ตั้งให้เราเป็นเว็บแรกที่คุณเลือก
เก็บเราไว้เป็นเว็บโปรด
สมัครสมาชิก ได้มากกว่าที่คุณคิด
เข้าสู่ระบบ
บ้านหลวงปู่
คศช.
ข่าวสารล่าสุด
ประสบการณ์
โชว์วัตถุมงคล
สอบถาม
นานาสาระ
นครนาคราช
ร่วมประมูล
บูชาวัตถุมงคล
เพื่อน
กระทู้แนะนำ
บุ๊คมาร์ก
ไอเท็ม
เหรียญ
ภารกิจ
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
ดูบริการทั้งหมด
เว็บบอร์ด
BBS
บูชาวัตถุมงคลหลวงปู่ชื่น
ศรีสุทธรรมนาคราช
ร้านจอมพระ
ศูนย์พระเครื่องจอมพระ
ค้นหา
ค้นหา
HOT TAG:
พระศรีราม
ขุนแผนแสนตรีเวทย์
พระเจ้าชัยวรมัน
บอร์ดนี้
บทความ
เนื้อหา
สมาชิก
Baan Jompra
›
นานาสาระ
›
มรดกธรรม เส้นทางสู่ทางสงบในชีวิตและจิตใจ
»
ฟังธรรมตามกาล
กลับไป
ตั้งกระทู้ใหม่
ดู: 1672
ตอบกลับ: 3
ฟังธรรมตามกาล
[คัดลอกลิงก์]
kit007
kit007
ออฟไลน์
เครดิต
32163
ไปยังโพสต์
1
#
โพสต์ 2014-4-4 09:34
|
ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
|
โพสต์ใหม่ขึ้นก่อน
|
โหมดอ่าน
ฟังธรรมตามกาล
นะโม ตัสสะภะคะวะโต อะระหะโตสัมมาสัมพุทธัสสะ
นะโม ตัสสะภะคะวะโต อะระหะโตสัมมาสัมพุทธัสสะ
นะโม ตัสสะภะคะวะโต อะระหะโตสัมมาสัมพุทธัสสะ
พุทธัง ธัมมังสังฆัง นะมัสสามิ
อิโต ปะรังสักกัจจัง ธัมโมโสตัพโพติ
วันนี้เป็นวันอัฏฐมีดิถีที่ ๘ ค่ำมาถึงแล้ววันนี้ฝ่ายพุทธบริษัททั้งหลายถือว่าเป็นวันพระซึ่งนับเนื่องมาจากโบราณกาลของชาวพุทธทั้งหลายมาแบ่งวันปันส่วนให้ชาวพุทธทั้งหลายเข้าสู่ธรรมะให้ฟังธรรมะที่วัดวาอารามเป็นธรรมดาชาวพุทธเราทั้งหลายถือเป็นกาลเวลาโบราณอาจารย์
ท่านจัดเดือนหนึ่งเป็นวันพระอยู่๔ วัน เป็นวันฆราวาสอยู่๒๖ วัน ๒๗ วัน
เป็น ๓๐ วันนะเดือนหนึ่งมีวันพระอยู่๔ วัน เป็นวันคฤหัสถ์วันฆราวาสอยู่๒๖ วัน แบ่งกันอย่างนั้นฆราวาสได้หลายกว่ามากกว่า เดือนหนึ่งได้๒๖ วัน พระได้๔ วัน
ขนาดนี้ยังไม่พอใจนะยังขโมยวันพระไปอีกด้วยวันพระ ๔ วันเท่านั้นให้ ๒๖ วัน ยังขโมยวันพระไปอีกจนมาถึง บัดนี้วันพระจะไม่เหลือซะแล้วเลยเจียดให้เป็นวันฆราวาสทั้งหมด ทั้ง๓๐ วันเลย อันนี้ดูจากว่าเราข้ามเขตกันมาไหมล่ะ๒๖ วัน เรายังไม่พออีกยังมาขโมยวันพระไปอีกด้วยวันพระ ท่านได้๔ วัน คือ เป็นวันเทียบเดือนหนึ่งเราจะต้องมาพยายามอบรมสันดานของมนุษย์เราทั้งหลายพยายาม อยู่เรื่อยถ้าเราไม่อบรม...นานๆถึงจะมาอบรมทีนึงสมกับ พระพุทธองค์ท่านตรัสว่า
วันคืนมันล่วงไปบัดนี้เราทำอะไรอย
ู่
เรามันมีความวุ่นวายมุ่งหมายแต่อย่างอื่นโดยมากไม่นึกถึงตัวไม่เห็นตัวพระองค์กลัวพวกเราทั้งหลายจะเผลอไปซะ
อย่าได้ลืมว่าวันคืนล่วงไปๆมันไม่ล่วงไปแต่วันนะชีวิตของเราก็ล่วงไปเฒ่าไป แก่ชราไปผลที่สุดมันก็หมด
อย่างนั้น พระพุทธเจ้าท่านจึงสอนว่าวันคืนล่วงไปล่วงไป บัดนี้เราทำอะไรอยู่คือ ท่านกำชับให้พวกเราทั้งหลายได้พิจารณาให้อยู่ในปัจจุบันนั่นว่าเรามานี่เรามาจากไหนมาเพราะอะไรใครนำมา จะมาอยู่นี่กี่ปีกี่เดือนกันรู้ไหม จะออกจากนี่จะไปไหนกัน เมื่อเราระลึกถึงวันคืนอยู่อย่างนี้เราจะครวญคิดอย่างนี้อยู่เรื่อยๆเมื่อความคิดอย่างนี้อยู่สม่ำเสมอเราจะเห็นว่าชีวิตมนุษย์สัตว์ทั้งหลายเกิดมานี้ก็ไม่นานนักเป็นเด็กแล้วก็แปรเป็นหนุ่ม เป็นคนเฒ่าเป็นคนแก่ เปลี่ยนไปทุกวันเราพยายามมุ่งพิจารณาอย่างนี้เราจะพยายามว่าทางไปทางมาของเราเพราะว่าเรายังไม่หมดห่วงยังไม่หมด ยังอยู่ยังมีเรื่องต่อ
เช่น พวกเรามาฟังธรรมนี้ก็คิดว่าจะกลับบ้านอยู่ทุกคน นั่งไปๆก็พักนั่งก็คิดว่ากี่โมงแล้วหนอกลับไปบ้านทันไหมหนอ มันห่วงอยู่อย่างนี้เรานี่ก็เหมือนกันฉันนั้น
เรามาทำมาหากินอยู่ในโลกนี้เราจะรู้จักชีวิตของเราว่าเรามายังไง
ไปยังไง
มายังไงมีเครื่องหมายไหมว่าเราจะอยู่กันกี่วันกี่ปี กี่เดือนอย่างนี้ เมื่อเราระลึกเช่นนี้อยู่เราก็จะรีบขวนขวายเพื่อประพฤติปฏิบัติไอ้สิ่งอะไรที่ว่ามันไม่ดี ไม่เป็นสาระที่ว่ามันไม่เป็นประโยชน์แก่ตนแก่บุคคลอื่นซึ่งเรากระทำด้วยกายก็ดีด้วยวาจาก็ดีด้วยใจก็ดีอันนั้นเราก็พยายามเขี่ยออกห่างไกลเราเพื่อความสวัสดี
ถ้าหากว่าเราไม่คิดเช่นนั้นก็เรียกว่าเราไม่รู้จักต้นปลายต้นทางตรงไหนกลางทางตรงไหนปลายทางตรงไหนเรามาแต่ที่ไหนแล้วเราจะอยู่กี่ปีกี่เดือน แล้วไปที่ไหนแล้วใครเป็นคนนำไปเราก็จะไม่รู้เรื่องทีนี้ก็อยู่ไปโดยที่ว่าไม่มีสาระอะไรในจิตใจของเราอย่างนั้นมันก็คล้ายๆที่ว่าไม่มีกาล ไม่มีเวลา
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านเรียกว่ามัน คล้ายๆกันกับสัตว์อย่างไก่อย่างนี้ไม่รู้เรื่องตอนเช้ามาก็พาลูกคุ้ยเขี่ยหากินไปเย็นมาแล้วก็นอนในเล้าไก่พรุ่งนี้ก็เขี่ยกันไป มะรืนนี้ก็เขี่ยกันไปไม่รู้จะไปตรงไหนมาที่ไหน ไม่รู้จักเจ้าของเขาเลี้ยงไก่ก็ไม่รู้เจ้าของเขาเลี้ยงไว้ทำไมไม่รู้จัก รู้สึกแต่ว่าเขาเอาข้าวมาให้กินก็นึกว่าเขารักเราทุกวันๆเอาข้าวมาโปรยให้กินก็นึกว่าเจ้าของเขารักเราก็วิ่งกันมากินข้าวอยู่ทุกวัน
เจ้าของไก่คิดอย่างหนึ่งไก่มันคิดอย่างหนึ่งเจ้าของ ไก่พยายามเลี้ยงไก่ว่าโตแล้วหรือยังมันได้ ๒-๓ กิโลแล้วหรือเปล่า เจ้าของไก่คิดไปอย่างนี้ไก่...แหม เราสนุกกินอาหาร นานๆก็คุ้นเข้ามาก็เข้ามาใกล้เจ้าของก็จับดูยกขึ้นดูนี้ก็นึก ว่าเจ้าของรักเรา..เปล่า เจ้าของนึกว่ามันหนักเท่าไรแล้วมัน จะพอ ๒ กิโลหรือเปล่าคิดไปอย่างนั้นไก่ก็นึกว่าเจ้าของรักเราคิดไปคนละอย่างเจ้าของไก่กับไก่ไก่ก็คุ้นเข้ามากินเข้ามา ตะพึดให้มันอ้วนขึ้นเจ้าของก็เร่งเอาข้าวให้มันโตให้มันใหญ่ขึ้นมาเมื่อจับขึ้นมาได้๒-๓ กิโลก็ดีใจแล้วไก่ไม่รู้เรื่องแหละไม่รู้จัก นึกว่าเขารักเรามันเป็นเช่นนี้คือมันไม่รู้เรื่องมันเกิด มาทำไมเป็นอะไรต่อไปไม่รู้เรื่องอย่างนี้
มัจจุราชคือความตายเหมือนเจ้าของไก่มัจจุราชมาตามถึงเราเมื่อไรไม่รู้จัก มัวแต่เพลินเพลินน้ำรูปน้ำเสียง น้ำกลิ่นน้ำรส โผฏฐัพพะธรรมารมณ์ อยู่อย่างนั้น
คือถ้าไม่รู้จักแก่ก็ไม่รู้จักพอ
คำว่า
“พอ”
ไม่ได้ยิน คำที่ว่า
“แก่”
ก็ เกลียด ไม่อยากจะพูดให้ได้ยินเลยอาตมาไปสหรัฐไปเทศน์ เรื่องเกิดแก่ เจ็บ ตายไม่ไหว เขาไม่ฟังเลย...กลัวเขาเกลียด คำที่ว่ามันแก่มันเฒ่า มันตายเราไม่อยากได้ยินเลยไม่อยาก จะได้ยินคืออันนี้เรียกว่า
กลัวมันจะเห็นแก่เห็นเจ็บ เห็นตายเดี๋ยวใจเราจะไม่สบาย
พระพุทธองค์ของเรามีความมุ่งหมายว่า
อยากจะเห็นความแก่เราจะมีความสลดสังเวชบ้างเมื่อเราทำความชั่วมานานแล้วควรจะพอ เลิกมันเสีย
มันก็เท่านั้นแหละมันแก่แล้วจะเอาไปทำไมมากมายมันต้องคิดอย่างนี้พวกสหรัฐ เจริญหลายเจริญด้วยรูปเสียง กลิ่นรส โผฏฐัพพะธรรมารมณ์ พูดถึงความแก่...เขาหน้างอไม่อยากจะฟังกันแล้ว๗๐-๘๐ ยังปากแดงเล็บแดงเสมอยังขึ้นรถจักรยานแข่งกันอย่างกับเด็กอยู่นั่นแหละคือคนไม่รู้จักแก่ไม่รู้จักแก่...มันก็ไม่รู้จักพอ
เมื่อไม่รู้จักพอ...มันก็ยุ่ง
มันเป็นซะอย่างนั้น
บุ๊คมาร์ก
0
ตอบกลับ
ใช้ไอเท็ม
รายงาน
kit007
kit007
ออฟไลน์
เครดิต
32163
2
#
เจ้าของ
|
โพสต์ 2014-4-4 09:35
|
ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ฉะนั้น บรรพบุรุษท่านจึงแบ่งวันพระให้พระเดือนหนึ่ง ๔ วัน ๒๖วันเป็นวันโยมให้ทำมาหากินด้วยความชอบเมื่อทำมาหากินพอสมควรแล้วก็มาพักกันเสียเข้ามาวัดน่ะพระท่านจะพูดอะไรให้ฟังบ้างไหมเมื่ออยู่ในบ้าน...อันนั้นก็เรา อันนั้นก็ของเราของเราทั้งหมดเลยไม่เคยได้ยินว่าไม่ใช่ ของเราไม่เคยได้ยินเลยบางทีก็แอบเข้ามาในวัดพระท่าน เทศน์ให้ฟังอันนั้นก็ไม่ใช่เราอันนั้นก็ไม่ใช่ของเราเอ๊ะ! ทำไม เป็นอย่างนั้นเล่าเอะใจขึ้น ทำไมเป็นอย่างนั้นของเราแท้ๆเราสะสมมาแต่นานๆพระท่านพูดโกหกรึไงนี่ท่านว่าอันนั้นก็ไม่ใช่เรา อันนั้นก็ไม่ใช่ของเราตกตะลึงไม่รู้ว่าจะเอายังไงดีฟังไปเรื่อยมาเมื่อไรท่านก็พูดว่าอันนั้นไม่ใช่เราอันนั้นก็ ไม่ใช่ของเราเราก็ฟังสะสมกันในใจอันนี้ก็ของเราอันนี้ก็เราอันนี้ก็ของเราอยู่อย่างนี้ไอ้ความเห็นอย่างนี้มันเลยยังอยู่ตลอดเวลากับธรรมะโลกกับธรรมะมันแย่งกันโลกก็ยังไม่ยอมอยู่นั่นแหละอันนี้ก็ของเราอันนี้เรา อันนี้ของเรา
มาถึงพระท่านก็ว่าอันนี้ไม่ใช่เราอันนั้นไม่ใช่ของเราพูดไปคนละทางเลยนะจนกว่าเราจะชำนาญในการฟังธรรมะว่า เออ...ไม่ใช่ของเราถูกของพระนะมันนานเห็นมันนานพบ นะ มันนานเจอมันนานเห็นก็คิดนานๆ มาวัดทีนึงก็ได้มาฟังแต่อย่างนั้นแหละถ้ากลับไปบ้านอันนั้นก็เราอันนั้นก็ของเราไม่ได้คิดนึกอะไรมาถึงพระท่านก็ว่าอันนี้ไม่ใช่เราอันนั้นก็ ไม่ใช่ของเราเถียงไปข้างๆคูๆอย่างนั้นอยู่ตลอดเวลาแล้วเป็น เหตุให้เราภาวนาเอ...นี่มันของใครจริงแน่นอนจริงดังพระ หรือว่าจริงของเราเราก็จะได้คิดดูคิดไปคิดมาๆเกิดการ ภาวนานั่น! การฟังธรรมมีประโยชน์อย่างนี้
จะได้เห็นว่านานๆไป พิจารณาเรื่อยๆไปอายุมัน มากขึ้นมาหน่อยโลกมันบีบบังคับขึ้นมาหน่อยจะพูดอะไร ในร่างกายมันก็ไม่เชื่อไม่ฟัง สารพัดอย่างแม้แต่ลูกในอกของเรา เกิดมามันก็ยังไม่ฟังเลยนะอย่าไปอย่างนั้นเลยนะ...ไป อย่าเกอย่างนั้นเลยนะ...เกเลยวุ่นกันไปคิดไป ที่มันเห็นในปัจจุบันเราก็จะเห็นว่า
ธรรมะที่ท่านพูดน่ะมันจริงนะที่ เรียกว่าเป็นของของเรานั้นมันก็เป็นเพียงแต่ของสมมติที่เรียกว่าเป็นเรานั้นก็สักแต่ว่าเป็นของสมมติเท่านั้น
ถ้าพูดตามความจริงแล้วมันถูกคำพระแต่เรายัง ไม่เห็นความจริงตามความเป็นจริงของพระเราก็ยังไม่เชื่อไม่รู้จัก ถ้าเราฟังไปพิจารณาไปรู้เรื่อง เราจะเห็นว่าของนี้ไม่ใช่ของเราจริงๆนะเห็นไหมที่บ้านเราที่เรียกว่าของเราน่ะมันเคยแตกไหมเคยหายไหม มันเคยอะไรต่ออะไรไหมมัน เปลี่ยนแปลงไหมเห็นไหม มันก็เห็นเป็นตัวอย่างแหละ
ที่เราเรียกว่า
ของเรา
มันไม่ใช่ของเราคือมันบอกไม่ได้ว่ามันไม่ฟังมันเป็นสภาพของมันอย่างนั้นไม่ว่าจะของข้างนอกกายของในกายของเรา
ก็เอาสิ ในร่างกายของเราแม้ส่วนใดส่วนหนึ่งของเราก็เหมือนกันโรคเกิดขึ้นมาทำไมถ้าเราเป็นเจ้าของมันทำไมจึงให้มันเป็นโรคของเขาอย่างนั้นร่างกายมันเป็นดินน้ำ ลม ไฟ อยู่อย่างนั้นเราเกิดมาในที่นั้นเราก็นึกว่าอันนั้นเป็นของเราแท้ๆแย่งเถียงกับสังขารอยู่ตลอดเวลาอย่างนั้นผลที่สุดแล้วก็สู้ไม่ได้สักทีหนึ่งต้องแพ้สังขารอยู่ทุกทีเลยในที่สุดแล้วก็ไปจากกันไป ถึงคราวถึงสมัยแล้วก็ต้องไป ไม่ว่าจะผัดวันประกันพรุ่ง...ไม่ได้...ให้ลูกฉันโตซะก่อนให้ฉันร่ำรวยซะก่อนอันโน้นอันนี้ไม่ได้...ไม่ได้เมื่อเขาจะเอาไปเขาก็เอาไปทั้งนั้นแหละ...ว่าเมียฉันจะอยู่อย่างไรลูกฉันจะอยู่ยังไงพ่อฉันจะอยู่ยังไงแม่ฉันจะอยู่ยังไงเขาไม่ถามถึงแล้วพอถึงแล้วก็ไปกันอย่างนี้
อันนี้ถ้าเราคิดเช่นนั้นเราก็จริงเข้ามาในธรรมะเมื่อ เราจริงเข้ามาในธรรมะเช่นนั้นก็คล้ายๆเราเห็นงูเห็นอสรพิษงูเห่าที่มันเลื้อยๆงูเห่านี่มันมีพิษถ้าเราไม่เห็นมันไม่รู้จักมันมันอาจฉกเราได้มันอาจกัดเราได้เราไปเหยียบมันเราไปกำ มันได้เรารู้จักงูอสรพิษนี่งูเห่ามันมีพิษแต่เรามองเห็นมันเสียก่อน มันเลื้อยมาข้างหน้า...นั่นงูแล้วนั่นอย่าเข้าไปใกล้มันนะแล้วเราก็จัดการให้ห่างจากอสรพิษนั่นอสรพิษก็ไม่ได้ฉกเราไม่ได้กัดเราพิษงูก็ไม่มาถึงเราถึงแม้มันมีพิษมันก็ไปตามเรื่องของมันเช่นนั้นน่ะ...มันไม่ถึงเราอันนี้ก็ฉันนั้นเพราะเรา ป้องกันตัวเราแล้วอันนั้นมันเป็นพิษเราไม่เข้าใกล้มันหลีก จากมันเสียมันก็ไม่มีพิษมีก็เหมือนไม่มีมันก็อยู่กับงูมัน ไม่พ่นพิษมาถึงเราเราก็ไม่เป็นทุกข์
อันนี้ฉันใดก็ฉันนั้น
ร่างกายจิตใจนี้ ก็อสรพิษอย่างหนึ่งเหมือนกัน
เคยเห็นไหม
ร่างกายมันอสรพิษน่ะบางทีมันก็ปราศจากโรคภัยแข็งแรง ยิ้มแย้มแจ่มใสบางครั้งมันก็เป็นโรคออดๆแอดๆร้องไห้ก็ได้เจ็บปวดก็ได้นั่นคืออสรพิษเรื่องจิตใจนี่ก็เหมือนกันถ้ามันได้อารมณ์ดีแล้วก็ดีหรอกก็ค่อยยังชั่วหรอกถ้าที่อารมณ์ไม่พอใจแล้วนอนน้ำตาไหลอยู่นั่นมันเป็นพิษ
อย่างนั้นอสรพิษมันกัด ไม่รู้จัก
อย่างนั้น พระพุทธเจ้าท่านให้ศึกษาธรรมะให้รู้จัก กายกับใจของเรารูปังอนิจจังเวทนาอนิจจาสัญญาอนิจจาสังขาราอนิจจาวิญญาณังอนิจจัง
ทั้งกายและจิตนี้รวมแล้ว
ล้วนมีแต่ของไม่เที่ยงทั้งนั้นแหละมีแล้วก็หาไม่เกิดแล้วก็ดับไป
มันก็เป็นอย่างนี้ตลอดกาลตลอดเวลามันเป็นอยู่อย่างนั้นเผินๆแล้วก็ดูเหมือนมันเป็นของจริงเผินๆดูแล้วมันก็เป็นของเหมือนสักแต่ว่ากายสักแต่ว่าจิตสักแต่ว่าทุกข์เท่านั้นเองผลที่สุดแล้วถ้าเราไม่รู้สิ่งทั้งหลายนี้สิ่งทั้งหลายจะเป็นพิษ เหมือนงูอสรพิษมันกัดเรานั่นแหละไม่รู้มัน เราดันไปเหยียบมันไปจับมัน มันก็กัดเรา
เรื่องจิตใจเรานี้ถ้าเราไม่รู้เรื่องกิเลสตัณหาแล้วเราก็เป็นทุกข์เมื่อสังขารร่างกายมันแปรตามธรรมชาติต่างๆเราก็ร้องไห้เสียอกเสียใจหลายอย่างหลายประการอันนี้เรียกว่ากายเราเป็นพิษจิตใจเราก็เหมือนกันเมื่อคิดไปถึงอย่างหนึ่งคิดไปถึงทุกข์มันก็ทุกข์เข้าไปคิดให้มันทุกข์เห็นมันผิดเป็นทุกข์ จนน้ำตามันไหลออกอันนี้ล้วนแต่เราคิดเอาทั้งนั้นแหละ
บางทีคิดไปคิดมาคิด กลัว ไปอยู่ที่มืดกลัวว่ามีผีทั้งนั้นแหละกลัวแล้วก็วิ่งคิดเอาแล้วก็วิ่งกลัวแล้วก็คิดเอาเกิดขึ้นกับจิตของเราที่มันโง่นั่นแหละถ้ามันกล้ามันก็คิดให้มันกล้ามัน กล้าหาญขึ้นมามันก็เป็นอยู่อย่างนี้แหละอันนี้ไม่ใช่เราไม่ใช่ของเราไม่แน่นอนสักอย่าง
ตอบกลับ
สนับสนุน
คัดค้าน
ใช้ไอเท็ม
รายงาน
kit007
kit007
ออฟไลน์
เครดิต
32163
3
#
เจ้าของ
|
โพสต์ 2014-4-4 09:36
|
ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
มิฉะนั้น วันของคนเรานั้นมีอยู่๒๖ วัน เป็นวันพระอยู่๔ วัน ท่านจึงให้มาวัดอบรมหรือไม่มาวัดก็ให้รู้จักวัตรคือ ข้อปฏิบัติอยู่ที่บ้านของเรามันเป็นวิธีแบ่งวันพระเป็นวิธีแบ่งหรือวิธีลบมาฟังเทศน์กับพระท่านเทศน์เป็นวิธีแบ่งไม่ให้เอาหมด แต่ตามใจมนุษย์ทั้งหลายมันต้องมีวิธีคูณทั้งนั้นแหละไม่รู้ว่าจะใส่ตรงไหนไม่มี ก็เหมือนเลขวิธีบวก วิธีลบวิธีคูณ อย่างนั้นแหละหัวใจมนุษย์มีวิธีคูณอย่างเดียวไม่มีแบ่ง ไม่มีลบ ทำไมมันจะไม่ทุกข์ล่ะไปใส่ตรงไหนมันจะพอล่ะมีไหม จำนวนเลขมีวิธีคูณอย่างเดียวไหมถ้ามันมากท่านให้ลบมัน มากท่านก็ให้แบ่งให้มันพอดีหาความพอดีของจำนวนของเลขนั่นแหละ เราไม่เอาอย่างนั้นนี่คูณตะพึดทั้งนั้นแหละไม่ได้ ฟังเสียงใครไม่ต้องแบ่งใครไม่ต้องลบออกแบกมันตะพึดเลยทำไมมันจะไม่ทุกข์ล่ะรถสิบล้อมันก็พังทั้งนั้นแหละไม่มีเหลือหรอก ขนใส่ไม่หยุดนี่
ร่างกายจิตใจเราก็เหมือนกัน
ธรรมะ
นี่ก็เรียกว่าวิธีแบ่ง วิธีลบเมื่อราคะ โทสะโมหะ มันเพิ่มขึ้นมาก็ให้แบ่งมันบ้าง
อย่างตอนนี้มีลูกชายคนนี้หรือมีลูกหญิงคนนี้มันดี สอนมันได้ตลอดมาลูกชายคนนี้มาอีกวันหนึ่งสอนมันไม่ได้มันไม่ไป พ่อแม่ก็โกรธซะแล้วทำไมไม่เอามาบวกกันเองเราใช้มันมาตั้ง๔ เดือน ๕ เดือนมันไปทั้งนั้นมันทำทั้งนั้นแหละนี้พูดวันเดียวเท่านั้นแหละมันไม่ไป ทำไมถึงไปเกลียดมันนักหนาล่ะทำไมถึงไปว่ามันไปไล่มันอย่างนั้นล่ะทำไมไม่เอาวันหลังๆที่เราใช้มันไปมาบวกเข้ากันบ้างอันนี้มันทำผิดวันเดียว ทำไมถึงโกรธนักหนาล่ะเป็นไงล่ะ เอามาบวกกันบ้างสิเอามาแบ่งกันบ้างสิ
ก็เรานั้นแหละเราคิดไม่ค่อยจะดีเราไม่ค่อยลบมันไม่ค่อยแบ่งมันมีแต่ทำวิธีคูณทั้งนั้นมันก็ตาย จนไม่มีเหลือล่ะ อะไรมันจะเหลือล่ะลองๆดูสิ เราก็ต้องบอกมันสิเราใช้มัน มาตั้งหลายเดือนมันไป วันนี้วันเดียวมันไม่ไปให้อภัย มันเถอะอันนี้ก็เรียกว่าลบมันหรือแบ่งมันวันหลังก็ใช้มันอีกได้ ใช้มันมาตั้งหลายปีแล้ววันเดียวมันพูดไม่เชื่อโกรธ ใส่มันนะจะทำยังไงมันแล้วอันนี้เป็นเพราะเราด้วยนะอย่า ลืมสิ
ธรรมะก็เหมือนจำนวนของเลขมันมีวิธีคูณมันมีวิธีแบ่งมันมีวิธีบวกมันมีวิธีลบ
ถ้าใครคิดอยู่อย่างนี้คนนั้นจะเป็นคนที่ฉลาดเป็นคนที่ฉลาดรู้จักการณ์รู้จักเวลาควรที่ลบก็ลบควรที่แบ่งก็แบ่งที่จะคูณก็คูณควรที่จะรวมกันเข้าก็รวม
ก็เป็นอย่างนั้นอันนี้ คูณทุกที่ใจคนมันจะตายแล้วนะคือเรื่องไม่รู้จักพอนั่นเองไม่รู้จักพอก็คือไม่รู้จักแก่ไม่รู้จักแก่คือไม่รู้จักพอ
คนรู้จักแก่คือคนรู้จักพอถ้าพอแล้ว คำว่า
“เอาล่ะ”
มันก็จะพ้นขึ้นมาเห็นไหมล่ะ คนที่ว่าไม่พอคำที่ว่า “เอาล่ะ”มันไม่พ้นขึ้นมาแล้วนี้ก็แบกไปตะพึดทั้งนั้นนี่ถ้ารู้จักพอเอาล่ะ ถ้าเราว่าเอาล่ะ นี้มันสบายนี้มันพอแล้วคำที่ว่าเอาล่ะนี้มันพ้นขึ้นมานี่มันไม่เห็นสักทีเลยไม่เคยเหวี่ยงไม่เคยปลง ไม่เคยวางกันทั้งนั้นแหละเอาตลอด ไปไหนก็ไม่รู้เรื่องทั้งนั้นแหละ
อาตมาเคยเห็นยายคนหนึ่งนะไม่รู้จักพอไม่รู้จัก อิ่มน่ะมีลูกชายคนเดียวนาก็มีหลายทุ่งบ้านก็มีหลายหลังยายคนนั้นก็คิดไป“เมื่อเราตายแล้วจะไปอย่างไรหนอลูกจะไม่ทิ้งของทั้งหมดเหรอ”...คิดไป“ไม่ได้หรอกจะต้องแต่งงานให้มันซะ มันจะได้อยู่บ้านอยู่ช่อง”ทีนี้ก็เลยไปแต่งงานให้ลูกชายคนเดียวนั่นแหละพอมาแต่งงานให้มันแล้วก็นึกว่าจะพอไม่พอ...คิดไปอีกแล้ว“หากว่าลูกชายเราตายจะทำไงนี่สะใภ้ จะเอาไปคนเดียวหมดละมั๊ง”เป็นทุกข์อีกซะแล้วคือไม่รู้จักพอ ถ้ามีลูกชายไม่มีลูกสะใภ้ก็กลัวมันจะหนีไปเที่ยวมันจะ เก หาลูกสะใภ้หาเมียให้มันก็คิดไปอีกว่า“ลูกชายตาย ทำไงเรามันแย่ไม่มีใครลูกสะใภ้มันก็คนอื่นมันก็เอาไปหมดเท่านั้นแหละ” ดิ้นรนไปอีกซะแล้ว
อันนี้มันตัวจริงนะไม่ใช่นิทานนะนี่นะก็เลยขึ้นมาหาอาตมาอยู่ที่วัดมากราบ เลยมาเล่าให้ฟัง“หลวงพ่อมันเป็นอย่างนั้นๆๆจะทำอย่างไรล่ะ”เล่าไป “มีลูกชายคนเดียวมัน ไม่ค่อยอยู่บ้านอยู่ช่องของก็มาก อิฉันว่ามันจะไม่คุ้มของรักษาของไม่คุ้มก็คิดว่าแต่งงานให้มันเสียก็ว่ามันจะแล้วไปแต่งงานแล้วความคิดใหม่มันพ้นขึ้นมาอีกเมื่อลูกชายเราตายแล้ว จะทำไงล่ะ!ลูกสะใภ้ก็เอาไปกันหมดเท่านั้นแหละ”แน่ะไม่จบ โยมคิดอย่างนี้อาตมาก็จนใจเหมือนกันนะน่าจะ เข้าไปโน่นนะไปฟังเทศน์อยู่ที่วัดศรีมหาโพธิ์นั่นดีกว่าละมั้งนี่จะเอาจริงตรงไหนล่ะคือ
มีแต่ความไม่พอไม่ตายก็ไม่พอแล้วก็เป็นทุกข์เป็นร้อน
ตอนนี้ไม่เห็นนานแล้วก็น่าจะตาย แล้วป่านนี้ไม่เห็นมาแล้วนี่คือกลัวไม่หยุดอันนี้เป็นอย่างนั้นต่อไป ตรงนั้นจะเป็นอย่างไรต่อไปเลยวุ่นต่อไปตลอดเลย เป็นทุกข์ไม่ได้อยู่เป็นสุขเลยอันนั้นเรียกว่าคนไม่รู้จักพอไม่รู้จักพอจะให้มันเป็นต่อเนื่องไปเรื่อยๆอย่างนั้นมันก็เป็น ไปได้ยากลำบาก
ฉะนั้น องค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านก็อบรมไปในปัจจุบันนี้อบรมไปเรื่อยๆไปให้รู้เห็นในปัจจุบันของเรานี้แก้ปัญหาเฉพาะในปัจจุบันของเรานี้แหละอย่าให้มันไปทุกข์เลย แก้ปัญหาให้มันได้ในปัจจุบันนี้ถ้าคิดไปอย่างนั้นมันก็ไม่จบ มิฉะนั้นการฟังธรรมนี่มันก็ไม่แปลกกับจำนวนของเลขวิธีทำเลข มันก็มีวิธีบวกมันมีวิธีลบมันมีวิธีคูณมันมีวิธีหารแบ่งออกให้มันได้จำนวนของมันไอ้ความคิดความรู้สึกของเราก็ต้องทำอย่างนั้นอย่าไปให้โทษมันสิให้โทษมันเรื่อยไม่ได้หรอก ต้องแบ่งภาระให้รู้จักการณ์รู้จักเวลาให้มันสมควร
ถ้าเรารู้จักวันพระอย่างนี้นานๆ ๒๖ วัน ก็ให้รู้จักวันพระ ก็วันพระ๔ วันเท่านั้นน่ะเดือนหนึ่งมี๔ วัน... พยายาม...
วันอื่นให้ทำมาหากินเสียแล้วก็มาอบรมอบรมแล้วก็ไปทำมาหากินพอจิตใจมันจะวุ่นวายก็เข้ามาอบรมอีกแล้วก็ไปทำมาหากินต่อสู้มันไปกับโลกอย่างนี้มันก็รู้จักทางทำมาหากินไปไม่เป็นทุกข์ก็จะเห็นอนิจจังมันไม่เที่ยงพ้นขึ้นมา
ถ้าไปยึดมั่นถือมั่นก็เป็นทุกข์อย่างนี้มันก็มีอยู่ทั่วไป
ดูที่ชาวพุทธเรานะอาตมาก็มาคิดดูที่ว่าตั้งแต่อาตมาเกิดมานี้นะคนเราน่ะ พระพุทธเจ้าท่านสอนว่าเกิดมาแล้วมันเแก่ มันเจ็บแล้วมันก็ตายฟังกันทุกคนแหละพ่อแม่เราเสียไป ญาติพี่น้องเราเสียไปทำศพกัน เอาพระไปเทศน์ท่าน ก็เทศน์ให้ฟังนะแล้วท่านก็เทศน์ให้ฟังด้วยมันก็แก่ เจ็บตาย ตายแล้วก็เห็นด้วยแต่ว่าตายทุกคนร้องไห้ทุกทีไม่รู้ว่าเป็นยังไง ท่านก็เทศน์ให้ฟังอยู่เรื่อยๆทุกคนที่รักของเราทุกคน จากไปร้องไห้ทุกทีไม่ได้ภาวนากันหรืออย่างไรก็ไม่รู้ไม่ได้คิด กันบ้างหรืออย่างไรก็ไม่รู้สังขารมันเป็นของไม่เที่ยงท่านก็ บอก เราก็เห็นอยู่ว่ามันเป็นอย่างนั้นเราก็ยังไม่พิจารณานะก็มีความโศกเศร้ามีความน้อยใจมีความพิไรรำพันอยู่ตลอดกาลตลอดเวลาตลอดยุค ในปัจจุบันนี้
ตอบกลับ
สนับสนุน
คัดค้าน
ใช้ไอเท็ม
รายงาน
kit007
kit007
ออฟไลน์
เครดิต
32163
4
#
เจ้าของ
|
โพสต์ 2014-4-4 09:37
|
ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
บ้านอาตมานี่สมัยก่อนเมื่ออาตมาเป็นเด็กคนใน บ้านตายนี่มันร้องไห้อยู่ตั้ง๕ วัน ๖ วัน ไม่รู้ว่าเป็นอย่างไรเราก็เห็นว่าคนตายไม่คืนมา...เห็นทุกทีแต่เราก็ไม่จำทุกทีมัน ขาดการภาวนาขาดการพิจารณามาสมัยนี้อาตมาสงเคราะห์ญาติอยู่วัดหนองป่าพงนี้ประมาณสัก ๓๐ปีมาแล้วนี่ญาติ พี่น้องเสียไปนั่นพ่อแม่พี่น้องเสียไปไม่เคยเห็นญาติโยมร้องไห้...ไม่เคยเห็นร้องไห้ก็นิดๆหน่อยๆน้ำตาไหลนิดเดียวก็พอ สมัยก่อนมันร้องตะโกนกันทั้งคืนทั้งวันจนรำคาญ
อันนี้อาตมาก็เรียกว่าที่มาอบรมกันนี้เห็นประโยชน์ส่วนนี้พอสมควรคือ
ได้ยินบ่อยๆได้ฟังบ่อยๆความรู้มันก็เกิดขึ้นบ่อยๆเมื่อความรู้เกิดขึ้นบ่อยๆความฉลาดก็เกิดขึ้นมาบ่อยๆความฉลาดเกิดขึ้นมาบ่อยๆเป็นต้น ความพ้นทุกข์มันก็เกิดขึ้นมาเรื่อยๆ
ฉะนั้นมันดีแล้วพวกเราได้ส่วนแบ่งส่วนแบ่งจากปราชญ์ทั้งหลายว่าเดือนหนึ่งเราได้๒๖ วัน ให้มาอบรม๔ วัน ให้พิจารณาให้พระให้ความเห็นให้คิด ให้ภาวนาให้พิจารณาถ้าหากว่าท่านมอบให้เราทั้งหมด๓๐ วัน คงจะแย่ล่ะมั้งนี่ไม่รู้ว่าใครเป็นใครแล้วนี่ ๓๐ วัน ท่านให้เรา๒๖ วัน ทำมาหากินก็พอแล้วท่านให้มาอบรมเป็นวันพระ ๔ วันอย่างนี้ก็พอสมควรเพราะจะรู้จะเห็นนี้
แต่สมัยนี้มาขโมยเอาวันพระไปหมดซะแล้วแบ่งกัน ข้างหนึ่งเอา๒๖ วัน ข้างหนึ่งเอา๔ วัน บางแห่งมาขโมยวันพระไปหมดแล้ว...ไม่มีเหลือคือวันพระก็ไม่รู้จักเข้าวัดฟังธรรม ก็ไม่รู้จักอะไรต่ออะไรเป็นอย่างนั้นเหมาเอาทั้งหมดทั้งเดือน๓๐ วันเอาคนเดียวหมดโดยดูที่ทุกวันนี้ไปดูวันพระตามวัดตามวานี่ญาติโยมจะเข้าวัดฟังธรรมฟังเทศน์ไม่ค่อยจะมีหรอก เหมาหมดเอาทั้ง๓๐ วัน อาตมาว่าท่านแบ่งให้
๒๖วันก็พอแล้วพอควรแล้วพระท่านให้๔ วัน เอาไว้อบรมก็พอสมควรแล้วมากพอควร
ในสมัยนี้ก็เป็นอย่างนั้นโดยมากฉะนั้น
การฟังธรรมนี้ก็ให้ประโยชน์เราถ้าเราไปพิจารณาฯ
ที่มา
http://www.ubu.ac.th/wat/ebooks/ ... ring_of_Dhamma.html
ตอบกลับ
สนับสนุน
คัดค้าน
ใช้ไอเท็ม
รายงาน
กลับไป
ตั้งกระทู้ใหม่
โหมดขั้นสูง
B
Color
Image
Link
Quote
Code
Smilies
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง
ลงชื่อเข้าใช้
|
ลงทะเบียน
รายละเอียดเครดิต
ตอบกระทู้
ข้ามไปยังโพสต์ล่าสุด
ตอบกระทู้
ขึ้นไปด้านบน
ไปที่หน้ารายการกระทู้
Share To Facebook
Share To Twitter
Share To Google+
Share To ...