ตั้งให้เราเป็นเว็บแรกที่คุณเลือก เก็บเราไว้เป็นเว็บโปรด
สมัครสมาชิก ได้มากกว่าที่คุณคิด เข้าสู่ระบบ
ดู: 3017
ตอบกลับ: 6
สั่งพิมพ์ ก่อนหน้า ถัดไป

หลวงพ่อพระใส วัดโพธิ์ชัย จ.หนองคาย

[คัดลอกลิงก์]


หลวงพ่อพระใส
พระประธานในพระอุโบสถ วัดโพธิ์ชัย
(พระอารามหลวง) ต.ในเมือง อ.เมือง จ.หนองคาย


“หลวงพ่อพระใส” เป็นพระพุทธรูปขัดสมาธิราบ ปางมารวิชัย
หล่อด้วยทองสีสุก มีพระรูปลักษณะงดงามมาก ขนาดหน้าตักกว้าง ๒ คืบ ๘ นิ้ว
ส่วนสูงจากพระชงฆ์เบื้องล่างถึงยอดพระเกศ ๔ คืบ ๑ นิ้ว ของช่างไม้
ปัจจุบันประดิษฐานอยู่ใน พระอุโบสถ วัดโพธิ์ชัย อ.เมือง จ.หนองคาย
เป็นพระพุทธรูปที่ชาวเมืองนับถือว่าศักดิ์สิทธิ์และเป็นที่เคารพสักการะอย่างยิ่ง

มีความเชื่อกันว่า หลวงพ่อพระใส ทำการหล่อในสมัยเชียงแสน
ชั้นหลังพระใสเป็นพระพุทธรูปล้านช้าง สมัยนั้นประเทศล้านช้างยังรุ่งเรืองอยู่
และพระพุทธศาสนากำลังเจริญรุ่งเรือง
พระเจ้าแผ่นดินทรงสนพระทัยในพระพุทธศาสนาเป็นอย่างยิ่ง

พระใส เป็นพระพุทธรูปที่หล่อคราวเดียวกันกับพระเสริม และพระสุก
และคู่เคียงกันมาเสมอ พระใสเป็นพระพุทธรูปที่ผู้หล่อประสงค์จะให้
เป็นพระสำหรับแห่มาแต่เดิม สังเกตได้จากห่วงกลม ๓ ห่วง
โตกว่านิ้วมือติดอยู่กับพระแท่น (หล่อติดกับองค์พระ)
สำหรับผูกสอดเชือกขันกับยานแห่ เมื่อประมาณ ๕๐ ปีมาแล้ว
พระเกศเดิมซึ่งเป็นของที่มีราคามาก ได้ถูกขโมยลักเอาไป
พระเกศของพระใสที่ปรากฏอยู่ทุกวันนี้เป็นพระเกศใหม่


ภายในพระอุโบสถวัดโพธิ์ชัยนั้น จะมีภาพวาดจิตรกรรมฝาผนัง
ถ่ายทอดเรื่องราวประวัติความเป็นมาของการหล่อพระสุก
พระเสริม และพระใส จำนวน ๒๐ ภาพ มีใจความว่า

ในรัชสมัยของ พระเจ้าไชยเชษฐาธิราช ช่วงปี พ.ศ.๒๐๙๓-๒๑๑๕  
แห่งอาณาจักรล้านช้างศรีสัตนาคณหุต ทรงมีพระราชธิดา ๓ พระองค์
ทรงพระนามว่า สุก, เสริม และใส

พระราชธิดาทั้งสามพระองค์มีศรัทธาในบวรพระพุทธศาสนา
จึงร่วมพระทัยขอพรจากพระราชบิดา สร้างพระพุทธรูปประจำพระองค์
มีข้าราชการ ชาวบ้าน และทางวัดได้ระดมช่างและคนมาช่วยกันอย่างมากมาย
ในการหล่อพระพุทธรูปทั้งสามองค์นี้ก็มีเหตุอัศจรรย์
การหลอมทองเป็นไปด้วยความยากลำบากใช้เวลาช่วยกันสูบเตาหลอมทอง
อยู่ถึง ๗ วัน แต่ทองก็ยังไม่ละลาย ล่วงเข้าวันที่ ๘ ตอนใกล้เพล
ขณะที่หลวงตากับสามเณรช่วยกันสูบลมหลอมทองอยู่
ปรากฏว่ามีชีปะขาวคนหนึ่งอาสามาช่วยงาน
หลวงตากับสามเณรหยุดพักขึ้นไปฉันเพลบนศาลา
ชาวบ้านมองเห็นชีปะขาวจำนวนมากช่วยกันเททองหล่อพระพุทธรูป
แต่หลวงตากลับเห็นเพียงคนเดียว เมื่อฉันเพลเสร็จหลวงตาลงมาดู
ก็พบว่าทองทั้งหมดถูกเทลงในเบ้าทั้งสามเรียบร้อยแล้ว
ส่วนชีปะขาวที่มาอาสาช่วยสูบเตาหลอมทองแทนก็หายตัวไป

จนเมื่อการสร้างพระพุทธรูปเสร็จสิ้น พระราชธิดาทั้งสาม
จึงถวายนามของตนเองให้เป็นนามของพระพุทธรูป
โดย พระเสริม เป็นพระพุทธรูปประจำพระราชธิดาองค์พี่
พระสุก เป็นพระพุทธรูปประจำพระราชธิดาองค์กลาง
และ พระใส เป็นพระพุทธรูปประจำพระราชธิดาองค์สุดท้อง

ขออภัย! โพสต์นี้มีไฟล์แนบหรือรูปภาพที่ไม่ได้รับอนุญาตให้คุณเข้าถึง

คุณจำเป็นต้อง ลงชื่อเข้าใช้ เพื่อดาวน์โหลดหรือดูไฟล์แนบนี้ คุณยังไม่มีบัญชีใช่ไหม? ลงทะเบียน

x
2#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-4-19 12:31 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
พระพุทธรูปทั้งสามองค์ประดิษฐาน ณ เมืองเวียงจันทน์





ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓
เจ้าอนุวงศ์ เจ้าผู้ครองอาณาจักรล้านช้างแห่งเมืองเวียงจันทน์ ก่อกบฏ
พระองค์จึงโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาศักดิพลเสพ
เป็นแม่ทัพยกทัพไปปราบจนสำเร็จ ในครั้งนั้นจึงได้อัญเชิญ
พระพุทธรูปมาจากเมืองเวียงจันทน์จำนวนหนึ่งกลับมายังฝั่งไทย
และในจำนวนนั้นก็มี พระเสริม พระสุก และพระใส รวมอยู่ด้วย

การเคลื่อนย้ายพระพุทธรูปทั้งสามองค์นี้มายังฝั่งไทย
โดยอัญเชิญมาจากภูเขาควาย นำขึ้นประดิษฐานบนแพไม้ไผ่
ซึ่งผูกติดกันอย่างมั่นคง แล้วอัญเชิญมาทางลำน้ำงึมออกลำน้ำโขง
เมื่อแพล่องมาถึงตรงบ้านเวินแท่นในขณะนั้น
บริเวณปากน้ำงึม เยื้องกับบ้านหนองกุ้งเมืองหนองคาย
(ปัจจุบันอยู่ในเขตอำเภอโพนพิสัย จังหวัดหนองคาย) ก็ได้เกิดอัศจรรย์
มีพายุใหญ่พัดแรงจัด ฝนตกหนัก เสียงฟ้าคำรามคะนองร้องลั่น
พัดแท่นที่ประดิษฐานพระสุกจมน้ำหายไป สถานที่นั้นต่อมาจึงเรียกว่า
“เวินแท่น” ส่วนองค์พระสุกก็จมหายไปในแม่น้ำโขง
สถานที่นั้นต่อมาจึงเรียกว่า “เวินพระสุก” หรือ “เวินสุก”

ส่วน พระเสริมและพระใส นั้น ก็สามารถล่องแพ
ข้ามมายังฝั่งไทยที่เมืองหนองคายได้อย่างปลอดภัย

โดยได้อัญเชิญ “พระเสริม” ประดิษฐานไว้ที่วัดโพธิ์ชัย เมืองหนองคาย
ส่วน “พระใส” ได้อัญเชิญประดิษฐานไว้ที่วัดหอก่อง
หรือปัจจุบันคือวัดประดิษฐ์ธรรมคุณ เมืองหนองคายเช่นกัน
แต่ต่อมาพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว วังหน้าในรัชกาลที่ ๔
ทรงมีพระราชประสงค์จะอัญเชิญ “พระเสริม”
มาประดิษฐานยังพระบวรราชวัง หรือวังหน้า
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ จึงโปรดเกล้าฯ
ให้ขุนวรธานีและเจ้าเหม็น (ข้าหลวง) อัญเชิญ พระเสริมและพระใส
ลงมายังพระนคร ในการอัญเชิญครั้งนั้นปรากฏว่า
ขบวนเกวียนที่ประดิษฐาน “พระใส” จากวัดประดิษฐ์ธรรมคุณ (วัดหอก่อง)
ขณะกำลังเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้า วัดโพธิ์ชัย ก็เกิดเหตุขัดข้อง
เกวียนไม่สามารถเคลื่อนที่ต่อไปได้ ท้ายที่สุดเกวียนก็หักลง เมื่อซ่อมแล้วก็หักอีก
แม้จะนำเกวียนมาเปลี่ยนใหม่แต่ไม่เป็นผล วัวลากเกวียนก็ไม่ยอมเดิน
ซึ่งแม้จะทำพิธีบวงสรวงแล้วก็ไม่สามารถเดินทางต่อได้
3#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-4-19 12:32 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ดังนั้นจึงอัญเชิญพระใสขึ้นประดิษฐานที่ “วัดโพธิ์ชัย” แทน

ความอัศจรรย์ของพระใสจนได้สมญาว่า “หลวงพ่อเกวียนหัก”
หลวงพ่อพระใสก็กลายเป็นพระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองหนองคาย
มานับแต่นั้น เป็นที่เคารพนับถือของทั้งชาวอีสานและชาวลาว


ภาพในขบวนพิธีอัญเชิญ หลวงพ่อพระใส จากพระอุโบสถวัดโพธิ์ชัย
เช้าวันศุกร์ที่ ๑๓ เมษายน ๒๕๕๕ เพื่อให้ประชาชนทั้งชาวไทยและลาว
ได้สรงน้ำเพื่อเป็นสิริมงคลเนื่องในวันสงกรานต์ วันปีใหม่ไทย



ส่วนเกวียนที่ประดิษฐาน พระเสริม นั้นไม่มีปัญหาใดๆ
จึงสามารถอัญเชิญไปจนถึงพระนคร ไปประดิษฐานอยู่ในพระบวรราชวัง
แต่เมื่อพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเสด็จสวรรคต
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔
จึงโปรดเกล้าฯ ให้อัญเชิญพระเสริมจากพระบวรราชวังหรือวังหน้า
ไปประดิษฐานยัง พระวิหารวัดปทุมวนาราม กรุงเทพฯ
และประดิษฐานอยู่ ณ ที่นั้นจนกระทั่งมาถึงปัจจุบัน

ชาวอีสานและชาวหนองคายมีศรัทธาต่อองค์หลวงพ่อพระใส
เนื่องจากเป็นพระพุทธรูปที่กษัตริย์สร้างขึ้นเพื่อเป็นตัวแทนพระพุทธเจ้า
ให้พุทธศาสนิกชนปฏิบัติตามหลักธรรมคำสอนเป็นสำคัญ
และจากความศรัทธาเลื่อมใสนี้
มักจะมีประชาชนมาบนบานขอพรต่อองค์หลวงพ่อพระใส
โดยส่วนใหญ่มักจะบนบานให้แคล้วคลาด เดินทางปลอดภัย

นอกจากนี้ ยังมีการบนบานเกี่ยวกับสุขภาพ หน้าที่การงาน
เมื่อบนบานและสัมฤทธิผลแล้วก็จะมาแก้บนในช่วงสงกรานต์
โดยนำปราสาทเงิน ปราสาททอง (ปัจจัย) โพธิ์เงิน โพธิ์ทอง ๑ คู่,
พวงมาลัย ๙ พวง, แผ่นทองเปลว ๙ แผ่น และผ้าอังสะ ๓ ผืน
มาทำการแก้บน ซึ่งจะมีพระสงฆ์พาประกอบพิธี

พิเศษที่สุด คือ การบนบานขอลูกจากหลวงพ่อพระใส
คู่สามีภรรยาที่ต้องการมีลูกและขอพึ่งบารมีหลวงพ่อพระใส
จะต้องมาประกอบพิธีบนบานต่อหน้าหลวงพ่อพระใส
เตรียมขันธ์ ๕ ขันธ์ ๘ ขันหมากเบ็ง เทียนเงิน เทียนทอง
โดยมีพระสงฆ์นำประกอบพิธี ๔ รูป

หลังจากเสร็จพิธี ในวันพระสามีภรรยาต้องนุ่งขาวห่มขาว
งดร่วมเพศเด็ดขาด จะต้องถือศีล ๘ อย่างต่อเนื่องจนกว่าจะมีลูก
และเมื่อสัมฤทธิ์ดังประสงค์แล้ว รอให้คลอดลูกก่อน
แล้วนำลูกน้อยนั้นมาทำพิธีแก้บน โดยจะมีพระสงฆ์ ๔ รูป
นำประกอบพิธีต่อหน้าหลวงพ่อพระใสและผูกแขนทารกแรกเกิดให้

ถือว่าเป็นการปวารณาเป็นลูกของหลวงพ่อ มีข้อห้าม คือ
เด็กที่เกิดจากการบนบานขอพรจากหลวงพ่อพระใส จะเป็นเด็กซนมาก
แต่ฉลาด พ่อแม่ห้ามตีเด็ดขาด หากวันใดตีเด็ก
เด็กจะป่วยโดยไม่ทราบสาเหตุทันทีและต้องมาทำพิธีขอขมาองค์หลวงพ่อ

สำหรับงานประเพณีสำคัญเกี่ยวกับองค์หลวงพ่อพระใส
ชาวหนองคายจะยึดถือเอาวันสงกรานต์ของทุกปี
จัดงานสมโภชหลวงพ่อพระใส
โดยในวันที่ ๑๓ เมษายน จะเป็นวันทำพิธีอัญเชิญหลวงพ่อพระใส
ลงจากพระแท่นแห่รอบพระอุโบสถ เวียนประทักษิณ ๓ รอบ
แล้วอัญเชิญขึ้นสู่ราชรถ เป็นองค์พระประธานนำพระพุทธรูป
จากชุมชนต่างๆ ในเขตเทศบาลเมืองหนองคาย
แห่ไปรอบเมืองให้ประชาชนได้สรงน้ำ เพื่อความเป็นสิริมงคล

และในวันสุดท้าย จะมีพิธีอัญเชิญหลวงพ่อพระใส
กลับขึ้นประดิษฐานบนพระอุโบสถเช่นเดิม
เป็นอันเสร็จสิ้นงานประเพณีสมโภชองค์หลวงพ่อพระใสในรอบปี
4#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-4-19 12:33 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
คาถาบูชาหลวงพ่อพระใส

ตั้งนะโม ๓ จบ
อะระหัง พุทโธ โพธิชโย เสยยะคุโณ โพธิสัตโต
มหาลาโภ ปิยัง มะมะ ภะวันตุโน โหตุ สัพพะทา










หนังสือไหว้พระประธาน ๗๗ จังหวัด
กองบรรณาธิการข่าวสด สำนักพิมพ์มติชน


ขอขอบพระคุณที่มาของรูปภาพ
http://thanin.multiply.com/photos/album/29                                                                                       

.....................................................

ที่มา http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=24&t=19300

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย Pee เมื่อ 2016-1-16 22:05



ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ลงชื่อเข้าใช้ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้