ตั้งให้เราเป็นเว็บแรกที่คุณเลือก เก็บเราไว้เป็นเว็บโปรด
สมัครสมาชิก ได้มากกว่าที่คุณคิด เข้าสู่ระบบ
ดู: 1561
ตอบกลับ: 3
สั่งพิมพ์ ก่อนหน้า ถัดไป

จับปลานอกสุ่ม : พระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต

[คัดลอกลิงก์]


โอวาทธรรม
ของ
พระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต

วัดป่าสุทธาวาส
บ้านคำสะอาด ต.ธาตุเชิงชุม อ.เมือง จ.สกลนคร


   

ในการเทศน์อบรมสั่งสอนฆราวาสญาติโยมนั้น
ท่านพระอาจารย์มั่นท่านมักจะกล่าวปรารถเปรียบเทียบให้ญาติโยมฟังอยู่เสมอว่า
“การเทศน์การสั่งสอนฆราวาสญาติโยมนั้น เหมือนกับการจับปลานอกสุ่ม”
(สุ่มคือ เครื่องมือจับปลาชนิดหนึ่ง) การจับปลานอกสุ่มนั้นใครๆ ก็ย่อมรู้ว่ามันยากขนาดไหน
เพราะปลามันมีที่จะไปได้หลายทางโดยไม่มีขอบเขตจำกัด มันจึงไม่ยอมให้จับได้ง่ายๆ
ไม่เหมือนปลาที่อยู่ในสุ่ม ซึ่งมีขอบเขตจำกัดบังคับมันอยู่ จึงจับได้ง่าย
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นไม่ได้หมายความว่าปลานอกสุ่มจะจับไม่ได้เลย จับได้เหมือนกันสำหรับผู้มีปัญญา

ท่านพระอาจารย์มั่นท่านมีอุบายวิธีอันชาญฉลาดมากในการสั่งสอนคน
ถึงแม้ว่าท่านจะกล่าวปรารถทำนองถ่อมตน
แต่องค์ท่านก็สามารถอบรมสั่งสอนโน้มน้าวจิตใจของญาติโยม
ให้เกิดศรัทธาปสาทะความเชื่อความเลื่อมใส
มาประพฤติปฏิบัติธรรมตามปฏิทาของท่าน เป็นจำนวนมากมหาศาล
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคปัจจุบันนี้

ข้อที่น่าสังเกตในอุบายวิธีการสอนญาติโยมของท่านคือ
ท่านจะสอนเน้นเป็นรายบุคคลเฉพาะผู้สนใจประพฤติปฏิบัติธรรม
ตามที่ท่านได้พิจารณาดูภายในแล้วเท่านั้น
ถ้าหากญาติโยมผู้ใดถูกท่านพระอาจารย์มั่นทักซักถามแล้ว จะต้องตั้งใจฟังให้ดีๆ
นั่นแสดงว่าท่านจะบอกขุมทรัพย์ให้ จึงเป็นบุญวาสนาของบุคคลนั้นโดยแท้
และบุคคลผู้นั้นจะถูกท่านซักถามแนะนำติดตามผลอยู่เสมอตามอุบายวิธีของท่าน
จนสมควรแต่บุญวาสนาของบุคคลนั้นแล้ว ท่านจึงปล่อย
ให้ดำเนินตามที่ท่านแนะสอนเพื่อเพิ่มบารมีของเขาจนแก่กล้าเป็นลำดับต่อไป

สมัยนั้นญาติโยมชาวบ้านหนองผือกำลังมีความสนใจในการปฏิบัติธรรมมาก
ทั้งหญิงทั้งชายหลังจากได้พากันละเลิกนับถือผีแล้ว โดยเฉพาะอาจารย์หลุย
ผู้แนะนำสั่งสอนเป็นองค์แรกให้ละเลิกนับถือผี ถือผิดเหล่านั้น
ให้หันหน้ามานับถือพระไตรสรณคมน์อย่างจริงจัง
มี พระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ เป็นสรณะที่พึ่งแทน
และท่านยังได้อบรมสั่งสอนให้ปฏิบัติฝึกหัดนั่งสมาธิภาวนาพร้อมทั้งเดินจงกรมด้วย
พากันปฏิบัติอย่างนั้นมาเรื่อยๆ จนทำให้การปฏิบัติธรรมของญาติโยมชาวหนองผือสมัยนั้น

บางคนมีความก้าวหน้ามาก และได้สละบ้านเรือนออกบวชกันหลายคน
โดยเฉพาะฝ่ายหญิงออกถือบวชเนกขัมมะ สละเรือนเป็นแม่ขาว แม่ชี
สมาทานศีลแปดจำนวนหลายคนด้วยกัน ที่สำคัญมีคุณยายขาวกั้ง เทพิน
คุณยายขาววัน พิมพ์บุตร คุณยายขาวสุภีร์ ทุมเทศ คุณยายขาวตัด จันทะวงษา
คุณยายขาวเงิน โพธิ์ศรี คุณยายขาวงา มะลิทอง คุณยายขาวกาสี โพธิ์ศรี
และคุณแม่ชีกดแก้ว จันทะวงษา โดยมีพระอาจารย์หลุย เป็นผู้บวชให้

2#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-6-10 13:26 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
เมื่อบวชแล้วไปอยู่ตามสำนักที่ตั้งขึ้นชั่วคราวใกล้ๆ กับสำนักสงฆ์ของครูบาอาจารย์
เพื่อจะได้ฟังเทศน์ฟังธรรมจากท่านเมื่อมีโอกาส
บางครั้งพวกเขาก็พากันออกไปภาวนาหาความสงบวิเวกตามป่าช้าบ้าง
ตามป่าเชิงเขาและถ้ำซึ่งอยู่ใกล้ๆ บริเวณนั้นบ้าง เพื่อเป็นการหาประสบการณ์ให้แก่จิตใจ
ไปเป็นกลุ่ม เมื่อเกิดปัญหาขึ้นทางด้านปฏิบัติสมาธิแล้ว
จึงค่อยหาโอกาสเข้าไปกราบนมัสการเล่าถวายท่าน
ท่านก็จะแก้ไขความขัดข้องนั้นให้ด้วยความเมตตากรุณา
จนปัญหาเหล่านั้นลุล่วงไปด้วยดีทุกประการ และได้ปฏิบัติกันอย่างนั้นมาเรื่อยๆ

จนกระทั่งท่านพระอาจารย์มั่นได้เดินทางเข้าไปยังบ้านหนองผือ
และพำนักอยู่วัดป่าบ้านหนองผือ ยิ่งทำให้คุณยายขาว และแม่ชีและญาติโยม
ซึ่งกำลังมีความสนใจปฏิบัติธรรมอยู่แล้วมีความสนใจมากยิ่งขึ้น
จนบางคนปรากฏผลเป็นที่น่าอัศจรรย์ในการปฏิบัติสมาธิภาวนา
ในจำนวนนั้นมีคุณยายขาวกั้ง เทพิน อายุประมาณ ๗๐ กว่าปี
การปฏิบัติสมาธิมีความก้าวหน้ามาก
มีความรู้ความเห็นซึ่งเกิดจากการภาวนาหลายเรื่องหลายประการ
ท่านมีนิสัยชอบเที่ยวรู้สิ่งนั้นสิ่งนี้ทางด้านจิตตภาวนาอยู่เสมอ
เมื่อเกิดปัญหาขัดข้องทางด้านจิตตภาวนา มีโอกาสก็เข้าไปกราบนมัสการ
เล่าปัญหาถวายท่านพระอาจารย์มั่นฟัง ท่านก็จะแนะอุบายวิธีให้ไปประพฤติปฏิบัติตาม
ในที่สุดปัญหาเหล่านั้นก็ตกไป

ตอนหลังคุณยายขาวกั้ง ท่านแก่ชราภาพมากไปมาไม่สะดวก
ลูกหลานจึงให้ไปพักที่บ้าน ขณะที่อยู่บ้านท่านก็ไม่ได้ลดละความพากเพียร
ตอนบ่ายเดินจงกรมบนบ้าน ค่ำลงเข้าห้องทำวัตรสวดมนต์ เสร็จแล้วนั่งสมาธิภาวนาต่อ
ทำอย่างนี้ทุกวัน ตอนหนึ่งท่านนั่งสมาธิภาวนาจิตไปเที่ยวเพลิน
ชมเมืองสวรรค์เกือบทุกคืน นั่งภาวนาคราวใดจิตจะไปเที่ยวชมเมืองสวรรค์ทุกครั้ง
ท่านบอกว่า มันสนุกสนานเพลิดเพลิน เห็นแต่สิ่งสวยงดงามทั้งนั้น
ไปแล้วก็อยากไปอีก เป็นอย่างนี้นอยู่หลายวัน
วันหนึ่งไปกราบนมัสการเล่าเรื่องนี้ถวายพระอาจารย์มั่น
ท่านจึงพูดปรามไม่ให้ไปเที่ยวเมืองสวรรค์บ่อยนัก
แต่คุณยายขาวกั้งก็ยังติดอกติดใจจะไปชมเมืองสวรรค์อีก

คืนหนึ่งคุณยายขาวกั้งนั่งสมาธิภาวนาจะน้อมจิตไปเที่ยวชมเมืองสวรรค์ตามที่เคยไป
แต่เหมือนมีอะไรมาขวางกั้นจิตทำให้ไม่รู้ทิศทางที่จะไป คืนนั้นเลยไปไม่ได้
พอตอนเช้าฉันจังหันเสร็จ คุณยายก็ไปที่วัดเข้าไปกราบนมัสการท่านพระอาจารย์มั่น
เล่าเรื่องถวายท่านว่า “เมื่อคืนนี้หลวงพ่อเอาหนามไปปิดทางข้าน้อย ข้าน้อยเลยไปมิได้”
ท่านพระอาจารย์มั่นตอบว่า “ไปเที่ยวเฮ็ดยั้ง ดุแท้ (บ่อยแท้)”
คุณยายขาวกั้งจึงพูดตอบว่า “ไปแล้วมันม่วนรื่นเริงใจ เห็นแต่สิ่งสวยๆ งามๆ ทั้งนั้น”
ท่านพระอาจารย์มั่นจึงบอกว่า “เอาล่ะ บ่ต้องไปอีกนะทีนี้”

คุณยายขาวกั้งก็เข้าใจความหมาย และยอมรับที่ท่านพระอาจารย์มั่นพูดเช่นนั้น
แต่ในใจของคุณยายก็ยังคิดอยากจะไปเที่ยวชมเมืองสวรรค์อยู่อีก
ท่านพระอาจารย์มั่นไม่ให้ไป เพราะท่านกลัวคุณยายจะผิดทางและเสียเวลา
ท่านต้องการอยากจะให้ดูหัวใจตัวเองมากกว่า จึงจะไม่ผิดทาง
ในที่สุดคุณยายขาวกั้งก็รับไปปฏิบัติตาม
ซึ่งตามปกติคุณยายขาวกั้งจะเข้าไปกราบถามปัญหาธรรมกับท่านพระอาจารย์มั่นอยู่เสมอๆ
แต่ละครั้งใช้เวลาไม่นาน เพราะคุณยายขาวกั้งจะถามปัญหาที่แก้ไม่ตกจริงๆ เท่านั้น

เมื่อท่านพระอาจารย์มั่นตอบมาอย่างไร คุณยายเข้าใจแล้วจะกราบลาท่านกลับที่พักของตน
เป็นอยู่อย่างนี้เสมอ ต่อมาคุณยายขาวกั้งก็เกิดปัญหาทางจิตที่สำคัญอีกคือ
วันหนึ่งไปที่วัดเพื่อจะไปกราบถามปัญหากับท่านพระอาจารย์มั่นตามปกติ
วันนั้นพอเข้าไปกราบนมัสการท่านพระอาจารย์มั่น ท่านจึงทักขึ้นว่า
“ฮ้วย...บ่แม่นไปเกิดกับหลานสาวแหล่วบ่เน้อ”
(หมายความว่า ไม่ใช่จิตของยายเข้าไปปฏิสนธิในครรภ์ของหลานสาวแล้วหรือ)
เพราะช่วงนั้นคุณยายขาวกั้งมีหลานสาวคนหนึ่ง แต่งงานใหม่ กำลังตั้งครรภ์อ่อนๆ อยู่

ด้วยเหตุนี้คุณยายขาวกั้งจึงบอกต่อท่านพระอาจารย์มั่นว่า
“ข้าน้อย มิเยอะเกิด เพราะว่ามันทุกข์ แล้วล่ะเอ็ดแนวเลอ ข้าน้อยจังสิมิเกิดอีก”
ท่านพระอาจารย์มั่นตอบว่า “อ้าว...เอาให้ดีเด้อ...ภาวนาให้ดีๆเด้อ”
เหมือนกับคติพจน์ที่ท่านมักยกขึ้นมากล่าวอยู่เสมอว่า

“แก้ให้ตกเน้อ แก้บ่ตกคาพกเจ้าไว้ แก้บ่ได้แขวนคอต่องแต่ง
แก้บ่พ้นคาก้นย่างยาย คาย่างยายเวียนตายเวียนเกิด
เวียนเอากำเนิดในภพทั้งสาม ภพทั้งสามเป็นเฮือนเจ้าอยู่”

3#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-6-10 13:26 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ดังนี้ จากนั้นพระอาจารย์มั่นคงจะแนะอุบายวิธีแก้ให้แก่คุณยายนำไปปฏิบัติ
คุณยายพอได้อุบายแล้วก็ถือโอกาสกราบลาท่านกลับบ้านองตน
เมื่อกลับถึงบ้านแล้วจัดแจงเตรียมตัว เตรียมใจ
ทำความพากเพียรตามอุบายที่ท่านพระอาจารย์มั่นแนะนำให้ปฏิบัติ
คุณยายขาวกั้งทำความพากเพียรนั่งสมาธิ ภาวนาอยู่ประมาณสองหรือสามวันจึงรู้สาเหตุ
แต่ก็ยังไม่สามารถทำลายอวิชชา ตัณหา อุปาทาน เหล่านั้นได้
จนคุณยายขาวกั้งอุทานออกมาให้ลูกหลานฟังว่า
“พวกสู...กูกำลังไปเกิดกับอีอุ่น จังวากูมิเยอะเกิดอิ กูกำลังม้างอยู่เดี๋ยวนี้”
(หมายความว่า พวกลูกๆ หลานๆ ทั้งหลายยายเห็นว่า
ยายกำลังไปเกิดเป็นลูกของหลานสาวคือนางอุ่น แต่ว่ายายไม่ต้องการจะเกิดอีก
จึงกำลังพยายามทำลายภพชาติอยู่ในขณะนี้)

หลังจากนั้นต่อมาไม่นานนางอุ่นหลานสาวของคุณยายขาวกั้งที่กำลังท้องอยู่
ยังไม่ถึงเดือนนั้นก็แท้งออกเสียโดยไม่รู้สาเหตุเลย หรือจะเป็นด้วยจิตเดิมของคุณยายขาวกั้ง
เข้าไปปฏิสนธิของนางอุ่นหลานสาวจริง เมื่อคุณยายทำลายสาเหตุ
คือ อวิชชา ตัณหา อุปาทาน ในจิตของคุณยายได้แล้ว จึงทำให้ครรภ์นั้นแท้งเสียดังกล่าว

สำหรับคุณยายขาวกั้งหรือแม่ชีกั้ง เรื่องการภาวนานั้นรู้สึกว่ามีความก้าวหน้ามาก
และเป็นไปได้เร็วกว่าบรรดาแม่ชีที่บวชรุ่นเดียวกัน
แม้จะถือบวชชีตอนแก่ของบั้นปลายชีวิตแล้วก็ตาม
การภาวนาของท่านก็เกิดความรู้ความเห็นวิจิตรพิสดารโลดโผนมาก
แต่คงจะเป็นด้วยบุญวาสนาของคุณยายที่มีท่านพระอาจารย์มั่น
ซึ่งเป็นคูรบาอาจารย์ที่เชี่ยวชาญทางด้านจิตตภาวนา
ได้เข้ามาพำนักอยู่วัดป่าบ้านหนองผือในช่วงนั้นพอดี
จึงเป็นโอกาสให้คุณยายขาวกั้งได้เข้ากราบเรียนถามปัญหาต่างๆ ที่เกิดจากการภาวนากับองค์ท่าน
จนเป็นที่อบอุ่นใจของคุณยายมาจนกระทั่งท่านหมดอายุขัย

ส่วนแม่ขาวแม่ชีนอกนั้นก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ
ประพฤติปฏิบัติทำความพากเพียรตามรอยปฏิปทาของท่านพระอาจารย์มั่นมาเรื่อยๆ ตามลำดับ
และได้ครองเพศถือบวช เป็นแม่ขาว แม่ชี สมาทานรักษาศีลแปด
เจริญเมตตาภาวนาของท่านมาจนจิตใจหนักแน่น
มั่นคงในธรรมปฏิบัติไม่อาจกลับย้อนไปถือเพศเป็นผู้ครองเรือนอีกจนตลอดสิ้นอายุขัยของท่านทุกคน

ส่วนฆราวาสญาติโยมผู้มีอินทรีย์ยังไม่แก่กล้า ไม่อาจสละบ้านเรือนออกถือบวชได้
ก็ตั้งตนอยู่ในภูมิธรรมของอุบาสกอุบาสิกาที่ดีทั้งหลาย
และมีจิตใจศรัทธามั่นคงอยู่ในบวรพระพุทธศาสนา
ถือพระไตรสรณคมน์เป็นหลักในการบำเพ็ญตน
ตลอดถึงคุณสมบัติของอุบาสกอุบาสิกาห้าประการ  คือ ประกอบด้วย
ศรัทธา ๑ มีศีลบริสุทธิ์ ๑ เชื่อกรรมว่าทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ไม่เชื่อมงคลตื่นข่าว ๑
ไม่แสวงบุญนอกเขตพระพุทธศาสนา ๑ และบำเพ็ญบุญแต่ในพระพุทธศาสนา ๑
ดังนี้ ตลอดมาจนสิ้นชีวิตของเขานั่นแล


   


คัดลอกกระทู้จากบอร์ดเก่า
http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=8746

..................................................................

ที่มา http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=7&t=44774

ขอบคุณคร้าบ
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ลงชื่อเข้าใช้ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้