ตั้งให้เราเป็นเว็บแรกที่คุณเลือก
เก็บเราไว้เป็นเว็บโปรด
สมัครสมาชิก ได้มากกว่าที่คุณคิด
เข้าสู่ระบบ
บ้านหลวงปู่
คศช.
ข่าวสารล่าสุด
ประสบการณ์
โชว์วัตถุมงคล
สอบถาม
นานาสาระ
นครนาคราช
ร่วมประมูล
บูชาวัตถุมงคล
เพื่อน
กระทู้แนะนำ
บุ๊คมาร์ก
ไอเท็ม
เหรียญ
ภารกิจ
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
ดูบริการทั้งหมด
เว็บบอร์ด
BBS
บูชาวัตถุมงคลหลวงปู่ชื่น
ศรีสุทธรรมนาคราช
ร้านจอมพระ
ศูนย์พระเครื่องจอมพระ
ค้นหา
ค้นหา
HOT TAG:
พระศรีราม
ขุนแผนแสนตรีเวทย์
พระเจ้าชัยวรมัน
บอร์ดนี้
บทความ
เนื้อหา
สมาชิก
Baan Jompra
›
นานาสาระ
›
ตำนานพระเกจิอาจารย์แห่งแดนสยาม
»
ประวัติพระอาจารย์ชยสาโร ภิกขุ
กลับไป
ตั้งกระทู้ใหม่
ดู: 3519
ตอบกลับ: 6
ประวัติพระอาจารย์ชยสาโร ภิกขุ
[คัดลอกลิงก์]
oustayutt
oustayutt
ออฟไลน์
เครดิต
22903
ไปยังโพสต์
1
#
โพสต์ 2013-4-27 18:03
|
ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
|
โพสต์ใหม่ขึ้นก่อน
|
โหมดอ่าน
ประวัติพระอาจารย์ชยสาโร ภิกขุ
นามเดิม : ฌอน ชิเวอร์ตัน (Shaun Chiverton)
พ.ศ. 2501 : เกิดที่ประเทศอังกฤษ เมื่อยังเล็กมีสุขภาพไม่ดี มีอาการหอบหืด ต้องหยุดโรงเรียนบ่อย จึงใช้เวลาในการศึกษาด้วยตนเอง ท่านสนใจว่าอะไรคือสิ่งสูงสุดที่เราจะได้จากการเป็นมนุษย์ อะไรคือความจริงสากลที่ไม่ขึ้นอยู่กับสมมุติของแต่ละสังคม ทำไมคนเราอยากจะอยู่อย่างเป็นมิตรแต่กลับรบราฆ่าฟันกันอยู่เรื่อยไป
เมื่อไปโรงเรียน เป็นนักเรียนที่ช่างคิด ช่างค้นคว้า และมีผลการเรียนที่ดีเยี่ยมจนโยมบิดามีความหวังให้เข้าสอบชิงทุนเพื่อเรียนต่อในมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงในประเทศอังกฤษ
เมื่อศึกษาอยู่ได้อ่านหนังสือมากมายหลากหลาย จนกระทั่งพบคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงเกิดความเลื่อมใสศรัทธาว่าเป็น "สัจธรรมความจริง" ที่กำลังแสวงหาอยู่ จึงสนใจการฝึกจิตและศึกษาหาความรู้ทางพุทธศาสนาตั้งแต่อยู่ในวัยรุ่น
ท่านทำงานเก็บเงินระหว่างที่กำลังเรียน และออกเดินทางหาประสบการณ์ในประเทศต่างๆ ตั้งแต่อายุ 17 ปี ใช้เวลา 2 ปี จนแน่ใจว่าการศึกษาและปฏิบัติธรรม เป็นหนทางที่ต้องการแทนการเรียนต่อในมหาวิทยาลัย
พ.ศ. 2521 : ได้พบและเริ่มปฏิบัติกับอาจารย์สุเมโธ (พระราชสุเมธาจารย์ ในปัจจุบัน และเป็นพระชาวต่างชาติรูปแรกที่เป็นลูกศิษย์ของหลวงพ่อชา) ที่วิหารแฮมสเตด ประเทศอังกฤษ และได้ถือเพศเป็นอนาคาริก (ปะขาว) อยู่กับท่านอาจารย์สุเมโธ ถือศีล 10 เป็นเวลา 1 พรรษา แล้วเดินทางมายังประเทศไทย
พ.ศ. 2522 : บรรพชาเป็นสามเณร ที่วัดหนองป่าพง ตำบลโนนผึ้ง อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี
พ.ศ. 2523 : อุปสมบทเป็นพระภิกษุ ที่วัดหนองป่าพง โดยมีพระโพธิญาณเถร (หลวงพ่อชา สุภัทโท) เป็นพระอุปัชฌาย์
พ.ศ. 2529-2539 : เป็นรองเจ้าอาวาสวัดป่านานาชาติ ตำบลบุ่งหวาย อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี โดยมีท่านพระอาจารย์ปสันโน เป็นเจ้าอาวาส
พ.ศ. 2540-2544 : รักษาการเจ้าอาวาสวัดป่านานาชาติ ตำบลบุ่งหวาย อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี แทนท่านพระอาจารย์ปสันโน ซึ่งได้รับนิมนต์ไปตั้งวัดสาขา คือ วัดป่าอภัยคีรี มลรัฐแคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา
ปัจจุบัน : พำนัก ณ สถานพำนักสงฆ์ บ้านไร่ทอสี อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา
ก่อนเดินทางมาประเทศไทย ท่านได้ตั้งใจว่าจะอยู่ที่วัดหนองป่าพง ให้ครบ 5 ปี โดยไม่มีเงื่อนไขเพื่อศึกษาปฏิบัติธรรม เมื่อมาพบหลวงพ่อชา ก็เกิดความเลื่อมใสศรัทธาในปฏิปทาและความเป็นครูที่มีทั้งเมตตา และปัญญาในการสอนอย่างลึกซึ้ง จึงสามารถทนต่อความยากลำบากในการปรับตัวให้เข้ากับการใช้ชีวิตแบบพระวัดป่า ที่เข้มงวดในวินัย และการฝึกปฏิบัติตามรอยพระพุทธเจ้า และการอยู่ร่วมกับคณะสงฆ์ชาวไทยจนเกิดความก้าวหน้าและเบิกบานในธรรม แนวการสอนของหลวงพ่อชาเน้นการปฏิบัติการรักษาศีล และข้อวัตร ความอดทน ความเพียร การใคร่ครวญหลักธรรม และน้อมมาสู่ใจให้เฝ้าสังเกตจนรู้ทันอารมณ์ของตนเอง และสามารถใช้สติปัญญาในการสร้างประโยชน์ตน และประโยชน์ผู้อื่นพร้อมกันไป
บุ๊คมาร์ก
0
ตอบกลับ
ใช้ไอเท็ม
รายงาน
oustayutt
oustayutt
ออฟไลน์
เครดิต
22903
2
#
เจ้าของ
|
โพสต์ 2013-4-27 18:04
|
ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
รวมคติธรรมของท่านพระอาจารย์ ชยสาโร
เป็นชาวพุทธ หรือ ชาวพูด “ ทุกวันนี้เราก็เป็นชาวพูดมากกว่าชาวพุทธ พูดจริงแต่ไม่ค่อยทำ....ชาวพูด พูดเฉยๆ.....เราไม่ได้เป็นชาวพุทธเพราะทะเบียน เราเป็นชาวพุทธเพราะความเพียร..เราเพียรพยายามเลิกละสิ่งที่ไม่ดีไม่งาม พยายามบำเพ็ญสิ่งที่ดีงามในชีวิต พยายามทำสมาธิภาวนาให้เกิดปัญญาในการแก้ปัญหาในชีวิต.. ”
***
สิ่งน่าอัศจรรย์ที่คาดไม่ถึง “ สิ่งที่น่าอัศจรรย์ที่สุดในโลก คือ คนที่เคยเกิดมาในโลก ล้วนแต่เคยตายมาแล้วทั้งสิ้น แต่ไม่มีใครเชื่อว่า ตัวเองจะตายวันนี้ นี่จึงเป็นสิ่งที่น่าอัศจรรย์ ”
***
พระพุทธศาสนาเป็นเรื่องของเราทุกคน “ พระพุทธเจ้า สามารถเอาความคิดที่ลึกซึ้งของเราออกมาพูดเป็นภาษาคน เพราะฉะนั้น การได้พบพระพุทธศาสนาเท่ากับได้พบตัวเอง ทำให้เข้าใจการสอนของครูบาอาจารย์ที่ว่า พุทธศาสนาไม่ใช่เรื่องของตำรา ไม่ใช่เรื่องของวัดวา ไม่ใช่เรื่องของนักบวช เป็นเรื่องของเราทุกคน เรื่องของหัวใจมนุษย์" ” เรื่องของพุทธศาสนา คือ เรื่องของตัวเองและเรื่องการละ เรื่องการบำเพ็ญ ก็ไม่มีอะไรนอกเหนือจากสิ่งที่มีอยู่ในใจของเรานี่แหละ ”
***
ผู้มีอุปสรรคคือผู้มีบุญ “ ปัญญาเกิดจากการฝ่าฟันอุปสรรค ยิ่งมีอุปสรรคมากยิ่งมีโอกาสที่จะสร้างปัญญามาก ฉะนั้น ผู้ที่มีอุปสรรคมากๆเป็นผู้ที่มีบุญมาก น่าอิจฉา ”
***
ต้องหมั่นสอนตัวเอง “ ชาวพุทธเราเกิดมาเพื่อความฉลาด เพื่อเป็นที่พึ่งของตน เพื่อช่วยตัวเองได้ พระพุทธองค์ก็ชี้แนะแนวทางได้ ครูบาอาจารย์ก็ช่วยได้ แต่ในที่สุดท่านก็สอนเราตลอดเวลาไม่ได้ มีแต่ตัวเองสอนตัวเองตลอดเวลาได้ด้วยการมีสติคอยดูจิตใจตัวเอง ”
***
การเปลี่ยนความรู้จำให้เป็นความรู้จริง นับเป็นความยากอย่างยิ่ง “ ที่เราจะเข้าใจยากที่สุด หรือสิ่งที่เราจะเข้าถึงยากที่สุดก็คือ สิ่งที่เรารู้อยู่แล้ว ฉะนั้น อย่าเป็นคนเก่า จงเป็นคนใหม่อยู่เสมอ อย่าไปเข้าใจว่า เรื่องนี้เรารู้แล้วเราเคยฟังหลายครั้งแล้ว มันจำเจแล้ว ”
***
ความสบายอยู่ที่ความพอดี “ ความสบายมันอยู่ที่ความพอดี คำว่า พอดี จึงเป็นปริศนาธรรมของพุทธ เป็นสิ่งที่ทุกคนจะต้องพยายามเข้าถึง เราไม่ต้องพูดถึงมรรคผลนิพพาน ไม่ต้องพูดถึง สุญญตา ความว่าง อะไรสูงส่งอย่างนั้น เราพูดถึงง่ายๆธรรมดาๆคำนี้ก็พอแล้ว ทำอย่างไรชีวิตของเราจึงจะพอดี ทุกแง่ทุกมุมของชีวิต หากเรามีความพอดีก็จะสบาย ”
***
รอบคอบในความสบาย “ หลวงพ่อชาสอนว่าความสบายมี 2 อย่าง คือ ความสบายที่เป็นไปเพื่อความสบาย และ ความสบายที่เป็นไปเพื่อความไม่สบาย บางทีเราต้องผ่านความไม่สบายก่อนเราจึงได้ความสบายที่มีคุณค่า เพราะความสบายบางอย่างถึงแม้ว่าจะให้ความสุขในปัจจุบันแต่ก็เกิดความไม่สบายในอนาคต... เรื่องการทำลายสิ่งแวดล้อมก็เป็นตัวอย่างที่ดี เราอาจจะทำลายธรรมชาติเพื่อความสุขความสบายอยู่ในขณะปัจจุบัน หรืออาจจะทำเพื่อลูกเพื่อหลานของเราได้ โดยลืมเสียว่าลูกของเราหลานของเราก็จะมีลูกมีหลานเหมือนกัน การสงเคราะห์ลูกหลานของเราอาจเป็นการเบียดเบียนลูกของลูกๆที่ยังไม่ได้เกิด ”
***
ฉลาดในการช่วย “ ถ้าเรามีความหวังที่จะช่วยคนอื่นให้เราฉลาดในการช่วยตัวเอง เพราการช่วยตัวเองและการช่วยคนอื่นเป็นสิ่งเดียวกัน ชีวิตที่มีการช่วยตัวเองและช่วยผู้อื่นเป็นชีวิตที่เบิกบานผ่องใสด้วยการทำหน้าที่ การทำหน้าที่ให้ดีที่สุดก็ด้วยการปล่อยวางความหวังในผล... ”“... เราจะช่วยคนอื่น เราต้องช่วยตัวเองด้วยว่า ประโยชน์ตนประโยชน์ท่านเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน อยากจะช่วยคนอื่นอย่างถูกต้องให้ได้ผล มันก็ต้องฉลาดในการชนะกิเลสของตัวเอง ”
ตอบกลับ
สนับสนุน
คัดค้าน
ใช้ไอเท็ม
รายงาน
oustayutt
oustayutt
ออฟไลน์
เครดิต
22903
3
#
เจ้าของ
|
โพสต์ 2013-4-27 18:04
|
ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย oustayutt เมื่อ 2013-4-27 18:06
เมตตาที่แท้ “ เมตตาเป็นความรักที่ประกอบด้วยธรรมะ เป็นความรักที่สม่ำเสมอในสรรพสัตว์ทั้งหลาย บางทีพวกเราอาจจะเคยสังเกตตัวเองว่า การที่เราจะเมตตาสงสารคนอื่นๆที่ประเทศอื่น หรือคนที่เราไม่เคยได้พบเป็นสิ่งที่ง่าย แต่คนที่เราเมตตายากที่สุดคือคนที่อยู่ใกล้ชิด เพราะคนเหล่านี้แหละที่ทำให้เราหนักใจ ที่มีการกระทำและการพูดที่กระทบกระเทือนเราบ่อยๆ ฉะนั้นการแผ่เมตตาของคนทั่วไปมักจะเป็นไปในทำนองที่ว่า ” ขอให้สรรพสัตว์ทั้งหลายมีความสุขๆเถิด เว้นแต่คนนั้น ” ต้องมีเว้นแต่ เว้นแต่คนที่หนาด้วยกิเลส คนที่เราไม่ชอบ แต่นี่ไม่ใช่เมตตา เมตตาที่แท้จริงย่อมไม่มีการเลือกที่รักมักที่ชัง ”
***
อย่าไปท้อ “ ถ้าเรากำลังมีปัญหาก็อย่าไปท้อใจ อย่าหดหู่ใจแต่ปลอบใจตัวเองว่า ถ้าเราอดทน ถ้าเราไม่ท้อถอย ในที่สุดเราต้องผ่านอุปสรรคนี่ได้เพราะพระพุทธองค์ทรงยืนยันได้ว่า ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว อันนี้เป้นกฏตายตัวของธรรมชาติ ”
***
อย่าเป็นนัก ” โทษ ”“ ความทุกข์เกิดขึ้นในชีวิต ชอบโทษคนอื่นชอบเป็นนักโทษ โทษคนนั้นโทษคนนี้โทษพ่อแม่โทษลูกหลานโทษรัฐบาล โทษเศรษฐกิจ โทษอาหาร สิ่งที่โทษได้ในชีวิตมีนับไม่ถ้วน แต่ว่าทุกข์ไม่ได้เกิดขึ้นจากสิ่งเหล่านี้ สิ่งเหล่านั้นเป็นแค่เงื่อนไขหรือเป็นปัจจัยหรือเป็นจุดกระตุ้นความทุกข์อยู่ที่ใจ ”
***
เมตตาตัวเองแล้วก็เมตตาผู้อื่นด้วย “ บางสิ่งบางอย่างรู้ว่ามันดี แต่เราทำไม่ได้ บางสิ่งบางอย่างรู้ว่ามันไม่ดีแต่ว่าอดทำไม่ได้ อันนี้เราเป็นอย่างไรเขาก็เป็นอย่างนั้น เขาเป็นอย่างไรเราก็เป็นอย่างนั้น จิตใจเรานี้ยังไม่เข้มแข็งต้องให้อภัยตัวเอง เมตตาตัวเองแล้วก็เมตตาคนอื่นด้วย ”
***
สัมมาทิฐิเบื้องต้น “ การมีปัญหาเป็นความจริงเป็นสัจธรรม....ปัญญาพื้นฐานนี้สำคัญมาก ต้องรู้ว่าสิ่งใดเป็นสิ่งที่เราต้องแก้ไข สิ่งใดเป็นสิ่งที่เราต้องยอมรับ อันนี้คือสัมมาทิฐิในระดับหนึ่ง ”
***
ล้างบาปไม่ได้แต่ละลายได้ “ พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า ความเชื่อเหมือนของขมๆ เอาของขมไว้ในภาชนะเล็กๆ เช่น แก้วน้ำ จะทำให้น้ำในแก้วขมหมดเลย แต่สมมุติว่าเอาของขมนั้นไปไว้ในแทงค์น้ำใหญ่ๆเปิดก๊อกชิมน้ำดื่มน้ำก็ไม่ขม แต่ไม่ใช่ว่าความขมหรือของขมหายไปเลย มันก็ยังมีอยู่เหมือนเดิมแต่ว่ามีก็เหมือนกับไม่มี เพราะสิ่งที่จืด สิ่งที่สะอาด สิ่งที่ไม่ขมมากกว่าเสียจนความขมนั้นเกือบจะไม่มีความหมาย ถ้าเราทำคุณงามความดีไว้มากไม่ใช่ว่าจะลบล้างกรรมเก่าหรือบาปอกุศลที่ไม่ดีได้ทั้งหมด.... แต่เหมือนกับว่าพลังหรืออำนาจของความดีจะมากกว่าพลังของความชั่วจนมีเหมือนกับไม่มี ”
***
จะทำดีอ้างบุญบารมีน้อย แต่ทำชั่วไม่เคยอ้าง “ พวกเราชอบอ้างบุญ อ้างบารมีอยู่เรื่อย เพื่อเป็นการแก้ตัว บางคนก็อ้างว่าบุญหรือบารมีที่จะภาวนาก็ไม่มี ทำไมเรามีแต่บุญมีแต่บารมีเพื่อทำความชั่ว ทำไมเราไม่มีบุญบารมีเพื่อทำความดีบ้างบุญบารมีทำความชั่ว เห็นเรามีทุกคนตลอดเวลา ทำไมเราไม่มีบุญบารมีทำความดี นั่นต้องถามตัวเองอย่างนี้ ”
***
ติดดีก็เป็นทุกข์ “ ถ้าเป็นคนดีแล้วต้องรำคาญคนที่ไม่ดี ทุกวันนี้คนที่ไม่ดีมากกว่าคนดีเยอะ ไปที่ไหนก็กลุ้มใจ มีแต่ความไม่พอใจ เหมือนกับคนที่สูบบุหรี่ เลิกแล้วดูคนอื่นสูบก็ไปเทศน์ให้เขาฟัง นี่เรียกว่า ติดดีท่านไม่ให้ติด แม้จะเป็นความดีท่านก็ไม่ให้เราติด เพราะว่า ความติดเป็นทุกข์ สร้างความทุกข์แก่ใจ ”
***
ทำดีต้องได้ความดี “ ทำดีต้องได้ความดี ทำชั่วต้องได้ความชั่ว ถ้าเราทำความดีแล้วเราก็ย่อมได้ความดีอย่างไม่ต้องสงสัย แต่ว่าผลที่จะได้ออกมาทันตาเห็น อาจจะไม่สมปรารถนาก็ได้ แต่สิ่งที่ไม่สมปรารถนาก็อาจเป็นไปเพื่อสิ่งที่สมปรารถนาในภายหลังก็ได้ แล้วสิ่งที่สมปรารถนาอาจจะเป็นไปเพื่อความทุกข์ ความเดือดร้อนในภายหลังก็ได้ มันก็ไม่แน่นอน ”
ตอบกลับ
สนับสนุน
คัดค้าน
ใช้ไอเท็ม
รายงาน
oustayutt
oustayutt
ออฟไลน์
เครดิต
22903
4
#
เจ้าของ
|
โพสต์ 2013-4-27 18:06
|
ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ความสุขในโลกเหมือนน้ำผึ้งติดปลายมีดโกน “ ความสุขในโลกมีหลายอย่าง ความสุขบางอย่าง ท่านบอกว่าเหมือนกับ ” น้ำผึ้งติดปลายมีดโกน ” คิดดูซิมันเป็นอย่างไร น้ำผึ้งติดปลายมีดโกน น้ำผึ้งแสนอร่อยเราไปเลียมัน อร่อยที่สุด แต่ต่อมาเป็นอย่างไร มันบาดลิ้นเรา ความสุขในโลกเป็นอย่างนี้ ”
***
ปัญหาที่ต้องแก้ไข และ ปัญหาที่ต้องยอมรับ “ การมีปัญหาเป็นความจริง เป็นสัจธรรมเป็นสิ่งที่เราแก้ไขไม่ได้ ต้องรู้ว่าสิ่งใดเป็นสิ่งที่ต้องแก้ไขสิ่งใดเป็นสิ่งที่ต้องยอมรับ อันนี้คือ สัมมาทิฏฐิในระดับหนึ่ง เพราะถ้าเราหลงยอมรับในสิ่งที่เราต้องแก้ไข แต่เราไปแก้ไขในสิ่งที่ควรยอมรับ การปฏิบัติของเราก็คงเป็นหมัน เราก็ไม่ได้ก้าวหน้า ในที่สุดก็ท้อใจล้มเลิกการปฏิบัติ ”
***
ชีวิตนี้สั้นเกินกว่าที่จะคอยให้อภัยตนเอง “ เมื่อเราทำอะไรด้วยความมักง่ายด้วยความขาดตกบกพร่อง ผลที่เกิดขึ้นมักจะเป็นโทษ เป็นโทษทั้งแก่ตนเองและคนอื่นด้วย แล้วเราก็คิดปลอบใจตนเองว่าไม่เป็นไรๆ เราไม่เจตนา ปล่อยวางซะ อย่าไปคิดเลย การคิดเช่นนี้ไม่ถูกต้องไม่เป็นธรรมะ... ” เราทำอะไรต้องรับผิดชอบด้วย ให้เราระลึกอยู่เสมอว่า เราต้องตั้งสติอยู่ในความจริงอยู่เสมอว่า วันนี้แหละเราก็ตายเป็น เราไม่มีเวลาที่จะไปทำอะไรแบบนั้น ที่เราคิดว่าเราไม่ได้ตายวันนี้หรอก อันนี้ก็เป็นกิเลส เป็นความคิดที่ผิด ชีวิตของเรานั้นเปราะบางมาก มันเบาบางมาก มันแตกสลายได้ง่าย เป็นของนิดเดียวเหมือนฟองน้ำไม่มีความมั่นคง
***
จงภูมิใจและไม่ประมาทในความเป็นมนุษย์ “ การเกิดเป็นมนุษย์นี้ เกิดยากจริงๆเป็นโอกาสที่ไม่ควรจะพลาด ไม่ควรจะประมาทในโอกาสอันแสนยากนี้ เพื่อจะได้ปฏิบัติธรรมะตามคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ให้มีความอิสระเสรี ให้พ้นจากความทุกข์ เพราะว่าในบรรดาสัตว์ในโลกหรือสัตว์ในภูมิต่างๆ มีแต่มนุษย์เราเท่านั้นที่มีอุปกรณ์พร้อม หรือมีความเฉลียวฉลาดพอสมควรที่จะบรรลุความจริงอันลึกซึ้งของพระพุทธเจ้าได้ ”
***
ตัวบาป ตัวบุญ “ ถ้าเราทำสิ่งใดด้วยความรู้สึกของตัวตนมีเรามีของเรา ทำอะไรที่เบียดเบียนตนเอง และเบียดเบียนคนอื่น จิตใจก็เศร้าหมอง ว้าวุ่น ขุ่นมัว ผิดปกติไป นี่แหละเรียกว่า บาปถ้าเราทำสิ่งใดด้วยความเสียสละอย่างแท้จริง ทำเพื่อประโยชน์เพื่อความสุขของคนอื่น โดยปราศจากผลประโยชน์ของตนเอง จะเห็นว่าจิตใจของเราผ่องใสเบิกบาน นั้นแหละตัวบุญ ”
***
ความจริงที่แน่นอน “ พระพุทธองค์เกิดขึ้นในโลกก็ตาม ไม่เกิดขึ้นในโลกก็ตาม สิ่งทั้งหลายทั้งปวงไม่เที่ยงเป็นทุกข์ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน หลัก ” อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ” อันนี้เป็นความจริงที่แน่นอน ”
***
พุทธบริษัทถ้าขี้เกียจปฏิบัติก็ล้มละลายได้เช่นกัน “ ถ้าเรามีอาชีพอยู่ในโลก เวลาเราจะลุกขึ้นตอนเช้า เราไม่ได้คิดว่า เราจะไปทำงานหนอ จะไม่ไปหนอ จะนอนต่อหนอ คิดว่า ถ้าเราไม่จำเป็นต้องไปทำงาน เราก็ไม่ได้กิน เดียวเขาจะไล่ออก ของเราก็เหมือนกันให้ถือว่าการปฏิบัติธรรมมีความจำเป็น เป็นหน้าที่ของเราแล้วบริษัททุกบริษัทถ้าไม่ทำกิจกรรม ไม่ทำหน้าที่ของมัน มันก็จะล้มละลาย พุทธบริษัทก็เหมือนกัน ถ้าพุทธบริษัทไม่ทำหน้าที่ ไม่ทำกิจกรรมของตน มันก็จะล้มละลายเหมือนกัน ศาสนาพุทธก็จะหายไปจากโลก ”
ที่มา
http://www.dhammajak.net/dhamma/13.html
http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=367
ตอบกลับ
สนับสนุน
คัดค้าน
ใช้ไอเท็ม
รายงาน
AUD
AUD
ออฟไลน์
เครดิต
4386
5
#
โพสต์ 2013-4-28 06:46
|
ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ตอบกลับ
สนับสนุน
คัดค้าน
ใช้ไอเท็ม
รายงาน
sritoy
sritoy
ออฟไลน์
เครดิต
3631
6
#
โพสต์ 2013-4-29 14:54
|
ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
สาธุครับเคยไปฟังเทศน์ท่านเหมือนกัน
นานมากแล้ว...ฟังเทศน์โต้รุ่งสุดๆ
ตอบกลับ
สนับสนุน
คัดค้าน
ใช้ไอเท็ม
รายงาน
Metha
Metha
ออฟไลน์
เครดิต
54671
7
#
โพสต์ 2013-12-11 18:37
|
ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
กราบนมัสการครับ
ขอบพระคุณข้อมูลครับ
ตอบกลับ
สนับสนุน
คัดค้าน
ใช้ไอเท็ม
รายงาน
กลับไป
ตั้งกระทู้ใหม่
โหมดขั้นสูง
B
Color
Image
Link
Quote
Code
Smilies
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง
ลงชื่อเข้าใช้
|
ลงทะเบียน
รายละเอียดเครดิต
ตอบกระทู้
ข้ามไปยังโพสต์ล่าสุด
ตอบกระทู้
ขึ้นไปด้านบน
ไปที่หน้ารายการกระทู้
Share To Facebook
Share To Twitter
Share To Google+
Share To ...