ตั้งให้เราเป็นเว็บแรกที่คุณเลือก เก็บเราไว้เป็นเว็บโปรด
สมัครสมาชิก ได้มากกว่าที่คุณคิด เข้าสู่ระบบ
ดู: 1747
ตอบกลับ: 2
สั่งพิมพ์ ก่อนหน้า ถัดไป

อนุตโร

[คัดลอกลิงก์]
บัดนี้ จักแสดงธรรมะเป็นเครื่องอบรมในการปฏิบัติอบรมจิต ในเบื้องต้นก็ขอให้ทุกๆ ท่านตั้งใจนอบน้อมนมัสการ พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ตั้งใจถึงพระองค์พร้อมทั้งพระธรรมและพระสงฆ์เป็นสรณะ ตั้งใจสำรวมกายวาจาใจให้เป็นศีล ทำสมาธิในการฟัง เพื่อให้ได้ปัญญาในธรรม

ได้แสดงพระพุทธคุณนำเป็นพุทธานุสสติ ระลึกถึงพระพุทธเจ้าโดยพระคุณ และในพระพุทธคุณแต่ละบท ก็ย่อมประกอบด้วยธรรมคุณ ประกอบด้วยธรรมปฏิบัติ มีสติปัฏฐานเป็นต้นรวมอยู่ด้วยทุกข้อทุกบท วันนี้จะได้แสดงพระพุทธคุณบทว่า อนุตโรปุริสทัมสารถิ คำว่า อนุตโร แปลว่าไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่าคือยอดเยี่ยม ปุริสทัมสารถิ แปลว่าเป็นสารถีฝึกบุรุษบุคคลที่ควรฝึก

ทั้งสองบทนี้โดยปรกติประกอบเป็นพระพุทธคุณบทเดียวกัน แต่ก็อาจอธิบายแยกเป็นสองบทได้ คืออนุตโร บทหนึ่ง ปุริสทัมสารถิ บทหนึ่ง และอาจอธิบายรวมกันเป็นบทเดียวได้ ว่าเป็นสารถีฝึกบุรุษบุคคลที่ควรฝึก ไม่มีผู้อื่นจะยิ่งไปกว่า คือยอดเยี่ยม จะได้แสดง
2#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-4-13 21:17 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ชื่อว่า อนุตโร ไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่า คือยอดเยี่ยม ตั้งแต่ได้ตรัสรู้พระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ ดังที่ได้ตรัสแสดงไว้ในปฐมเทศนาซึ่งมีความว่า เมื่อใดญาณคือความหยั่งรู้ ที่มีวนรอบ ๓ มีอาการ ๑๒ ในอริยสัจจ์ทั้ง ๔ บริสุทธิ์บริบูรณ์แก่พระองค์ เมื่อนั้นพระองค์จึงทรงปฏิญญาว่า พระองค์ได้ตรัสรู้พระสัมมาสัมโพธิญาณ คือความตรัสรู้โดยชอบ เป็นอนุตระ ไม่มีความตรัสรู้อื่นยิ่งไปกว่า คือยอดเยี่ยม ดั่งนี้

เพราะฉะนั้น จึงมักเรียกกันว่า อนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ ญาณคือความตรัสรู้ที่เป็นอนุตระ ยอดเยี่ยมดังกล่าว และกล่าวว่าตรัสรู้พระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ ดั่งนี้ จะต้องเป็นอนุตระคือไม่มีญาณอื่นยิ่งขึ้นไปกว่า จึงจะเป็นความตรัสรู้จบ เป็นความตรัสรู้สูงสุด ถ้ายังไม่เป็นอนุตระ ความตรัสรู้นั้นก็ยังจะต้องมียิ่งๆ ขึ้นไปอีก คือยังไม่ถึงที่สุด

ดังจะพึงเห็นได้ที่ตรัสที่แสดงไว้ถึงความตรัสรู้ของพระองค์ในราตรีที่ตรัสรู้นั้น

ในปฐมยามแห่งราตรีทรงได้ ปุพเพนิวาสานุสติญาณ ญาณคือความระลึกรู้ขันธ์เป็นที่อาศัยอยู่ในปางก่อนได้ คือระลึกชาติได้ แม้พระญาณนี้ก็ยังไม่เป็นอนุตระ เพราะยังจะต้องตรัสรู้ต่อยิ่งขึ้นไปอีก

ในมัชฌิมยามแห่งราตรี ทรงได้ จุตูปปาตญาณ คือความรู้ในจุติคือความเคลื่อน อุปบัติคือเข้าถึงชาติภพนั้นๆ ของสัตว์ทั้งหลาย ว่าเป็นไปตามกรรม แม้ความตรัสรู้นี้ก็ยังไม่เป็นอนุตระ เพราะยังจะต้องตรัสรู้ยิ่งๆ ขึ้นไปอีก

ในปัจฉิมยามแห่งราตรี ทรงได้ อาสวักขยญาณ ความรู้เป็นเหตุสิ้นอาสวะทั้งหลาย คือได้ตรัสรู้ในอริยสัจจ์ ๔ วนรอบ ๓ มีอาการ ๑๒ ดั่งที่ตรัสแสดงไว้ในปฐมเทศนา จึงเป็นอันว่าทรงได้ความตรัสรู้ที่เป็นอนุตระ ไม่มีความตรัสรู้อื่นจะยิ่งขึ้นไปกว่า เป็นยอดเยี่ยม เป็นที่สุด คือเป็นอันว่ารู้จบ เพราะฉะนั้น จึงทรงได้พระนามว่าอนุตโร ไม่มีผู้อื่นจะยิ่งขึ้นไปกว่าในความตรัสรู้

เพราะไม่มีความรู้อื่นใดทั้งสิ้น จะยิ่งไปกว่าความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า อันเป็นเหตุทำอาสวะกิเลสทั้งหลายให้สิ้นไป เป็นความรู้จบ เสร็จกิจที่จะพึงทำ เพื่อที่จะแสวงหาความรู้ที่ยิ่งขึ้นไปอีก และเพราะเหตุนี้จึงทรงได้พระนามว่าอนุตโรในความตรัสรู้ และเมื่อได้ทรงประกาศพระพุทธศาสนา ก็ได้ทรงเป็นพระศาสดาเอกในโลก เพราะเหตุที่ได้ทรงบำเพ็ญอรรถจริยา คือความประพฤติประโยชน์แก่โลกก็ดี แก่พระญาติก็ดี และโดยฐานะเป็นพระพุทธเจ้าก็ดี เป็นอย่างยอดเยี่ยม ไม่มีผู้อื่นจะยิ่งไปกว่าในด้านทรงบำเพ็ญประโยชน์

และทั้งนี้ก็ควรจะย้อนกลับมาอีกว่า พระองค์ทรงประกอบด้วยพระคุณทั้งปวง เป็นต้นว่า ศีล สมาธิ ปัญญา วิมุติคือความหลุดพ้น และวิมุติญาณทัสสนะความรู้ความเห็นในความหลุดพ้นเป็นอย่างยอดเยี่ยม คือสมบูรณ์บริบูรณ์ ไม่มีที่จะยิ่งขึ้นไปกว่าอีก ก็คือศีลก็บริบูรณ์ สมาธิปัญญาวิมุติ วิมุติญาณทัสสนะก็บริบูรณ์ทั้งหมด
3#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-4-13 21:18 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
หรือจะแสดงยกเอา โพธิปักขิยธรรม มาเป็นที่ตั้ง ก็ทรงประกอบด้วยสติปัฏฐานทั้ง ๔ อิทธิบาททั้ง ๔ สัมปชานะทั้ง ๔ อินทรีย์ ๕ พละ ๕ โพชฌงค์ ๗ และมรรคมีองค์ ๘ อย่างยอดเยี่ยม อันหมายความว่าบริสุทธิ์บริบูรณ์ทุกข้อทุกบท ไม่มีที่จะต้องทรงปฏิบัติแก้ไข หรือเพิ่มเติมให้ยิ่งๆ ขึ้นไปอีก เพราะว่าได้บริสุทธิ์บริบูรณ์อยู่ในพระองค์แล้วทั้งสิ้น เพราะฉะนั้น จึงทรงเป็นอนุตโร ในด้านที่ทรงประกอบด้วยธรรมะทั้งหลาย บริสุทธิ์บริบูรณ์ทั้งหมด

และเมื่อจะกล่าวโดยพระคุณดังที่แสดงมาเฉพาะบทๆ ก็ดี หรือว่ารวมเข้าเป็นพระปัญญาคุณ พระวิสุทธิคุณ พระมหากรุณาคุณ พระคุณทั้ง ๓ ที่สรุปเข้ามานี้ ก็มีบริสุทธิ์บริบูรณ์ในพระองค์ ปัญญาก็เป็นอนุตระ คือไม่มีปัญญาความรู้อื่นจะยิ่งขึ้นไปกว่า ความบริสุทธิ์ก็เป็นอนุตระ คือไม่มีความบริสุทธิ์อื่นจะยิ่งขึ้นไปกว่า

พระกรุณาก็เป็นอนุตระ คือไม่มีพระกรุณาอื่นจะยิ่งขึ้นไปกว่า เพราะว่าได้ทรงมีพระปัญญาคือความตรัสรู้ถึงที่สุดแล้ว ความบริสุทธิ์ก็ถึงที่สุดแล้ว พระกรุณาก็ถึงที่สุดแล้ว ไม่มีที่จะต้องขวนขวายยิ่งขึ้นไปกว่า เพราะฉะนั้นจึงทรงได้พระนามว่าอนุตโร คือเป็นผู้ที่ไม่มีผู้อื่นยิ่งไปกว่าโดยพระคุณ ไม่มีพระคุณอื่นยิ่งขึ้นไปกว่า ซึ่งจะต้องทรงปฏิบัติแก้ไขเพิ่มเติมยิ่งๆ ขึ้นไป
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ลงชื่อเข้าใช้ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้