ตั้งให้เราเป็นเว็บแรกที่คุณเลือก เก็บเราไว้เป็นเว็บโปรด
สมัครสมาชิก ได้มากกว่าที่คุณคิด เข้าสู่ระบบ
สั่งพิมพ์ ก่อนหน้า ถัดไป

^^ อ่านสนุก กระตุกคิด

[คัดลอกลิงก์]
11#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-9-7 15:00 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
พระอาจารย์ทูล ขิปฺปปญฺโญ


ฝังใจในพระกรรมฐานครั้งแรก


ในครั้งที่ข้าพเจ้าได้บรรพชาเป็นสามเณรอยู่ที่บ้านหนองแวง การบรรพชาในครั้งนั้นก็เป็นไปตามประเพณีนิยมเท่านั้น เพราะคนอีสานในสมัยนั้นถือกันว่า ถ้าเป็นผู้ชายต้องบวชเพื่อตอบแทนบุญคุณพ่อแม่ หรือบวชจูงพ่อแม่ไปสวรรค์ ความเชื่อถืออย่างนี้มีความฝังลึกในหัวใจของคนอีสานมายาวนาน และยังมีความเชื่อถือกันอยู่อย่างนี้จนถึงปัจจุบัน และยังจะเชื่อถือกันอย่างนี้ต่อไปอีกยาวนานทีเดียว นี่ก็เป็นความเชื่อถือที่ดีมีประโยชน์ทั้งสามอย่าง คือ ประโยชน์ตน ประโยชน์ท่าน และประโยชน์อย่างยิ่งคือได้ทรงไว้ซึ่งพระพุทธศาสนา มีการศึกษาธรรมวินัยได้เป็นอย่างดี ในช่วงที่ข้าพเจ้าบวชเป็นสามเณรอยู่นั้น มีภิกษุท่านหนึ่งได้บวชเป็นพระธรรมยุต ภาวนาปฏิบัติกรรมฐานมาแล้วสามปี มีนามว่าพระอาจารย์สม ในช่วงนั้นท่านได้มาเยี่ยมบ้านและได้พักอยู่ในวัดบ้านหนองแวงนั้นเอง ท่านได้อบรมสั่งสอนให้แนวทางปฏิบัติพอสมควร แต่ก็หาเวลาปฏิบัติกับท่านไม่ได้ เพราะกำลังศึกษาในปริยัติธรรมอยู่ แต่ก็ได้ปรนนิบัติท่านด้วยการรับบาตรและล้างบาตรให้ท่านทุกวัน แต่ท่านก็ไม่ได้อบรมสั่งสอนเรื่องมรรคผลนิพพานให้ฟังเลย เพียงสอนให้นึกคำบริกรรมว่า พุทโธ เท่านั้น ข้าพเจ้าก็ยังไม่สนใจในคำบริกรรมนี้ มีแต่การศึกษาธรรมวินัยอย่างเดียว แต่ก็มีความเลื่อมใสศรัทธาในตัวท่านอยู่มากทีเดียว เพราะท่านมีความสำรวมดี มีกิริยา กาย วาจาที่อ่อนโยน จะเดินไปมา นั่ง ยืน นอน ท่านมีความสำรวมดีมากทีเดียว เวลาท่านฉันในบาตรก็สำรวมในการฉันเป็นอย่างดี และยังฉันมื้อเดียวด้วย เมื่อฉันเสร็จท่านก็ใช้ไม้สีฟันแปรงฟันให้สะอาด ข้าพเจ้าเป็นนักสังเกตอยู่แล้ว เมื่อเห็นกิริยาของท่านอย่างนั้น ก็มีความเลื่อมใสศรัทธาในตัวท่านมากขึ้น ในวันหนึ่ง เอากระโถนท่านไปล้าง ได้มองเห็นไม้สีฟันที่ท่านใช้แล้วอยู่ในกระโถน จึงจับขึ้นมาดูและพิจารณาว่า พระกรรมฐานทำไมจึงใช้ไม้สีฟันอย่างนี้ เหลาและทุบให้เป็นแปรงได้เป็นอย่างดี คิดต่อไปว่าพระกรรมฐานคงมีความเพียรมากทีเดียว ขนาดไม้สีฟันก็ยังทำให้ละเอียดสวยงามได้ถึงเพียงนี้ การปฏิบัติภาวนาก็คงมีความละเอียดมากกว่านี้ และก็คิดในใจอยู่ว่า เมื่อเราได้ศึกษาจบแล้ว จะออกปฏิบัติกับท่านอย่างแน่นอน

ต่อมาอีกไม่กี่วัน ท่านก็ได้ตัดเอาไม้ไผ่มาเป็นท่อน ๆ ยาวประมาณ ๙ นิ้ว แล้วเอามาผ่าเป็นซีก ๆ กองกันเอาไว้ แล้วท่านก็ได้บอกว่า เณรทูล ๆ มานี่ เมื่อเข้าไปหาท่าน จึงได้ถามไปว่า เรียกกระผมมาธุระอะไร ท่านก็บอกว่าไปหามีดมาเหลาไม้ ช่วยกันนะ เมื่อได้มีดมาก็เหลาไม้ช่วยท่านไป ท่านก็บอกว่าให้เหลาอย่างนี้ ๆ นะ เลยถามท่านไปว่า ท่านอาจารย์ครับ จะเหลาไม้ไผ่นี้ไปทำอะไร ท่านก็บอกว่า มีที่ทำอยู่นั่นแหละ เหลาไปเถอะ เมื่อเหลา ๆ ไปก็เกิดความสงสัยขึ้นมาอีก ก็ถามท่านไปอีก ท่านก็พูดว่า เหลาไปเถอะ เดี๋ยวรู้เอง ทั้งเหลาไปด้วยพิจารณาไปด้วยว่า จะเหลาไม้นี้ไปทำอะไรกันนะจึงเหลาสวยงามขนาดนี้ เมื่อเหลาเสร็จก็มัดเป็นกำ ๆ ขนาดใหญ่แล้วก็ให้ท่านไป ในวันที่ ๒ ข้าพเจ้าไปห้องส้วม พอดีไปพบไม้ไผ่ที่เหลานั้นอยู่ในห้องส้วมและมีปี๊บใบหนึ่งวางอยู่ด้านข้าง มีไม้ชำระทิ้งอยู่ในปี๊บนั้นสองอัน จึงได้คิดขึ้นมาว่า พระกรรมฐานมีความละเอียดอ่อนขนาดนี้หรือนี่ ขนาดไม้ชำระและไม้สีฟันก็ยังเหลาให้สวยงาม จุดเริ่มแรกที่เกิดมีความฝังใจในพระกรรมฐาน ก็คือในห้องส้วมนั้นเอง

จากนั้นมา ก็มีความสนใจในท่านมากขึ้น จึงได้คิดเปรียบเทียบกันในระหว่างพระที่ปฏิบัติและไม่ปฏิบัติอยู่เสมอ แต่ก็น่าเสียดายที่ท่านไม่ได้สอนธรรมปฏิบัติหมวดอื่น ๆ ให้ฟัง ถ้าหากท่านได้สอนแนวทางปฏิบัติให้ตรงต่อมรรคผลนิพพานในครั้งนั้นแล้ว คิดว่าคงจะไม่ได้เป็นฆราวาสอีกแน่นอน

ในวันต่อมา ท่านให้ไปทำทางเดินจงกรมให้ เมื่อทำเสร็จแล้วท่านก็พูดว่า ในคืนนี้จะพามาเดินจงกรมที่นี่นะ เมื่อรับคำแล้วก็ต้องทำตามท่าน พอถึงเวลาประมาณ ๑ ทุ่ม เป็นคืนที่แสงเดือนกำลังสว่างพอดี ท่านก็บอกว่าให้เณรทูลเดินจงกรมจากนี่ไปนี่นะ ท่านก็ชี้มือไปในเส้นทางที่ไปห้องส้วมนั่นเอง ซึ่งพอดีจะต้องผ่านกอไผ่ขนาดใหญ่ไป ในที่แห่งนี้มีผีเปรตหลอกพระเณรที่ไปห้องส้วมอยู่ประจำ ไม่กี่วันมานี้ก็มีผีเปรตหลอกพระจนร้องเสียงหลงมาแล้ว ถึงเราไม่เคยเห็นผีเปรต แต่ก็กลัวเอาไว้ก่อน ท่านอาจารย์ก็เดินทางจงกรมของท่านไป สามเณรทูลก็ได้เดินจงกรมเส้นทางที่มีผีเปรต เดินใหม่ ๆ ก็กลัวจนหัวเข่าอ่อนไปหลายครั้ง แต่ก็ตั้งมั่นอยู่ในคำบริกรรมว่า พุทโธ ๆ อยู่เสมอ

เมื่อเดินไปได้ประมาณครึ่งชั่วโมง รู้สึกเหนื่อยมาก เพราะไม่เคยเดินจงกรมเลย เรียกว่าเดินจงกรมในครั้งแรกของชีวิตนั่นเอง ครั้นจะหยุดเดินหรือก็กลัวอาจารย์จะว่าไม่มีความอดทน อย่างไรเสียก็ต้องฝืนเดินต่อไป ถึงจะเหนื่อยก็ต้องอดทนต่อสู้เดินต่อไป ประมาณ ๑ ชั่วโมงผ่านไปท่านก็ยังไม่หยุด สามเณรทูลก็ต้องกัดฟันอดทนเดินสู้ต่อไป ในช่วงนั้นเอง สามเณรทูลได้รับความสุขทางใจมากที่สุด ในขณะที่เดินจงกรมอยู่นั้น จิตมีความสงบวูบไปนิดเดียว ความเบากาย ความเบาใจ ก็ปรากฏขึ้นอย่างชัดเจน เกิดมีความสุขใจความอิ่มเอิบใจมากทีเดียว เดินจงกรมไม่มีความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าแต่อย่างใด มีแต่ความขยันขันแข็ง จะเดินจงกรมจนถึงสว่างก็ยังได้เลย ครั้นได้เวลาประมาณ ๓ ทุ่ม ท่านก็เรียกให้พักแล้วพาไปกุฏิ แหม ในคืนนั้นไม่อยากไปกุฏิเลย อยากเดินจงกรมอยู่ที่นั่นตลอดคืน แต่เมื่อท่านเรียกก็ต้องไปตามท่าน เมื่อท่านเข้าห้องจำวัด สามเณรทูลกกลับนอนไม่ได้เลย ต้องออกมาเดินจงกรมที่ลานวัดคนเดียว เมื่อดึกมากแล้วจึงเข้าพักในห้องได้ จากนั้นมา ก็เห็นคุณค่าในการเดินจงกรมว่าเป็นผลอย่างนี้ ๆ มาแล้ว

วันต่อมา ท่านมีธุระจะไปกราบพระอาจารย์บุญจันทร์ ที่บ้านจำปา ท่านจึงได้ชวนไปด้วย เมื่อรับคำท่านแล้วก็ไปลาโยมพ่อโยมแม่ เดินทางกับท่านอาจารย์ไป การเดินทางในครั้งนี้เป็นทุกข์มากทีเดียว บาตรขนาดใหญ่ไม่รู้ว่ามีสัมภาระอะไรบ้าง เต็มไปหมด ทั้งบาตร ทั้งกลด ท่านอาจารย์ให้สามเณรทูลแบกสะพายของทั้งหมด สะพายไปได้ประมาณ ๔ กิโลเมตร รู้สึกว่าบาตรนั้นหนักขึ้นทุกที ท่านก็ไม่หยุดพักเอาบ้างเลย ทั้งหนัก ทั้งเหนื่อย ทั้งหิวข้าวเพล จนสามเณรทูลมีน้ำตาไหลออกมาทีเดียว คิดว่าจะบอกท่านอาจารย์ให้หยุดพักก็กลัวท่านว่าไม่มีความอดทน จำเป็นต้องต่อสู้อดทนเดินตามท่านไป ไปได้ประมาณ ๖ กิโลเมตร ท่านก็หยุดพักพอหายเหนื่อยได้นิดหนึ่ง จากนั้นท่านก็พาเดินทางต่อไป เมื่อไปถึงวัดป่าบ้านจำปา ก็เป็นเวลาพระเณรกำลังปัดกวาดลานวัดพอดี เมื่อเข้าไปถึง มีสามเณรออกมารับบาตรไปที่ศาลา ดูพระเณรทุกองค์ถือผ้าย้อมแก่นขนุนกันทั้งนั้น มีสามเณรทูลองค์เดียวถือผ้าสีแตกต่างกันกับหมู่คณะ เมื่อเข้าไปในวัดเห็นความสะอาดในที่ต่าง ๆ เรียบร้อยสวยงามดี จึงทำให้มีศรัทธาเลื่อมใสในพระกรรมฐานเป็นอย่างมาก ทุกองค์มีความสำรวมเหมือน ๆ กัน การพูดก็มีเสียงเบาเพียงกระซิบกระซาบรู้เรื่องกันเท่านั้น

ในขณะนั้น สามเณรทูลหิวน้ำขึ้นมา คิดว่าจะไปฉันน้ำในตุ่ม เมื่อเดินไปดูก็ไม่มีขันและแก้วน้ำที่จะตักกินเลย เพียงไปเห็นกระบอกไม้ไผ่ขนาดใหญ่เท่าขา มีผ้ามัดติดอยู่ไม่รู้ว่าเป็นอะไร จึงได้ไปหาขันในศาลาจะเอามาตักน้ำในตุ่มฉัน แต่พอดีมีเณรอีกองค์หนึ่งเดินมาพบ จึงได้บอกว่า อย่าเอาขันตักน้ำในตุ่มนี้นะ ให้เอา ธมกรก กรองเอา สามเณรทูลก็ไม่รู้จักเลยว่าธมกรกเป็นอย่างไร มีแต่กระบอกไม้ไผ่ห้อยอยู่ที่นั้น ๒ - ๓ อันเท่านั้น สามเณรทูลก็จับมาดูแล้วคิดว่านี่หรือเปล่าหนอธมกรก แล้วก็จุ่มลงในตุ่มน้ำ ดึงขึ้นมาน้ำก็ไหลออกหมด สามเณรนั้นก็มาเห็นอีกแล้วถามว่า กรองน้ำไม่เป็นหรือ ก็บอกไปว่ากรองไม่เป็น เณรองค์นั้นก็กรองน้ำให้ดู เมื่อฉันน้ำอิ่มแล้วก็มานั่งคิดรำพึงถึงวิธีฉันน้ำอีก นี่ พระกรรมฐานทำไมมีความละเอียดถึงขนาดนี้ เพียงน้ำธรรมดาก็กรองฉัน เครื่องบริขารอื่น ๆ ส่วนตัว เช่น กาน้ำ แก้วน้ำ บาตร กระโถน ล้วนแต่สะอาดหมดจดกันทั้งนั้น จึงได้มาคิดถึงความเป็นอยู่ของตัวเองในวัดบ้านว่ามีความแตกต่างกันทั้งหมด เรื่องวัดบ้านมีความเป็นอยู่อย่างไรไม่ต้องพรรณนาก็รู้กัน

จากนั้นก็ถึงเวลาค่ำ สามเณรที่วัดก็จัดกุฏิพิเศษให้นอนองค์เดียว ห่างจากศาลาไปประมาณ ๑๐๐ เมตร เป็นป่าดงดิบหนาแน่น มีต้นไม้ใหญ่นานาชนิดมากมาย มีทางเล็ก ๆ ไปหากุฏิที่สร้างใหม่ มีพื้นปูด้วยฟากไม้ไผ่ หลังคามุงด้วยหญ้าคาอย่างดี เป็นกุฏิที่ใหม่เอี่ยม ยังไม่มีใครไปนอนในกุฏินี้มาก่อนเลย ใต้กุฏิพูนดินขึ้นมาพอสมควร มีถาดใบเล็ก ๆ มีถ้วยอาหารวางอยู่ในที่นั้นด้วย แต่คิดว่าเป็นประเพณีสร้างกุฏิใหม่ของพระกรรมฐาน คงทำเลี้ยงเจ้าที่ไปเท่านั้น ในกุฏิมีกล้วยน้ำว้าสองเครือผูกห้อยอยู่ สุกเหลืองทั้งสองเครือ ในคืนนั้น สามเณรทูลนอนแทบไม่หลับเลย เพราะหิวข้าวนั่นเอง ท้องร้องจ๊อก ๆ มองไปเห็นกล้วยสุกอยู่ข้างที่นอน ถ้าเป็นท่านผู้อ่านจะคิดอย่างไรในเรื่องนี้ ในคืนนั้น สามเณรอดทนไม่ได้ ก็ลุกขึ้นไปจับกล้วยสุกทันที กำลังจะปลิดเอามาฉัน ก็นึกขึ้นได้ว่า นี่ทูล เราเป็นสามเณรรักษาศีล ๑๐ นะ เราเคยรักษาศีลให้มีความบริสุทธิ์มานานแล้ว จะมาให้ศีลขาดไปในขณะนี้ไม่ได้นะ เมื่อนึกได้อย่างนี้ก็ไม่กล้า จึงกลับมานอนดูกล้วยสุกต่อไป ในคืนนั้น ได้ลุกขึ้นไปจับกล้วยสุกว่าจะฉันถึงสามครั้ง แต่ก็สำนึกตัวเองได้ทันทุกครั้งไป ในคืนนั้นได้หลับนิดเดียว เพราะความหิวเป็นเหตุนั้นเอง

ตื่นเช้าไปศาลา อาจารย์ก็จัดบาตรให้บิณฑบาตกับหมู่พระเณรธรรมดา อาจารย์ได้บอกว่า เณรทูล การบิณฑบาตให้ไปตามหลังเณรอื่นเขานะ เดินบิณฑบาตต้องมีความสำรวมตัวให้ดี อย่ามองซ้ายและมองขวา ให้สายตาอยู่กับขาของเณรที่เดินก่อน เมื่อมีคนใส่บาตรก็อย่าไปดูหน้าเขา ให้จ้องตาดูแต่ในบาตร ดูปั้นข้าวเขาตกลงในบาตรแล้วจึงปิดฝาบาตร แล้วค่อยเดินตามหลังเขาไป สามเณรทูลก็ทำได้จริง ๆ ด้วย บิณฑบาตอยู่ในบ้านจำปานั้น ๑๐ วัน ไม่เคยเห็นหน้าใครเลย เพราะความสำรวมของสามเณรทูลนั้นมีความระวังมาก เวลาฉันท่านก็จัดภาชนะให้เป็นพิเศษ จากนั้น อาจารย์ก็ถามว่ากลัวผีไหม ก็ตอบท่านไปว่ากลัว ท่านอาจารย์พูดว่า ที่นี่เป็นป่าช้าของชาวบ้านทั้งหมด กุฏิทุกหลังที่ปลูกเอาไว้ล้วนแต่ปลูกครอบหลุมศพทั้งนั้น กุฏิที่เณรทูลอยู่นั้นก็เป็นหลุมศพผู้หญิงคลอดลูกตายใหม่ ๆ นี่เอง เมื่อสามเณรทูลได้ยินก็เกิดความกลัวมากพอสมควร แต่ก็หนีไม่ได้ ถึงจะกลัวเท่าไรก็ต้องอดทน จึงคิดถึงเณรอื่นเขาว่าเณรอื่นก็เล็ก ๆ เท่ากันกับเรา เขาก็อยู่องค์เดียวได้ กุฏิเณรนั้นก็มีหลุมศพเหมือนกันกับกุฏิเรา เมื่อเขาอยู่ได้เราก็ต้องอยู่ได้เช่นกัน จากนั้นมาหลายวัน อาจารย์ก็ได้มาส่งที่วัดบ้านหนองแวง แล้วท่านอาจารย์ก็พูดว่าจะไปงานศพของหลวงปู่มั่นต่อไป

จากนั้น ก็ได้สึกออกมาทำไร่ทำนาช่วยพ่อแม่ต่อไป เมื่ออายุครบ ๒๐ ปี ก็ได้บวชเป็นพระอยู่ในวัดบ้านอีก การบวชทั้งสองครั้งที่ผ่านมาเป็นเพียงบวชตามประเพณีนิยมเท่านั้น การศึกษาเล่าเรียนก็เรียนไปตามหลักสูตรที่วางเอาไว้ แต่ไม่มีครูอาจารย์องค์ใดพูดถึงเรื่องการปฏิบัติธรรมเลย บวชได้อีก ๑ ปี ก็สึกออกมาอีก ในช่วงต่อมา ได้ไปเที่ยวอำเภอบ้านผือ ตามคำชักชวนของเพื่อน ๆ (ไปอยู่บ้านดงหวาย) จึงชวนกันไปทำไร่อ้อยที่ดงไม้เรียว ตัวเองทำบ้างและจ้างคนงานช่วยทำบ้าง ในวันหนึ่ง มีเพื่อนคนงานถามถึงครอบครัว ก็บอกเขาว่ายังไม่มี เหตุที่ไม่ยอมมีครอบครัวเนื่องจากสาเหตุใดก็อธิบายให้เพื่อน ๆ ฟังว่า ยังไม่พบผู้หญิงที่ถูกใจ ผู้หญิงที่ถูกใจนั้น คือเป็นผู้ไม่กินอาหารดิบที่เป็นเนื้อสัตว์ทุกชนิด และเป็นผู้มีศีล ๕ ประจำตัว พอพูดจบก็มีเพื่ออีกคนหนึ่งพูดขึ้นว่า หญิงสาวที่ไม่กินอาหารดิบและมีศีล ๕ นั้นมีอยู่ จากนั้นก็คุยกันในเรื่องนี้บ่อย ๆ และตัวเองก็ตัดสินใจว่า ถ้ามีหญิงสาวลักษณะนี้จริงจะยอมแต่งงานด้วย จากนั้น ก็มาคอยดูกันอยู่ที่วัดป่าธรรมยุตแห่งหนึ่งที่บ้านโนนสมบูรณ์ โดยมีอาหารมาทำบุญด้วย การมานี้เพื่อมาดูหญิงสาวเท่านั้น ไม่คิดว่าจะมาบวชแต่อย่างใด
อนุโมทนา
14#
 เจ้าของ| โพสต์ 2015-1-15 11:33 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ลูกหลานทั้งหลาย วันนี้สาระน้อยไปหน่อยนะ เพราะมัวไปทะเลาะกับท่านนักปราชญ์เพลินไป มาพูดกันถึงอานุภาพท่านขุนด่านอีกหน่อย เพราะชักเหนื่อยแล้ว ท่านขุนด่านเป็นเทวดาของท่านท้าวเวสสุวัณ มีเครื่องทรงประจำสีแดง คือ นุ่งห่มสีแดง และโพกผ้าก็สีแดงเหมือนกัน ท่านที่ทรงเครื่องแดงนี้จัดเป็นเทวดามีอานุภาพมาก สมัยที่เขาวงพระจันทร์ยังมีสถานที่ยังไม่สมบูรณ์อย่างปัจจุบัน หลวงพ่อปานท่านกำลังสร้างมณฑปและบันไดขึ้นเขา มีพระองค์หนึ่งเป็นลูกศิษย์นอกสำนักของหลวงพ่อปาน ชื่อ ท่านสำราญ ชาวบ้านเรียกว่าอาจารย์สำราญ ขณะนี้สำราญอยู่เมืองผีนานแล้ว เพราะท่านแก่กว่าฉันมาก สมัยฉันอายุ ๒๐ ปีเศษ ท่านมีอายุเกือบ ๔๐ ปีแล้ว ท่านอยู่ประจำที่เขาวงพระจันทร์ เป็นเขตอารักขาของท่านขุนด่าน หลวงพ่อปานท่านสั่งไว้เสมอว่า อย่าประกาศตัวเป็นศัตรูกับผี ควรทำตนเป็นมิตรกับผีจะได้อยู่เป็นสุข เพราะผีไม่ใช่คน ถ้าเป็นศัตรูกัน เวลาที่เขามาทำอันตรายไม่มีนิมิตปรากฏ ท่านก็ไม่เชื่อ ปกติท่านสวดบทวิปัสสิทธิ์เสมอเพื่อไล่ผี คาถาบทนี้เป็นคาถาในบทภาณยักษ์และภาณพระ คำว่า ภาณยักษ์แปลว่ายักษ์พูด คำว่าภาณแปลว่าพูด เป็นคาถาที่ท่านท้าวมหาราชทั้งสี่ท่านประชุมกันร้อยกรองขึ้น เมื่อร้อยกรองเสร็จท่านก็ประชุมผีทั้งหมด ท่านสั่งว่าใครเขาสวดคาถาบทนี้อยู่ห้ามทำอันตราย ถ้าใครไม่เชื่อจะลงโทษฐานกบฏ มาตรานี้มีโทษรุนแรงมาก เมื่อประกาศแล้วท่านทั้งสี่ก็มาเฝ้าพระพุทธเจ้า ท่านทั้งสามให้ท้าวเวสสุวัณเป็นคนพูดกับพระพุทธเจ้า ท่านจึงเรียกภาณยักษ์ ตอนที่ท้าวเวสสุวัณพูด แปลว่า ยักษ์พูด เมื่อท้าวเวสสุวัณกราบทูลถวายกับพระพุทธเจ้า ได้กราบทูลมีใจความว่า พวกยักษ์ คนธรรพ์ กุมภัณฑ์ นาคและบริวาร ส่วนอื่นของข้าพระพุทธเจ้าที่ไม่เลื่อมใสในพระองค์มีมาก เมื่อบรรดาพระ เณร อุบาสก อุบาสิกา ไปทำสมณธรรมคือชำระอารมณ์ให้หมดจากกิเลส พวกนี้มักจะกลั่นแกล้งให้ตกใจกลัว เป็นอันตรายแก่พรหมจรรย์มาก
คำว่าพรหมจรรย์ไม่ใช่คนบริสุทธิ์ ไม่เคยผ่านใครมาเลย นั่นยังไม่เรียกว่าพรหมจรรย์ ควรเรียกว่าคนยังไม่เคย ส่วนพรหมจรรย์แปลว่าประพฤติประเสริฐ คือ ไม่เป็นอันตรายแก่ใคร ได้แก่คนมีพรหมวิหาร ๔ นั่นเอง พวกที่ไม่เคยผ่านการร่วมรัก อาจจะเคยลักขโมย ฆ่าสัตว์ โกหกมดเท็จ กินเหล้าเมาสุราบ้างก็ได้ เรียกว่า พรหมจรรย์จึงไม่ตรงเป้าหมาย ส่วนพรหมจรรย์แท้ท่านหมายเอามีความประพฤติอย่างประเสริฐ คือ มีอารมณ์เหมือนพรหม มีศีลบริสุทธิ์ มีเมตตาปรานี มีฌานเป็นอารมณ์ อย่างนี้เป็นพรหมจรรย์อันดับปฐม พรหมจรรย์อย่างมัธยมก็ต้องตัดกิเลสสิ้นไปเป็นพระอรหันต์ อย่างนี้เรียกว่าระดับมัธยม หรือเรียกดุษฎีบัณฑิต เป็นอันว่ารู้กันนะว่าพรหมจรรย์หมายความว่าอย่างไร เมื่อบรรดาท่านพุทธบริษัทของพระองค์ไปเจริญสมณธรรมในป่าในรกที่สงัด ถ้าเกรงว่าบรรดาผีอันธพาลทั้งหลายจะรบกวน ให้เขาสวดคาถาบทนี้ผีจะไม่ทำอันตราย เมื่อท่านอธิบายแล้วก็ถวายคาถา จึงเรียกว่าภาณยักษ์ เพราะเป็นตอนยักษ์พูด เมื่อพระพุทธเจ้าท่านรับไว้แล้วท่านมหาราชกลับแล้ว ท่านเรียกประชุมพุทธบริษัท ท่านก็ให้บริษัทเรียนและอธิบายตามนั้น ตอนนี้ในตำนานท่านกล่าวว่า พระพูด เรียกว่า ภาณพระ




ท่านสำราญท่านถือคาถานี้เป็นสำคัญ ท่านไม่ได้ทำดีคือสมณธรรม ท่านถือว่าท่านเก่ง พ่อสวดมนต์บทนี้ไล่ผีทุกวัน ผิดระเบียบพระที่ดี ไม่ทำดีแต่เอาอาวุธของคนดีมาใช้ก็เลยไม่มีผล พอเผลอท่านขุนด่านเลยจัดการเสียตามระเบียบ คือ เวลาประมาณ ๑๗ น. โดยประมาณ อาจจะไม่ตรงเผง ฉันและเพื่อนได้ยินเสียงท่านสำราญร้องโอย ๆ เสียงดังมาก ก็พากันวิ่งไปดู คิดว่าใครทำอันตรายท่าน ไม่ได้คิดว่าผีทำ คิดว่าคน คื อพวกของเจ้าลาวอันธพาล เมื่อวิ่งไปถึงปรากฏแก่ตาของพระทุกองค์ เห็นคนนุ่งแดงใส่เสื้อแดง ผ้าโพกหัวแดง ถือหวายขนาดใหญ่ กำลังหวดซ้ายป่ายขวาท่านสำราญ ๆ ลงไปนอนบิดไปบิดมาอย่างสำราญอยู่กับพื้น เจ้าสองลิงคือเจ้าลิงขาวกับลิงเล็กวิ่งเข้าไปร้องขอว่า ท่านขุนด่าน ขอทีเถอะ หยุดลงโทษเสียทีเท่านี้พอแล้ว แกหันมามองตาแดงก่ำ แดงเป็นสีตายักษ์ แกยิ้ม แต่ทว่ายิ้มของแกไม่น่ารักเลย มันน่ากลัวมากกว่า พระที่วิ่งไปด้วยเห็นยิ้มของแกเข้าหลบก้มหน้าลงดินเป็นแถว ที่ยืนปกติมีฉันกับเจ้า ๒ ลิง เมื่อแกเลิกยิ้มแกบอกว่า เจ้านี่อวดดีนัก เอาคาถาท่านมหาราชมาขับเทวดาขับผี เขาให้ไว้สำหรับคนดี ไม่ใช่ธุระของคนอันธพาลจะนำมาใช้ เลยจัดการเสียนิดหน่อย คราวต่อไปทำอย่างนี้อีกจะลงโทษให้หนักกว่านี้ แล้วแกก็ก้าวขึ้นขื่อหายไป พระทุกองค์ที่ไปเห็นและได้ยินเหมือนกัน นับแต่นั้นมา ท่านสำราญท่านเห็นว่าที่เขาวงพระจันทร์สำราญเกินไป ท่านทนความสำราญไม่ไหวเลยลาไปสำราญที่อื่น พวกฉันเห็นได้ท่าก็เลยหันมาสำทับพวกเดียวกัน บอกว่าที่นี่เจ้าที่ดุ ต่อไปจงระมัดระวังความประพฤติ ถ้าใครทำชั่วไม่มีใครช่วยใครได้ อาจจะต้องมีโทษมากกว่านี้ เรื่องวัวเขาอ่อนเป็นเหตุ ถ้ายุ่งมากอาจจะถึงตาย และความประพฤติส่วนอื่นก็เหมือนกัน จงระงับเสีย อย่าเอาชั่วมาใช้ เรามาทำบุญกัน อย่าเอาบาปกลับวัด เป็นเรื่องน่าประหลาด เมื่อฉันและเพื่อนเตือนพระเย็นวันนั้น พอเช้าก็มีพระทุกองค์มารายงานว่าเมื่อคืนนี้ทุกองค์เห็นท่านขุนด่าน ท่านมาคาดโทษว่าถ้าท่านใดทำเลวปล่อยใจอย่างฆราวาส ท่านจะจัดการยิ่งกว่าท่านสำราญ
ที่มา http://www.putthawutt.com/html/menu.html
oustayutt ตอบกลับเมื่อ 2014-9-7 10:59
กุลบุตรผู้ที่ได้รับการอบรมมา ครูบาอาจารย์มักจะอบรม ...


"วิสัยครูดูอย่างเหมือนช่างปั้น ต้องคาดคั้นโขลกสับแทบจับไข้
ไม่สันทัดขัดแต่งรุนแรงไป ก็บรรลัยแยกร้าวลงแหลกราญ
อันภูมิครูดูได้จากลูกศิษย์ เหมือนดูช่างชาญประดิษฐ์จากเชิงสาน
มีลูกศิษย์หัวรั้นอันธพาล เขาประจานด่าครูไม่ดูแล
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ลงชื่อเข้าใช้ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้