ตั้งให้เราเป็นเว็บแรกที่คุณเลือก เก็บเราไว้เป็นเว็บโปรด
สมัครสมาชิก ได้มากกว่าที่คุณคิด เข้าสู่ระบบ
ดู: 4663
ตอบกลับ: 6
สั่งพิมพ์ ก่อนหน้า ถัดไป

ประวัติและปฏิปทา หลวงปู่จันทา ถาวโร

[คัดลอกลิงก์]

วัดป่าเขาน้อย ต.วังทรายพูน อ.วังทรายพูน จ.พิจิตร
ก. ชีวิตฆราวาส
๑. ชาติภูมิ
หลวงปู่จันทา ถาวโร เป็นบุตรของ นายสังข์ ไชยนิตย์ และนางเลี่ยม ชมภูวิเศษ ท่านถือกำเนิดในวันเสาร์ขึ้น ๑๐ ค่ำ เดือน ๓ ปีจอ ตรงกับวันที่ ๑๐ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๖๕ ณ หมู่บ้านแดง ต.เหนือ อ.เมือง จ.ร้อยเอ็ด หลวงปู่มีพี่น้องร่วมบิดามารดา ๖ คน ดังนี้
๑) นายนู ไชยนิตย์ (ถึงแก่กรรม)
๒) นางต่วน ชมภูวิเศษ
๓) นายแก้ว ไชยนิตย์ (ถึงแก่กรรม)
๔) หลวงปู่จันทา ถาวโร
๕) นายบุญ ไชยนิตย์
๖) นายน้อย ไชยนิตย์ (ถึงแก่กรรม)
๒. ลูกกำพร้า
หลวงปู่เล่าเรื่องชีวิตในวัยเด็กไว้ว่า “อย่างข้าพเจ้านี้มันก็แสนทุกข์ยากลำบากเกิดมาชีวิตนี้ คิดแล้วน้ำตาไหล พออายุได้ ๗ ปี ได้น้อง ๒ คน แม่ก็ตาย เพราะกินผิด คือ แม่เอาอาหารไปถวายพระตอนเพล แล้วไปกินป่นปลากับผักผีพวย นั่นแหละก็เลยผิดกรรมเสีย เมื่อผิดกรรมแล้วทำอย่างไร สมัยนั้นหมอยาก็มีแต่ยารากไม้ รักษาไม่ได้ ผลสุดท้ายก็เลยตาย
ก่อนตาย แม่ก็สั่งว่า ลูกคนเล็กๆ ๓ คนนี้ให้แม่ป้าพ่อลุงเอาไปเลี้ยง เพราะเขาเป็นเชื้อผู้ใหญ่ และมีเรือนอยู่ติดกัน ส่วนลูกคนโต ๆ นั้น ให้อยู่กับน้าบ่าวน้าสาว
พอแม่ตาย พ่อก็เลยไปเอาเมียใหม่มาเลี้ยง ให้เมียใหม่มาช่วยเลี้ยงลูก แม่ใหม่กับลูกสาวก็เหมือนหมากับแมวนะ ลูกสาวก็ด่าเอาว่า มึงไม่ใช่แม่กู อย่ามาทำสำออยเจ้าน้อย ให้กูตักน้ำมาให้อาบ ไม่ดอกนั่นแหละ ผลสุดท้ายก็เลยแตกกัน เหมือนนกแตกรังเหมือนควายแตกคอก พ่อก็เลยไปอยู่กับแม่ใหม่เสีย แหม...ทีนี้ ก็เร่ร่อนสัญจรไปไหนมาไหนก็แสนทุกข์ยากลำบาก ทำงานหากินเลี้ยงชีพ
๓. ลูกชาวนา....ไร้การศึกษา
เราเกิดมาชาตินี้ แสนทุกข์ยากลำบาก เกิดขึ้นท่ามกลางไร่นา อายุ ๗ ปี แม่ตาย ๑๐ปี พ่อตาย เราก็เป็นลูกกำพร้า อยู่กับพี่น้องเขาก็พาให้เลี้ยงวัวเลี้ยงควาย ไม่ได้เข้าศึกษาเล่าเรียนอะไร ทำนาตั้งแต่อายุ ๗ ปี นะ เริ่มทำจากนั้นมาถึง ๒๕ ปี แหมมันแสนทุกข์ยากลำบาก ๕ โมงเช้าถึงจะได้กินข้าว นั่นแหละปวดหลัง ปวดเอว บ่นเพ้อละเมอใจว่า เมื่อไหร่หนอเราจะพ้นจากการทำนา มันทุกข์ยากลำบาก
๔. นายพรานใหญ่
หลวงปู่เล่าต่อไปอีกว่า ผมเป็นนายพรานใหญ่นะ บ้านอยู่ฝั่งแม่น้ำชี จ.ร้อยเอ็ด สมัยผมเกิดนะไปหาปลาหาบตะกร้าไป บ้านนั้นมี ๑๐ หลังคาเรือนคุ้มนี้นะ ๒ คนนี่หาบตะกร้าไปเลย ลงไปหนองน้ำ ปลานี่ชุกชุมยุบยับ.....ๆ.....ๆ ไปถึงก็กำเอาๆ จนเต็ม ๒ หาบตะกร้า เอามาตั้งไว้กลางบ้าน แล้วก็ร้องบอกชาวบ้าน “มาเด๊อ !.....ไผอยากได้ก็มาเอา
ตั้งไว้แล้วก็ไป ชาวบ้านก็ถือตะกร้าลงมา อยากได้ตัวไหนก็เอาไป พอเขากลับกันหมดแล้ว ปลาที่เหลือจึงไปเอามากินนะ ข้อยไปก็อย่างนั้น เจ้าไปก็อย่างนั้น แต่ก่อนไม่ได้ซื้อไม่ได้ขาย จะเอาไปทำอะไร สัตว์นั้นมันหลาย นั่นแหละ ฆ่าสัตว์ตัดชีวิตมามากแล้วชีวิตนี้
๕. ได้เมียแม่หม้าย
พอเติบใหญ่ อายุได้ ๒๓ ปี เขาก็บังคับให้มีครอบครัว แต่แล้วครอบครัวนั้นเป็นอย่างไร ได้แม่ร้างแม่หม้าย ลูก ๓ ผัวเขาตาย เหลือแต่ของไม่ดีนั่นแหละ ของดีเขาเอาไปกินหมดแล้วสมขี้หน้าไหมเล่า แต่แล้วเราก็เหมือนกับแมว หญิงหม้ายนั้นเหมือนกับสุนัขตัวใหญ่ มันก็คั้นคอเอาอย่างนั้นทุกวัน นั่นแหละเพราะบุญพาวาสนาส่งไม่ดี ผลสุดท้ายก็เลยแยกทางกัน
เหตุที่แยกกับภรรยานั้น หลวงปู่เคยพูดว่า วันหนึ่งสะพายข้องและแหไปหาปลา หว่านแหดำน้ำหาปลาตั้งแต่เช้ายันค่ำ ไม่ได้ปลาสักตัว ดำน้ำจนตาแดงกล่ำ เหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า ตอนเย็นเดินคอตกกลับบ้านไม่ได้อะไร พอเห็นหน้าภรรยาสุดที่รัก ก็พูดบอกให้ฟัง แทนที่จะเห็นใจ กลับขู่ตะคอกต่อว่า หาว่า ไป มัวเถลไถลเที่ยวเล่น จนมืดค่ำ แล้วภรรยาก็เอาเครื่องมือหาปลามีข้องและแห เป็นต้น ถลกผ้าถุงปัสสาวะใส่ต่อหน้าต่อตา เห็นแล้วก็เกิดความสลดสังเวชอย่างใหญ่หลวง คิดว่า โอ๋....เมียเราทำไมทำได้ขนาดนี้ ทำถึงขนาดนี้แล้ว อยู่ด้วยกันไปก็ไม่เป็นมงคลอะไรจึงตัดสินใจแยกทางกับเมีย อย่างเข็ดหลาบ
ทีนี้จะทำอย่างไรเล่า ทำอะไรก็ไม่ทันสมัยกับเขา เลี้ยงแต่ควาย ทำแต่นา ทำอะไรก็ไม่ดีกับเขาสักอย่าง สร้างโลก (มีครอบครัว) ก็สร้างแล้ว มีแต่จมกับจม สิ่งใดก็ไม่ดีทั้งหมดผลสุดท้ายก็มาคิดว่าทำอย่างไรมันจึงจะดี
ข. ออกบวช
๑. เหตุแห่งการบวช
ก็มาคิดปรารภถึงแม่ผู้บังเกิดเกล้านั่นแหละ คิดถึงแม่เวลาใด น้ำตาไหลนะ ถามนักปราชญ์ทั้งหลายว่า ทำอย่างไรจึงจะตอบแทนบุญคุณแม่ได้ นักปราชญ์ท่านก็ว่า จะทำนาค้าขายตอบแทนก็ไม่ได้ดอก มีแต่ออกบวชเท่านั้นแหละ บวชแล้วบำเพ็ญบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้
ทีนี้ก็เลยตั้งใจใฝ่ฝันว่าจะบวช บำเพ็ญบุญให้แม่สัก ๒ - ๓ พรรษา แล้วก็จะสึก จากนั้นก็เข้าวัดฝึกหัดขานนาค เพราะไม่ได้เรียนหนังสือ เขียนไม่เป็น อ่านไม่ออก นั่นแหละ มันปึก (โง่) จึงท่องไม่ได้ ท่องแล้วท่องเล่า จนจะถอยหลังนะ เอ้าตั้งใจใหม่ โอ๋.....คนอื่นเขายังได้เว้ย ! เอาวันละคำนะ เอสาหัง ภันเตฯ.....อยู่นั่นแหละ มักน้อยเอาวันละคำก็เลยได้ เข้าวัดตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ พอขึ้น ๑๐ ค่ำ เดือน ๖ (พฤษภาคม) จึงได้บวช ในปี พ.ศ. ๒๔๙๐ โดยมี หลวงปู่หนู ซึ่งเป็นพระอุปัชฌาย์ อยู่ที่วัดบ้านปลาฝา ซึ่งเป็นวัดฝ่ายมหานิกายมาบวชให้ แล้วจำพรรษาอยู่วัดบ้านขมิ้น ๑ พรรษา จากนั้นจึงมาจำพรรษาที่วัดศรีจันทร์ ซึ่งเป็นวัดประจำหมู่บ้านแดงมีหลวงปู่นัน ตาปโส เป็นเจ้าอาวาส
๒. อุทิศบุญให้แม่
หลวงปู่เล่าว่า พอบวชแล้วออกจากโบสถ์มาก็อุทิศส่วนบุญให้แม่เลย “บุญ ที่ข้าพเจ้าบวชในวันนี้ ขอฝากแต่แม่เจ้าธรณีเทพเจ้าเหล่าเทวา นำบุญนี้ไปให้แม่ข้าพเจ้า มีนามว่า นางเลี่ยม ชมภูวิเศษ ดวงจิตของเขานั้น ไปอยู่สถานที่ใด ไปตกนรกก็ดี หรือไปมนุษย์ก็ดี หรือไปเป็นเปรต เป็นผี ก็ดี ขอให้ได้รับส่วนบุญนั้น ขอให้พ้นทุกข์ ให้กลับมาเกิดในตระกูลเดิม จะได้เห็นอำนาจในการบำเพ็ญบุญ ส่วนผู้นำข่าวบุญไปนั้น ก็ขอแบ่งส่วนบุญให้
จากนั้นก็ตั้งใจบำเพ็ญบุญ ไหว้พระ สวดมนต์ นั่งสมาธิ ยืนภาวนา เดินจงกรม วันยังค่ำ บางกาลสมัย ๕ ปีนะ ไม่นอนตลอดไตรมาส ๓ เดือน เดิน ยืน นั่ง เท่านั้นแหละ ๔ - ๕ วัน ฉันครั้ง เพราะวิตกวิจารณ์ใจ กลัวว่าจะได้บุญน้อย จะไม่ไปช่วยเหลือแม่ นั่นแหละ ก็ทำอยู่อย่างนั้นเป็นนิจ

ขออภัย! โพสต์นี้มีไฟล์แนบหรือรูปภาพที่ไม่ได้รับอนุญาตให้คุณเข้าถึง

คุณจำเป็นต้อง ลงชื่อเข้าใช้ เพื่อดาวน์โหลดหรือดูไฟล์แนบนี้ คุณยังไม่มีบัญชีใช่ไหม? ลงทะเบียน

x
กราบหลวงปู่ครับ

กราบนมัสการครับ

ขอบพระคุณข้อมูลครับ
4#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-9-3 16:33 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
พบเปรต 3 สาวงาม หลงกาเม โดย หลวงปู่จันทา ถาวโร วัดป่าเขาน้อย
     

      คืน วันหนึ่งตอน ๓ ทุ่ม ขณะที่ท่านพระอาจารย์จันทาเดินจงกรมอยู่ในป่าช้าแห่งนั้น บรรยากาศอันสงัดวิเวกวังเวงได้เย็นเยือกลง มีกลิ่นเหม็นเน่ารุนแรงลอยมาจนทำให้สะอึก ท่านคิดว่า ชาวบ้านฝังผีไม่ลึก ทำให้สุนัขมาขุดคุ้ยหลุมผี ลากเอาศพเน่าแล้วขึ้นมากิน กลิ่นศพเลยกระจายมาตามกระแสลม จึงสูดลมหายใจแรง ๆ เอากลิ่นศพเข้าปอด วิธีนี้จะทำให้ร่างกายปรับตัวเข้ากับกลิ่นเหม็นได้สนิท ความเหม็นเน่าจะทุเลาลง วิธีนี้สัปเหร่อแนะนำให้ไว้
แล้วท่านก็เดินจงกรมต่อไปกำหนดพุทโธตามจังหวะย่างก้าวไม่นานจิตร่วมลงเกิดโอภาสสว่างจ้า

      ใน แสงสว่างนั้น เห็นนิมิตเป็นหญิงสาว ๓ นาง ตัดผมสั้นคล้ายทรงผมผู้หญิงออกศึกสงครามสมัยโบราณ ผิวขาวร่างสูงใหญ่ ๘ ศอก สวยมาก แต่เปลือยกายล่อนจ้อน เข้ามาหยุดยืนห่างในระยะประมาณ ๒ วา ที่ของลับนางทั้ง ๓ มีหนอนตัวเท่านิ้วมือจำนวนมากมายเจาะอยู่ยุ่บยั่บน่าหวาดเสียว น้ำเหลืองน้ำหนองไหลพลั่ก ๆ ลงมาที่พื้นดินจิตบอกว่า นางทั้ง ๓ นี้เป็นเปรต !

       นางเปรตทั้ง ๓ ได้เดินไปยืนคร่อมเครือเถาวัลย์ แล้วถูไปถูมาทำให้หนอนที่รุมเจาะของลับอยู่นั้นร่วงพรูลงมา เป็นภาพที่ทำให้สังเวชสลดใจยิ่งนัก ท่านพระอาจารย์จันทากำหนดจิตถามว่า

“ทำกรรมทำเวรอันใดไว้ถึงได้มาตกค้างอยู่ในสภาพนี้โยม?”

นางเปรตทั้ง ๓ ร้องเสียงดังโหยหวนไปทั้งป่าช้า ร่ำไห้น่าสงสาร กล่าวตอบว่า
“พวกข้าน้อยมีทุกข์ทรมานแสนสาหัสเหลือเกินท่านครูบาเอ๊ย ตั้งแต่สมัยตั้งเมืองนครพนมหลายร้อยปีนานมา

       พวก ข้าน้อยเป็นสาวงาม เมื่อมีผัวแล้วก็เล่นชู้นอกใจผัว ไม่เลือกเป็นพระสงฆ์องค์เจ้าหรือฆราวาส ฝ่ายผัวรู้เข้าก็คับแค้นใจ สาปให้ตายไปเป็นเปรต ถูกฝูงหนอนรุมเจาะของลับเช่นนี้แหละ”
“อยากจะพ้นทุกข์นี้ไหมล่ะโยม ?”
“อยากพ้นเจ้าค่ะ แต่ไม่รู้จะพ้นได้อย่างไร ?”

       ท่านพระ อาจารย์จันทาจึงกำหนดจิตถามพระธรรม ซึ่งก็คือ พุทโธหรือจิตนั่นเอง พระธรรมบอกว่า เปรต ๓ นางนี้เคยเป็นญาติกันมาในชาติก่อนหลายภพชาติ เคยช่วยเหลือพึ่งพาอาศัยกันมา สมควรจะช่วยเหลือพวกนางให้ไปเกิดในสุคติภูมิหลาย ภพชาติมาล้วนไม่มีพระสงฆ์องค์เจ้าองค์ใด สามารถช่วยเหลือเปรตทั้ง ๓ นางนี้ได้เลย เมื่อมาเจริญภาวนาในป่าช้าแห่งนี้แล้วจิตไม่สงบ เมื่อจิตไม่เป็นสมาธิก็ไม่สามารถมองเห็นเปรตทั้ง ๓ นางได้
      ในชาติ ปัจจุบัน พระที่มาเจริญภาวนาในป่าช้านี้จำนวนหลายองค์ จิตไม่มั่นคง เพราะถูกพวกเปรตในป่าช้ารบกวน ก็หนีไปอยู่เสียที่อื่น ไม่ได้ช่วยให้พวกเปรตหลุดพ้นทุกข์ไปได้ รวมทั้งไม่ได้เกี่ยวเนื่องเป็นญาติกันด้วย

      ท่านพระอาจารย์จันทา สังเวชสลดใจ บาปกรรมช่างร้ายแรงน่าสะพรึงกลัวนี่กระไร จึงบอกให้นางเปรตทั้ง ๓ ตั้งใจรับเอาพระไตรสรณคมน์และศีล ๕ แล้วจึงสอนให้เดินจงกรมภาวนาพุทโธสอนให้หัดไหว้พระสวดมนต์ กำชับให้เจริญภาวนาพุทโธ เอาพุทโธเป็นสรณะที่พึ่งอยู่ตลอดเวลาอย่าได้ขาด

“เมื่อชาวบ้านญาติโยมมาทำบุญสุนทานในวัด ก็ให้โยมทั้ง๓ ฟังเทศน์ฟังธรรมกับเขา รับเอาพระไตรสรณคมน์และศีล ๕ ศีล ๘ กับเขา

      เผื่อ เขากรวดน้ำอุทิศกุศลให้เปรตขนก็โมทนายินดีรับเอากุศลนั้นด้วย จะได้หมดกรรมในเปรตวิสัยภูมิเร็วขึ้น” ท่านพระอาจารย์จันทากำชับนางเปรตทั้ง ๓
ท่านเล่าว่าต่อมาบางวันสงบ ๆ ในเวลากลางวัน จะได้ยินเสียงนางเปรตทั้ง ๓ กรีดร้องโหยหวนร่ำไรรำพันว่า

“เจ้าศีลเจ้าธรรมคูรบาเอ๊ย เมื่อไหร่หนอ พวกข้าน้อยจะพ้นจากเวรกรรมเสียที ทุกข์ยากเจ็บปวดแท้ น้อ”

       บาง คืนเปรตก็ร้องคร่ำครวญน่าเวทนายิ่งนัก เวลาท่านเดินจงกรมตอนกลางวันกลางคืน นางเปรตและผีทั้งหลายในป่าช้าพากันนั่งเต็มไปหมดคอยรับเอาส่วนกุศลที่แผ่ให้ แล้วจึงไปภาวนาทำความเพียรช่วยตัวเอง

“ครูบาอาจารย์ท่านบอกว่าพระ กรรมฐานทุกองค์แม้จะได้ฌานสมาธิ แต่ก็ไม่ได้เห็นผีเห็นเปรตหรือเห็นเทวดาเหมือนกันหมดทุกองค์ พระกรรมฐานที่จะเห็นได้
      ส่วนมาก เคยมีกรรมเก่าพัวพันกับผีสางเทวดาเหล่านั้นมาแล้วในชาติปางก่อน
อาตมาเกิดนิมิตในสมาธิเห็นพวกวิญญาณได้เห็นจะเนื่องจากอาตมาเคยมีกรรมพัวพันกับพวกเขามาก่อน ไม่ใช่อาตมาได้ตาทิพย์อะไรหรอกนะ ครูบาอาจารย์ยังได้สอนอีกว่า อำนาจสมาธิอาจสามารถทำให้เห็นอดีต เห็นปัจจุบัน เห็นอนาคต ได้

     แต่ ถ้าผู้ได้สมาธิระดับนี้ใช้สอดส่องเพ่งมองอดีต ปัจจุบันและอนาคต เป็นการอวดตนหรือหวังลาภสักการะแล้ว ย่อมจะทำให้การก้าวหน้าทางโลกุตรธรรมหยุดชะงักลงอย่างหมดหวัง น่าสลดสังเวช ประดุจดอกไม้ยังไม่ทันได้บานขึ้นเต็มที่ก็พลันเหี่ยวแห้งร่วงโรยไปเสีย ไม่มีโอกาสได้กระจายกลิ่นหอมหวนทวนลมแม้แต่น้อย
5#
 เจ้าของ| โพสต์ 2016-4-24 08:57 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้


คณะศิษยานุศิษย์ ในร่มเงาแห่งแก่นธรรมแท้ของท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตตมหาเถระ นั้นมีมากมายเกินจะกล่าวได้หมด บ้างก็ลือชื่อ บ้างก็เงียบสนิท บางองค์ซุกซ่อนเร้นกายอยู่ตามเงี้อมผา ป่า ถ้ำ ไม่ปรารถนาพบใคร มุ่งแต่ทำความเพียรเผากิเลส

ณ กาลปัจจุบันคณะศิษย์ของพ่อแม่ครูอาจารย์มั่น ในชั้นลูกคงเหลืออยู่เพียงน้อยนิด อาทิ พระธรรมวิสุทธิมงคล (บัว ญาณสัมปันโน), พระสุธรรมคณาจารย์ (เหรียญ วรลาโภ) (ปัจจุบัน มรณภาพแล้ว) เป็นต้น แต่คณะศิษย์ ในชั้นหลานยังคงมีมากมายเป็นที่อบอุ่นใจแก่ศรัทธาผู้ปรารถนาพระ ภิกษุที่เป็นพระสุปฏิปันโนแท้จริง

ประมาทชั้น หลาน ก็ไม่ได้เจียวหนา

เพราะมหาเถระประเภท ลูกศิษย์ ของท่านพระอาจารย์ใหญ่มั่น ผู้ได้รับคำ ยกย่อง ในภูมิจิต ภูมิธรรมถึงขั้นพ้นโลกจากพระอาจารย์ใหญ่ ยังออกปากรับรอง หลานศิษย์ ของท่านพระอาจารย์มั่นแบบเน้นย้ำก็มากองค์

หลวงปู่จันทา บวชเมื่อปี พ.ศ. 2490 แล้วได้ถวายองค์เป็นลูกศิษย์หลวงปู่ขาว อนาลโย แห่งวัดถ้ำกลองเพล อ.หนองบัวลำภู จ.อุดรธานี (อ.เมือง จ.หนองบัวลำภูปัจจุบัน) การประกอบพากเพียรของหลวงปู่จันทาเป็นไปอย่างเอาจริง เอาจังในทุกแง่มุม การเที่ยววิเวกเดินธุดงค์ดูจะเป็นเรื่องธรรมดาในสายตาท่าน ผิดกับเราผู้มองป่าดิบดงทึบเป็นแดนอันตรายที่บรรจุความน่าพรั่นพรึงไว้ทุกก้าวย่าง

จิตที่สงบเย็นและวาสนาบารมีเก่า ซึ่งบำเพ็ญมาอย่างพร้อมพรัก ทำให้หลวงปู่มองเห็นและติดต่อผู้อยู่ต่างภพทั้งในเบื้องสูงและเบื้องต่ำได้เกือบตลอดเวลา ท่านประจักษ์ใจชัดแจ้งกับการพิสูจน์ผลของการบำเพ็ญคุณความดี และผลบาปที่กดถ่วงจิตใจผู้ก่ออย่างน่าสังเวช เหล่าเทพซึ่งมาเฝ้าแหนหลวงปู่จันทาในทุกครั้งที่ท่าน บำเพ็ญสมณธรรม ได้เล่าถึงบุพกรรมฝ่ายกุศล ซึ่งตนได้อุตส่าห์สั่งสมไว้ยามเป็นมนุษย์กระทั่งตายจึงส่งผลให้เกิดดีถึงสุข
ด้วยคราวหนึ่งหลวงปู่ไปภาวนาอยู่ที่ถ้ำเป็ด ภูผาเหล็ก อ.สว่างแดนดิน จ.สกลนคร ณ ที่แห่งนี้ได้รับการศิโรราบกราบยอมจากพระ-เณร ที่เคยไปอยู่ตลอดจนถึงนายพราน และชาวบ้านป่าทั้งปวง หามีใครหาญกล้าไปพัก ไปหลบแดดฝนใดๆ

ทุกผู้คนต่างโบกมือส่ายหน้าให้กับอาถรรพณ์และความเฮี้ยนทั้งในและนอกถ้ำ ขนาดกลางวันแสกๆยังไม่มีใครยอมเฉียดเข้าไปแม้อยู่ในระยะlสายตาจะพอมองเห็นถ้ำไกลๆ

ยังไม่เงยหน้ามอง...

อะไรจะขนาดนั้น!


แต่กับหลวงปู่จันทาแล้ว ที่นี่คือสนามสอบซึ่งมีองค์ท่านเองเป็นกรรมการคุมสอบ จะได้ประกาศนียบัตรหรือไม่ก็อยู่ที่ท่านทุกขั้นตอน เหตุใดหลวงปู่จึงไม่หวาดกลัวภัยมืดที่อาจคุกคาม มีคำตอบเดียวคือ ศีล ความมั่นใจต่อการรักษาศีลของหลวงปู่ว่าตั้งใจดีแล้วโดยแท้ ศีลบริสุทธิ์แท้ ทำให้จิตเกิดความกล้าหาญไม่หวาดระแวงตัวของตัวว่ามีข้อบกพร่อง

คืนหนึ่ง ขณะที่ท่านเดินจงกรมอยู่เดียวดายใต้โคมเทียนอันริบหร ี่พลันบังเกิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหวประดุจแผ่นดินถล่มทลาย คลื่นเสียงอันกึกก้องสะเทือนสะท้านไปทั้งหุบเขาราวกับภูผาเหล็กทั้งภูกำลังถล่มยุบพังลงมา หลวงปู่กำหนดฟังอยู่ครู่หนึ่งจนเสียงน่าพรั่นพรึงค่อยจางไป จึงเงยหน้าขึ้นดู

ทุกสิ่งปกติ

ภูผาเหล็กยังคงตระหง่านดำทะมึนในท่ามกลางความมืด แลเห็นเป็นแนวยาวดำสนิทยิ่งกว่าความมืด ซึ่งโรยอยู่รอบตัว ท่านเหลียวมองทางไหนก็ไม่ปรากฏต้นเหตุของเสียงเลย ถ้าไม่เพราะมีสติมั่นคงแล้ว คงเตลิดวิ่งออกไปเป็นแน่

ครั้นไม่พบสิ่งผิดปรกติหลวงปู่จึงทำความเพียรต่อเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น กระทั่งหลังเที่ยงคืนไปแล้วท่านได้เข้าที่นั่งภาวนา เมื่อจิตรวมสู่อุปจารธรรม ก็บังเกิดนิมิตเห็นหมู่เทพยดาเหาะลอยลงมาจากยอดภูเขา ใหญ่ เหล่าเทพนั้นเรืองรองด้วยรัศมีแห่งบุญอยู่กลางหาว ดูงดงามไม่ต่างอะไรกับจันทร์ในวันเพ็ญ พอลอยเลื่อนลงถึงแผ่นดินเทวะหลายร้อยองค์นั้นก็พร้อม เพรียงกันกราบหลวงปู่อย่างนอบน้อม

ผู้เป็นหัวหน้าได้กล่าววาจาขอรับพระไตรสรณคมน์ และรับศีล 5 หลวงปู่จึงถามดูว่า จะรับไปทำไม เขาตอบทันทีว่า

โอ... เป็นบุญกุศลอันยิ่งใหญ่นะท่าน พวกข้าพเจ้ามีไตรสรณคมน์ ศีล 5 ศีล 8 และกุศลกรรมบถ 10 ประจำชีวิตนั่นแหละ อบายจึงไม่ได้ไป ไฟนรกจึงไม่ได้ไหม้ มีแต่สุคติโลกสวรรค์ เป็นที่ไปล้วนๆ ดังนั้นเมื่อเห็นท่านมาเจริญสมณธรรม จึงพากันมาขอรับพระไตรสรณคมน์และศีล 5 เพื่อไม่ให้ของเก่านั้นเศร้าหมอง

เมื่อเทวบุตรชี้แจงอย่างฉลาดจบลง หลวงปู่ก็เมตตาให้ไตรสรณคมน์และศีล 5 พวกเขาก็ขอฟังธรรมอีก หลวงปู่จึงเทศน์ให้ฟัง ครั้นเทศน์จบท่านก็ฉุกคิดถึงเรื่องเมื่อยามดึกจึงเอ่ยถามว่า




6#
 เจ้าของ| โพสต์ 2016-4-24 08:57 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
โยม...ขณะที่อาตมาเดินจงกรมตั้งแต่ 6 โมงเย็นจนถึง 5 ทุ่มนั้น ได้ยินเสียงดังสนั่นราวกับว่าภูผาเหล็กมันจะพังลงมานั้นเป็นเสียงอะไร

เขากราบเรียนว่า

เป็นเสียงที่พวกข้าพเจ้าสาธุการส่วนบุญกับท่าน การเดินจงกรมมีบุญเยอะนะท่านท่องพุทโธ ก้าวขาลงสู่พื้นดินนั่นดังตึงนะ แหม! บุญมากอัศจรรย์ใจ พวกข้าพเจ้าจึงมาสาธุการส่วนบุญด้วย

เล่าถึงตรงนี้หลวงปู่สรุปว่า

นั่นแหละ บุญในศาสนาพุทธ คือเดินจงกรม ยืนภาวนา นั่งสมาธิ ไหว้พระสวดมนต์ นั่นแหละได้บุญเยอะ

จากประสบการณ์ต่างๆที่เล่ามานั้น ทำให้หลวงปู่เชื่อในบุญบาปแน่วแน่ เร่งทำความเพียรฆ่ากิเลสอย่างไม่ห่วงธาตุขันธ์ ตอนที่ท่านขึ้นไปภาวนาที่ถ้ำผาบิ้ง ในป่าใหญ่ของวัดถ้ำกลองเพล ท่านถึงกับอดข้าวอดอาหาร ดื่มแต่น้ำเปล่าและถือเนสัชชิกธุดงค์ (คือการไม่นอน)ตลอด 7 วัน 7 คืน

ด้วยความเพียรอย่างอุกฤษฎ์นี้ ปรากฏผลคือท่านนั่งสมาธิภาวนาได้ตลอดคืนยันรุ่ง จิตใจได้รับความปีติอิ่มเอิบยิ่งนัก ความสุขอันเกิดจากคามสงบสว่าง เยือกเย็น ละเอียดอ่อน ยากแก่การพรรณนา ท่านรู้สึกว่าจิตเป็นอิสระ เบาสบาย ไม่เกาะเกี่ยวกับอะไร รุ่งเช้าท่านเดินทางมาถวายการอุปัฎฐากหลวงปู่ขาว หลวงปู่มองหน้าแล้วเอ่ยขึ้นว่า

ทา...พ้นทุกข์หรือยัง ผมเข้าใจว่าท่านพ้นทุกข์แล้ว เพราะเห็นท่านนั่งภาวนาแล้วมีรัศมีรุ่งโรจน์ คืนยันรุ่งนะท่าน

โอ! แสดงว่าการบำเพ็ญธรรมของหลวงปู่จันทา อยู่ในข่ายญาณอันวิสุทธิ์ของหลวงปู่ตลอดเวลา ท่านรู้สึกอัศจรรย์ใจในองค์อาจารย์ยิ่งนัก แต่ก็กราบเรียนหลวงปู่ขาวไปตามความรู้สึกในขณะนั้นว่ า

ยังหรอกครับหลวงปู่ แต่ว่าตั้งแต่ผมทำความเพียรกับหลวงปู่มาหลายปี รู้สึกว่าเมื่อคืนนี้จะสำคัญที่สุดกว่าทุกคืนครับ จิตรวมลงเห็นธรรม น่าเลื่อมใสแปลกประหลาดใจ จนถวายชีวิตพรหมจรรย์ได้ไม่หวั่นไหวทั้งนั้น ไม่กลับโลกอีกแล้ว

คำว่า ไม่กลับโลกอีกแล้ว ตีความหมายได้หลายนัย นัยหนึ่งอาจหมายถึง การไม่หวนคืนสู่ชีวิตฆราวาส ไม่ว่าเพราะสาเหตุใดก็ตาม เป็นอันว่าหลวงปู่หันหลังให้โลกสิ้นเชิง มุ่งหน้าพ้นทุกข์โดยถ่ายเดียว อีกนัยหนึ่งอาจหมายถึง ท่านมีจิตที่อยู่เหนือโลก พ้นไปจากโลกเสียแล้ว ความเป็นอิสระเช่นนี้ย่อมไม่อาจนำจิตกลับมาสู่ครรภ์ข องสัตว์ใดๆ ในสามแดนโลกธาตุนี้ได้อีก

คุณสมบัตินี้มีตั้งแต่ พระอนาคามี ขึ้นไป

สำหรับผมจะเชื่อเช่นไร ขออุบไว้คนเดียวเดี๋ยวจะกลายเป็นขายโง่เจ้าของไปเสีย แต่แบไต๋ในฐานะคนกันเองว่า ผมเชื่อหลวงปู่ขาว อนาลโย นี้ประการหนึ่ง เมื่อเปิดดูพระไตรปิฏก อนาคามี แปลความได้ว่า

ผู้ไม่กลับมาอีก

เพราะชันษาที่มากเข้า ประกอบกับศิษย์ที่มากขึ้น หลายหมู่เหล่าเป็นศิษย์ประเภทขาดกำลังใจ จิตอ่อนแอ จึงร้องขออะไร สักอย่างที่จะเป็นเครื่องแทนองค์หลวงปู่ไว้พึ่งพาทาง ใจในยามจวนตัว เพราะเมตตาใหญ่ที่เจริญรอยตามองค์อาจารย์ คือ หลวงปู่ขาว จึงอนุญาตให้ศิษย์ทำของที่ระลึกขึ้น เป็นบางคราว ศิษย์ก็หวังจะได้เห็นอภินิหารในของ ของ นั้นบ้างในบางครั้ง

แล้วก็เห็นกันจนได้ในคราวหนึ่ง

ส.จ.จังหวัดพิจิตรคนหนึ่งไปกราบเยี่ยมหลวงปู่จันทา ที่วัดเขาน้อย เพราะได้ยินกิตติศัพท์มาก่อน เมื่อเอ่ยปากขอเครื่องมงคล ท่านก็เมตตามอบผ้ายันต์สีแดงให้ผืนหนึ่งภายในบรรจุด้วยรูปหลวงปู่เป็นลายเส้น และยันต์มงกุฎพระพุทธเจ้ากับคาถาพระไตรสรณคมน์ ทั้ง 3 บทของหลวงปู่

ครั้นกราบลาแล้วก็ขับเก๋งคู่ใจ มุ่งตรงมาแวะจอดทำธุระที่ตลาด ขณะที่ยืนไขกุญแจล็อกประตูรถด้านคนขับนั่นเอง ปรากฏชายฉกรรจ์ 2 คน ซ้อนมอเตอร์ไซค์ขี่มาหยุดอยู่ข้างๆ และโดยไม่มีสัญญาณใดๆทั้งสิ้น ชายผู้ซ้อนหลังก็หยิบปืนออกจากเอวเบนปากกระบอกไปยังเป้านิ่งที่ยืนตะลึงตรงหน้า แล้วลั่นไก ปัง... ปัง...ออกไปราว 3-4 นัด จากนั้นก็บึ่งรถหายลับไป บนถนนราวกับภูตผี

ร่าง ส.จ. เคราะห์ร้ายรูดลงไปกองอยู่กับพื้น เป็นเป้าสายตาที่ใครต่อใครต่างกรูกันเข้ามา พอประคองลุกขึ้นจะส่งโรงหมอ ก็ให้ประหลาดใจที่ไม่เห็นเลือดนองดังคิด ไม่เห็นความเจ็บปวดอะไรบนใบหน้านอกจากแววตาที่ตื่นตระหนกเมื่อรุมล้อมซักถาม ได้ความว่า ยมทูตทั้ง 2 ยื่นความตายให้ไม่ถึงตัว ห่างกันไม่พอ 2 เมตร กลับยิงไม่ถูกเลยสักนัด ต่อให้คนไม่เคยยิงปืน มันก็น่าจะถูกบ้าง

เลยเป็นเรื่องอัศจรรย์ที่แคล้วคลาดได้ ต่างซักถามถึงพระดีว่าแขวนอะไร ส.จ.เคราะห์ร้ายผู้กลับมาเคราะห์ดีบอกว่า ไม่ได้แขวนพระอะไร แต่มีผ้ายันต์ ผืนหนึ่ง เพิ่งรับมาจากหลวงปู่จันทาสดๆ ร้อนๆ ไทยมุงก็ขอชมเป็นบุญตา เขาก็ล้วงจากกระเป๋าเสื้อออกมาคลี่ให้คนชม

หัวกระสุนทั้ง 4 นัด นอนกลิ้งอยู่กลางผ้ายันต์ !!

เสียงอื้ออึงก็สนั่นขึ้นอีก รวมถึง ส.จ.คนนั้น ที่แทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง กระสุนปืนที่ถูกยิงออกมามีความรุนแรงแค่ไหนใครก็รู้ ไม่ถูกยังพอว่า นี่กลับมาอยู่ในผ้ายันต์ที่พับเป็นสี่เหลี่ยมไว้ในกระเป๋าเสื้อ

เป็นไปได้อย่างไร?

เหตุการณ์นี้ทำให้ผ้ายันต์ผืนดังว่าหมดพรึ่บไปจากวัด หลวงปู่เองก็แจก...แจก...แจก...อยู่แล้ว แต่ไหนแต่ไรไม่เคยให้เช่า แล้วอะไรจะเหลือล่ะครับ

สำหรับเราผู้ไกลปืนเที่ยงแต่มีศรัทธา โปรดจำหน้าตาของผ้ายันต์แดงวิเศษนี้ให้แม่น พบเจอที่ไหนจงคว้าไว้เลย เจอบ้านเราคว้าบ้านเรา เจอบ้านเพื่อนให้บอกเพื่อนก่อนค่อยคว้านะ เพราะที่วัดทุกวันนี้ก็ไม่มี หลวงปู่เองก็เขียนไม่ไหว หากต้องการไปกราบเยี่ยมทำบุญกับพระสุปฏิปันโนเช่นท่าน เชิญได้ทุกเวลา ถ้าหลวงปู่อยู่วัดเป็นอันได้พบแน่

แต่ถ้าจะขอของขลังโปรดเผื่อใจผิดหวังไว้ด้วย ทว่าหลวงปู่ต้องแจกสิ่งที่ดีที่สุดให้ทุกคนที่ไปแน่นอนที่สุด นั่นคือ ธรรม
ณ เวลานี้ก็ได้แต่ขอบารมีของหลวงปู่จันทา ถาวโร พระอริยเจ้าผู้เลิศคุณองค์หนึ่งในดวงใจผม โปรดอภิบาลรักษาทุกท่านปลอดอันตรายทุกอย่าง ให้พบแต่ความสุขและรุ่งเรืองในทุกกาลสถานที่ด้วยเทอญ ...
ขอบพระคุณ บทความของคุณรณธรรม ธาราพันธุ์ WWW.NAVARAHT.COM และรูปภาพจากเวปวัดป่าWWW.WATPA.COM ค่ะ

สาธุ...ครับเคยกราบหลวงปู่
นานแล้ว
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ลงชื่อเข้าใช้ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้