มขลัง ในบางครั้งท่านก็จะเข้าไปกราบขอเมตตาจากหลวงปู่กลิ่นเพื่อช่วยเสกกำกับให้ อีกคราว

เล่าถึงเรื่องความแปลกของท่านอาจารย์แปลก เรื่องหนึ่งที่ผมยังจำได้ไม่เคยลืมเพราะถือว่าเป็นเรื่องเล่าที่แปลกจริงๆ

คือเรื่องอาจารย์แปลกกับกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ว่ากันว่าในคราวที่

กรมหลวงชุมพรฯ ได้เข้ามาพำนักที่ตำหนักในกรุงเทพมหานคร ชื่อเสียงของกรมหลวงฯท่านนั้นโด่งดังมากโดยเฉพาะ

เรื่องความขมังเวทย์ของท่าน ที่ไม่เป็นรองใครเพราะถือว่าเป็นผู้มีอาจารย์ที่ดีเลิศคือหลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า

เป็นอาจารย์ที่เรืองเวทย์และประสิทธิ์ประสาทวิชาให้แก่กรมหลวงฯ วันหนึ่งชื่อเสียงความโด่งดัง

ของกรมหลวงฯท่านนั้นแว่วไปถึงหูอาจารย์แปลก ซึ่งลอยเรืออยู่ในคลองพระอุดม อาจารย์แปลกจึงคิดอยากจะลอง

วิชากับกรมหลวงฯสักคราว ว่าชื่อเสียงที่เล่าลือกันนั้นจะเก่งแท้สักขนาดไหน โดยท่านได้เล่าให้ศิษย์ฟังถึงเรื่องที่ท่านจะทำว่า

"จะเข้าไปเมืองหลวง จะไปขอข้าวลูกท่านหลานเธอกิน" หลังจากนั้นอาจารย์แปลกก็ไม่ได้อยู่ที่เรือที่ท่านอาศัย

และได้จอดเทียบท่าอยู่ที่ท่าน้ำวัดสะพานสูง แล้วให้ศิษย์คอยเฝ้าเรือของท่านไว้ ท่านจะไม่อยู่สักพัก ....

ในขณะเดียวกันที่วังของกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ก็ได้เกิดเรื่องใหญ่ขึ้น เรื่องของเรื่องก็คือ ในห้องเครื่องต้น

(ห้องจัดเตรียมอาหารในวัง) ได้มีคนลอบเข้ามาขโมยกินข้าวหัวหม้อหรือข้าวต้นหม้อ ซึ่งเป็นข้าวที่จะถวายสำรับแก่กรมหลวงฯ

เรื่องดังกล่าวเกิดขึ้นในทุกๆมื้ออาหารที่จะนำถวายสำรับแก่กรมหลวงฯ และเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นอยู่หลายวัน

แต่ได้มีการปกปิดเรื่องไว้ จนกระทั่งสุดท้ายวันหนึ่งความก็หลุดไปถึงกรมหลวงฯเข้า ท่านโกรธมากเป็นฟืนเป็นไฟ

ว่าใครที่มาทำกับท่านแบบนี้ ถ้าจับได้ ท่านจะนำไปประหาร กรมหลวงฯจึงวางแผนตั้งเวทยฺค่ายกลเพื่อดักจับโจรขโมยกินข้าว

ท่านให้ได้ โดยที่ทุกครั้งที่ที่ดักจับ โจรดังกล่าวก็หลุดหนีไปได้ทุกทีด้วยมนต์กำบังกายขั้นสูง จนกรมหลวงฯท่านแทบจะทนไม่ได้

ที่ยังจับโจรดังกล่าวไม่สำเร็จ จึงได้ไปขอวิธีและข้อชี้แนะจากอาจารย์ของท่านคือหลวงปู่ศุข หลังจากที่ได้วิธีที่น่าจะใช้จับโจรได้แล้ว

กรมหลวงฯท่านก็ดำเนินการวางแผนอย่างแยบยลและเคร่งครัด จนกระทั่งแผนดังกว่างนั้นได้สำเร็จผล คือจับโจรที่ขโมยกินข้าวต้น

หม้อได้ จากนั้นก็นำไปคุมขังเพื่อให้ปริปากเอ่ยว่าเป็นใคร ทำไมถึงทำอย่างนั้น ขณะนั้นอาจารย์แปลกท่านไม่ได้เอ่ยปากใดๆ

แก่ทหารองค์รักษ์เลยแม้แต่น้อย ท่านเม้มปิดปากอยู่ตลอดเวลาบางครั้งก็พึมพำๆ โดยคำสั่งที่ทหารได้รับมอบมาจากกรมหลวงว่า

จะต้องสอบปากคำให้จงได้ ทหารดังกล่าวจึงคิดที่จะใช้วิธีทรมานผู้ต้องขัง (อาจารย์แปลก) ด้วยวิธีต่างๆนาๆ แต่ก็ไม่เป็นผล

ทั้งมีด ทั้งปืน ไม่ได้กินเนื้อกินเลือดท่านเลยแม้แต่น้อยนิด เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น จนตกถึงค่ำ โจรขโมยข้าวที่ถูกคุมขังได้

หลุดหนีออกไป ก่อนหนี ก็ได้ลอบเข้าไปในห้องบรรทมของกรมหลวงฯ แล้วเข้าไปกระซิบข้างๆหูว่า

"ท่านเป็นศิษย์ของอาจารย์ใหญ่ ผู้เป็นหนึ่งในปากเกร็ด ที่ลอบเข้ามาก็เพื่อแค่จะทักทายท่านฯเพราะได้ข่าวถึงเรื่อง

ความขมังเวทย์ของ ท่านฯ มิได้คิดจะทำเรื่องใหญ่โตอะไร ต่างฝ่ายต่างมีอาจารย์ดีทั้งคู่

ก่อนอันตธานหายไป... ตื่นเช้ามากรมหลวงฯท่านจึงเรียกมหาดเล็กคนที่มีพื้นเพในพื้นที่ปากเกร็ด มาสอบถามถึง

อาจารย์ใหญ่แห่งปากเกร็ด จึงได้ความว่าผู้ที่ลอบเข้ามาขโมยกินข้าวท่านก็คือ...

อาจารย์แปลก ผู้เป็นศิษย์หลวงปู่เอี่ยม วัดสะพานสูง ปากเกร็ด นนทบุรี
3#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-5-28 07:14 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้



ประวัติโดยย่อของท่านอาจารย์ แปลก ร้อยบาง

                เดิมท่านบวชครั้งแรกที่ไหนไม่ปรากฏหลักฐาน แต่ต่อมาท่านได้มาจำวัดอยู่ที่วัดท่าเกวียน จ. ปทุมธานี เป็นเพียงพระลูกวัดธรรมดา แต่ได้มีวิชาอาคมจนถือได้ว่าเป็นผู้แก่กล้าอาคมท่านหนึ่ง


แต่เสียที่ว่าท่านมิได้เป็นผู้ที่มีแหล่งกำเนิดในบริเวณนั้น แต่มีลูกศิษย์จำนวนมาก ในขณะที่ท่านได้สร้างอนุสรณ์ที่ยังคงอยู่ที่วัดท่าเกวียนจนถึงทุกวันนี้ก็คือ รอยฝ่าพระพุทธบาท ซึ่งท่านได้นำเงินที่ลูกศิษย์และชาวร่วมทำบุญทองเหลือ นำมาหลอมหล่อเป็น ฝ่าพระพุทธบาท โลหะที่เหลือจากการหล่อท่านได้หล่อพระศรีอริยเมตไตยขึ้นจำนวน 1 องค์ เป็นพระบูชาองค์ไม่ใหญ่มากนัก สูงประมาณ 1 ศอก พระองค์ดังกล่าวเป็นพระบูชาที่ท่านนำติดตัวไว้ตลอดเวลา


หลังจากท่านได้หล่อฝ่าพระพุทธบาทแล้ว ท่านได้จัดให้มีการปิดทอง 2 ครั้ง วิธีการคือท่านจะสานไม้ไผ่ที่มีอยู่บริเวณวัดจำนวนมากเป็นฝาแฝกสานไม้ไผ่ทำทางเป็นแบบเขาวงกต กั้นทางเดินสลับไปสลับมา เป็นค่ายกลลวง เหตุที่ทำเช่นนี้เข้าใจว่าเป็นปริศนาธรรมอย่างหนึ่ง ความหมายน่าจะเป็นการสอนให้คนรู้ว่าการเข้าถึงพระธรรมนั้น ไม่ยากแต่ไม่ง่าย อยู่ที่สมาธิ สติ ปัญญา ก็จะถึงซึ่งพระธรรมนั่นเอง


                ในเวลาต่อมา สมภารได้สิ้นอายุลง ในขณะนั้นเห็นจะมีแต่ท่านเท่านั้นที่อาวุโส ทั้งวัยวุฒิและคุณวุฒิ แก่กลัววิชาอาคม สามารถที่จะปกครองวัดได้ เสียแต่ว่าท่านมิใช่ผู้ที่มีแหล่งกำเนิด ณ ที่นั้น จึงได้รับการต่อต้านจากผู้มีอิทธิพลในพื้นที่นั้น ไม่ให้ขึ้นเป็นใหญ่ในวัด และต้องการให้พระอีกองค์ ซึ่งเป็นญาติได้ขึ้นครองวัดแทน ด้วยเพราะท่านเป็นผู้รักสันโดษสงบ เรียบง่าย ไม่วุ่นวาย ไม่ปรารถนาในลาภยศสรรเสริญบารมี จึงได้ย้ายไปจำวัดอยู่ที่วัดย่านคลองสอง ซึ่งเป็นบ้านเกิด


                หลังจากย้ายมาจำวัดใกล้บ้านเกิด ซึ่งสมัยก่อนมีสภาพทุรกันดาร เป็นวัดเล็กๆ มีพระจำพรรษาน้อยองค์ เหตุที่ท่านต้องสึกจากสงฆ์ เกิดจากสมภารในสมัยนั้น ได้นำสิ่งของล้ำค่าของวัดไปขาย นำรายได้มาใช้ส่วนตัว หรือจะนำมาใช้ในการซ่อมแซมวัด ไม่มีหลักฐานยืนยันชัดเจน ทำให้ท่านลุกขึ้นคัดค้าน เพราะของในวัดทุกชิ้นเป็นสมบัติของสงฆ์ มิใช่ของพระสงฆ์รูปใดรูปหนึ่ง


                จนสร้างความไม่พอใจให้กับสมภาร ถึงกับออกปากไล่ หรืออยู่ได้ก็อยู่ อยู่ไม่ได้ก็สึกออกไป การคัดค้านไม่เป็นผล เพราะท่านเป็นเพียงพระลูกวัด โดยวินัยของสงฆ์แล้ว ไม่สามารถฟ้องทางโลกได้ ประกอบกับได้มีการท้าทายว่า ถ้าท่านแน่จริงให้สึกออกมาสู้กันว่าใครจะแพ้ชนะ


                เมื่อเป็นเช่นนั้น ท่านจึงต้องสึกออกมาต่อสู้ทางโลก ผลปรากฏว่าสมภารกระทำผิดจริง จึงต้องสึกออกไปรับโทษทางกบินเมือง ตัวท่านอาจารย์แปลกเองก็มิได้กลับมาบวชอีก คงใช้ชีวิตสันโดษอยู่ในเรือประทุนลำน้อย ลอยเรือไปตามแม่น้ำลำคลอง เดินทางไปไม่มีจุดหมายปลายทาง ค่ำไหนนอนนั่น


                ส่วนใหญ่จะเป็นหน้าวัดที่เรือลอยผ่าน เรือของท่านจะไม่มีพาย แต่จะมีไม้ไผ่ใช้สำหรับปักหลักผูกเชือก
                มีการเล่าขานกันจากปากต่อปาก จากรุ่นปู่ย่าตายาย สู่รุ่นพ่อแม่ มาถึงรุ่นหลาน เหลน ว่าครั้งหนึ่งท่านอาจารย์แปลก ร้อยบาง  ได้ลอยเรือผ่านมาทางวัดสะพานสูงเจริญราษฏร์ (วัดสะพานสูงปัจจุบัน) เรือของท่านได้ลอยมาชนกับตลิ่งวัดสะพานสูง


                หลังจากนั้นท่านได้ผูกไว้กับเสาหลักที่ตลิ่งวัด แล้วเดินเข้าไปยังกุฏิพระท่านหนึ่ง ท่านจึงก้มลงกราบแล้วกล่าวขึ้นว่า “ท่านอาจารย์จูงเรือกระผมมาทำไม” พระรูปนั้นกล่าวตอบว่า
*
“เห็นว่าน้ำจะหลากกลัวว่าจะลำบาก จึงอยากให้มาพักอยู่ที่วัดก่อน” จากคำบอกเล่าต่อกันมา ทำให้ทราบว่า พระองค์นั้นคือหลวงปู่กลิ่น และคำกล่าวของท่านเป็นที่น่าอัศจรรย์ยิ่งนัก ในเวลาต่อมาไม่นานน้ำหลากท่วมใหญ่ ซึ่งสามารถกล่าวได้ว่า ทั้งท่านหลวงปู่กลิ่นและท่านอาจารย์แปลก ร้อยบาง สามารถสนทนาได้อย่างผู้รู้ ผู้ถึง ไม่ต้องกล่าวสาธยายให้มากความ รู้เขา รู้เรา  รู้ระดับ รู้ชนะ รู้วรรณะ วางตัวได้อย่างเหมาะเจาะเหมาะสม ไม่ก้าวล่วง ไม่เกินเลย อยู่อย่างผู้รู้ มีแต่ความเคารพกับความศรัทธาให้กันและกัน


สำหรับชีวประวัติของท่านอาจารย์แปลกฯ หลวงพ่อวาส ซึ่งเป็นศิษย์องค์หนึ่ง ท่านได้กล่าวว่าใครจะเล่าอย่างไรก็ว่าอย่างนั้น ใครเขาจะว่าอย่างไรก็ช่างเขา ไม่อยากจะกล่าวอะไรมากเดี๋ยวจะไปขัดคัดค้านกับผู้ที่พยายามจะเขียนชีวประวัติ เรื่องของเขาก็เรื่องของเขา เรื่องของเราก็ของเรา รู้เท่าที่รู้ ก็พอสังเขปแล้ว


สำหรับชีวิตบั้นปลายของท่านอาจารย์แปลก ร้อยบาง ท่านได้ย้ายไปที่ปากคลองบางซื่อริมแม่น้ำเจ้าพระยา ฝั่งตรงข้ามวัดแก้วฟ้า  สี่แยกเกียกกาย กรุงเทพ โดยลูกศิษย์ที่เป็นทหารเรือ ได้ชัดชวนท่านให้มาอยู่บ้านเช่าบริเวณดังกล่าว
และต่อมาได้ย้ายเข้าไปอยู่ที่บ้านใกล้วัดประดู่ธรรมาธิปัตย์ ที่อยู่ในคลองบางซื่อนั้น โดยลูกศิษย์ที่เป็นทหารเรือเป็นผู้สร้างให้เป็นหลังไม่ใหญ่ชั้นเดียวมีห้องกลางหนึ่งห้อง ฝากั้น ประตูเปิด สำหรับห้องนอน มีนอกชานแล่นสำหรับรับลูกศิษย์ลูกหา ทำให้ท่านหมดความจำเป็นต้องใช้เรืออีก จึงได้ขายไป


ขณะนั้นท่านมีครอบครัวแล้ว มีลูกผู้หญิง สองคน ลูกชายคนเล็กหนึ่งคน ต่อมามีลูกศิษย์ที่เป็นชาวต่างประเทศมาขอลูกสาวไปเป็นบุตรบุญธรรม แต่ท่านไม่ให้ ลูกศิษย์คนดังกล่าวได้อ้อนวอนอยู่นาน ซึ่งท่านได้พิจารณาแล้วเห็นว่าศิษย์คนดังกล่าวนั้น มีความศรัทธาท่านจริงและเป็นคนดีมีศีลธรรม ท่านจึงมอบลูกชายคนเล็กให้ไปพร้อมกันมอบตะกรุดเงินให้ติดตัวไปหนึ่งดอก
ในระหว่างที่อยู่ที่บ้านใกล้วัดประดู่ฯ นั้น มีลูกศิษย์ชื่อ “จั๊ว” บ้านอยู่แถวหัวลำโพงได้ไปมาหาสู่ประจำคอยดูแลรับใช้ไม่ให้ขัดสน ในเวลาต่อมาท่านได้สิ้นบุญ ณ ที่แห่งนั้น


ปัจจุบันหลวงพ่อวาส  ได้นำอัฐิของท่านอาจารย์แปลก มาบรรจุรวมกันกับอัฐิโยมบิดา โยมมารดาอยู่ในเจดีย์เดียวกัน ณ วัดสะพานสูง ปากเกร็ด นนทบุรี แสดงให้เห็นว่าหลวงพ่อวาส ซึ่งเป็นศิษย์มีความกตัญญูกตเวทีต่อ บิดา มารดา ครูบาอาจารย์ ไม่ให้หวังสิ่งตอบแทน แม้แต่ตะกรุดของท่านอาจารย์ หลวงพ่อก็ไม่มีติดตัว ที่ได้มาเมื่อครั้งท่านอาจารย์มีชีวิต ก็มอบต่อให้ผู้อื่นหมด คงมีแต่วิชาที่ได้ร่ำเรียนมาจนถึงทุกวันนี้ สำหรับสมบัติชิ้นสุดท้ายที่ท่านอาจารย์แปลก ฯ ได้เก็บไว้ให้ศิษย์ชื่อ “จั๊ว ” คือตะกรุดโทนเงิน จำนวน 2 ดอก แต่ได้ถูกผู้คุ้นเคยท่านหนึ่งหยิบไป โดยไม่ได้รับอนุญาต แต่จะเป็นเพราะเหตุใดไม่ทราบ ผู้ครองตะกรุดดังกล่าวต้องประสบกับเหตุการณ์ ไฟไหม้บ้านถึงสองครั้ง ทำให้ต้องขายตะกรุดดังกล่าวให้หลวงพ่อวาส  เพื่อใช้เป็นทุนในการสร้างบ้านในเวลาต่อมา


เรื่องตะกรุดดังกล่าวนี้ หลวงพ่อวาส ท่านได้ทราบเรื่องมาแต่ต้นและติดตามตะกรุดดังกล่าวคืนมาได้เพียง 1 ดอก แล้วนำไปคืนให้กับ “จั๊ว”


                สิ่งที่เป็นถาวรวัตถุที่ท่านอาจารย์แปลก ร้อยบาง ได้สร้างไว้เป็นอนุสรณ์แห่งมงคลชีวิต ในปัจจุบันที่หลงเหลืออยู่ คือ ตะกรุดโทน กับตะกรุดพวง และสร้างฝ่าพระพุทธบาท หล่อที่วัดท่าเกวียน ในสมัยอาจารย์ดี (สมภารในยุคต่อมาเมื่อท่านได้สึกแล้ว)
รวมทั้งพระพุทธรูปบูชา “พระศรีอาริยเมตไตย” ซึ่งปัจจุบันไม่ทราบว่าอยู่ที่ใด หรือใครครองอยู่


ที่มา...http://shop.mongkhonphra.com/content/14-arjanpag


ขอบคุณครับ
มีตะกรุต ร้อยบางนางสยบ ให้บูชาหรือเปล่า
metha ตอบกลับเมื่อ 2013-5-28 08:43
มีตะกรุต ร้อยบางนางสยบ ให้บูชาหรือเปล่า ...

อย่าใช้เลยน้องเมธา

เสียของ
จ๊อ ตอบกลับเมื่อ 2013-5-28 08:58
อย่าใช้เลยน้องเมธา

เสียของ

มีจริงๆๆหรอครับ
metha ตอบกลับเมื่อ 2013-5-28 08:43
มีตะกรุต ร้อยบางนางสยบ ให้บูชาหรือเปล่า ...

จั๋ยบ่อ้ายเมธ
sritoy ตอบกลับเมื่อ 2013-5-28 18:28
จั๋ยบ่อ้ายเมธ


ตอนนี้สุดๆๆครับ
Sornpraram ตอบกลับเมื่อ 2014-5-17 08:47
ตะกรุดร้อยบางนางสยบ  แร๊งแรง


พี่หนูทำอะไรผิดถึงโดนตบหน้าครับ
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ลงชื่อเข้าใช้ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้