ตั้งให้เราเป็นเว็บแรกที่คุณเลือก
เก็บเราไว้เป็นเว็บโปรด
สมัครสมาชิก ได้มากกว่าที่คุณคิด
เข้าสู่ระบบ
บ้านหลวงปู่
คศช.
ข่าวสารล่าสุด
ประสบการณ์
โชว์วัตถุมงคล
สอบถาม
นานาสาระ
นครนาคราช
ร่วมประมูล
บูชาวัตถุมงคล
เพื่อน
กระทู้แนะนำ
บุ๊คมาร์ก
ไอเท็ม
เหรียญ
ภารกิจ
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
ดูบริการทั้งหมด
เว็บบอร์ด
BBS
บูชาวัตถุมงคลหลวงปู่ชื่น
ศรีสุทธรรมนาคราช
ร้านจอมพระ
ศูนย์พระเครื่องจอมพระ
ค้นหา
ค้นหา
HOT TAG:
พระศรีราม
ขุนแผนแสนตรีเวทย์
พระเจ้าชัยวรมัน
บอร์ดนี้
บทความ
เนื้อหา
สมาชิก
Baan Jompra
›
นานาสาระ
›
มรดกธรรม เส้นทางสู่ทางสงบในชีวิตและจิตใจ
»
ความหลุดพ้น
กลับไป
ตั้งกระทู้ใหม่
ดู: 2163
ตอบกลับ: 6
ความหลุดพ้น
[คัดลอกลิงก์]
kit007
kit007
ออฟไลน์
เครดิต
32163
ไปยังโพสต์
1
#
โพสต์ 2014-4-9 09:53
|
ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
|
โพสต์ใหม่ขึ้นก่อน
|
โหมดอ่าน
ความหลุดพ้น
เมื่อพระปัญจวัคคีย์หนีจากพระพุทธองค์แล้วท่านเห็นว่าเป็นลาภเป็นโชคของท่านจะได้มีโอกาสทำความเพียรครั้งเมื่อพระปัญจวัคคีย์อยู่ก็วุ่นวายก่อกวนหลายอารมณ์บัดนี้พระปัญจวัคคีย์ออกจากท่านพระปัญจวัคคีย์เห็นว่าพระพุทธองค์นั้นคลายออกจากความเพียรเวียนมาหาความมักมากเพราะว่าสมัยก่อนนั้นเอาจริงเอาจังเรื่องอัตตกิลมถานุโยโคเรื่องการทรมานเรื่องการขบเรื่องการฉันเรื่องการหลับการนอนเอาแท้ๆ เมื่อถึงคราวอันนี้แล้วพอมาพิจารณาแล้วมันก็ไม่เป็นไปประพฤติด้วยทิฏฐิประพฤติด้วยมานะด้วยความยึดมั่นถือมั่นคิดปรารภโลกว่าเป็นธรรมคิดปรารภตนว่าเป็นธรรมมันไม่ได้ปรารภธรรมะ
อย่างว่าเราจะทรมานปฏิบัติดีปฏิบัติชอบก่อนจะทำอย่างนั้นก็ปรารภว่าให้โลกสรรเสริญให้เขาว่านี่แหละเป็นคนเอาจริงเอาจังก็เลยทำอันนั้นเป็นโลกหมดทำเพื่อความยกย่องสรรเสริญให้เขาว่าดีให้เขาว่าเลิศให้เขาว่าประเสริฐให้เขาว่าปฏิบัติดีปฏิบัติชอบคิดอย่างนี้แล้วจึงทำเรียกว่ามันปรารภโลกอีกอย่างหนึ่งคือปรารภตนเองเชื่อมั่นในความเห็นของตนเองเชื่อมั่นในการประพฤติปฏิบัติของตนใครจะว่าผิดก็ช่างถูกก็ตามไม่เอาเป็นประมาณชอบอย่างไรก็ทำอย่างนั้นไม่ได้คลำหน้าคลำหลังนี่ปรารภตนเองอีกประเภทหนึ่ง
อย่าปล่อยอย่าวางด้วยความยึดมั่น
เรื่องปรารภโลกกับปรารภตนนี้มันมีแต่เรื่องอุปาทานแน่นหนาอยู่เท่านั้นพระพุทธองค์พิจารณาเห็นว่าเรื่องที่จะปรารภธรรมะคือให้มันถูกธรรมะแล้วจึงทำไม่มีฉะนั้นการปฏิบัติจึงเป็นหมันละกิเลสไม่ได้ท่านก็หวนมาพิจารณาใหม่คือที่ทำงานตั้งแต่ต้นท่านก็มาดูผลงานมันสิ่งที่ประพฤติปฏิบัตินั้นผลที่เกิดจากเหตุที่ท่านกระทำนั้นเป็นอย่างไรภาวนาแล้วคิดไปลึกซึ้งแล้วเห็นว่ามันไม่ถูกมีแต่เรื่องตนเท่านั้นเรื่องโลกเท่านั้นเรื่องธรรมะเรื่องอนัตตานี้ไม่มีเรื่องสูญ เรื่องว่างเรื่องปล่อยเรื่องวาง ไม่มีคือเรื่องปล่อยวางมันมีอยู่แต่ว่าปล่อยโดยความยึดมั่นถือมั่น
ท่านก็คิดไปคิดมาพิจารณาดูแล้วถึงจะสอนลูกศิษย์เขาก็เห็นไม่ได้ไม่ใช่สิ่งที่จะบอกให้ลูกศิษย์เข้าใจกันได้ง่ายเพราะว่าลูกศิษย์นั้นเขาแน่นเหลือเกินในการกระทำอย่างนั้นในการสอนอย่างนั้นในความเห็นอย่างนั้นพระพุทธเจ้าของเราท่านก็เห็นว่าทำอย่างนั้นก็ทำตายเปล่าอดตายเปล่าทำตามโลก ทำตามตนท่านก็พิจารณาใหม่หาสิ่งที่มันพอดีเป็นสัมมาปฏิปทาส่วนจิตก็เป็นจิตส่วนกายก็เป็นกายเรื่องกายนี้มันไม่ใช่กิเลสตัณหากับใครหรอกถ้าจะไปฆ่าอันนั้นเฉยๆมันก็ไม่หมดกิเลสมันไม่ใช่ที่ของมันแม้จะอดขบอดฉันอดหลับอดนอนให้มันเหี่ยวมันแห้งว่าจะให้มันหมดกิเลสนั้นมันก็หมดไม่ได้แต่ความเข้าใจที่ว่ามันได้สั่งสอนในการทรมานนี้พระปัญจวัคคีย์ติดมาก
ทำอะไรให้เป็นเรื่องธรรมดาๆ
ต่อนั้นพระพุทธเจ้าก็กลับมาฉันจังหันให้มากขึ้นให้มันธรรมดาอะไรก็ให้มันธรรมดาๆมากขึ้นพอพระปัญจวัคคีย์เห็นการประพฤติปฏิบัติของพระพุทธองค์เคลื่อนจากของเก่ามันเปลี่ยนจากการปฏิบัตินั้นมาก็เลยพากันเข้าใจว่าพระพุทธองค์นั้นคลายความเพียรเวียนมาหาความมักมากความเห็นผู้หนึ่งมันจะเลื่อนขึ้นไปข้างบนคือพ้นสมมติอีกผู้หนึ่งเห็นว่ามันจะเลื่อนลงไปข้างล่างคือคลายความเพียรเวียนมาหาความมักมากการทนมานตนเองมันแน่นอยู่ในหัวใจของพระปัญจวัคคีย์ทั้งหลายเพราะพระพุทธองค์ก็เคยสอนอย่างนั้นปฏิบัติมาอย่างนั้นสอนมาอย่างนั้นจนกว่าท่านได้เห็นโทษมันเห็นโทษมันชัดเจนท่านจึงละมันได้เมื่อละมันได้แล้วท่านก็เห็นประโยชน์ในการละนั้นท่านจึงกระทำอย่างนั้นโดยมิได้ลงขอผู้อื่นเลยพอพระปัญจวัคคีย์เห็นพระพุทธเจ้าทำอย่างนั้นก็พากันหนีจากท่านเห็นว่ามันไม่ถูกไม่ทำตาม ก็เหมือนนกที่หนีจากต้นไม้เห็นว่าต้นไม้ไม่มีกิ่งหรือก้านกว้างขวางไม่มีร่มมีเย็นหรือปลาจะหนีจากน้ำก็เห็นว่าน้ำมันน้อยไม่เย็น มันเบื่อว่าอย่างนั้นความเห็นเป็นอย่างนั้นก็เลยเลิกกันจากพระพุทธเจ้า
บุ๊คมาร์ก
0
ตอบกลับ
ใช้ไอเท็ม
รายงาน
kit007
kit007
ออฟไลน์
เครดิต
32163
2
#
เจ้าของ
|
โพสต์ 2014-4-9 09:54
|
ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
กายก็ให้เป็นกายจิตก็ให้เป็นจิต
ทีนี้พระองค์ก็ได้พิจารณาธรรมท่านก็เลยฉันให้สบายอยู่ให้สบายจิตก็ให้มันเป็นจิตกายก็ให้มันเป็นกายจิตมันก็เป็นเรื่องของจิตกายมันก็เป็นเรื่องของกายท่านก็ไม่ได้บีบมันเท่าไรไม่ได้บังคับมันเท่าไรพอแต่จะทำราคะโทสะ โมหะ ให้บรรเทาลงแต่ก่อนท่านก็เดินอยู่สองทางกามสุขัลลิกานุโยโคมีความสุขมีความรักเกิดขึ้นมาแล้วก็สนใจเกาะด้วยอุปาทานเป็นตัวเป็นตนขึ้นมาไม่ได้ปล่อยไม่ได้วางกระทบความสุขก็ติดในความสุขกระทบความทุกข์ก็ติดในความทุกข์เป็นกามสุขัลลิกานุโยโคกับอัตตกิลมถานุโยโคพระองค์ติดอยู่ในสงสารท่านมองพิจารณาเห็นชัดเจนเข้าไปว่าอันนี้ไม่ใช่หน้าที่ของสมณะที่จะเดินไปในทางนั้นสุขแล้วก็ยึดสุขทุกข์แล้วก็ยึดทุกข์คุณสมบัติของผู้เป็นสมณะไม่ใช่อย่างนั้นไม่ใช่เรื่องยึดเรื่องมั่นเรื่องหมายในสิ่งทั้งหลายเหล่านั้นครั้นติดอยู่ในนั้นมันก็เป็นตัวเป็นตนมันก็เป็นโลกถ้าปฏิบัติบากบั่นในสิ่งทั้งหลายเหล่านั้นก็ยังไม่เป็นโลกวิทูไม่รู้แจ้งโลกวิ่งทางซ้ายวิ่งทางขวาอยู่ตลอดเวลาบัดนี้ท่านเพ่งถึงส่วนจิตจริงๆตามรักษาจิตของตนล้วนๆสอนจิตของตนล้วนๆ
เราหวงแหนกายของเราเพราะอะไร?
เรื่องธรรมชาติทุกอย่างมันเป็นไปตามเรื่องของมันไม่ได้เป็นอะไรเหมือนกันกับโรคในร่างกายเรานี้เป็นเจ็บ เป็นไข้เป็นหวัดเป็นไอเป็นโรคนั้นโรคนี้ก็เป็นในร่างกายของเราความเป็นจริงคนเราก็หวงแหนกายของเราจนเกินขอบเขตเหมือนกันก่อนที่มันจะหวงแหนก็เนื่องจากความเห็นผิดมันจึงปล่อยไม่ได้อย่างศาลาเราอยู่เดี๋ยวนี้เราสร้างมันขึ้นเป็นศาลาของเราจิ้งเหลนมันก็มาอยู่จิ้กจกมันก็มาอยู่หนูมันก็มาอยู่เราก็เบียดเบียนแต่มันเพราะเราเห็นว่าศาลาของเราไม่ใช่ของจิ้งเหลนจิ้งจกเลยเบียดเบียนมันเหมือนกันกับโรคในร่างกายเราที่เป็นอยู่ร่างกายเราถือว่าเป็นบ้านเป็นของของเราถ้าจะมาเจ็บหัวปวดท้องนิดหนึ่งก็ทุรนทุรายไม่อยากให้มันเจ็บไม่อยากให้มันเป็นทุกข์ขาก็ขาของเราไม่อยากให้มันเจ็บแขนก็แขนของเราไม่อยากให้มันเจ็บหัวนี่ก็หัวของเราไม่อยากให้มันเจ็บไม่อยากให้มันเป็นอะไรเลยที่นี่ รักษามันให้ได้หลงไป หลงจากความจริงมาเราก็จรเข้ามาอยู่กับสังขารนี้ก็เหมือนกันศาลานี้ไม่ใช่ศาลาของเราตามความจริงนะเราก็เป็นเจ้าของชั่วคราวหนูมันก็เป็นเจ้าของชั่วคราวจิ้งเหลนมันก็เป็นเจ้าของชั่วคราวจิ้งจกมันก็เป็นเจ้าของชั่วคราวเท่านั้นแต่มันไม่รู้จักกัน
เมื่อยึดมั่นในสังขารก็เป็นทุกข์
ร่างกายนี้ก็เหมือนกันความเป็นจริงพระพุทธเจ้าท่านสอนว่าไม่มีตัวไม่มีตนอยู่นี้เราก็มายึดสังขารก้อนนี้ว่าเป็นตัวเป็นตนเป็นเราเป็นเขาแน่นอนเข้าไปทีนี้สังขารจะเปลี่ยนแปลงก็ไม่อยากให้เปลี่ยนบอกเท่าไรก็ไม่เข้าใจพูดเท่าไรก็ไม่เข้าใจบอกจริงๆก็ยิ่งหลงจริงๆอันนี้ไม่ใช่ตัวว่าอย่างนั้นก็ยิ่งหลงใหญ่ยิ่งไม่รู้เรื่องเรามาภาวนาให้มันเป็นตัวเป็นตนฉะนั้นคนโดยมากไม่เห็นตัวตนผู้ที่เห็นตัวตนจริงๆก็คือผู้ที่เห็นว่ามิใช่ตัวมิใช่ตนคือเห็นตนตามธรรมชาติผู้ที่เห็นตัวด้วยอุปาทานนี้ว่านี่เป็นตัวเป็นตนผู้นั้นไม่เห็นมันก้าวก่ายอยู่อย่างนี้นะจะทำอย่างไรมันไม่เห็นง่ายๆก้อนนี้อุปาทานมันยึดไว้
ใช้ปัญญาในการดับทุกข์
ฉะนั้นท่านจึงบอกว่าให้พิจารณารู้เท่าด้วยปัญญาให้เห็นด้วยปัญญาคือพิจารณาสังขารว่ามันจริงอย่างไรก็ให้เห็นตามเป็นจริงอย่างนั้นอาศัยปัญญารู้ตามเป็นจริงของสังขารเรียกว่าตัวปัญญาถ้ารู้ไม่ตามเป็นจริงของสังขารนั้นก็ไปแย้งกันไปขัดกัน สังขารนี้มันสมควรที่จะปล่อยไปแล้วก็ยังจะไปกางไปกั้นมันไว้ไปร้องขอให้เป็นอยู่อย่างนั้นหาสิ่งของสารพัดอย่างมาแก้มันมาไถ่ถอนเอาสารพัดถ้ามันเจ็บมันไข้แล้วไม่อยากไปจึงค้นหาสูตรอะไรต่างๆพากันมาสวดสูตร โพชฌังโคธัมมจักร อนัตตลักขณสูตรไม่อยากให้มันเป็นอย่างนั้นพากันกั้นพากันห้ามก็เลยเป็นพิธีรีตองไปยึดมั่นถือมั่นยิ่งไปกันใหญ่โดยบทสวดต่างๆคือสวดให้มันหายโรคเอามาสวดต่ออายุกันเอามาสวดให้มันยืนยาวสารพัดอย่าง
จุดหมายของการสวดมนต์-ท่องมนต์
ความเป็นจริงท่านให้สวดเพื่อเห็นชัดแต่เรามาสวดให้หลงรูปังอนิจจัง เวทนาอนิจจา สัญญาอนิจจา สังขาราอนิจจา วิญญาณังอนิจจัง...บทที่สวดนั้นไม่ใช่สวดให้เราหลงนะสวดให้เรารู้เรื่องตามความเป็นจริงของมันอย่างนั้นจะได้ปล่อยจะได้วางจะได้ไม่เสียใจจะได้ทอดอาลัยอันนั้นมันจะสั้นแต่เรามาสวดให้มันยาวออกถ้ามันยาวอยากจะให้มันสั้นบังคับธรรมชาติให้มันเป็นไปหลงกันหมด ที่มาทำกันในศาลานั้นก็มาหลงกันหมดทุกคนคนที่สวดก็หลงคนที่นอนฟังอยู่ก็หลงใครที่ไหนก็หลงทั้งนั้นทำอย่างไรจึงจะไม่เป็นทุกข์คิดอย่างนั้นจะปฏิบัติที่ไหนกันจึงปฏิบัติให้มันหลงไปแก้ความจริงในเรื่องนั้นถ้ามันเกิดขึ้นมาแล้วท่านผู้รู้ทั้งหลายเห็นว่ามันไม่มีอะไรเกิดมาแล้วต้องมีโรคอย่างนี้แต่ว่าพระพุทธเจ้าก็ดีอริยสาวกของท่านก็ดีมีเจ็บมีไข้เป็นธรรมดาท่านก็รักษาฉันยาเป็นธรรมดาเท่านั้นแหละมันเป็นเรื่องแก้ธาตุแต่ความเป็นจริงท่านไม่ได้ถือมั่นถือลางถือขลังยึดมั่นจนเกินไปหรอกท่านก็รักษามันด้วยความเห็นชอบไม่ใช่รักษาด้วยความหลงมันหายก็หายไม่หายก็ไม่หายเป็นอย่างนั้น
ตอบกลับ
สนับสนุน
คัดค้าน
ใช้ไอเท็ม
รายงาน
kit007
kit007
ออฟไลน์
เครดิต
32163
3
#
เจ้าของ
|
โพสต์ 2014-4-9 09:55
|
ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
สวดมนต์เพื่อให้ใจพบแสงสว่าง
อันนี้แหละเขาว่าศาสนาในประเทศไทยเรามันเจริญแต่ผมว่ามันเสื่อมจนถึงที่สุดมันแล้วในศาลามีแต่หูฟังทั้งนั้นหมดศาลาเลยเอียงหูฟังมันเอียงซ้ายเลยนะตลอดผู้ใหญ่ผู้โตก็ทำอย่างนั้นอยู่ว่ามันเป็นอย่างนั้นมันเลยหลงตามกันหมดทุกอย่างเลยฉะนั้นถ้าเราไปเห็นอย่างนั้นแล้วก็เลยพูดอะไรไม่ออกมันคนละเรื่องกันแล้วจะให้มันพ้นทุกข์กันที่ไหนท่านให้สวดเพื่อให้มันแจ้งเรามาสวดให้มันมืดมันหันหลังใส่กันเลยผู้หนึ่งเดินไปทางตะวันตกอีกผู้หนึ่งเดินไปทางตะวันออกจะพบกันได้อย่างไรมันไม่ใกล้เลยเรื่องเหล่านี้ถ้าหากว่าเราได้ภาวนาแล้วตามความเป็นจริงมันเป็นอย่างนั้นก็กำลังหลงกันไม่รู้จะว่ากันได้อย่างไรอะไรก็เป็นพิธีรีตองไปหมดทุกอย่างสวดอยู่ แต่ว่าสวดด้วยความโง่ไม่ใช่สวดด้วยปัญญาเรียนแต่เรียนด้วยความโง่ไม่ได้เรียนด้วยปัญญารู้ก็รู้ด้วยความโง่ไม่ได้รู้ด้วยปัญญามันเลยไปก็ไปด้วยความโง่อยู่ก็อยู่ด้วยความโง่มันก็เป็นอย่างนั้นที่สอนกันทุกวันนี้ก็เรียกว่าสอนให้คนโง่ทั้งนั้นแหละแต่เขาว่าสอนให้คนฉลาดสอนให้คนรู้แต่หลักความเป็นจริงฟังๆดูแล้วก็สอนให้คนหลงงมงาย
อย่ายึดมั่นว่าเป็นของเรา
ความเป็นจริงหลักธรรมะท่านสอนให้พวกเราทั้งหลายปฏิบัติเพื่อเห็นอนัตตาคือเห็นตัวตนนี้ว่ามันเป็นของว่างไม่ใช่เป็นของมีตัวตนเป็นของว่างจากตัวตนแต่เราก็มาเรียนกันให้มันเป็นตัวเป็นตนก็เลยไม่อยากจะให้มันทุกข์ไม่อยากจะให้มันลำบากอยากจะให้มันสะดวกอยากจะให้มันพ้นทุกข์ถ้ามีตัวมีตนมันจะพ้นทุกข์เมื่อไรดูซิอย่างเรามีของชิ้นหนึ่งที่มีราคามากเมื่อเราได้รับมาเป็นของเราแล้วเปลี่ยนเสียจิตใจเปลี่ยนแล้วต้องหาที่วางมันจะเอาไว้ตรงไหนดีหนอเอาไว้ตรงนั้นขโมยมันจะย่องเอาไปละมั้งคิดจนเลิกคิดแล้วหาที่ซ่อนของนะแล้วจิตมันเปลี่ยนเมื่อไรมันเปลี่ยนเมื่อเราได้วัตถุอันนี้เองทุกข์แล้วเอาไว้ตรงนี้ก็ไม่ค่อยสบายใจเอาไว้ตรงนั้นก็ไม่ค่อยสบายใจเลยวุ่นกันจนหมดแหละนั่งก็ทุกข์เดินก็ทุกข์นอนก็ทุกข์นี่ทุกข์เกิดขึ้นมาแล้วมันเกิดเมื่อไรมันเกิดในเมื่อเราเข้าใจว่าของของเรามันมีมาแล้วได้มาแล้ว ทุกข์อยู่เดี๋ยวนี้แต่ก่อนไม่มีมันก็ไม่เป็นทุกข์ทุกข์ยังไม่เกิดไม่มีอะไรเกิดขึ้นที่จะจับมัน
พลิกสมมุติให้เป็นวิมุตติ
อัตตานี้ก็เหมือนกันถ้าเราเข้าใจว่าตัวของเราตนของเรา สภาพสิ่งแวดล้อมนั้นมันก็เป็นของตนไปด้วยของเราไปด้วยมันก็เลยวุ่นขึ้นไปเพราะอะไร ต้นเหตุคือมันมีตัวมีตนไม่ได้เพิกสมมุติอันนี้ออกให้เห็นวิมุตติตัวตนนี้มันเป็นของสมมุติให้เพิกให้รื้อสมมุติอันนี้ออกให้เห็นแก่นของมันคือวิมุตติพลิกสมมุติอันนี้กลับให้เป็นวิมุตติ
อันนี้ถ้าเปรียบกับข้าวก็เรียกว่าข้าวยังไม่ได้ซ้อมข้าวนั้นกินได้ไหมกินได้ แต่เราไปปฏิบัติมันซิคือให้เอาไปซ้อมมันให้ถอดเปลือกออกไปเสียมันก็จะเจอข้าวสารอยู่ตรงนั้นแหละทีนี้ถ้าเราไม่ได้สีมันออกจากเปลือกของมันก็ไม่เป็นข้าวสารความเห็นเช่นนี้ก็เหมือนกันกับสุนัขสุนัขมันนอนอยู่บนกองข้าวเปลือกนั่นแหละท้องร้องจ๊อก...จ๊อก..จ๊อก...มันก็มัวแต่นอนอยู่นั่นแหละจิตมันหวั่นวิตก"จะไปหากินที่ไหนหนอ"แน่ะ ท้องมันหิวมันก็โจนออกจากกองข้าวเปลือกวิ่งไปหากินอาหารเศษๆทั้งหลายเหล่านั้นทั้งๆที่มันนอนทับอยู่อาหารมันอยู่ตรงนั้นแต่มันไม่รู้จักเพราะอะไร มันไม่เห็นข้าวสุนัขมันกินข้าวเปลือกไม่ได้อาหารมันมีอยู่แต่มันกินไม่ได้ความรู้เรามีอยู่ถ้าเราไม่เอาไปปฏิบัติเราก็ไม่รู้เรื่องเหมือนกันโง่ขนาดสุนัขมันนอนอยู่บนกองข้าวเปลือกนอนทับอาหารอยู่ได้แต่ว่าไม่รู้จักกินอาหารที่มันนอนทับอยู่เมื่อหิวอาหารก็ต้องโจนจากข้าววิ่งไปหากินที่อื่นอันนี้มันก็น่าสงสารอยู่เหมือนกัน
อย่าทำตัวเหมือนสุนัขนอนอยู่บนกองข้าวเปลือก
เหมือนกันฉันนั้นข้าวสารมีอยู่อะไรมันปิดเปลือกข้าวมันปิดสุนัขกินไม่ได้วิมุตติก็มีอยู่อะไรมันปิดไว้สมมุติมันปิดไม่ให้เห็นวิมุตติให้พุทธบริษัททั้งหลายนั่งทับไม่รู้จัก..'ข้าว'ไม่รู้จักการประพฤติปฏิบัตินั่นจึงไม่เห็นวิมุตติมันก็จึงติดสมมุติอยู่ตลอดกาลตลอดเวลาเมื่อมันติดอยู่ในสมมุติมันก็เกิดทุกข์ขึ้นมาเกิดภพขึ้นมาเกิดชาติขึ้นมาชรา พยาธิ มรณะถึงวันตายตามเข้ามาฉะนั้นมันไม่มีอะไรบังอยู่หรอกมันบังอยู่ตรงนี้เราเรียนธรรมะไม่รู้จักธรรมะก็เหมือนกับสุนัขนอนอยู่บนข้าวเปลือกไม่รู้จักข้าวหิวจวนจะตายมันก็ตายทิ้งเฉยๆนั่นแหละไม่มีอะไรกินข้าวเปลือกมันกินไม่ได้มันไม่รู้จักหาอาหารของมันเลยนานๆไปไม่มีอะไรกินมันก็ตายไปบนกองข้าวเปลือกนั่นแหละบนอาหารนั่นแหละ
อย่าคิดว่ารู้มากแล้วจะเห็นพระพุทธเจ้า
มนุษย์เรานี้ก็เหมือนกันธรรมที่เราเรียนมาธรรมะที่พระพุทธองค์ตรัสไว้ถึงจะศึกษาธรรมะเท่าไรก็ตามทีเถิดถ้าไม่ประพฤติปฏิบัติแล้วก็ไม่เห็นไม่เห็นแล้วก็ไม่รู้ไม่รู้ก็ไม่รู้จักข้อปฏิบัติอย่าพึงว่าเราเรียนมากเรารู้มากแล้วเราจะเห็นธรรมะของพระพุทธเจ้าก็เหมือนเรามีตาอย่างนี้ก็นึกว่าเราเห็นทุกอย่างเพราะว่าเรามองไปแล้วหรือจะนึกว่าเราได้ยินแล้วทุกอย่างเพราะเรามีหูอยู่แล้วมันเห็นไม่ถึงที่สุดของมันมันก็เป็นตานอกไปท่านไม่จัดว่าเป็นตาในหูก็เรียกว่าหูนอกไม่ได้เรียกว่าหูในมิฉะนั้นถ้าท่านพลิกสมมุติเข้าไปเห็นวิมุตติแล้วก็เป็นของจริงเห็นชัด ถอนทันทีมันจึงถอนสมมุติออกถอนความยึดมั่นถือมั่นออกถอนทุกสิ่งทุกอย่าง
ตอบกลับ
สนับสนุน
คัดค้าน
ใช้ไอเท็ม
รายงาน
kit007
kit007
ออฟไลน์
เครดิต
32163
4
#
เจ้าของ
|
โพสต์ 2014-4-9 09:56
|
ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ผลไม้ (ธรรมะ)มีอยู่แล้วตามธรรมชาติ
เหมือนกับผลไม้หวานๆใบหนึ่งผลไม้นั้นมันหวานอยู่ก็จริงแต่ว่ามันต้องอาศัยการกระทบประสบจึงรู้ว่ามันหวานหรือมันเปรี้ยวจริงผลไม้นั้นถ้าไม่มีอะไรกระทบมันก็หวานอยู่ตามธรรมชาติหวานแต่ไม่มีใครรู้จักเหมือนธรรมะของพระพุทธเจ้าของเราเป็นสัจจธรรมจริงอยู่ก็ตามแต่สำหรับคนที่ไม่รู้จริงนั้นก็เป็นของไม่จริงถึงมันจะดีเลิศประเสริฐสักเท่าไรก็ตามทีเถอะมันไม่มีราคาเฉพาะกับคนที่ไม่รู้เรื่อง
ฉะนั้นจะไปเอาทุกข์ทำไมใครในโลกนี้อยากเอาทุกข์ใส่ตัวมีไหมไม่มีใครทั้งนั้นแหละไม่อยากได้ทุกข์แต่ว่าสร้างเหตุให้ทุกข์เกิดขึ้นมามันก็เท่ากับเราไปแสวงหาความทุกข์นั่นเองแต่ใจจริงของเราแสวงหาความสุขไม่อยากได้ทุกข์นี่มันก็เป็นของมันอยู่อย่างนี้ทำไมจิตใจของเรามันสร้างเหตุให้ทุกข์เกิดขึ้นมาได้เรารู้เท่านี้ก็พอแล้วใจเราไม่ชอบทุกข์แต่เราสร้างความทุกข์ขึ้นมาเป็นตัวของเราทำไมมันก็เห็นง่ายๆก็คือคนที่ไม่รู้จักทุกข์นั่นเองไม่รู้จักทุกข์ไม่รู้จักเหตุเกิดของทุกข์ไม่รู้ความดับทุกข์ไม่รู้ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์จึงประพฤติอย่างนั้นจึงเห็นอย่างนั้นจะไม่มีความทุกข์ได้อย่างไรก็เพราะคนไปทำอย่างนั้น
เมื่อคิดผิดก็เกิดทุกข์
ถ้ามันเป็นเช่นนั้นมันก็เป็นมิจฉาทิฏฐิทั้งดุ้นนั้นแหละแต่ว่าเราไม่เข้าใจว่าเป็นมิจฉาทิฏฐิอะไรที่เราได้พูดเราได้เห็นเราได้ทำแล้วเป็นทุกข์อันนั้นเป็นมิจฉาทิฏฐิทั้งนั้นถ้าไม่เป็นมิจฉาทิฏฐิมันไม่ทุกข์อย่างนั้นหรอกมันไม่ยึดในความทุกข์อันนั้นมันไม่ยึดในความสุขนั้นๆไม่ได้ยึดตามอาการทั้งหลายเหล่านั้นมันจะปล่อยวางตามเรื่องของมันเช่น กระแสน้ำที่มันไหลมาไม่ต้องกางกั้นมันให้มันไหลไปตามสะดวกของมันนั้นแหละเพราะมันไหลอย่างนั้นกระแสธรรมก็เป็นอย่างนั้นกระแสจิตของเราที่ไม่รู้จักมันก็ไปกางกั้นธรรมะด้วยที่ว่าเป็นมิจฉาทิฏฐิแล้วไปตะโกนโน้น มิจฉาทิฏฐิอยู่ที่โน้นคนโน้นเป็นมิจฉาทิฏฐิแต่ตัวเราเองเป็นมิจฉาทิฏฐิคือทุกข์เกิดขึ้นมาเพราะเราเป็นมิจฉาทิฏฐิอันนั้นเราไม่รู้เรื่องอันนี้ก็น่าสังเกตน่าพิจารณาเหมือนกันนะถ้าเป็นมิจฉาทิฏฐิเมื่อไรก็เป็นทุกข์เมื่อนั้นไม่ทุกข์ในเวลาปัจจุบันนั้นต่อไปมันก็ให้ผลมาเป็นทุกข์
อันนี้พูดเฉพาะคนเรามันหลงเท่านั้นอะไรมันปิดไว้อะไรมันบังไว้สมมุติมันบังวิมุตติให้คนมองเห็นไม่ชัดในธรรมทั้งหลายต่างคนก็ต่างศึกษาต่างคนก็ต่างเล่าเรียนต่างคนก็ต่างทำแต่ทำด้วยความไม่รู้จักก็เหมือนกันกับคนหลงตะวันนั้นแหละเดินไปทางตะวันตกเข้าใจว่าเดินไปทางตะวันออกหรือเดินไปทิศเหนือเข้าใจว่าเดินไปทิศใต้มันหลงขนาดนี้เราปฏิบัตินี้มันก็เลยเป็นขี้ของการปฏิบัติโดยตรงแล้วมันก็เป็นวิบัติวิบัตินี้คือมันพลิกไปคนละทางหมดจากความมุ่งหมายของธรรมะที่ถูกต้องสภาพอันนี้เป็นเหตุให้เกิดทุกข์เราก็เข้าใจว่าอันนี้ถ้าทำขึ้นถ้าบ่นขึ้น ถ้าท่องขึ้นถ้ารู้เรื่องอันนี้มันจะเป็นเหตุให้ทุกข์ดับก็เหมือนกันกับคนที่อยากได้มากๆนั่นแหละอะไรๆก็หามามากๆถ้าเราได้มากแล้วมันก็ดับทุกข์จะไม่มีทุกข์ความเข้าใจของคนมันเป็นอย่างนี้แต่ว่ามันคิดไปคนละทางเหมือนกันกับคนนี้ไปทิศเหนือคนนั้นไปทิศใต้นึกว่าไปทางเดียวกัน
สังขารทั้งหลายเปลี่ยนแปลงไปเสมอ
ฉะนั้นพุทธบริษัททั้งหลายมนุษย์เราทั้งหลายจึงจมอยู่ในกองทุกข์อยู่ในวัฏฏสงสารก็เพราะคิดอย่างนี้ถ้ามีโรคภัยไข้เจ็บขึ้นมาก็นึกแต่จะให้มันหายเท่านั้นอยากจะให้มันหายเดี๋ยวนี้จะให้มันหายเท่านั้นแหละไม่นึกว่าอันนี้มันเป็นสังขารอันนี้ไม่มีใครรู้จักสังขารมันเปลี่ยนทนไม่ได้ ฟังไม่ได้จะต้องให้หายให้หมดแต่ผลสุดท้ายมันก็สู้ไม่ได้สู้ความจริงไม่ได้พังหมด อันนี้คือเราไม่ได้คิดคือมันเห็นผิดหนักเข้าไปเรื่อยๆ
การประพฤติปฏิบัติทุกอย่างเพื่อเห็นธรรมะมันเลิศกว่าสิ่งทั้งหลายทั้งปวงพระพุทธองค์สร้างบารมีตั้งแต่ทานบารมีไปถึงปรมัตถบารมีเพื่ออะไรก็เพื่อให้รู้จักอันนี้เพื่อให้เห็นธรรมะให้ปฏิบัติธรรมะแล้วให้รู้ธรรมะให้ใจเป็นธรรมะให้ปล่อยวางเพื่อจะไม่ให้หนักอย่าไปยึดมั่นถือมั่นมันหรือจะพูดง่ายๆอีกอย่างหนึ่งว่าให้ยึดแต่อย่าให้มั่นนี่ก็ถูกเหมือนกันคือเราเห็นอะไรก็จับมันขึ้นมาดูเสีย"เออ...อันนี้ก็อันนั้น"แล้วก็วางมันไปเห็นอันนั้นอีกก็ยึดมาอีกแต่อย่ายึดให้มันมั่นเอามาพิจารณารู้เรื่องแล้วก็ปล่อยวางเท่านั้นแหละถ้ายึดไม่วางแบกไม่หยุดมันก็หนักตลอดเวลาสิถ้าเรายึดมาแบกรู้สึกว่ามันหนักก็ปลงมันไปทิ้งมันเสียอย่าให้ทุกข์เกิดขึ้นมาถ้าเป็นเช่นนี้เราก็รู้จักว่าอันนี้เป็นเหตุให้ทุกข์เกิดเมื่อรู้จักเหตุให้ทุกข์เกิดแล้วทุกข์มันเกิดไม่ได้ทุกข์จะเกิดสุขจะเกิด มันอาศัยอัตตาตัวตนอาศัยเรา อาศัยของของเราอาศัยสมมติอันนี้ถ้าสิ่งทั้งหลายเหล่านี้เกิดขึ้นมาแล้ววิ่งไปถึงวิมุตติมันก็เลิกถอนมันถอนสมมุติออกถอนความสุขออกจากที่นั่นถอนความทุกข์ออกจากที่นั่นถอนความยึดมั่นถือมั่นออกจากที่มันยึดนั้นเท่านั้นแหละ
เมื่อของของเราหายไปทำไมเราต้องเป็นทุกข์
ก็คล้ายกับว่าของของเราชิ้นหนึ่งมันหลุดมือหายไปเราก็เป็นห่วงก็เป็นทุกข์กับมันอีกเวลาหนึ่งเราก็พบของนั้นขึ้นมาความทุกข์ก็หายแว้บไปทีเดียวแม้ยังไม่เห็นวัตถุอันนั้นความทุกข์มันก็หายอย่างเราเอาของมาวางไว้ตรงนี้แล้วหลงเสียนึกว่าของเรามันหายไปก็เป็นทุกข์เมื่อทุกข์เกิดขึ้นแล้วจิตก็พะวงถึงสิ่งทั้งหลายเหล่านั้นอีกวันหนึ่งอีกเวลาหนึ่งจิตใจก็วิตกไปถึงของของเราว่า"อ้อ..เอาไว้ตรงนั้นแน่นอนเลย"พอนึกอย่างนั้นรู้ตามความจริงแล้วตายังไม่เห็นของเลยสบายใจเลยทีนี้อันนี้เรียกว่าเห็นทางในเห็นกับตาใจไม่ใช่เห็นกับตานอกเห็นด้วยตาใจถึงตานอกยังไม่เห็นมันก็สบายแล้วมันก็ถอนทุกข์ออกทันทีอย่างนี้ก็เหมือนกันผู้ที่บำเพ็ญธรรมะบรรลุธรรมะเห็นธรรมะ ประสบอารมณ์เมื่อไรปุ๊บนั่นก็คือปัญญาเกิดขึ้นก็แก้ปัญหาได้ทันท่วงทีเท่านั้นแหละหายไปเลย วางปล่อย
ตอบกลับ
สนับสนุน
คัดค้าน
ใช้ไอเท็ม
รายงาน
kit007
kit007
ออฟไลน์
เครดิต
32163
5
#
เจ้าของ
|
โพสต์ 2014-4-9 09:57
|
ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ผลไม้ (ธรรมะ)มีอยู่แล้วตามธรรมชาติ
เหมือนกับผลไม้หวานๆใบหนึ่งผลไม้นั้นมันหวานอยู่ก็จริงแต่ว่ามันต้องอาศัยการกระทบประสบจึงรู้ว่ามันหวานหรือมันเปรี้ยวจริงผลไม้นั้นถ้าไม่มีอะไรกระทบมันก็หวานอยู่ตามธรรมชาติหวานแต่ไม่มีใครรู้จักเหมือนธรรมะของพระพุทธเจ้าของเราเป็นสัจจธรรมจริงอยู่ก็ตามแต่สำหรับคนที่ไม่รู้จริงนั้นก็เป็นของไม่จริงถึงมันจะดีเลิศประเสริฐสักเท่าไรก็ตามทีเถอะมันไม่มีราคาเฉพาะกับคนที่ไม่รู้เรื่อง
ฉะนั้นจะไปเอาทุกข์ทำไมใครในโลกนี้อยากเอาทุกข์ใส่ตัวมีไหมไม่มีใครทั้งนั้นแหละไม่อยากได้ทุกข์แต่ว่าสร้างเหตุให้ทุกข์เกิดขึ้นมามันก็เท่ากับเราไปแสวงหาความทุกข์นั่นเองแต่ใจจริงของเราแสวงหาความสุขไม่อยากได้ทุกข์นี่มันก็เป็นของมันอยู่อย่างนี้ทำไมจิตใจของเรามันสร้างเหตุให้ทุกข์เกิดขึ้นมาได้เรารู้เท่านี้ก็พอแล้วใจเราไม่ชอบทุกข์แต่เราสร้างความทุกข์ขึ้นมาเป็นตัวของเราทำไมมันก็เห็นง่ายๆก็คือคนที่ไม่รู้จักทุกข์นั่นเองไม่รู้จักทุกข์ไม่รู้จักเหตุเกิดของทุกข์ไม่รู้ความดับทุกข์ไม่รู้ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์จึงประพฤติอย่างนั้นจึงเห็นอย่างนั้นจะไม่มีความทุกข์ได้อย่างไรก็เพราะคนไปทำอย่างนั้น
เมื่อคิดผิดก็เกิดทุกข์
ถ้ามันเป็นเช่นนั้นมันก็เป็นมิจฉาทิฏฐิทั้งดุ้นนั้นแหละแต่ว่าเราไม่เข้าใจว่าเป็นมิจฉาทิฏฐิอะไรที่เราได้พูดเราได้เห็นเราได้ทำแล้วเป็นทุกข์อันนั้นเป็นมิจฉาทิฏฐิทั้งนั้นถ้าไม่เป็นมิจฉาทิฏฐิมันไม่ทุกข์อย่างนั้นหรอกมันไม่ยึดในความทุกข์อันนั้นมันไม่ยึดในความสุขนั้นๆไม่ได้ยึดตามอาการทั้งหลายเหล่านั้นมันจะปล่อยวางตามเรื่องของมันเช่น กระแสน้ำที่มันไหลมาไม่ต้องกางกั้นมันให้มันไหลไปตามสะดวกของมันนั้นแหละเพราะมันไหลอย่างนั้นกระแสธรรมก็เป็นอย่างนั้นกระแสจิตของเราที่ไม่รู้จักมันก็ไปกางกั้นธรรมะด้วยที่ว่าเป็นมิจฉาทิฏฐิแล้วไปตะโกนโน้น มิจฉาทิฏฐิอยู่ที่โน้นคนโน้นเป็นมิจฉาทิฏฐิแต่ตัวเราเองเป็นมิจฉาทิฏฐิคือทุกข์เกิดขึ้นมาเพราะเราเป็นมิจฉาทิฏฐิอันนั้นเราไม่รู้เรื่องอันนี้ก็น่าสังเกตน่าพิจารณาเหมือนกันนะถ้าเป็นมิจฉาทิฏฐิเมื่อไรก็เป็นทุกข์เมื่อนั้นไม่ทุกข์ในเวลาปัจจุบันนั้นต่อไปมันก็ให้ผลมาเป็นทุกข์
อันนี้พูดเฉพาะคนเรามันหลงเท่านั้นอะไรมันปิดไว้อะไรมันบังไว้สมมุติมันบังวิมุตติให้คนมองเห็นไม่ชัดในธรรมทั้งหลายต่างคนก็ต่างศึกษาต่างคนก็ต่างเล่าเรียนต่างคนก็ต่างทำแต่ทำด้วยความไม่รู้จักก็เหมือนกันกับคนหลงตะวันนั้นแหละเดินไปทางตะวันตกเข้าใจว่าเดินไปทางตะวันออกหรือเดินไปทิศเหนือเข้าใจว่าเดินไปทิศใต้มันหลงขนาดนี้เราปฏิบัตินี้มันก็เลยเป็นขี้ของการปฏิบัติโดยตรงแล้วมันก็เป็นวิบัติวิบัตินี้คือมันพลิกไปคนละทางหมดจากความมุ่งหมายของธรรมะที่ถูกต้องสภาพอันนี้เป็นเหตุให้เกิดทุกข์เราก็เข้าใจว่าอันนี้ถ้าทำขึ้นถ้าบ่นขึ้น ถ้าท่องขึ้นถ้ารู้เรื่องอันนี้มันจะเป็นเหตุให้ทุกข์ดับก็เหมือนกันกับคนที่อยากได้มากๆนั่นแหละอะไรๆก็หามามากๆถ้าเราได้มากแล้วมันก็ดับทุกข์จะไม่มีทุกข์ความเข้าใจของคนมันเป็นอย่างนี้แต่ว่ามันคิดไปคนละทางเหมือนกันกับคนนี้ไปทิศเหนือคนนั้นไปทิศใต้นึกว่าไปทางเดียวกัน
สังขารทั้งหลายเปลี่ยนแปลงไปเสมอ
ฉะนั้นพุทธบริษัททั้งหลายมนุษย์เราทั้งหลายจึงจมอยู่ในกองทุกข์อยู่ในวัฏฏสงสารก็เพราะคิดอย่างนี้ถ้ามีโรคภัยไข้เจ็บขึ้นมาก็นึกแต่จะให้มันหายเท่านั้นอยากจะให้มันหายเดี๋ยวนี้จะให้มันหายเท่านั้นแหละไม่นึกว่าอันนี้มันเป็นสังขารอันนี้ไม่มีใครรู้จักสังขารมันเปลี่ยนทนไม่ได้ ฟังไม่ได้จะต้องให้หายให้หมดแต่ผลสุดท้ายมันก็สู้ไม่ได้สู้ความจริงไม่ได้พังหมด อันนี้คือเราไม่ได้คิดคือมันเห็นผิดหนักเข้าไปเรื่อยๆ
การประพฤติปฏิบัติทุกอย่างเพื่อเห็นธรรมะมันเลิศกว่าสิ่งทั้งหลายทั้งปวงพระพุทธองค์สร้างบารมีตั้งแต่ทานบารมีไปถึงปรมัตถบารมีเพื่ออะไรก็เพื่อให้รู้จักอันนี้เพื่อให้เห็นธรรมะให้ปฏิบัติธรรมะแล้วให้รู้ธรรมะให้ใจเป็นธรรมะให้ปล่อยวางเพื่อจะไม่ให้หนักอย่าไปยึดมั่นถือมั่นมันหรือจะพูดง่ายๆอีกอย่างหนึ่งว่าให้ยึดแต่อย่าให้มั่นนี่ก็ถูกเหมือนกันคือเราเห็นอะไรก็จับมันขึ้นมาดูเสีย"เออ...อันนี้ก็อันนั้น"แล้วก็วางมันไปเห็นอันนั้นอีกก็ยึดมาอีกแต่อย่ายึดให้มันมั่นเอามาพิจารณารู้เรื่องแล้วก็ปล่อยวางเท่านั้นแหละถ้ายึดไม่วางแบกไม่หยุดมันก็หนักตลอดเวลาสิถ้าเรายึดมาแบกรู้สึกว่ามันหนักก็ปลงมันไปทิ้งมันเสียอย่าให้ทุกข์เกิดขึ้นมาถ้าเป็นเช่นนี้เราก็รู้จักว่าอันนี้เป็นเหตุให้ทุกข์เกิดเมื่อรู้จักเหตุให้ทุกข์เกิดแล้วทุกข์มันเกิดไม่ได้ทุกข์จะเกิดสุขจะเกิด มันอาศัยอัตตาตัวตนอาศัยเรา อาศัยของของเราอาศัยสมมติอันนี้ถ้าสิ่งทั้งหลายเหล่านี้เกิดขึ้นมาแล้ววิ่งไปถึงวิมุตติมันก็เลิกถอนมันถอนสมมุติออกถอนความสุขออกจากที่นั่นถอนความทุกข์ออกจากที่นั่นถอนความยึดมั่นถือมั่นออกจากที่มันยึดนั้นเท่านั้นแหละ
เมื่อของของเราหายไปทำไมเราต้องเป็นทุกข์
ก็คล้ายกับว่าของของเราชิ้นหนึ่งมันหลุดมือหายไปเราก็เป็นห่วงก็เป็นทุกข์กับมันอีกเวลาหนึ่งเราก็พบของนั้นขึ้นมาความทุกข์ก็หายแว้บไปทีเดียวแม้ยังไม่เห็นวัตถุอันนั้นความทุกข์มันก็หายอย่างเราเอาของมาวางไว้ตรงนี้แล้วหลงเสียนึกว่าของเรามันหายไปก็เป็นทุกข์เมื่อทุกข์เกิดขึ้นแล้วจิตก็พะวงถึงสิ่งทั้งหลายเหล่านั้นอีกวันหนึ่งอีกเวลาหนึ่งจิตใจก็วิตกไปถึงของของเราว่า"อ้อ..เอาไว้ตรงนั้นแน่นอนเลย"พอนึกอย่างนั้นรู้ตามความจริงแล้วตายังไม่เห็นของเลยสบายใจเลยทีนี้อันนี้เรียกว่าเห็นทางในเห็นกับตาใจไม่ใช่เห็นกับตานอกเห็นด้วยตาใจถึงตานอกยังไม่เห็นมันก็สบายแล้วมันก็ถอนทุกข์ออกทันทีอย่างนี้ก็เหมือนกันผู้ที่บำเพ็ญธรรมะบรรลุธรรมะเห็นธรรมะ ประสบอารมณ์เมื่อไรปุ๊บนั่นก็คือปัญญาเกิดขึ้นก็แก้ปัญหาได้ทันท่วงทีเท่านั้นแหละหายไปเลย วางปล่อย
ตอบกลับ
สนับสนุน
คัดค้าน
ใช้ไอเท็ม
รายงาน
kit007
kit007
ออฟไลน์
เครดิต
32163
6
#
เจ้าของ
|
โพสต์ 2014-4-9 09:59
|
ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
จงปฏิบัติให้เห็นธรรมะ
ฉะนั้นท่านจึงให้พวกเราพบธรรมะทีนี้เราพบธรรมะแต่ตัวหนังสือพบธรรมะกับตำราอย่างนั้นมันพบแต่เรื่องของธรรมะไม่ได้พบธรรมะตามความจริงที่พระบรมครูของเราสอนจะเข้าใจว่าพวกเราทั้งหลายปฏิบัติดีปฏิบัติชอบได้อย่างไรมันไกลกันมากพระพุทธองค์เป็นโลกวิทูเป็นผู้รู้แจ้งโลกเดี๋ยวนี้เรารู้ไม่แจ้งรู้เท่าไรก็ยิ่งมืดเข้าไปเท่านั้นรู้เท่าไรก็ยิ่งมืดเข้าไปคือมันรู้มืดไม่ใช่รู้แจ้งรู้ไม่ถึงนั่นเองไม่แจ้งไม่สว่าง ไม่เบิกบานคนก็มาคาติดแค่นี้เท่านั้นแหละแต่ว่ามันไม่ใช่น้อยมันเป็นของมาก
จงละทุกข์ทันทีเมื่อมองเห็นโทษของมัน
ทุกคนโดยมากก็ต้องการความดีต้องการความสุขแต่ว่าไม่รู้จักว่าอะไรมันเป็นเหตุให้สุขให้ทุกข์เกิดขึ้นมาอะไรทุกอย่างถ้าเรายังไม่เห็นโทษมันเราก็ละมันไม่ได้มันจะชั่วขนาดไหนก็ละมันไม่ได้ถ้าเรายังไม่ได้เห็นโทษอย่างจริงจังแต่เมื่อเราเห็นโทษอย่างแน่นอนจริงๆนั่นแหละสิ่งทั้งหลายเหล่านั้นเราถึงจะปล่อยได้วางได้พอเห็นโทษอย่างแน่นอนจริงๆพร้อมกระทั่งเห็นประโยชน์ในการกระทำอย่างนั้นในการประพฤติอย่างนั้นเปลี่ยนขึ้นมาทันทีเลยอันนี้คนเราประพฤติปฏิบัติอยู่ทำไมมันยังไปไม่ได้ทำไมมันถึงวางไม่ได้คือมันยังไม่เห็นโทษอย่างแน่ชัดคือยังไม่รู้แจ้งนี่แหละรู้ไม่ถึงหรือรู้มืดมันจึงละไม่ได้ถ้ารู้แจ้งอย่างอรหันตสาวกหรือองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเราก็เลิกกันเท่านั้นแหละแก้ปัญหาหลุดไปทีเดียวแหละไม่เป็นของยากไม่เป็นของลำบาก
มันก็เหมือนกันกับเรานั่นแหละหูเราได้ยินเสียงก็ให้มันทำงานตามหน้าที่ของมันสิตาทำงานทางรูปก็ให้มันทำสิจมูกทำงานทางกลิ่นก็ให้มันทำสิร่างกายทำงานถูกต้องโผฏฐัพพะก็ให้มันทำงานตามเรื่องของมันสิถ้าแบ่งให้มันทำงานตามหน้าที่ของมันแล้วมันจะมีอะไรมาแย้งกันมันไม่ได้ขัดขวางกันเลยอันนี้ก็เหมือนกันสิ่งเหล่านี้มันก็เป็นสมมุติเราก็ให้มันสิสิ่งเหล่านั้นก็เป็นวิมุตติเราก็แบ่งมันสิเราเป็นผู้รู้เฉยๆเท่านั้นแหละรู้ไม่ให้มันขัดข้องรู้แล้วก็ปล่อยวางมันตามธรรมดาเป็นของมันอยู่อย่างนั้นของทั้งหลายเหล่านี้เป็นอยู่อย่างนั้นที่เรายึดมั่นว่าอันนี้ของเราใครเป็นคนได้พ่อเราได้ไหมแม่เราได้ไหมญาติของเราได้ไหมใครได้ไหม ไม่มีใครได้พระพุทธองค์จึงบอกให้วางมันเสียปล่อยมันเสียรู้มันเสียรู้มันโดยที่ว่ายึดแต่อย่าให้มั่นใช้มันไปในทางที่เป็นประโยชน์อย่าใช้มันในทางที่เป็นโทษคือความยึดมั่นถือมั่นที่ทำให้เราเป็นทุกข์
รู้ธรรมเพื่อพ้นทุกข์
รู้ธรรมะมันต้องรู้อย่างนี้คือรู้ในแง่ที่มันพ้นทุกข์ความรู้นี้เป็นสิ่งสำคัญรู้เครื่องยนต์กลไกรู้อะไรสารพัดอย่างก็ดีอยู่แต่ว่ามันไม่เลิศธรรมะก็ต้องรู้อย่างนี้เห็นอย่างนี้ไม่ต้องรู้อะไรมากหรอกให้รู้เท่านี้ก็พอสำหรับผู้ประพฤติปฏิบัติรู้แล้วก็วางไม่ใช่ว่าตายแล้วจึงจะไม่มีทุกข์นะมันไม่มีทุกข์ในเมื่อยังมีชีวิตอยู่เพราะมันรู้จักแก้ปัญหามันรู้จักสมมุติวิมุตตินี้เมื่อเรามีชีวิตอยู่เมื่อเราประพฤติปฏิบัตินี่เองไม่ใช่เอาที่อื่นหรอกดังนั้นท่านอย่าไปยึดมั่นถือมั่นอะไรมากยึดอย่าให้มันมั่นบางทีจะคิดว่า"ท่านอาจารย์ทำไมจึงพูดอย่างนี้สอนอย่างนี้"จะไม่ให้สอนอย่างไรไม่ให้พูดอย่างไรเพราะว่ามันแน่นอนอย่างนั้นมันจริงอย่างนั้นจริงก็อย่าไปยึดมั่นมันซิถ้าไปยึดมั่นมันก็เป็นไม่จริงเท่านั้นแหละเหมือนสุนัขไปจับขามันดูซิจับมันไม่วางเดี๋ยวมันก็วุ่นมากัดลองๆดูซิสัตว์ทั้งปวงก็เหมือนกันเช่น งูไปยึดหางมันซิยึดไม่ปล่อยวางเดี๋ยวมันก็กัดเราเท่านั้นแหละ
สมมุตินี้ก็เหมือนกันให้ทำตามสมมุติสมมุตินี้เป็นของใช้เพื่อให้มันสะดวกเมื่อเรามีชีวิตอยู่นี้ไม่ใช่เรื่องจะต้องยึดมั่นถือมั่นจนมันเกิดทุกข์ทรมานแล้วก็แล้วไปเท่านั้นอะไรที่เราเข้าใจว่าถูกแล้วก็ยึดมั่นถือมั่นไม่แบ่งใครนั่นแหละคือมันเห็นผิดแล้วเป็นมิจฉาทิฏฐิแล้วเมื่อทุกข์เกิดขึ้นมาปุ๊บมันเกิดมาจากอะไรเหตุมันก็คือมิจฉาทิฏฐิมันจึงให้ผลเป็นทุกข์ถ้ามันถูก ผลที่จะเกิดขึ้นมาจะไม่เป็นทุกข์ท่านไม่ให้แบกไม่ให้ยึด ไม่ให้มั่นถูกก็เป็นของสมมุติแล้วก็แล้วไปผิดก็เป็นของสมมุติแล้วก็แล้วไปเท่านั้นถ้าเราเห็นว่าถูกแล้วคนอื่นมาแย้งก็อย่าไปถือมันปล่อยไป ไม่ได้เสียหายอะไรมันไปตามเรื่องตามเหตุตามปัจจัยของมันอย่างเก่าพอรู้แล้วก็ปล่อยมันไปตรงนั้นเลย
แต่โดยมากมันไม่ใช่อย่างนั้นคนเรามันไม่ค่อยยอมกันอย่างนั้นผู้ปฏิบัติเรายังไม่รู้ตัวยังไม่รู้จิตใจของตนพอพูดอะไรจนคนอื่นว่ามันโง่เต็มที่แล้วก็ยังนึกว่ามันฉลาดอยู่นั่นแหละพูดสิ่งที่มันโง่จนคนอื่นฟังไม่ได้แต่ก็นึกว่าเราฉลาดกว่าคนอื่นคนอื่นทนฟังไม่ได้ก็ยังว่าเราดีเราถูกอยู่นั่นแหละมันขายความโง่ของตัวเองโดยไม่รู้เรื่อง
ปราชญ์ทั้งหลายท่านบอกว่าคำพูดอันใดวาจาอันใดที่ปราศจากอนิจจังแล้วคำพูดนั้นไม่ใช่คำพูดของนักปราชญ์เป็นคำพูดที่โง่เป็นคำพูดที่หลงเป็นคำพูดที่ไม่รู้จักว่าทุกข์จะเกิดตรงนั้นพูดง่ายๆให้เห็นเช่นพรุ่งนี้เราตั้งใจว่าจะไปกรุงเทพฯแล้วมีคนมาถามว่า
"พรุ่งนี้ท่านจะไปกรุงเทพฯหรือเปล่า"
"คิดว่าจะไปกรุงเทพฯถ้าไม่มีอุปสรรคขัดข้องก็คงจะไป"
นี่เรียกว่าพูดอิงธรรมะอิงอนิจจัง อิงความจริงอิงความไม่เที่ยงแปรเปลี่ยนตามปัจจัยของมันไม่ใช่ว่า "พรุ่งนี้ฉันจะไปแน่"
"ถ้าไม่ไปจริงจะให้ทำอย่างไรจะยอมให้ฆ่าให้แกงไหม"อะไรอย่างนี้พูดกันบ้าๆบอๆ
มันยังเหลืออยู่มากเหมือนกันการปฏิบัติธรรมะมันลึกซึ้งไปจนเรามองไม่เห็นที่เรานึกว่าเราพูดถูกแต่มันจะผิดไปทุกคำผิดจากหลักความจริงทุกคำแต่ก็นึกว่าเราพูดถูกไปทุกคำพูดง่ายๆ เราพูดอะไรบ้างทำอะไรบ้างอันที่มันเป็นเหตุให้ทุกข์เกิดนั่นแหละเรียกว่าเป็นมิจฉาทิฏฐิเรียกว่าคนหลงคนโง่
อย่าติดลาภติดยศ ติดสรรเสริญ
โดยมากนักปฏิบัติเราไม่ค่อยจะทบทวนอย่างนี้เห็นว่าเราดีก็ดีเรื่อยๆไปเช่นเราได้อันหนึ่งขึ้นมาจะเป็นลาภก็ดียศก็ดี สรรเสริญก็ดีก็นึกว่ามันดีดีตลอดกาลตลอดเวลาแล้วก็ถือเนื้อถือตัวขึ้นมาไม่รู้จักว่าเรานี้คือใครที่มันดี มันเกิดจากอะไรเดินไปพบ นายก.นาย ข. เหมือนกันหรือไม่อย่างนี้ พระพุทธองค์ท่านให้วางเป็นปกติอย่างนี้ถ้าเราไม่สับเราไม่ขบ ไม่เคี้ยวไม่ปฏิบัติค้นคว้าอันนี้ก็เรียกว่ายังจมอยู่จมอยู่ในใจของเรานั่นแหละเรียกว่าติดลาภบ้างติดยศบ้างติดสรรเสริญบ้างก็เปลี่ยนเป็นคนอื่นเพราะสำคัญว่าตัวเรานี้ดีขึ้นแล้วสำคัญว่าเราเลิศขึ้นแล้วสำคัญว่าเราเป็นโน่นเป็นนี่แล้วก็เกิดอะไรต่ออะไรขึ้นมาวุ่นวาย
ตอบกลับ
สนับสนุน
คัดค้าน
ใช้ไอเท็ม
รายงาน
kit007
kit007
ออฟไลน์
เครดิต
32163
7
#
เจ้าของ
|
โพสต์ 2014-4-9 10:01
|
ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ลักษณะเสมอกันของมนุษย์ทุกคน
ความเป็นจริงมันไม่เป็นอะไรหรอกคนเราเป็นก็เป็นด้วยสมมุติถ้าถอนสมมุติไปเป็นวิมุตติมันก็ไม่เป็นอะไรเป็นสามัญลักษณะมีลักษณะเสมอกันความเกิดขึ้นเบื้องต้นมีความแปรไปเป็นท่ามกลางแล้วก็ดับไปที่สุดมันก็แค่นั้นเห็นสภาพมันเป็นอย่างนั้นแล้วมันก็ไม่มีอะไรจะเกิดขึ้นมาถ้าเราเข้าใจเช่นนั้นแล้วมันก็สบาย มันก็สงบที่มันไม่สงบก็เหมือนกับพระปัญจวัคคีย์ประพฤติตามที่ครูบาอาจารย์ท่านสอนเมื่อท่านพลิกไปอย่างนั้นก็ไม่รู้ว่าท่านคิดอะไรท่านทำอะไรก็เลยหาว่าท่านคลายความเพียรเวียนมาหาความมักมากถ้าตัวเราเป็นเช่นนั้นก็คงจะคิดอย่างนั้นคงจะเป็นอย่างนั้นเหมือนกันไม่มีทางแก้ไขแต่ความเป็นจริงแล้วพระพุทธเจ้าท่านเดินขั้นสูงขึ้นไปอีกจากพวกเราเรายังถือตัวอย่างเก่าคิดไปในทางต่ำก็นึกว่าเราคิดอยู่ในทางสูงเห็นพระพุทธเจ้าก็คิดว่าท่านคลายความเพียรเวียนมาหาความมักมากแล้วเหมือนกับปัญจวัคคีย์ปฏิบัติกี่พรรษาคิดดูซิขนาดนั้นก็ยังหลงอยู่ยังไม่ถนัด
อย่ายึดมั่นถือมั่นแม้กระทั่งสิ่งที่ถูก
ท่านจึงให้ทำงานและให้ตรวจผลงานของตนคือที่มันไม่ยอมเรื่องที่มันไม่ยอมเรื่องที่มันยอมมันก็สลายตัวไปเท่านั้นแหละไม่มีอะไร ถ้ามันไม่ยอมมันไม่สลายมันตั้งตัวขึ้นมาเป็นก้อนเป็นตัวอุปาทานมันไม่มีการแบ่งเบานักบวชนักพรตเราโดยมากก็ชอบเป็นอย่างนั้นถ้าติดอยู่ในแง่ไหนก็ดึงอยู่แง่นั้นแหละไม่เปลี่ยนแปลงไม่พินิจพิจารณาเห็นว่าเราถูกแล้วก็เห็นว่าเราไม่ผิดแต่ความเป็นจริงความผิดมันฝังอยู่ในความถูกแต่เราไม่รู้จักเป็นอย่างไรล่ะ"อันนี้แหละถูกแล้ว"แต่คนอื่นว่ามันไม่ถูกก็ไม่ยอม เถียงกันนี่อะไรทิฏฐิมานะทิฏฐิคือความเห็นมานะคือความยึดไว้ถือไว้ถ้าเรายึดในสิ่งที่ถูกไม่ปล่อยให้ใครเลยก็เรียกว่ามันผิดถือถูกนั่นแหละยึดมั่นถือมั่นในความถูกมันเป็นขึ้นเดี๋ยวนี้แหละไม่เป็นการปล่อยวาง
แก้ความยึดมั่นถือมั่นได้อย่างไร
สิ่งอันนี้เป็นเหตุที่ทำให้คนเราไม่ค่อยสบายนอกจากผู้ประพฤติปฏิบัติที่เห็นว่าแง่นี้ปุ่มนี้เป็นปุ่มที่สำคัญท่านจะจดไว้พอพูดไปถึงปุ่มนั้นปั๊บมันจะวิ่งขึ้นมาทันทีเลยความยึดมั่นถือมั่นวิ่งขึ้นมาอาจจะเป็นอยู่นานบางทีวันหนึ่งสองวัน สามเดือนสี่เดือนถึงปีก็ได้ ขนาดช้านะแต่ขนาดเร็วความปล่อยวางมันจะวิ่งเข้ามาสกัดหน้าเลยคือพอความยึดเกิดขึ้นปุ๊บก็จะมีการปล่อยบังคับให้วางในเวลานั้นเลยจะต้องเห็นสองอย่างนี้พร้อมกันประสานงานกันตัวยึดก็มีผู้ที่ห้ามความยึดนั้นก็มีเราดูสองอย่างนี้เท่านั้นแหละไปแก้ปัญหาอันนี้บางทีมันก็ยึดไปนานก็ปล่อยพิจารณาเรื่อยไปทำเรื่อยไปมันก็ค่อยบรรเทาไปน้อยไปความเห็นถูกมันก็เพิ่มเข้ามาความเห็นผิดมันก็หายไปความยึดมั่นถือมั่นมันน้อยลงความไม่ยึดมั่นถือมั่นก็เกิดขึ้นมามันเป็นเรื่องธรรมดาทุกคนเป็นอย่างนั้น
จงพิจารณาใจของตนเองเพื่อแก้ปัญหาให้สำเร็จ
ฉะนั้นจึงให้พิจารณาแก้ปัญหาได้ในปัจจุบันบางทีตัวนั้นมันวิ่งขึ้นมาตัวนี้มันก็วิ่งตะครุบเลยหายไปเลย อันนี้เราดูภายในใจของเราหรอกดูภายในใจของเราแก้ปัญหาเฉพาะภายในใจของเราเองถ้าเราแก้มันไม่ได้ตรงนี้เป็นต้น ปุ่มนี้จับไว้เมื่อมันเกิดอีกที่ไหนก็พิจารณาตรงนั้นพระพุทธองค์ก็ให้เพ่งตรงนี้ให้มากที่สุด
ที่มา
http://www.ubu.ac.th/wat/ebooks/chahthai/Freedom.html
ตอบกลับ
สนับสนุน
คัดค้าน
ใช้ไอเท็ม
รายงาน
กลับไป
ตั้งกระทู้ใหม่
โหมดขั้นสูง
B
Color
Image
Link
Quote
Code
Smilies
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง
ลงชื่อเข้าใช้
|
ลงทะเบียน
รายละเอียดเครดิต
ตอบกระทู้
ข้ามไปยังโพสต์ล่าสุด
ตอบกระทู้
ขึ้นไปด้านบน
ไปที่หน้ารายการกระทู้
Share To Facebook
Share To Twitter
Share To Google+
Share To ...