|
ต่อมาหลวงปู่ท่านได้พาสามเณรไปฝากเรียนพระปริยัติธรรม
กับหลวงพ่อสด แห่งวัดปากน้ำ ๑ รูป ซึ่งปัจจุบันนี้สอบเป็นมหาได้แล้ว
คือ ท่านมหายุ้ย แห่งวัดเขาวัง อ.เมือง จ.ราชบุรี
จากนั้นหลวงปู่ได้เดินทางไปศึกษากรรมฐานกับ อาจารย์จู อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี
อาจารย์จูท่านสามารถนั่งสมาธิเจริญกรรมฐานเห็นอะไรๆ ได้ทุกอย่าง
ครั้งสุดท้ายหลวงปู่ท่านได้ออกเดินทางไปยังสำนักเขาวงกฏ บ้านหมี่ จ.ลพบุรี
ซึ่งเป็นสำนักวิปัสสนากรรมฐานที่มีชื่อเสียงและใหญ่มากในสมัยนั้น
การเดินทางไปแต่ละครั้งๆ นั้นแสนยากและก็ลำบากใจมาก
ด้วยเหตุที่ว่า หลวงปู่ท่านไม่จับปัจจัย และก็ไม่มีลูกศิษย์ที่จะติดตามไปด้วย
ต้องอาศัยให้คนที่รู้จักกันนำปัจจัยไปฝากไว้ตามร้านอาหาร
เพื่อให้ช่วยจัดการและช่วยซื้อตั๋วให้เป็นค่าโดยสารรถและเรือ
ที่ๆ หลวงปู่ท่านจะเดินทางไปยังสถานที่นั้นๆ
หลวงปู่ท่านเล่าให้ฟังว่า ก็นึกถึงอยู่เสมอร้านอาหารที่หลวงปู่เข้าไปฉันอาหาร
เมื่อรู้ว่าหลวงปู่ท่านไม่จับปัจจัยก็ไม่ยอมคิดค่าอาหาร จะถวายให้หลวงปู่เสมอ
ฉะนั้น เงินที่ฉันให้เขามาฝากไว้นั้น ฉันก็ไม่เอาคืนเหมือนกัน ยกให้หมดเลย
ขอเพียงแต่ท่านช่วยซื้อตั๋วส่งลงเรือให้กลับวัดได้ก็พอแล้ว
นับว่าหลวงปู่ท่านประพฤติและปฏิบัติได้ลำเลิศจริงๆ
และเป็นผู้ที่ชอบค้นคว้าแสวงหาธรรมะอย่างจริงจังและจริงใจมาก
จัดว่าเป็นพระเถราจารย์ที่ล้ำเลิศในแนวทาง "สมาธิ-ภาวนา และเมตตา"
อันสูงส่งยิ่งในปัจจุบันนี้ ยากนักที่จักหาไหนเสมอเหมือน
พร้อมไปด้วยพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ และพระสงฆ์คุณ
ประพฤติปฏิบัติตามรอยพระบาทของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอย่างเคร่งครัด
ด้วยเหตุนี้จึงทำให้วัตถุมงคลของหลวงปู่ท่านแต่ละชิ้น
ที่หลวงปู่ได้สร้างขึ้นมาแต่ละรุ่นนับเป็นพันๆ เหรียญ
ที่ได้แจกให้กับญาติโยมและลูกศิษย์ลูกหาในงานทอดผ้าป่าแต่ละปีๆ
เป็นที่นิยมชชอบของนักสะสมวัตถุมงคลเป็นอย่างมาก ดังจะชี้แจงให้ทราบกันดังต่อไปนี้
ปี พ.ศ.๒๕๑๘ หลวงปู่ได้สร้างเหรียญเป็นครั้งแรกเพื่อเป็นของชำร่วย
ในการจัดทอดผ้าป่าสามัคคี ๒,๕๑๘ กองๆ ละ ๑๘ บาท
เพื่อนำปัจจัยไปสร้างพระประธานในอุโบสถ วัดพระขาว จ.พระนครศรีอยุธยา
ด้านหลังของเหรียญเป็นรูปของหลวงปู่นั่งสมาธิ
โดยให้พระอุปัชฌาย์ของหลวงปู่ (หลวงพ่อสังข์) เป็นผู้ทำพิธีพุทธาภิเษกก่อน
ต่อมาทุกๆ ปี หลวงปู่จะจัดทอดผ้าป่าสามัคคีขึ้น
ปีละ ๑๐,๐๐๐ (หนึ่งหมื่น) กองๆ ละ ๑๐ บาท เรื่อยมา
ของชำร่วยที่แจกจ่ายจะเป็นเหรียญทั้งสิ้น ส่วนแบบพิมพ์นั้นก็จะเปลี่ยนออกไปทุกๆ ปี
จะมีอยู่ปีหนึ่ง ใช้เหรียญพิมพ์รุ่นแรกมาสร้างขึ้นอีกหนหนึ่ง จำนวน ๑๑,๐๐๐ เหรียญ
จึงยากนักแก่บรรดานักนิยมเหรียญรุ่นต่างๆ ของหลวงปู่
ที่จะยึดถือว่าเป็นรุ่นแรก นอกจากผู้ที่เข้าได้รับด้วยตนเองเท่านั้น
ประมาณปี พ.ศ.๒๕๒๒ หลวงปู่จะสร้างเป็นพระพิมพ์หลวงพ่อรอดอยู่หนหนึ่ง
ในปี พ.ศ.๒๕๒๗ ศิษยานุศิษย์ได้ขออนุญาตหลวงปู่สร้างรูปหล่อเหมือน
ขนาดหน้าตัก ๕ นิ้ว เนื้อทองเหลืองขัดมัน สร้างจำนวน ๒๐๙ องค์
และพระกริ่งรูปเหมือนของหลวงปู่ ขนาดหน้าตัก ๑ นิ้ว จำนวน ๑,๐๙๐ องค์
และล๊อกเกตรูปของหลวงปู่ สำหรับวัตถุมงคลของหลวงปู่ท่านทั้งหมดนี้
หลวงปู่จะเป็นผู้พุทธาภิเษกเองทั้งหมด โดยส่วนมากจะลงในทางเมตตา
และแคล้วคลาดให้เป็นสำคัญ จะได้ไม่เจ็บตัว ถ้าถึงคราวคับขันก็ใช้ได้ในทางคงกระพัน
หลวงปู่มักจะสอนให้ทุกๆ คนนับถือคุณพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งประจำใจ
และให้คิดถึงความตายเป็นอารมณ์ ถ้าผู้ใดระลึกไว้เสมอ
ก็จะปราศจากทุกข์โศก มีแต่ความสุข
คำสอนของหลวงปู่จะผูกเป็นนิทานและเป็นคติ แล้วก็จะสอดแทรกธรรมะ
น่าฟังสนุกไม่รู้จักเบื่อหน่ายเลย หลวงปู่เป็นนักแสดงธรรมะที่ยอดเยี่ยมมาก
ท่านแสดงธรรมได้นุ่มนวลละเอียดอ่อน และน่าฟังยิ่งนัก
ทุกวันพระเมื่อมีการทำบุญบนศาลาการเปรียญ
ทุกๆ ครั้งหลวงปู่ท่านจะขึ้นธรรมมาสแล้วแสดงธรรมให้ประชาชนชาวพุทธ
ที่ได้มาบำเพ็ญบุญฟังเป็นประจำไม่เคยขาด โบราณท่านเคยกล่าวเอาไว้ว่า
เมื่อทำบุญแล้วได้สดับฟังพระธรรมเทศนา ก็จะได้กุศลอย่างมหาศาลเลยทีเดียว
เมื่อตายไปก็จะไปสู่สวรรค์ การประพฤติและปฏิบัติของหลวงปู่เยี่ยมมาก
ตั้งแต่หลวงปู่บวชมาจนถึงวาระมรณกาล ท่านจะไหว้พระ
และสวดมนต์ภาวนาในเวลาดึกๆ ก่อนจะเข้านอนเป็นประจำไม่เคยขาด
หลวงปู่จะกราบพระถึง ๕ ครั้งเป็นประจำเสมอ
"กราบครั้งที่ ๑ ระลึกถึงคุณพระพุทธ, กราบครั้งที่ ๒ ระลึกถึงคุณพระธรรม
กราบครั้งที่ ๓ ระลึกถึงคุณพระสงฆ์ กราบครั้งที่ ๔ ระลึกถึงคุณบิดา-มารดา
และปู่ย่าตายาย กราบครั้งที่ ๕ ระลึกถึงคุณครูบาอาจารย์และผู้มีพระคุณ"
เสร็จแล้วก็จะระลึกนึกถึงชาติภูมิขององค์สมเด้จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ก่อนที่จะมาเป็นพระบรมศาสดา คือ "พระเจ้าสิบชาติ" อันได้ พระเตมีราช,
พระชนก, พระสุวรรณสาม, พระเนมิราช, พระมโหสถ, พระภูริทัต,
พระจันทร, พระนารอท, พระวิฑูรย์บัณฑิตย์ และชาติสุดท้าย คือพระเวสสันดร
โดยหลวงปู่จะใช้ภาวนาเป็นประจำอยู่เสมอหรือที่เรียกว่า
หัวใจพระเจ้าสิบชาติ (เต-ชะ-สุ-เน-มะ-ภู-จะ-นา-วิ-เว)
ฉะนั้น ชื่อเสียงของหลวงปู่จึงดังโด่ง "ขจรขจาย" ไปทุกภาคของประเทศไทยก็ว่าได้
และที่ยิ่งไปกว่านี้แม้แต่ชาวต่างชาติที่เป็นบ้านใกล้เรือนเคียงของประเทศเรา
ไม่ว่าจะเป็น "สิงคโปร์ มาเลเซีย ฮ่องกง ไต้หวัน รวมทั้งคนไทยในอเมริกา ฯลฯ"
ก็ยังรู้จักและได้ยินชื่อเสียงของท่านเลย ซึ่งสาเหตุที่เป็นเช่นนี้ก็เนื่องมาจาก
"ทานบารมีแห่งความเมตตา" ที่หลวงปู่ได้อนุเคราะห์แผ่เมตตา
ให้แก่ญาติโยมทั้งหลายโดยแท้จริง แม้ว่าในปี พ.ศ.๒๕๔๐ นี้
หลวงปู่จะมีอายุ "ครบ ๗ รอบ ๘๔ ปี" แล้วก็ตามที
อีกทั้ง "สังขาร" ของท่านก็ร่วงโรยไปตามกาลเวลาของอายุก็จริงอยู่
แต่หลวงปู่ท่านไม่เคยบอกปัดหรือปฏิเสธกิจนิมนต์สักครั้งเลย
ท่านคิดอยู่เสมอว่า "ใครอยากนิมนต์ท่านไปไหนมาไหนนั้น
ถ้าท่านไปแล้วทำให้เจ้าของงานเกิดความสุขกาย สบายใจล่ะก้อ
ท่านไปให้หมดทุกครั้งโดยไม่มีการเลือกชั้นวรรณะเจ้าของงานแต่อย่างไร"
น้อยครั้งจริงๆ ที่หลวงปู่ไม่ได้ไปตามเวลาของกิจนิมนต์
เนื่องจากเกิดเหตุสุดวิสัยจริงๆ อาทิเช่น ท่านไม่สบาย
หรือมีกิจนิมนต์ติดพันจนเดินทางไปไม่ทันเวลาของงาน ฯลฯ
นับได้ว่าหลวงปู่มีกิจนิมนต์ไม่เคยว่างเว้นสักวันเดียว
ในแต่ละวันนั้นหลวงปู่ต้องเดินทางไปทำพิธีในงานต่างๆ มากมาย
อาทิเช่น "จุดเทียนบ้าง เป็นประธานในการนั่งปรกบ้าง
ไปทำพิธีขึ้นบ้านใหม่บ้าง ไปเจิมป้ายขึ้นห้างร้านใหม่บ้าง
หรือรับกิจนิมนต์ไปฉันเช้าบ้าง ฉันเพลที่บ้านญาติโยมบ้าง
รวมทั้งยังมีกิจนิมนต์อีกร้อยแปดพันอย่างอีกมากมาย" เป็นต้น
หลวงปู่ทิม วัดพระขาว ละสังขารแล้ว
ที่มา :
http://www.luangputim.com/
https://www.facebook.com/web.luangputim/
.....................................................
ที่มา http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=13&t=45585
|
|