ตั้งให้เราเป็นเว็บแรกที่คุณเลือก เก็บเราไว้เป็นเว็บโปรด
สมัครสมาชิก ได้มากกว่าที่คุณคิด เข้าสู่ระบบ
ดู: 1787
ตอบกลับ: 2
สั่งพิมพ์ ก่อนหน้า ถัดไป

วิถีจิตก่อนตาย...ไปไหนดี

[คัดลอกลิงก์]
คนเราส่วนใหญ่ใช้ชีวิตอย่างประมาท โดยลืมไปว่า วันหนึ่งจะต้องตาย แม้เห็นความตายอยู่รอบๆ ตัวทุกวี่วัน ก็ยังไม่วายคิดว่า คงยังไม่ใช่เราหรอกน่า ! ทั้งๆ ที่ความจริงปรากฏอยู่ต่อหน้าก็ยังไม่เชื่อ ...คนที่ทำชั่ว จึงทำชั่วเพิ่มมากขึ้น โดยไม่รู้ว่า ความชั่วนั้นจะส่งผลตอนตายและภพชาติข้างหน้าอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เลย ส่วนคนที่เห็นภัยในทุกข์โทษของการทำชั่วก็จะเร่งทำความเพียรภาวนาอย่างไม่ลดละเพื่อปูทางไปสู่สุคติในสัมปรายภพอย่างไม่ต้องสงสัย

           พระปลัดชัชวาล ชินสโภ (ชินสภเถระ) เจ้าอาวาสวัดพระธรรมจักร ต.ดงละคร จ.นครนายก ลูกศิษย์ที่เรียนวิปัสสนากรรมฐานจนจบหลักสูตรกับท่านอาจารย์ภัททันตะ อาสภมหาเถระ อัคคมหากัมมัฏฐานาจริยะ ที่สำนักวิปัสสนาวิเวกอาศรม จ.ชลบุรี มีคำอธิบายให้เราตระหนักถึงการใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ให้มีคุณค่าก่อนที่ลมหายใจสุดท้ายจะมาเยือน เมื่อเราถามว่า ชีวิตหลังความตายมีจริงหรือไม่ อย่างไร ตายแล้วจะไปไหน ?

                   "คนก่อนตายจะรู้ตัวก่อน ทุกคนเลย แม้แต่อุบัติเหตุเกิดปั๊บ ก็จะรู้ว่าจะตาย และจะไปไหน มันจะมีอยู่ ๓๐ วิถีจิต ก่อนที่มรณกรรมจะเกิดขึ้น หมายความว่า ในช่วงนั้น ถ้าเป็นคนธรรมดาทั่วๆ ไป เขาก็จะแสวงหาภพ บางคนที่ดูเหมือนตาย แต่กลับฟื้น เพราะวิถีจิตเขาไม่ได้ เขาก็เลยฟื้นมาเล่าอะไรให้ฟัง แต่บางคนวิถีจิตเขาได้ ตอนเป็นสัมภเวสี แสวงหาภพได้ เขาก็ไปเลย"

                   ตอนที่เราใกล้จะตายขณะนั้น เป็นช่วงที่เราแสวงหาภพ?

                   "ใช่ เหมือนหนอนคืบ ถ้าหาที่ลงไม่ได้ เขาจะไม่ไป ทีนี้ คนที่เขาจะตายจริงๆ วิถีจิตของเขา คิดว่า ร่างกายส่วนที่ใช้สอย มันใช้ประโยชน์ไม่ได้แล้ว และขณะนั้น เขาก็ไม่สามารถโต้ตอบกับคนภายนอกได้ แต่เขารับรู้คนภายนอก พระอาจารย์เคยทดสอบด้วยตัวเอง มีโยมคนหนึ่งป่วย เส้นเลือดที่ต่อมใต้สมองแตก หมอบอก ไม่รู้ตัว ไม่รับสนอง เอาไฟส่องตา ก็เบิกเฉยๆ แต่ในคัมภีร์บอกว่า เขารู้ แต่เราต่างหากที่ไม่รู้ว่าเขารู้ เพราะอะไร เพราะเขารับรู้จากเราได้ แต่เขาตอบไม่ได้ ถ้าพูดตามภาษาเราคือ ใช้ร่างนี้ไม่ได้ แต่ว่า มันยังเหลือส่วนสุดท้ายที่เหลืออยู่ คือจิต เหมือนเราไม่มีแรงเลย แม้แต่จะอ้าปากก็ไม่มีแรง แต่เรารู้อยู่ว่าอยู่ที่ไหน เพราะฉะนั้น เรารับรู้ทุกอย่าง เห็นก็เห็น ได้ยินก็ได้ยิน แต่ตอนนั้น เราไม่สามารถใช้ร่างกายได้ คนทุกคนก็อาจรู้ว่า สงสัยเรากำลังจะตาย"

                   ถ้าเป็นธรรมชาติของคนที่เตรียมจะไปเกิดจริงๆ พระปลัดชัชวาลอธิบายว่า จิตขณะนั้นของเขาจะเหนี่ยวนำดูว่า เขาจะได้อะไรเป็นที่พึ่ง ถ้าเห็นว่า ตัวเองได้สร้างบุญสร้างกุศลไว้ เขาก็จะปีติ พอปีติ เขาก็ไปเกิดในสุคติภพ เป็นเทวดาบ้าง แต่ถ้าหากว่า ในขณะนั้น เขาเหนี่ยวนำแล้วไม่เห็นว่าทำบุญอะไร บาปก็ไม่ได้ทำ แต่การเป็นมนุษย์อยู่นี้ก็มาภพดี เพราะในดำรงขณะที่เป็นมนุษย์ก็เป็นบุญ แต่เหมือนคนมีเงิน ใช้ไปทุกวันไม่หาเข้ามา เมื่อสตางค์หมด ถึงตอนนั้นต้องไป เขาก็ไม่อยากจะไป กลัวต่อการที่จะต้องพลัดพราก เพราะฉะนั้น วิถีจิตของเขาก็ไปอบายภูมิ

           "เพราะฉะนั้น ไม่ต้องไปพูดถึงคนที่ทำความชั่ว มันย่อมชัดเจนอยู่แล้ว แม้จิตเหนี่ยวนำไปทางกุศลแต่ก็ไม่เห็น เห็นแต่ส่วนที่เป็นความชั่วมีกำลังมาก พอเห็นความชั่วก็จะกลัว ระลึกถึงตอนทำความชั่ว ไม่กลัวขณะทำ สะใจ ดีใจ พอใจ สมใจที่ทำ แต่พอเวลาจะได้รับผลกรรม เขาก็จะกลัว เหมือนคนที่ทำความผิดแล้วไปเจอตำรวจ ก็จะกลัว ลนลาน แม้ไม่ได้ผิดอะไรมากมาย แค่เล่นการพนันก็วิ่งหัวซุกหัวซุนแล้ว ก็จะไปทุคติภูมิ หรือคนที่ทำดีมาสม่ำเสมอ ก่อนตายเขาจิตเหนี่ยวนำกุศลที่ทำไว้ขึ้นมา จิตก็ปีติ ก็ไปสุคติภูมิ นี่คือสภาวะจิตของคนทั่วๆ ไปที่ยังไม่ได้ภาวนา เขาเรียกว่า "กรรมนิมิต"

                   "ยังมีนิมิตอีกอย่างหนึ่งที่บ่งบอกว่าเราจะตาย คือ ขณะที่เราภาวนาไว้ พุทโธก็ดี ยุบหนอ พองหนอก็ดี คำสวดมนต์ก็ดี ขณะที่ภาวนาบริกรรม หรือสวดมนต์ จิตก็จะว่าง สะอาดอยู่ แต่บางอย่างไม่ได้ว่าง ๑๐๐% อย่างเช่นเราสวดมนต์ ปากสวดอยู่กรุงเทพฯ แต่ใจไปอยู่เชียงใหม่ เพราะฉะนั้น โอกาส ๑๐๐% ที่จะไปดีก็อาจจะไม่มี  กรรมนิมิตอีกอย่างก็ปรากฏให้เห็นเป็นรูปร่างได้ เช่นว่า ตัวเองเป็นคนทำบุญกุศล มีคนมาช่วยเยอะแยะ มีพระมาเยอะแยะ เห็นตัวเองทำบุญก็ปีติ ก็ไปเกิดในภพที่ดี นี่ไปด้วยทานกุศล หรือศีลกุศล หรืออะไรต่างๆ ที่เราทำ ไม่เกี่ยวกับการภาวนา หรือบางคนก็เห็นบาปกรรมที่ตัวเองทำ อาจจะไปสร้างเวรสร้างกรรมอะไรไว้ ก็จะกลัวผลกรรม นี่ก็จะไปเกิดในส่วนที่เป็นอกุศล ตามวิถีจิต"

                   พระปลัดชัชวาลอธิบายนิมิตอีกอย่างคือ "คตินิมิต" ผู้จะตายจะเห็นภพที่จะไป บางคนอาจเห็นทรัพย์ศฤงคารอะไรต่างๆ ที่ตัวเองทำไว้ก็จะปีติ บางคนอาจเห็นเทวดา เห็นสวรรค์ เห็นวิมาน เห็นคนเอาราชรถมารับ พวกนี้ก็ปีติเหมือนกัน แล้วก็จะไปเกิดในภพที่เขาเห็นนั่นแหละ บางคนเห็นเปรต เห็นอสูรกาย เห็นสัตว์เดรัจฉาน มาทวงเอาชีวิต หรือเห็นเขาลงโทษทัณฑ์ เห็นกระทะทองแดง คตินิมิตนี้คือ เห็นภพไหนก็จะไปเกิดภพนั้น พวกนี้จะกลัว บางคนอาจจะเห็นครรภ์มารดา เห็นห้องหับ เห็นเตียง เห็นฟูก เห็นที่หลับที่นอน เห็นม่าน พวกคนเหล่านี้จะไปเกิดเป็นมนุษย์ แต่จะต่างจากคนที่เห็นทรัพย์ศฤงคารของเขา นี่หมายถึงคนทั่วๆ ไป

           "ส่วนคนที่ทำกรรมฐาน ในวิชาการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า คือ อานาปานสติที่ถูกตรงวิธีของพระพุทธเจ้า สามารถทำโพชฌงค์ ๗ ให้บริบูรณ์ ก็ได้ชื่อว่า ทำให้สติปัฏฐานให้บริบูรณ์ได้ นั่นจึงจะพ้นทุกข์ภัยหลังความตายไปได้"

                   และนี่เอง ถ้าเราปฏิบัติผิดทางก็ไม่สามารถปิดอภายภูมิได้เช่นกัน ดังที่พระปลัดชัชวาลชี้ทางไว้ตอนที่พระพุทธเจ้ากล่าวกับสุภัททปริพาชก ขณะที่พระองค์ใกล้จะปรินิพพานว่า ดูก่อนสุภัททะ คำสั่งสอนใด ไม่สามารถทำให้มรรค ๘ องค์เกิดขึ้นได้ คำสั่งสอนนั้นไม่สามารถนำไปสู่การพ้นทุกข์ได้

           "และในอรรถกถาจารย์กล่าวไว้ว่า อานาปานสติใดไม่สามารถทำมรรค ๘ องค์ให้เกิดขึ้นได้ อานาปานสตินั้นไม่เรียกว่า วิปัสสนากรรมฐาน ไม่เรียกว่า สมถะกรรมฐาน ไม่เรียกว่า กรรมฐานอันเป็นการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า โพชฌงค์ ๗ ใดไม่สามารถทำให้มรรค ๘ เกิดขึ้นได้ โพชฌงค์นั้นไม่เรียกว่า โพชฌงค์ ๗ ไม่เรียกว่า วิปัสสนาสมถะของพระพุทธเจ้า"

                   หากเรากลัวตาย และสงสัยในชีวิตหลังความตายอย่างแท้จริง ก็จำเป็นแล้วที่จะต้องเริ่มต้นบนหนทางแห่งการภาวนา เพื่อทำให้มรรค ๘ ที่เป็นวิชาของพระพุทธเจ้าเกิดขึ้นให้ได้จริง ดังที่พระปลัดชัชวาลติงไว้ว่า ไม่ใช่ท่องมรรค ๘ มาแล้วจินตนาการกันเอา ก็ไม่สามารถทำให้ไปดีได้ ...

                   ดังนั้น คนที่ทำชั่ว แต่ปากบอกว่าทำดี ก็คงไม่มีทางที่จะไปดีได้เช่นเดียวกัน?
สาธุครับ
3#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-4-16 20:11 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ฝึกยากจิง บางทีก็กลัวบางทีก็วางได้ เฮ้อ!
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ลงชื่อเข้าใช้ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้