ตั้งให้เราเป็นเว็บแรกที่คุณเลือก เก็บเราไว้เป็นเว็บโปรด
สมัครสมาชิก ได้มากกว่าที่คุณคิด เข้าสู่ระบบ
สั่งพิมพ์ ก่อนหน้า ถัดไป

ปฏิเสธความ­ท้าทาย แต่กลับพอใจในสิ่งเดิมๆ

[คัดลอกลิงก์]
กล้าที่จะฝัน


ความฝันเป็นองค์ประกอบพื้นฐานของบุคคลที่ต้องการความสำเร็จในหน้าที่การงานทั้งส่วนตัวและส่วนรวม ความฝันที่ผมพูดถึงไม่ใช่ความฝันที่เกิดขึ้นขณะที่นอนหลับแต่เป็นความฝันขณะที่ยังตื่นอยู่


เราได้ยินคำพูดที่ว่า ตามล่าหาความฝัน นั่นแสดงว่าคนเรามีความฝันที่มีเสน่ห์จูงใจจนต้องไล่ล่ากว่าจะได้สิ่งนั้นมาเป็นเจ้าของ


ความฝันที่เราพูดถึงนี้คืออะไร และเพราะอะไรจึงสำคัญมากต่อชีวิต ซึ่งเราต้องเข้าใจว่าความฝัน ไม่ใช่ความเพ้อฝัน เพราะนั่นเป็นจินตนาการอันไร้สติ คล้ายคนพูดเพ้อเจอ พูดมากในเรื่องที่เหลวไหลไร้สาระ ไม่ใช่ฝันเฟื่อง หมายถึงคิดฟุ้งซ่าน แต่ความฝันที่ผมพูดถึงเป็นความฝันที่สร้างสรรค์ หมายถึง ความต้องการอันแท้ของตนถูกวาดเป็นภาพในความคิดเกี่ยวกับอนาคตของตน เราต้องการจะเป็นอะไร ความสัมฤทธิ์ผลที่อยากให้เกิดขึ้นในชีวิตคืออะไร


มีคนไม่น้อยเลยทีเดียวที่เราคิดว่าเขามีความสุขในความสำเร็จในหน้าที่การงาน จริงอยู่เขาอาจรับความสำเร็จสูงจนเป็นที่ยอมรับของสังคม แต่นั่นไม่ได้หมายความว่า เขามีความสุขและความยินดีจนกว่าความสำเร็จนั้นๆ ตรงตามความฝันของเขา มีคนมากมายที่เขามี เขาได้รับจากสังคมมากเกินพอ แต่ลึกๆ ใต้ก้นบึ้งหัวใจยังคงร้องและโหยหาสิ่งที่ตัวตนต้องการอันแท้จริง

สังคมโลกได้กำหนดค่านิยมให้คนหลงใหลอยากเป็นอยากได้ไว้มากมาย แต่กระนั้นในความเป็นอัตตาลักษณะอาจต้องการที่จะเป็นและมีที่แตกต่างไปจากค่านิยมของสังคม

การสร้างภาพความฝันให้กับตนเองคงจะคล้ายๆ กับนักจิตกรทั้งหลาย ถ้าเขาต้องการภาพดีและงดงาม เขาจะต้องหาที่สงบ มีสมาธิ ปล่อยให้ความคิดจากภายใต้จิตสำนึก (Subconscious mind) ไหลผ่านจิตสำนึก (Conscious mind) กว่าเราจะได้ภาพสมบูรณ์อาจจะใช้เวลาบ้าง


ภาพความต้องการที่ถูกเขียนขึ้นในใจจนได้ภาพที่พึงพอใจนี้คือ ภาพอนาคตของเราและจะเป็นพลังผลักดันอย่างแรงให้เรามุ่งหน้าไปไม่ว่าจะมีอุปสรรคใดขวางหน้าก็ตาม ภาพแห่งความฝันที่เด่นชัดสร้างความฮึกเหิม และแรงบันดาลใจ อีกทั้งยังช่วยให้การตัดสินใจง่ายขึ้นว่าจะเรียนอะไร จะอ่านอะไร จะใช้เวลากับสิ่งใดที่เหมาะสมสูงสุด


ชีวิตของเราอาจไม่ได้ทุกสิ่งตามที่ฝัน แต่ถ้าขาดความฝันชีวิตจะไม่ได้อะไรเลย ชีวิตจะเป็นเหมือนลูกมะพร้าวที่ลอยไปตามน้ำสุดแล้วแต่กระแสน้ำจะพัดไปทางใด


ชีวิตถึงแม้จะเริ่มเล็กๆ แต่ตรงกับความฝัน อีกไม่นานสิ่งเล็กๆ นั้นจะกลายเป็นบันไดไปสู่ความยิ่งใหญ่ ดีกว่าคนที่พยายามทุ่มเทสิ่งใหญ่โดยที่ไม่รู้ว่าความต้องการที่แท้จริงของตนคืออะไร จงกล้าที่จะฝันสิ่งใหญ่ พยายามสิ่งใหญ่ แม้จะเริ่มจากก้าวเล็กๆ



จาก..ศจ.ดร.วีรชัย โกแวร์


http://www.romyenchurch.org/messages/?p=p_96&sName=-3650;-3629;-3585;-3634;-3626;
12#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-8-10 11:39 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
sritoy ตอบกลับเมื่อ 2013-5-14 11:17
ฝัน+จินตนาการ+ปฏิบัติ= สำเร็จ

รับทราบครับ
กะลังคิดว่าถ้าไปหาโอกาสตามแถวๆประเทศเพื่อนบ้านจะดีมั้ยก๊าบบบ
metha ตอบกลับเมื่อ 2013-5-14 16:16

พี่เมธอย่าคิดลึกนะครับ
แล้วคิดสั้นมันจะดีหรอครับ
ต้องคิดๆลึกคิดยาว
16#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-8-23 09:53 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
17#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-8-23 09:56 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้



เมื่อน้องเมย์ได้เป็นนักแบดมินตันไทยคนแรกที่คว้าแชมป์โลก พร้อมลบเลือนฝันร้ายของแบดมินตันไทยหลังจากก่อนหน้าเดือนกรกฎาคมนัก แบดมินตันไทยก่อเหตุวิวาทกันระหว่างการแข่งขันจนเป็นข่าวดังไปทั่วโลก  นอกจากนั้นรัชนกยังทำสถิติเป็นนักแบดมินตันอายุน้อยที่สุดที่ครองแชมป์โลกและเป็นนักแบดมินตันชาติที่สี่ที่ครองแชมป์หญิงเดี่ยวแบดมินตันโลก ต่อจากจีน,อินโดนีเซียและเดนมาร์ก

Read more: http://sports.spokedark.tv/2013/08/11/champion-nang-may/#ixzz2cl0KJADu
Follow us: @spokedarktv on Twitter | spokedarktv on Facebook

18#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-8-23 09:59 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
19#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-8-23 13:50 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
การยอมแพ้เป็นเรื่องที่ น่ากลัว





น้องเมย์ผู้หญิงที่ไม่ยอมหยุดจน กว่าจะได้เป็นอันดับ 1 ของโลก
Thai Badminton Player RatchanokIntanon Aims for World's No. 1

ความฝันที่จะเป็นแชมป์แบดมินตัน โลกและแชมป์โอลิมปิก อาจฟังดูเป็นความฝันที่ใหญ่เกิน ตัวผู้หญิงไทยคนหนึ่ง แต่สำหรับน้องเมย์ รัชนก อินทนนท์ นักแบดมินตันมือวางอันดับ 5 ของโลกวัย 18 ปี คนนี้ ความฝันที่จะเป็นอันดับ 1 ของโลก คือ แรงผลักดันให้เธอก้าวผ่านความไม่มั่นใจ ความกลัว และความเหน็ดเหนื่อยท้อแท้ จนเป็นที่ยอมรับอย่างกว้างขวางใ นวงการแบดมินตันมืออาชีพ และเธอจะไม่หยุดจนกว่าจะเดินไปถึงจุดหมายปลายทางที่วาดฝันไว้

20#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-9-25 06:24 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ท่านอาจารย์พุทธทาสกล่าวว่า"ธรรมะคือการปฏิบัติงาน"



ชีวิตของ มนุษย์เราส่วนใหญ่อยู่กับการทำงาน ถ้าเราคิดว่าจะเอาเวลาว่างมาปฏิบัติธรรมวันละ 1-2 ชั่วโมง หรือช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ค่อยปฏิบัติธรรมแล้ว ยังน้อยไป

ชีวิตของ มนุษย์นั้นน้อยนักเปรียบได้ดั่งน้ำค้างบนยอดหญ้ายามเช้า....เมื่อถูกแสงแดด ย่อมระเหยแห้งไป......ดังนั้นจึงไม่ควรดำรงชีวิตอยู่อย่างประมาท

ชีวิตที่อยู่อย่างประมาทคือชีวิตอย่างไร??

ก็คงต้องตอบว่าชีวิตที่อยู่อย่างปราศจากธรรมะนั้นช่างประมาทเสียนี่กระไร เปรียบดังผู้ที่ตายแล้ว ดั่งคำกล่าวว่า



ธรรมะคือชีวิต ชีวิตคือธรรมะ


แต่ ชีวิตเราส่วนใหญ่อยู่กับงาน ไม่ว่างานส่วนตัวหรืองานส่วนรวม ดังนั้นจึงควรใช้ชีวิตส่วนใหญ่ให้คุ้มค่ามีธรรมะอยู่ด้วยเสมอ นั่นคือ ชีวิต....งาน....ธรรมะ..ควรไปด้วยกันเสมอ จึงจะได้ชื่อว่าอยู่ด้วยความไม่ประมาท

สมดั่งปัจฉิมโอวาทบางตอนกล่าวไว้ว่า


"จงยังประโยชน์แห่งตนและผู้อื่นให้ถึงพร้อมด้วยความไม่ประมาทเถิด"



การปฎิบัติงานคือการปฎิบัติธรรมนั้นเป็นอย่างไรก็ขอสรุปสั้นๆเป็นข้อๆดังนี้

1. เมื่อทำงานอะไรอยู่ให้มีสติอยู่กับงานที่ทำเสมอ เมื่อสติตั้งมั่นดีแล้ว ย่อมเกิดสมาธิในการทำงาน งานมักไม่ผิดพลาด เมื่อสมาธิตั้งมั่นดีแล้ว ย่อมเกิดปัญญา งานที่ทำก็เจริญก้าวหน้าอยู่เสมอ

2.เมื่อประสบปัญหา โลกธรรมแปด เราต้องใช้ มรรคแปด เป็นหนทางแก้ไข
เมื่ออยู่ในโลก ในสังคม ย่อมหลีกเลี่ยง โลกธรรมแปด ไม่ได้ อย่าไปยึดมั่นถือมั่น
พระ พุทธเจ้าของเราสอนให้อยู่กับปัจจุบัน ทำปัจจุบันให้ดีที่สุด บุคคลที่นึกถึงอดีตที่ผ่านมา หรืออนาคตที่ยังมาไม่ถึง ย่อมหาความสุขไม่ได้เลย

3.อาศัยธรรมะแห่งการอยู่ร่วมกัน คือ พรหมวิหารสี่ คือธรรมเครื่องอยู่อย่างประเสริฐ, ธรรมประจำใจอันประเสริฐ, หลักความประพฤติที่ประเสริฐบริสุทธิ์, ธรรมที่ต้องมีไว้เป็นหลักใจและกำกับความประพฤติ จึงจะชื่อว่าดำเนินชีวิตหมดจด และปฏิบัติตนต่อมนุษย์สัตว์ทั้งหลายโดยชอบได้แก่

เมตตา คือปราถนาเห็นผู้อื่นพ้นทุกข์ ความรักใคร่ ปรารถนาดีอยากให้เขามีความสุข มีจิตอันแผ่ไมตรีและคิดทำประโยชน์แก่มนุษย์สัตว์ทั่วหน้า

กรุณา คือช่วยให้ผู้อื่นได้พ้นทุกข์ ความสงสาร คิดช่วยให้พ้นทุกข์ ใฝ่ใจในอันจะปลดเปลื้องบำบัดความทุกข์ยากเดือดร้อนของปวงสัตว์

มุทิตา คือ ยินดีเมื่อผู้อื่นมีความสุข มีจิตผ่องใสบันเทิง กอปรด้วยอาการแช่มชื่นเบิกบานอยู่เสมอ ต่อสัตว์ทั้งหลายผู้ดำรงในปกติสุข พลอยยินดีด้วยเมื่อเขาได้ดีมีสุข เจริญงอกงามยิ่งขึ้นไป

อุเบกขา คือวางเฉยเมื่อเราช่วยแล้ว หรือช่วยไม่ได้ แล้วเค้ายังไม่พ้นทุกข์ ความวางใจเป็นกลาง อันจะให้ดำรงอยู่ในธรรมตามที่พิจารณาเห็นด้วยปัญญา คือมีจิตเรียบตรงเที่ยงธรรมดุจตราชั่ง ไม่เอนเอียงด้วยรักและชัง พิจารณาเห็นกรรมที่สัตว์ทั้งหลายกระทำแล้ว อันควรได้รับผลดีหรือชั่ว สมควรแก่เหตุอันตนประกอบ พร้อมที่จะวินิจฉัยและปฏิบัติไปตามธรรม รวมทั้ง รู้จักวางเฉยสงบใจมองดู ในเมื่อไม่มีกิจที่ควรทำ เพราะเขารับผิดชอบตนได้ดีแล้ว เขาสมควรรับผิดชอบตนเอง หรือเขาควรได้รับผลอันสมกับความรับผิดชอบของตน

ที่สำคัญคือการให้อภัย.

หิริ โอตตัปปะ ความเกรงกลัวและละอายต่อบาป
ทมะ และ ขันติ คือการรู้จักข่มใจและอดทน
เมื่อเรามีธรรมะอยู่ตลอดแล้วคงหนีไม่พ้นคำกล่าวว่า

ธรรมย่อมคุ้มครองผู้ประพฤติธรรม

ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ลงชื่อเข้าใช้ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้