แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย รามเทพ เมื่อ 2014-5-18 15:59
วันนี้เราจะรู้จักกับพระศรีอาริย์กัน
ทำไมเราต้องไปรู้จักกับพระศรีอาริย์ด้วย? คำตอบก็คือ พระศรีอาริย์คือพระพุทธเจ้าองค์ใหม่ที่จะมาอุบัติในโลกในอนาคตหลัง โลกตกอยู่ในยุคมืด ยุคมิคสัญญีอยู่ช่วงเวลาหนึ่ง คือช่วงนั้น เป็นยุคที่โลกเสื่อมที่สุด มนุษย์จะไร้ศีลธรรม ไม่มีพระ ไม่มีศาสนา คนเข่นฆ่ากัน สมสู่กันเหมือนสัตว์ทั่วไป เมื่อนั้น พระศรีอาริย์จะมาอุบัติ และนำพาสัตว์โลกให้พ้นจากทุกข์ ดั่งที่พระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันเคยทำเมื่อสองพันกว่าปีก่อน อย่าง ที่กล่าวไปแล้ว พระพุทธเจ้าในยุคปัจจุบันนี้มีเวลา 5,000 ปี และเมื่อสิ้นสุดศาสนาพระพุทธเจ้าโคดม ก็จะมีพระศรีอริยเมตไตรย์ ซึ่งเป็นองค์สุดท้ายในภัทรกัปนี้ ภัทรกัป คือ มหากัปที่พระพุทธเจ้าอุบัติขึ้น 5 พระองค์ คือ (พระเจ้า 5 พระองค์) 1.พระกกุสันธะสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงมีพระวรกายสูงสี่สิบศอก พระรัศมีจากพระวรกายแผ่ซ่านไปสิบสองโยชน์ ทรงมีพระชนมายุ 4 หมื่นปี 2.พระโกนาคมนะสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงมีพระวรกายสูงสามสิบศอก ทรงมีพระชนมายุ 3 หมื่นปี 3.พระกัสสปะสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงมีพระวรกายสูงยี่สิบศอก พระชนมายุ 2 หมื่นปี 4.พระศรีศากมุนีโคตมะสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงมีพระวรกายสิบแปดศอก พระชนมายุ 80 ปี (พระพุทธเจ้าในยุคเรา) 5.พระศริอริยเมตไตรยสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงมีฤทธิ์มาก พระวรกายแปดสิบศอก พระชนมายุ 8 หมื่นปี
การแบ่งกัปในทางพระพุทธศาสนาการแบ่งกัปในทางพระพุทธศาสนาแบ่งออกเป็น 2 ประเภทคือ
- สุญญกัป คือ กัปที่ว่างจากพระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า และพระเจ้าจักรพรรดิ
- อสุญญกัป คือ กัปที่ไม่ว่างจากผู้มีบุญโดยเฉพาะพระพุทธเจ้า มี 5 กัปคือ
- สารกัป คือกัปที่เป็นแก่นสาร มีพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้ 1 พระองค์
- มัณฑกัป คือ กัปที่ผ่องใส มีพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้ 2 พระองค์
- วรกัป คือ กัปที่ประเสริฐ มีพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้ 3 พระองค์
- สารมัณฑกัป คือกัปที่เป็นแก่นสารและผ่องใส มีพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้ 4 พระองค์
- ภัทรกัป คือกัปที่เจริญ มีพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้ 5 พระองค์. กัปปัจจุบันเป็นภัทรกัปมีพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้ ได้แก่
- พระกกุสันธะ พระโกนาคมนะ พระกัสสปะ พระโคตมพุทธเจ้า พระศรีอริยเมตไตรย
การแบ่งกัปในฎีกามาเลยยสูตรฎีกามาเลยยสูตรแบ่งกัปไว้ 4 แบบคือ
- อายุกัป คือ กำหนดอายุสัตว์ สัตว์เกิดมามีอายุเท่าไร เมื่ออายุสิ้นสุดลง เรียก 1 กัป
- อันตรกัป คือ กำหนดอายุสัตว์ ระยะเวลาที่อายุขัยของมนุษย์ ลงจากอสงไขยปีจนถึง 10 ปี
แล้วขึ้นจาก 10 ปี จนถึงอสงไขยปี ( อสงไขยปีเท่ากับเลข 1 ตามด้วยเลขศูนย์ 140 ตัว )
- อสงไขยกัป = 64 อันตรกัป
- มหากัป = 4 อสงไขยกัป
- อสงไขย = 256 อันตรกัป
พุทธพยาการณ์เกี่ยวกับพระศรีอาริย์
ความจริงพระศรีอาริย์เคยเกิดมาบนโลกมนุษย์แล้วครั้งหนึ่ง ในสมัยพระพุทธเจ้าปัจจุบัน และเคยเป็นบวชเป็นสาวกของพระพุทธเจ้าด้วย
ครั้ง ที่พระพุทธเจ้าเสด็จกรุงกบิลพัสดิ์ พระนางปชาบดีโคตมี (พูดง่ายๆ คือแม่ใหม่ของพระพุทธเจ้า กล่าวคือ ตอนพระพุทธเจ้าประสูติ ได้ 7 วัน พระนางสิริมหามายา มารดาก็สิ้นพระชนม์ พระเจ้าสุทโธทนะ(พ่อพระพุทธเจ้า) จึงอภิเษกพระนางปชาบดีโคตมีเป็นชายา เป็นแม่นมเลี้ยงเจ้าชายสิทธัตถะมาตั้งแต่เด็ก)
พระ นางปชาบดีโคตมิตั้งใจนำผ้าสาฎก (ผ้าสำหรับห่มเวลาออกนอกบ้าน) ที่ทออย่างประณีตใส่ผอบแก้วถวายพระพุทธเจ้า แต่พระพุทธเจ้าไม่รับ โดยตรัสให้ไปถวายคณะสงฆ์จะได้กุศลมากกว่า นางจึงถวายแด่พระที่อยู่ใกล้ชิดพระพุทธเจ้า คือพระสารีบุตร (มือขวาพระพุทธเจ้า) พระสารีบุตรก็ไม่รับ ขยับไปหาพระโมคคัลลานะ (มือซ้ายพระพุทธเจ้า) ท่านก็ไม่รับ ถวายไปเรื่อยๆ ก็ไม่มีใครรับ จนถึงพระภิกษุใหม่นามว่า อชิตะ ที่นั่งอยู่ท้ายสุด พระอชิตะก็รับผ้านั้นทันที พระ นางปชาบดีเห็นเช่นนั้น ก็เกิดโทมนัส เสียพระทัย พระพุทธเจ้าทราบเช่นนั้น จึงหาวิธีที่จะช่วยให้นางคลายโทมนัส ด้วยการบอกให้พระอานนท์ไปนำบาตรของพระองค์มา แล้วยื่นพระหัตถ์ให้บาตรนั้นลอยขึ้นไปบนฟ้า และบอกกับสาวกทั้งหมดว่า ให้ไปนำเอาบาตรนั้นมา พระสารีบุตรก็เหาะเหินไปในอากาศด้วยอิทธิฤทธิ์ แต่ก็ไม่พบ พระโมคคัลลานะได้ชื่อว่ามีฤทธิ์มากที่สุด เหาะตามหาก็ไม่พบ ไม่มีสาวกองค์ใดหาบาตรนั้นได้ จนพระพุทธเจ้าตรัสสั่งให้พระอชิตะให้แสดงความสามารถไปนำเอาบาตรทรงของตถาคตมา
พระ อชิตะซึ่งบวชใหม่ กล่าวว่า แม้พระสาวกทั้งหลายยังไม่สามารถนำบาตรมาได้ แล้วพระใหม่ที่ยังไม่ได้บรรลุแม้โสดาบัน ไม่มีอิทธิฤทธิ์อันเกิดจากอภิญญาฌานสมาบัติจะมีปัญญานำบาตรมาถวายได้อย่างไร แต่ เมื่อพระอชิตะตั้งจิตอธิฐานว่า ตนเองก็พยายามรักษาศีล ประพฤติพรหมจรรย์มิให้ด่างพร้อย ด้วยเดชบุญแห่งความดีนี้ ขอบาตรจงมาประดิษฐานในหัถต์ในบัดนี้ด้วย
ทันใดนั้น บาตรก็ตกลงมาใสหัตถ์ของพระอชิตะ
พระพุทธเจ้าตรัสเป็นพุทธพยากรณ์ว่า
พระอชิตะภิกษุ จะได้ตรัสรู้เป็นพระศรีอริยเมตไตรย์ในอนาคตกาลภายในภัทรกัปนี้ พระนางปชาบดีโคตมะได้เห็นเช่นนั้น ก็ทรงหายโทมนัส (* พระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน เมื่อครั้งทรงเสวยพระชาติเป็นสุเมธดาบส ก็ได้รับพุทธพยากรณ์ว่าจะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าโดยพระทีปังกรพุทธเจ้า)
|