ตั้งให้เราเป็นเว็บแรกที่คุณเลือก เก็บเราไว้เป็นเว็บโปรด
สมัครสมาชิก ได้มากกว่าที่คุณคิด เข้าสู่ระบบ
ดู: 1975
ตอบกลับ: 2
สั่งพิมพ์ ก่อนหน้า ถัดไป

โลกวิทู

[คัดลอกลิงก์]
โลกวิทู



อันดิน น้ำ ไฟ ลมนี้มันไม่ใช่ตัวตน มันเป็นสักแต่ว่าธาตุเท่านั้น ก็เป็นอนัตตาไปแล้ว เมื่อท่านทำงานอยู่ เมื่อท่าน พูดอยู่ หรือทำงานอะไรอยู่ก็ดี จิตของท่านจะพูดไปอย่างหนึ่งแต่จิตก็รู้และคิดไปอีกอย่างหนึ่ง แม้จะพูดว่า ตัวฉัน ตัวท่าน ถึงจะพูดว่าตัวเรา แต่สิ่งเหล่านั้นก็ ไม่ใช่ของเรา ถ้าจะพูดว่าของเราก็ได้ แต่ให้รู้จักสมมุติบัญญัติทั้งหลายเหล่านี้ที่เป็นภาษาคำพูดอันนี้เป็นคำสอนของพระ...ท่านรู้อย่างนั้น เรียกว่า โลกะวิทู ผู้รู้แจ้งโลกรู้แจ้งในอารมณ์ทั้งหลายที่มากระทบข้างหน้าข้างหลัง นัตถิโลเกอะนินทิโต คนไม่ถูกนินทาไม่มีในโลกเพราะ สิ่งทั้งหลายเหล่านี้มีอยู่ในโลก นินทาสรรเสริญมันอยู่ในโลก มีอยู่ที่จิตใจของเราที่ยังมีความยึดมั่นถือมั่นนี้แหละเป็นโลกไม่ใช่อื่นไกล โลกอยู่ที่ใจของเรานี้เอง โลกอยู่ที่อารมณ์อยู่ตรงนี้

พวกเราถ้าพิจารณาดูแล้ว ก็จะเห็นว่าเป็นความจริงของท่านหมดทุกอย่าง ให้พยายามดูตัวเราที่ได้ผ่านพ้นมาเรามอง ย้อนกลับคืนไปดูข้างหลัง ดูซิ...ว่าชาตินี้เราเป็นอย่างไร มองดูด้วยญาณว่าชาตินี้เราเป็นอย่างไรพูดง่ายๆ คือคนเราเกิดมาในโลกนี้ มีอายุได้เจ็ดสิบแปดสิบปีอย่างนี้ มองย้อนกลับไปดูข้างหลังว่าสมัยเป็นเด็กมันได้ผ่านอะไรมาบ้าง อันนี้ก็พอจะเทียบเคียงกันได้ การประพฤติปฏิบัติของเราก็เหมือนกันพยายามตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติทำมา ก่อนจะผ่านพ้นมาได้ถึงขนาดนี้เรามองย้อนหลังดูซิว่ามันไปถึงแค่ไหนกัน ทีนี้มามองดูพุทธบริษัทเราทั้งหลายที่เป็นพระเณรอุบากอุบาสิกาส มองดูแล้วมันไกลกันมาก พวกเรา ทุกท่านได้ตั้งหน้าตั้งตามาบวชปฏิบัติอย่างนี้มันยังละไม่ได้ทำไมมันจึงเป็นอย่างนั้น กามะสุขัลลิกานุโยโค อัตตะกิละมะถานุโยโค พวกเรารู้อยู่แต่ว่ารู้ไม่ถึงที่สุดของมันรู้ไม่ถึงก็จึงสอนยาก แต่ก็ยังไม่รู้จักตัวเอง เราเป็นผู้สอนรู้แล้วว่าเป็นคนสอนยากสอนลำบากมากที่สุด

ฉะนั้นเราเลี้ยงพระเณรมา จะสอนให้เห็นธรรมะไม่ใช่ ของง่าย โยมเลี้ยงลูกอยู่ที่บ้านไม่ใช่เป็นเรื่องยากเลยเอาข้าว เอาปลาให้มันกินก็ได้ ไม่นานเด็กมันก็โตขึ้นมาเอง พระพุทธองค์เลี้ยงลูกศิษย์ทั้งหลายไม่ใช่จะเอาข้าวเอาปลาให้กินนะ ท่านจะป้อนข้าวด้วยธรรมะ เพราะพวกเราไม่รู้จักธรรมะเลี้ยงเด็กทุกวันนี้เอาข้าวเอาปลาให้กิน เด็กมันก็กินเพราะมันคิดว่าเป็นอาหารที่เอร็ดอร่อยเช่นพวกเราที่มีศรัทธาเข้ามาบวชแล้ว ไม่ต้องการธรรมะ ไม่อยากรับธรรมะ เห็นธรรมะเป็นปฏิปักษ์เสียด้วยถ้าเป็นอย่างนั้น จำเป็นที่จะต้องพูดสอนว่ากันด้วยกฎระเบียบ มีข้อพระวินัยมาอ่านให้ฟังจะต้องมีการตั้งข้อกติกา เป็นการบังคับให้ทำอย่างนี้ ปฏิบัติเพราะการถูกบังคับบังคับอย่างพวก เซนก็ดีหมือนกัน ใช้การบังคับแต่เขาก็ยอม พวกเรานี้ทั้งบังคับทั้งไม่ยอมสำหรับพวกเซนเขายอมอาจารย์ทุกอย่าง เช่น เวลานั่ง สมาธิ ถ้านั่งตัวไม่ตรงนั่งสัปหงกไม่ได้เลย พวกอาจารย์เซนเขาจะเอากระบองตีศีรษะดัง โป๊ก!.. พอลูกศิษย์มองหน้าครูอาจารย์ ก็สาธุ..ยกมือขึ้นไหว้แล้วพูดว่า ขอบพระคุณครับ ดูซิ!..ใครจะขอบคุณได้ไหม?นั่งอยู่ที่นี่ถ้าใครนั่งสัปหงก ให้ อาจารย์เลี่ยมเอาไม้มาตีศีรษะดัง โป๊ก!..เลย แล้วพูดว่า ขอบพระคุณครับอย่างนี้จะมีสักกี่องค์ นั่งอยู่ที่นี่มีไหม?เทียบเคียงดูเสียบ้าง จะเป็นอย่างไร?

พวกเราไม่น่าจะโง่อย่างนั้นเลย ที่ได้เกิดมาเป็นคนแล้ว ตาเราก็มี หูเราก็มีจะมาบวชก็ไม่มีใครบังคับเรามา เราก็มาเอง บวชเข้ามาแล้วท่านก็สอนเราทุกอย่างให้เราปฏิบัติ ท่านพูดให้ฟังเราก็ฟังไม่ชัด ท่านพูดชัดแต่เราฟังไม่ชัด ฟังไม่ชัดก็เข้าใจไม่ชัดเรื่องเป็นอยู่อย่างนี้ ฉะนั้นปัญหาจึงตามมาหาพวกเราทั้งหลาย เป็นเรื่องที่ยุ่งยากอยู่อย่างนี้อุคฆฏิตัญญู คือประเภทที่สอนง่ายที่สุด เหมือนม้าตัวที่ใจร้อนวิ่งได้เร็วที่สุดพอมองเห็นทุกข์ เท่านั้นรู้เรื่องเลย เหมือนม้าที่มีฝีเท้าดีวิ่งได้เร็ว คอยจับบังเหียนมันหันไปเท่านั้นก็พอถ้าขึ้นขี่หลังม้าแล้วไม่ต้องลงแส้ พอมันมองเห็นเงาของแส้ที่จะเฆี่ยนตีหลังมันเท่านั้นยังไม่ถึงตัวของมันเลยมันรีบวิ่งเร็วที่สุดอย่างนี้ก็ยังมีอยู่ พระเณรเราก็มีแต่ว่าน้อยที่สุด จวนจะหมดแล้ว อุคฆฏิตัญญู เข้าใจได้เร็วเข้าใจได้ง่าย รู้แล้วก็ละได้ง่าย

ม้าตัวที่สองคือ วิปะฏิตัญญู ต้องได้ลงแส้ครั้งหนึ่ง พอรู้ตัวแล้ว อธิบายเทียบเคียงออกไปสักนิดหนึ่งก็เข้าใจได้ รู้เรื่องพอสมควร...ไปได้ ม้าตัวที่สามคือ เณยยะ เออ!..ตัวนี้ยากลำบากหน่อยแต่ก็ค่อยๆ ดึงเอาจูงเอาบอกสอนเอา ดุด่า ว่ากล่าวเอาสารพัดอย่าง แต่ก็พอไปได้มีความอดทนมีสามจำพวกเหมือนดอกบัวมีสามจำพวกแล้ว จะเพิ่มที่สี่คือ ปะทะปะระมะ จำพวกที่สี่นี้เป็นของที่เน่าแล้วจะใช้ประโยชน์ในการทำอาหาร ไม่ได้เลย เหมือนมะม่วงเน่าใช้ไม่ได้เลย แต่ยังเหลือเมล็ดของมันเนื้อมันเน่าก็เอาทิ้งเข้าป่า มันยังมีเมล็ดตกลงในดิน พอนานไปได้ถูกดินได้รับอากาศในที่นั้นก็เกิดงอกขึ้นมาเป็นต้นมะม่วงอีก อันนี้ก็เหมือนกัน พระพุทธองค์สอนให้พวกเราทิ้งมันเสียเหมือนทิ้งมะม่วงเน่า ทิ้งลงใส่กรรมที่เจ้าของเขาทำไว้ คืนให้เจ้าของเก่าเขาเสียทิ้งให้ กรรม ที่เขาได้กระทำมา ท่านก็จะเบาหมดภาระของท่าน แต่ก่อนท่านไปตามแก้ไปตามเป็นเจ้าของ แต่ ไม่ใช่เจ้าของ เจ้าของเขาคือ กรรม คือการกระทำของเขาเองพระพุทธองค์ท่านแก้ไม่ได้ท่านก็ทิ้ง เหมือนเราทิ้งมะม่วงที่มันเน่านั่นแหละทิ้งเข้าป่าแต่เมล็ดมันยังมีอยู่ มันจะเกิดขึ้นมาอีก คน จำพวกที่สี่ท่านให้เอาไว้ข้างนอกท่านไม่รับไว้ในคิว...มีก็เหมือนไม่มี ท่านไม่ นใจ แต่ท่านก็ไม่ได้รังเกียจหรือดูถูกท่านแบ่งแยกจิตของท่านอย่างนั้น ท่านก็ทิ้งไว้ให้เป็นกรรมของเขา เมื่อหมดกรรมก็จะเป็นไปเองเพราะเมล็ดของเขามี อยู่ พวกเราก็เหมือนกันอย่างนั้น

แต่พวกเราอยู่ด้วยกันที่มีศรัทธา ครูบาอาจารย์ที่สอนลูกศิษย์ ก็อยากจะให้ได้ดีเหมือนกันทั้งหมดก็พยายามบอกสอนทุกอย่าง เพื่อต้องการให้ลูกศิษย์ได้ดีเหมือนกัน ถ้าท่านผู้มีความฉลาดมีปัญญาท่านจะต้องวาง ถ้าคนไม่ฉลาดคนโง่ จะต้องไปแบกไปยึดให้ตัวเอง เป็นทุกข์ ก็เท่ากับตกนรกทั้งเป็นจะต้องไปแบกไปยึดลูกศิษย์ ลูกหาอยู่อย่างนั้น ถ้าท่านผู้ฉลาดท่านจะไม่แบกไม่ยึดแต่ท่านก็สอน ท่านก็พูดแนะนำ จะไม่ให้ท่านพูดก็ไม่ได้เพราะเป็นหน้าที่ของท่านที่จะต้องสอนอย่างนั้น พูดสอนไปเรื่อยๆ สอนบ่อยๆ ก็เหนื่อยแล้วนะ ไม่ทราบว่าจะทนไปได้แค่ไหนจะมีประโยชน์อะไร ถ้าเป็นคนว่ายาก สอนยาก ถ้าเป็นบุคคลธรรมดาเขาคง ละทิ้งไปแล้วอันนี้แหละท่านจึงว่ามันเป็นของยาก พวกเราทั้งหลายก็เหมือนกัน ได้เข้ามาบวชในพุทธศาสนายังไม่ได้ทำ ยังไม่ได้ปฏิบัติเลย แต่เขาคงคิดว่าเขาได้ทำแล้ว แต่ถ้าเรามองดูก็รู้ว่าเขายังไม่ได้บวชแต่เขาว่า เขาบวชแล้ว ว่าฉันได้บวชแล้วก็ดีใจ เขาคงคิดว่าได้โกนศีรษะครองผ้าจีวรสีเหลืองนั่นแหละเป็นพยานของเขาว่าตัวเองได้บวชเจ็ดวันก็ดีใจ คิดว่าได้บวชแล้ว พระพุทธเจ้าสอนเราให้รู้เรื่องของศาสนาแค่นั้นหรือเปล่า?ยังไม่รู้ไม่เข้าใจ

2#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-4-13 07:12 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ฉะนั้นคนเดินอยู่ฝั่งนี้มีมาก แต่เดินข้ามไปฝั่งโน้นมีน้อย ที่สุด เกือบจะไม่มีเลยจะไปดูที่ไหนเป็นพยานในเรื่องอย่างนี้ ก็ดูพวกเราที่อยู่กันเป็นกลุ่มอยู่ตั้งยี่สิบสามสิบองค์จะมีคนตั้งใจปฏิบัติจริงๆ จะมีกี่องค์นะ ไม่ให้ดูคนอื่น ดูตัวเองนั่นแหละรู้จักหน้าที่ของเราไหมที่เราจะต้องปฏิบัติ พระพุทธเจ้าท่านตรัส ว่า อัตตะโนโจทะยัตตะนัง จงเตือนตนด้วยตนเอง วันคืนล่วงไป ...ล่วงไป บัดนี้เราทำอะไรอยู่?ถ้าเป็นตัวหนังสือไปอ่านพบแล้วก็มีความรู้สึกเฉยๆ ก็คงจะไม่เห็นพระพุทธเจ้าท่านอยู่กับเราเท่านั้นแหละวันคืนล่วงไป ล่วงไป บัดนี้เราทำอะไรอยู่ อันนี้เป็นพระโอวาทที่ท่านเน้นหนักมากให้เราดูตัวเอง จึงจะรู้ว่าตัวเองเป็นอย่างไร ถ้าคนไม่รู้จักตัวเองก็จะบ่นว่าแหม!..ดิฉันทำดีไม่ได้ดีเลย เคยได้ยินบ่อยๆ ว่าเขาทำชั่วแต่ได้ดี ก็ทำให้ไม่สบายใจอันนี้ เราไม่ได้พิจารณาดูตัวเอง อัตตะโน โจทะยัตตะนัง จงเตือนตนด้วยตนเองเวลานี้เรากำลังคิดอะไรอยู่ ทำอะไรอยู่ พูดอะไรอยู่ เมื่อเวลาเราทำเราคิดเราพูดอะไรออกไปนั้นมีเจตนาอย่างไรมีความอิจฉาพยาบาทคนอื่นไหม จะต้องรู้ตัวเอง ความจริงถ้าจิตของเราเป็นกุศลการกระทำเพื่อประโยชน์ตนหรือเพื่อประโยชน์คนอื่น จะต้องรู้จักตัวเองว่า เมื่อเราพูดหรือทำหรือคิดอะไรอย่างนี้เป็น การงานของเราเกิดขึ้น ทำให้มันดีคิดให้มันดี ไม่ใช่ทำเฉยๆ ทำดีแล้วถ้าคิดไม่ดีก็เสียใจได้เหมือนกันอย่างเราตั้งใจที่จะทำดี คนอื่นว่าเราทำไม่ดีอย่างนี้ เราก็เสียใจ คือคนไม่ดูตัวเองขณะนี้เราคิดดีแล้ว ไม่อิจฉาใครไม่พยาบาทใคร ทำประโยชน์ตัวเองและประโยชน์คนอื่นทำเพื่อประโยชน์ส่วนรวม เพื่อประเทศชาติ บ้านเมืองจริงๆ แต่ถ้าคนอื่นเข้าใจผิดคิดว่าเราทำไม่ดีพูดไม่ดีก็ เสียใจ นี่คือคนไม่เตือนตนเอง ก็จะทำให้ไม่สบายใจได้เหมือนกันเพราะเราทำดีแต่คนอื่นเขาว่าเราไม่ดีอย่างนี้ นี่คือคนไม่เชื่อตัวเอง ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นเรื่องของคนอื่นเขาแต่ถ้าเราทำดีพูดดีอยู่ คนอื่นเขาว่าเราทำไม่ดีก็ไม่เป็นไร เมื่อเราทำดีแล้วเรื่องคนอื่น ว่าไม่ดีมันเป็นเรื่องของเขา เราอย่าไปทิ้งความดีของเราซิ ฉะนั้นเราจึงจะได้ของดีบางคนทำดีอยู่แต่คิดไม่ดีก็ไม่ได้ ต้องคิดให้มัน ดีด้วย ให้รู้ ภาพของมันว่ามันเป็นอย่างนั้น

ฉะนั้นจึงจะรู้จักตัวเอง การทำชั่วทำดีมันจึงเกิดกับพวกเรา ถ้ามีความเห็นผิดก็เป็นอีกอย่างหนึ่งบางคนคิดว่าทำความผิดอยู่ ที่ลับตาที่คนไม่เห็น ก็ทำได้อย่างสบายใจ ไม่คิดกลัวบาปสิ่งที่ ทำผิดไปนั้นกลัวแต่คนจะเห็น กลัวเพื่อนครูบาอาจารย์หรือพ่อแม่จะเห็นถ้าเป็นที่ไม่มีใครเห็นก็ทำได้ทุกอย่าง คิดดีใจว่าไม่มี ใครเห็น อันนี้มันโง่เกินไปถึงคนอื่นจะไม่เห็นแต่ตัวเราเองก็เห็น เพราะตัวเองเป็นคนเหมือนกัน ถ้าเราคิดอย่างนี้ก็พออยู่ได้ การปฏิบัติธรรมะท่านให้ดูตัวเอง บางคนถ้าทำสิ่งที่ผิดก็กลัวคนจะเห็นถ้าอยู่ในที่ที่คนจะเห็นไม่กล้าทำ เพราะมีความละอาย แต่ไม่มีความละอายต่อบาปถ้าพูดถึงธรรมะแล้ว ไปทำผิดอยู่ที่ไหนคนจะไม่เห็นไม่มี เพราะเราก็เป็นคน ตัวเราทำเองทำไมจะไม่รู้คนเห็นทั้งนั้นแหละ (ท่านหัวเราะ ฮึ ฮึ) คนอื่นไม่เห็น...เราทำผิด เราก็เห็นเราอยู่จะดำอยู่ในน้ำก็ยังเห็นคนอื่นไม่เห็น เราก็เห็นตัวเราอยู่

หึ!..หึ !..ปกติทำไปแล้วคิดว่าคนอื่นไม่เห็น บางคน กลัวแต่ครูบาอาจารย์อย่างสามเณรตัวเล็กๆถ้าจะทำผิดก็มอง ครูบาอาจารย์ ถ้าท่านไม่อยู่ท่านไม่เห็นก็ทำได้เลย...ทำอย่างสบายเพราะท่านไม่เห็น อาตมาว่าโอ!..พวกเรานี้มาพิจารณาดูแล้วมัน โง่เกินไปเสียแล้วนะมองข้ามตัวเองคิดว่าตัวเองไม่ใช่คน ถ้าเราเป็นคน ถึงคนอื่นไม่เห็นตัวเราก็เห็นเราอยู่ถ้าเห็นอย่างนี้แล้ว ก็เป็นผู้เห็นธรรมะ จะไปทำอยู่ที่ไหนใครจะไม่เห็นเล่าฉะนั้น การทำดีจึงได้ดีจริงๆ ทำชั่วก็ได้ชั่วจริงๆ ไม่เป็นอย่างอื่น จะต้องเห็นทุกขณะทุกฝีก้าวที่เดินไปเรื่องทำลงไปแล้วจะต้องเห็นแน่นอน จะเป็นสุขก็ดีทุกข์ก็ดี จะต้องเห็นทุกอย่างคนอื่นไม่เห็นตัวเราก็เห็นอยู่ เราพูดอย่างนั้นเราทำอย่างนั้น มีความ มุ่งหมายอย่างนั้นถ้าเป็นธรรมจริงๆ มันเรียบร้อยทั้งนั้น จะทำความชั่วไม่ได้ จะมีเครื่องคอยบังคับอยู่อย่างนี้เรื่อยไปจึงจะ พ้นจากทุกข์ ฉะนั้นพระท่านจึงว่า ฉันไม่ตกนรกแล้ว แต่คนเราส่วนมาก ไม่ใช่อย่างนั้นได้ดอกไม้เอาไปบูชาแล้วพูดว่าอย่าให้ฉันตกนรกเลยเจ้าข้า แต่ไป ร้างนรกขึ้นที่ใจตัวเองไม่หยุดสักที(ท่านหัวเราะ ฮึ ฮึ ฮึ) แต่ไปปรารถนาเอาอย่างนั้น พูดภาษาธรรมกับภาษาคนมันต่างกันบางคนพูดให้ฟังไม่ค่อยจะรู้เรื่อง อะไรเลย อย่างท่านว่าถ้าทำบาปแล้วตกนรกถ้าคนไม่บาปก็ ไม่เห็นนรก ไม่รู้เป็นเพราะอะไร คนสมัยใหม่ทุกวันนี้ยิ่งไม่รู้จักนรกไม่รู้จักบาป มาถามหา ตัวบาป นรกอยู่นั่นแหละ

อย่างเมื่อวานนี้คณะอาจารย์ทั้งหลายมาถามหาตัวบาปถามหานรก อาตมาก็พาค้นหาบาปอยู่ตรงนี้แหละสอยากทราบว่ามันเป็นอย่างไรเพราะไม่รู้จักธรรมะ เอ!..ถ้าอย่างนั้นก็คงไม่รู้จักอะไรเลยนะ ดีมันเป็นอย่างไรชั่วมันเป็นอย่างไรไม่รู้จัก จะให้เห็นเป็นตัวเหมือนแมวนี่นะ ไม่ใช่รูปธรรมอย่างนั้นแต่เป็นนามธรรม สักแต่ว่าเป็นคำพูดว่าตัว ตัวบาป ไม่ใช่บาปจะเป็นตัวเหมือนสิงโตหรอกนะ บาป นี้คือความชั่วความไม่สบายกาย ไม่สบายใจ มันไปอิจฉาคนอื่นมันก็เป็นทุกข์ตกนรกเป็นอย่างไร? ก็คงจะไม่รู้จักนรกนะ ความจริงเราตกนรกมานานแล้ว..(หัวเราะฮึ ฮึ)...แต่ยังไม่เห็นนรก โยมเคยมีทุกข์ไหม? ถ้าเคยมีนั่นแหละเคยตกนรกมาแล้ว..ยังไม่รู้จักตรงที่ไปทำแล้ว มันผิด ก็อย่าไปทำเลย ถ้าทำแล้วมีความผิดมีความเดือดร้อน ที่ตรงนั้นแหละเป็นนรก ไปทำผิดดูซิ ถ้าทำสิ่งที่ผิดเขาก็จับไปลงโทษเท่านั้นแหละ ทำลายตัวเองก็มีความทุกข์สัตว์ นรกอยู่ที่ไหน? ใครเป็นทุกข์คนนั้นเป็นสัตว์นรก ว่ายวนอยู่ในนรก แต่ก็ไม่ค่อยรู้จักกันสิ่งที่มันชั่วมันเกิดขึ้นกับจิต ของเรา ไม่รู้จักว่ามันเป็นนรก ตัวทุกข์นั่นแหละแต่ก็ไม่รู้เพราะไม่เห็นตัวมันเห็นแต่อาการของจิตสอยากเห็นมันเป็นตัวเป็นตนเหมือนแมวก็ไม่ได้นะ ไม่ใช่รูปธรรมอย่างนั้นมันเป็นนามธรรม เป็นแต่ความรู้สึก เมื่อนึกถึงก็จะมีความทุกข์ขึ้นมา ก็คงจะคิดว่าแหม!..คนนั้นมันดูถูกเราไม่น่าจะดูถูกเราเลย คิดไปคิดมาก็ น้อยใจตัวเอง น้ำตามันไหลออกมาเลยนะ ทำไมมันจึงเป็นอย่างนั้นมันเป็นรูปมาหรือเป็นนาม ให้เรามีความรู้สึกอย่างนี้ ถ้าคิดไปถึงก็ไม่ควรจะพูดดูถูกฉันเลยอย่างนี้ไม่ควรทำให้ฉันอย่างนี้นะ น้ำตามันไหลออกมา ใครบอกให้มันไหลออกมาล่ะ? มันมาจากไหน?ใครไปบีบให้มันออกมาล่ะ? ความรู้สึกอันนี้มันกระทุ้งจิต มีเจตนา ขึ้นมามันก็เป็นทุกข์

3#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-4-13 07:13 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ฉะนั้นพระพุทธองค์ท่านสอนไว้แล้ว แต่เราไม่ค่อยเข้าใจ อันนี้ให้เข้าใจกันเสียว่าทำดีก็ต้องได้ดี ทำชั่วตรงไหนก็ได้ตรง นั้นแหละ เมื่อคิดจะชั่วมันก็ได้แล้วได้เพราะคิดเอา ถ้าพูดก็ได้พูดเพิ่มเข้าไปอีกแล้ว ถ้าทำด้วยกายลงไปอีก ได้สามประการแล้วกายวาจาจิต ได้เดี๋ยวนั้นตรงนั้นเลยอย่าคิดว่ามันไม่ได้ แต่ก่อนทำอะไรมันคิดขึ้นมาพอทรงตัวได้แล้วแต่ได้เพราะความคิด ถ้าพูดไปอีกได้แล้วสองอย่างคือออกไปทางวาจา ถ้าทำทางกายด้วยก็ทั้งสามอย่าง จึงเป็นไปทีละนิดทีละน้อย ไม่รู้จักตัวเองอย่างนี้ เดี๋ยวก็ไปแบกให้มันหนักอันนี้เราควรจะรู้สึกสำนึกในทางธรรมะ ธรรมะเป็นอย่างนั้น

ธรรมะคืออะไร?อยู่ที่ไหน? ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นธรรมะทั้งนั้น ธรรมะเป็นสภาวะที่ทรงไว้ที่เราเรียนมาก็ผ่านธรรมะทั้งนั้นแหละ ที่ว่างๆ ก็มีธรรมะ คือที่มีรูปก็มีธรรมะไม่มีรูป ก็มีธรรมะ ที่ไหนไม่มีธรรมะไม่มี ฉะนั้นธรรมะจึงมีทุกอย่าง ทำชั่วก็เป็นธรรมะที่ชั่วเป็น อกุศลธรรม ถ้าทำดีก็เป็นธรรมะที่เป็น กุศลธรรม ธรรมะอะไรที่เราควรละธรรมะอะไรที่ควรปฏิบัติ แต่คนเราชอบมองผ่านไป อาตมาเคยเห็นโยมมาทำบุญกันเก่งทุกๆคน ที่บ้านอาตมาก็ทำบุญเก่ง แต่การละบาปเป็นสิ่งที่สำคัญ ไม่มีใครจะละกันการทำบุญ คือยอดของต้นไม้ ตัดออกแล้วมันก็งอกขึ้นมาอีก เพราะลำต้นมันยังอยู่การละบาป ไม่มีใครจะมองเห็น เท่าไรนะสอยากจะเด็ดยอดมันมากินเลย ยอดมันมาจากลำต้นรากเหง้าของมันนั่นแหละ แต่พวกเราไม่รู้จัก การบำเพ็ญบุญในพุทธศาสนานี้ คือการละบาปเป็นเบื้องแรกการละบาปเป็นสิ่งที่สำคัญมาก ละบาปแล้วจึงทำบุญให้สมบูรณ์ เช่นผ้าซักฟอกให้มันสะอาดแล้วจึงย้อมผ้าจึงจะมีสีสวยขึ้นอย่างผ้าเช็ดเท้าที่ กปรก ไม่ซักแล้วเอาไปย้อม สีของผ้าจะสวยไหม?ซักแฟ๊บให้สะอาดแล้วเอาไปย้อม สีมันก็สวยดีเหมือนกันฉันนั้น

หลักในทางพระพุทธศาสนาท่านสอนว่า สัพพะปาปัสสะอะกะระณัง การไม่ทำบาปทั้งปวงกุสะลัสสูปะ สัมปะทา การทำกุศลให้ถึงพร้อม สะจิตตะปะริโยทะปะนัง การชำระจิตของตนให้ขาวสะอาดเอตังพุทธานะสาสะนัง นี่เป็นคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า เป็นหัวใจของพระพุทธศาสนาการทำจิตให้เป็นกุศล อันนี้คือเป็นหัวใจของพระพุทธศาสนา ให้ทำจิตของเราให้ผ่องใส



ขาวสะอาด ปราศจากมลทินเครื่องเศร้าหมอง อันนี้เป็นหัวใจของพระพุทธศาสนา สามประการนี้สัพพะปาปัสสะอะกะระณัง นี้เรียกว่าถอนรากมันออกหมดเลย เหมือนน้ำอยู่ในตุ่มอาตมาเคยสอนว่า ตักน้ำออกไปจากตุ่มหนึ่งขัน แล้วตักเข้ามาเพิ่มอีกหนึ่งขันตักออกหนึ่งขันตักเข้ามาเพิ่มหนึ่งขัน มันจะมีเวลาแห้งไหม? ให้ละบาปแล้วจึงบำเพ็ญบุญเราต้องละคือตัดออกทีละเล็กละน้อย น้ำมันก็จะมีเวลาเหือดแห้งลงได้ อันนี้พวกเราชอบตักน้ำออกขันหนึ่งแล้วเอามาเพิ่มอีกสามขัน...(หัวเราะ หึ หึ)... มันเป็นอย่างนี้ ฉะนั้นจึงได้บ่นว่าทำไมคนจึงไม่เหมือนกันบางทีก็มีสุขๆ บางทีก็มีทุกข์ๆ เพราะเราทำอย่างนั้น ตักออก แล้วก็ตักเข้ามาอีกปะปนกันอยู่อย่างนั้น ก็ควรที่จะวินิจฉัยดูหรือ พิจารณาดูว่า ถ้าเราตักน้ำออกแล้วไม่ได้ตักเพิ่มเข้ามาอีกก็ไม่ต้องตักมากหรอกตักออกทีละนิดละหน่อย เดี๋ยวน้ำก็แห้งไปเอง ฉะนั้นการทำบุญก็มีความสำคัญอยู่แต่มันไม่ยิ่งเท่าไรหรอก แต่การละบาปสำคัญยิ่งกว่า มันจะได้หมดไปๆ ที่เราอยู่ทุกวันนี้ทำบาปก็ได้บาป ทำบุญก็ได้บุญ ก็เสมอต้นเสมอปลาย ถ้าตักออกแล้วก็ตักเข้ามาอีกมันจึงเสมอกันอยู่อย่างนี้ เป็นทุกข์อยู่อย่างนี้ตลอดไป ดังนั้นในฐานะที่เราเป็นพุทธบริษัทก็ควรตั้งต้นปฏิบัติให้ถูกต้อง ถูกธรรม ถูกทางเสียตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป.

จาก หนังสือโอวาทบางตอน และ บันทึกประมวลคำถาม-คำตอบ แนวการปฏิบัติธรรม ของพระโพธิญาณเถร (พระอาจารย์ชา สุภัทโท) โรงพิมพ์ชวนพิมพ์, พฤษภาคม ๒๕๒๐

ที่มา http://www.ubu.ac.th/wat/ebooks/chahthai/LOGAVITU.html

ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ลงชื่อเข้าใช้ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้