ตั้งให้เราเป็นเว็บแรกที่คุณเลือก เก็บเราไว้เป็นเว็บโปรด
สมัครสมาชิก ได้มากกว่าที่คุณคิด เข้าสู่ระบบ
ดู: 29527
ตอบกลับ: 9
สั่งพิมพ์ ก่อนหน้า ถัดไป

ท่านปู่พระอินททร์-ท่านย่าสุชาดา

[คัดลอกลิงก์]
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย Sornpraram เมื่อ 2014-8-29 14:21

ท่านปู่พระอินทร์-ท่านย่าสุชาดา (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ) วัดท่าซุง




คณะลูกศิษย์หลวงพ่อฤาษีลิงดำจะเรียกพระอินทร์และพระชายาของพระอินทร์ท่านว่า "ท่านปู่-ท่านย่า" เพราะในอดีต สมัยเชียงแสน ท่านเคยเป็นพ่อเป็นแม่ของหลวงพ่ออยู่ ท่านปู่คือพระเจ้าพังคราช ท่านย่าก็คือพระนางพังครานี ส่วนท่านแม่เกิดเป็นคู่บารมีหลวงพ่อ เรียกสั้นๆ ว่า ท่านแม่ศรี

คาถาบูชาท่านปู่พระอินทร์

ตั้งนะโม 3 จบ ก่อน จากนั้นว่า...

"สหัสสะเนตโต เทวินโท ทิพจักขุง วิโสทายิ"

(คาถาบทนี้เหมาะสำหรับเด็กนักเรียน บอกว่าเวลาก่อนที่จะดูหนังสือ ให้ไหว้พระ นึกถึงพระพุทธเจ้า นึกถึงพระธรรม นึกถึงพระอริยสงฆ์ นึกถึงบิดามารดา ความดีของท่าน นึกถึงครูบาอาจารย์ แล้วนึกถึงท่านปู่พระอินทร์เจ้าของคาถา แล้วว่าสัก 1 จบ แล้วก็ดูหนังสือ เมื่อจะเลิกจากอ่านหนังสือก็ว่าสักอีก 1 จบ วันแรก ๆ ก็อาจจะจำไม่ได้ แต่วันต่อไปก็อาจจะคล่องตัวขึ้นมาเอง)

เป็นคาถาที่มีความสำคัญ โดยเฉพาะคนที่กำลังเรียนหรือศึกษาอยู่ จะมีผลมากด้านความจำ หรือการทำข้อสอบก็จะมีความถูกต้องแม่นยำอย่างไม่น่าเชื่อ

สหัสสะเนตโต.... ตาโต ๆ พันดวง
เทวินโท....เทวดาผู้เป็นใหญ่
ทิพจักขุง....ตาทิพย์ ความรู้สึกเหมือนมีตาทิพย์
วิโสทายิ แค่นั้น ใช่บ่อย ๆ ความจำจะดี

องค์บูชา ท่านปู่-ท่านย่า นี้ คณะลูกศิษย์วัดโพธิ์เมืองปักษ์ จัดสร้างเพื่อหาทุนบูรณะวัดโพธิ์เมืองปักษ์ ซึ่งวัดนี้เคยเป็นวัดที่หลวงพ่อท่านเคยมาบูรณะก่อนหน้านี้ องค์บูชานำเข้าพิธีพุทธาภิเษกที่วัดท่าซุง เมื่อคราว วันเสาร์๕ ที่ 7พ.ค.2554
2#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-8-29 14:09 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้

3#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-8-29 14:11 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้


ล๊อกเก็ตท่านปู่ท่านย่าปลุกเสกสมัยหลวงพ่อฤาษีลิงดำ
4#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-8-29 14:19 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย Sornpraram เมื่อ 2014-8-29 14:28

Attached Thumbnails        

        

        

      

คณะผู้ศรัทธา ท่านปู่พระอินทร์-ท่านย่าสุชาดา
สร้างจำลองรูปเคารพ ไว้เป็นศิริมงคล

เพื่อระลึกถึงข้อธรรม "เทวตานุสติ"

หิริโอตฺตปฺปสมฺปนฺนา สุกฺกธมฺมสมาหิตา
สนฺโต สปฺปุริสา โลเก เทวธมฺมาติ วุจฺจเร
เทวธรรม คือ หิริ โอตฺตปฺป เท่านั้น ทำมนุษย์ให้เป็นเทวดา

คนเราเมื่อเป็นมนุษย์แล้ว ถ้าอยากดีขึ้นไปเป็นเทวดาต้องมีคุณธรรม 2 อย่างนี้จึงจะเป็นเทวดาได้ ถ้าหากอยากดีอยากเป็นเทวดาแต่ไม่มีคุณธรรม มันก็เป็นไปไม่ได้ เหตุนั้นจึงควรที่จะสร้างคุณธรรมนั้นให้มีขึ้นในตนเมื่อมีขึ้นแล้วก็เพิ่มพูนให้เจริญงอกงามยิ่งขึ้น


การมีหิริโอตฺตปฺป และรักษาศีล 5 ศีล 8 ศีล 10 ศีล 227 ได้อาจสามารถเป็นพรหมได้ เรียกว่า พรหมจรรย์ การรักษาศีล 10 ศีล 227 เรียกว่า พรหมจรรย์โดยแท้ ก็อาศัย หิริ โอตฺตปฺป นั่นเอง หากเป็นโดยลำดับ

เพราะฉะนั้น ควรที่จะรักษา ควรที่จะระลึกถึงธรรมอันที่ทำให้เป็นเทวดาอยู่เสมอ ๆ ก็จะเป็นอนุสติรักษาตนอยู่ด้วยความสงบได้ ไม่เป็นไปเพื่อความกำเริบวุ่นวายมีความสุขความสบายตลอดเวลา


5#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-8-29 14:24 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
เทวตานุสติ
โดยหลวงปู่เทสก์ เทสรํสี วัดหินหมากเป้ง จ.หนองคาย



คำว่า เทวตานุสติ หมายความว่า ระลึกถึงธรรมอันทำบุคคลให้เป็นเทวดา คนเราทุกคนย่อมอยากเป็นคนดี หรืออยากเป็นเทวดา เป็นเอินทร์เป็นพรหม หรืออยากบริสุทธิ์ พ้นจากทุกข์จะต้องมีความปรารถนาด้วยกันทุกคน แต่เมื่อมาได้เพียงมนุษยสมบัติ ก็นับว่าดีอักโขแล้ว เพราะมันเป็นพื้นฐานที่จะตกแต่งให้มนุษย์ไปเป็นเทวดา อินทร์ พรหม ต่อไป มนุษย์ที่มีสมบัติ คือมีอวัยวะครบครันบริบูรณ์ ไม่บ้าใบ้เสียจริตผิดมนุษย์ นับว่าดีอยู่แล้ว ขอให้ตั้งหลักฐานมนุษย์ที่ได้แล้วนี่ให้มั่งคงเถิด
เกิดขึ้นมาเป็นมนุษย์แล้วไม่ใช่จะเป็นมนุษย์ทีเดียวมันเป็นมนุษย์แต่ชื่อ หรือไม่มนุษย์สมบัติมาเฉย ๆ ยังไม่สมบูรณ์ ถ้าเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์จะต้องมี มนุษยธรรม ด้วย


มนุษยธรรม คือคุณธรรมที่เป็นมนุษย์ ซึ่งมีมากที่เป็นเบื้องต้น ได้แก่ การเอ็นดู เมตตา ปรารถนาหวังดีต่อกันและกัน แล้วก็มีกตัญญูกตเวที อันเป็นพื้นฐานของมนุษย์


คนเราถ้าหากไม่มีเมตตาหวังดีต่อกันแล้ว มันก็ไม่ผิดแผกจากสัตว์เดรัจฉานเลย เอาแต่ได้เอาแต่ดี เอาแต่ประโยชน์ส่วนตัว ไม่คิดถึงความทุกข์ ความเดือดร้อนของคนอื่น ก็เหมือนสัตว์ทั่ว ๆ ไป สัตว์มันไม่มีเมตตาปรานีแก่กัน เช่นอย่างวัวควาย เมื่อเกิดมาก็มีแม่ของมันเลี้ยง พ่อของมันไม่ทราบไปไหนต่อไหนแล้ว แม่เลี้ยงลูกโดยสัญชาตญาณของมัน รักและเอ็นดูซึ่งกันและกัน แต่เวลาเติบใหญ่แล้วก็ลืมหมด ไม่ทราบว่าใครเป็นพ่อเป็นแม่ ใครเป็นลูกเป็นเต้า ไม่มีการสงเคราะห์กันนั่นแหละที่เรียกว่ามันไม่มีมนุษยธรรม


ส่วนคนเราไม่เป็นอย่างนั้น เรายังมีเมตตาปรานีโอบอ้อมอารีซึ่งกันและกัน หวังหาความสุข ความเจริญต่อกันรู้จักบุญคุณของกัน เหตุนั้นมนุษย์จึงมีพื้นฐานของความเป็นมนุษย์ เป็นเครื่องแสดงความแตกต่างจากสัตว์เดรัจฉาน


นอกจากมนุษยธรรมแล้ว ยังมีข้ออื่นอีก คือ มีศีล 5 เป็นเครื่องอยู่ ศีล 5 เป็นเครื่องปกปักรักษามนุษย์ให้เจริญต่อไป เมื่อเว้นจากฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ประพฤติผิดมิจฉาจาร กล่าวมุสาวาท ดื่มสุราเมรัยแล้ว มนุษย์จะอยู่ด้วยกันอย่างผาสุก


ชุมชนใดถ้ามีศีล 5 เป็นเครื่องปกปักรักษาคุ้มครองอยู่ ชุมชนนั้นจะค่อยเจริญงอกงามขึ้น ถ้าไม่มีศีล 5 ก็นับวันจะเสื่อมลงไป จะมีแต่คิดอิจฉา มีแต่เบียดเบียนพยาบาทอาฆาตจองบ้างจองผลาญซึ่งกันและกัน ชุมชนใดไม่มีศีล 5 ก็เป็นสัตว์ไป


ลองคิดดูเถิด กฎหมายบ้านเมืองซึ่งท่านตราออกมาเป็นพระราชบัญญัตินั้น ล้วนแล้วแต่อนุโลมตามศีล 5 กฎหมายมาตราต่าง ๆ ต้องมีศีล 5 อยู่ทั้งนั้น ศีล 5 นี้เป็นพื้นฐานของชาวโลก โลกมีศีล 5 แต่ไหนแต่ไรมาก่อนพระพุทธเจ้าประสูติก็มีอยู่อย่างนั้นเหตุนั้นเมื่อพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นมาแล้วจึงทรงสอนศีล 5 อนุโลม ตามของอันมีอยู่แต่ก่อน ศีล 5 ประการนี้เป็นเหตุให้อยู่เย็นเป็นสุขปราศจากอุปัทวันตราย
ฉะนั้น เบื้องต้นที่จะเป็นเทวดา ก็ต้องเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ด้วยมนุษยธรรมเสียก่อน เหตุนั้นท่านจึงเรียกว่า มนุสฺโส เกิดขึ้นมาเป็น มนุสฺโส แล้วจึงค่อยเป็น มนุสฺสเทโว ต่อไปถ้าไม่เป็น มนุสฺโส ก็เป็น มนุสฺสเทโว ไม่ได้

การที่จะเป็นมนุสฺสเทโวได้ ก็ต้องมีธรรมะเป็นครื่องอยู่ เปรียบเหมือนกับพวกพ่อค้าแม่ค้า ถ้าทำการค้าขาย ก็เรียกพ่อค้าแม่ค้า ถ้าทำไร่ทำนา ก็เรียกว่าชาวไร่ ชาวนา ถ้าทำราชการ ก็เรียกว่าข้าราชการ ฉะนั้น การที่เป็นเทวดาได้ ก็เพราะ มีธรรมอันทำให้เป็นเทวดาธรรม นั้น คือ “ หิริ ” ความละอายแก่ใจ และ “ โอตฺตปฺป ” ความเกรงกลัวต่อบาป


ธรรมะ 2 ข้อนี้ มีความสำคัญผู้มีความละอายต่อบาปกลัวต่อบาป จะงดเว้นการทำชั่วทุกประการ เพราะระลึกได้อยู่เสมอ จึงละอายและกลัว การกระทำทางกายก็ดี ทางวาจาก็ดี ทางใจก็ดี แม้แต่เพียงคิดเฉย ๆ ว่าจะทำความชั่ว เป็นต้นว่าคิดจะขโมยของเขา ก็ให้คิดละอายขึ้นมาในใจแล้ว ทั้ง ๆ ที่ยังไม่ได้ทำ ไม่มีใครรู้ใครเห็น แต่เรารู้ตัวเองอยู่ จึงละอายต่อบาปไม่กล้าทำ เช่นนี้เรียกว่ามี หิริ โอตฺตปฺป
หิริ โอตฺตปฺป นี้เป็นธรรมที่สำคัญ เพราะเป็นพื้นฐานของศีล เป็นต้นตอของศีล ผู้จะมีศีลได้ ไม่ว่าจะเป็นศีล 5 ศีล 8 ศีล 10 หรือศีล 227 ก็ตาม ต้องมีหิริ และ โอตฺตปฺป เนื่องจากได้เห็นจิตของตน เห็นความนึกความคิดความปรุงของจิตของตน แล้วก็กลัวบาป ละอายบาป จึงไม่อาจจะทำความชั่วได้ ฉะนั้น ศีลก็บริสุทธิ์


ธรรม 2 ข้อนี้จึงได้ชื่อว่าธรรมที่ตกแต่งมนุษย์ให้เป็นเทวดา ฟังดูคล้ายๆ กับว่าธรรมทำบุคคลให้เป็นเทวดา อันที่จริงไม่ใช่อย่างนั้น ท่านพูดอุปมาอุปไมยฟัง แต่เราสามารถทำให้เกิดมีขึ้นในตัวของเราได้ด้วยการตั้งสติ กำหนดดูให้รู้จักจิตของตนเสียก่อน เมื่อมันคิดนึกแส่ส่ายไปทางอกุศลก็รู้จักละอายและกลัวต่อบาปแล้วงดเว้นเสียนี่แหละเป็นธรรมซึ่งมีอยู่ในตัวของเรา
ธรรมไม่มีตนไม่มีตัว เป็นนามธรรม เปรียบง่าย ๆ เหมือนกับคนค้าขาย คนกระทำการค้าขาย จึงได้ชื่อว่าเป็นพ่อค้าแม่ค้า ไม่ใช่การค้าขายทำให้เป็น เราเป็นคนทำต่างหากจึงค่อยเป็น อันนี้ก็เหมือนกัน เราระลึกขึ้นมาได้ เราเห็นใจของตนอยู่เสมอ จึงมี หิริ โอตฺตปฺป ช่วยให้มีศีล 5 ศีล 8 ศีล 10 ศีล 227 สมบูรณ์บริบูรณ์หมดทุกอย่าง ท่านจึงว่า


หิริโอตฺตปฺปสมฺปนฺนา สุกฺกธมฺมสมาหิตา
สนฺโต สปฺปุริสา โลเก เทวธมฺมาติ วุจฺจเร
เทวธรรม คือ หิริ โอตฺตปฺป เท่านั้น ทำมนุษย์ให้เป็นเทวดา
คนเราเมื่อเป็นมนุษย์แล้ว ถ้าอยากดีขึ้นไปเป็นเทวดาต้องมีคุณธรรม 2 อย่างนี้จึงจะเป็นเทวดาได้ ถ้าหากอยากดีอยากเป็นเทวดาแต่ไม่มีคุณธรรม มันก็เป็นไปไม่ได้ เหตุนั้นจึงควรที่จะสร้างคุณธรรมนั้นให้มีขึ้นในตนเมื่อมีขึ้นแล้วก็เพิ่มพูนให้เจริญงอกงามยิ่งขึ้น
การมีหิริโอตฺตปฺป และรักษาศีล 5 ศีล 8 ศีล 10 ศีล 227 ได้อาจสามารถเป็นพรหมได้ เรียกว่า พรหมจรรย์ การรักษาศีล 10 ศีล 227 เรียกว่า พรหมจรรย์โดยแท้ ก็อาศัย หิริ โอตฺตปฺป นั่นเอง หากเป็นโดยลำดับ

เพราะฉะนั้น ควรที่จะรักษา ควรที่จะระลึกถึงธรรมอันที่ทำให้เป็นเทวดาอยู่เสมอ ๆ ก็จะเป็นอนุสติรักษาตนอยู่ด้วยความสงบได้ ไม่เป็นไปเพื่อความกำเริบวุ่นวายมีความสุขความสบายตลอดเวลา

จากหนังสือ ธรรมลีลา ปีที4 ฉบับที่42
ขอบคุณครับ
ขอบคุณครับ
สาธุครับ
ขอบคุณครับ
สาธุครับ
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ลงชื่อเข้าใช้ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้