ตั้งให้เราเป็นเว็บแรกที่คุณเลือก เก็บเราไว้เป็นเว็บโปรด
สมัครสมาชิก ได้มากกว่าที่คุณคิด เข้าสู่ระบบ
ดู: 4549
ตอบกลับ: 11
สั่งพิมพ์ ก่อนหน้า ถัดไป

10 ตำนานเรื่องเล่า ชวนขนลุกในต่างประเทศ

[คัดลอกลิงก์]
10 ตำนานเรื่องเล่า ชวนขนลุกในต่างประเทศ


                                                                                                                                                                                               


                                เรื่องเล่าในตำนานถูกเล่าต่อกับมาเป็นทอดๆ สร้างความสงสัยให้กับใครหลายๆคนว่าเรื่องนั้นเป็นจริงบ้างหรือป่าวหรือแค่เป็นเรื่องราวที่คิดขึ้นมาเองเพื่อหลอกเด็กบาง เรื่องบางเรื่องก็เป็นแนวคิดให้นำไปเป็นแรงบันดาลใจในการสร้างหนัง       

                                                               
                                                ที่มา : mthai.com


2#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-3-25 08:38 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
                        10. The Clown Statue / The Clown Doll
                                                   


                            ชาวอเมริกันบางคนกลัวตัวตลกคะ (จากการวิเคราะห์ของนักจิตวิทยาพบว่าเด็กส่วนใหญ่ไม่ชอบตัวตลก) ดังนั้นจึงไม่แปลกอะไรที่ภาพยนตร์หลายเรื่องมักใช้ตัวตลกมาทำเป็นสัตว์ประหลาดทำร้ายคน นอกจากนี้ยังมีเรื่องเล่าที่น่าขนหัวลุกเกี่ยวกับตัวมันอีก
โดยเรื่องเริ่มขึ้นว่าในระหว่างที่บ้านหลังใหญ่หลังหนึ่ง ในกลางคืนดึกวันหนึ่ง ระหว่างที่พ่อแม่ดูทีวีในห้อง อยู่นั้นก็มีเด็กซึ่งเป็นลูกของพวกเขามายังในห้อง(บางที่ก็บอกพี่เลี้ยงเด็ก) พ่อแม่เด็กถามเด็กว่าทำไมไม่ไปนอน ตื่นขึ้นมาหาพวกเขาทำไม เด็กคนนั้นตอบว่าช่วยจัดการกับรูปปั้นตัวตลก(ตุ๊กตาตัวตลก)ในห้องของผมทีครับ มันจ้องหน้าผมเวลานอนจนผมเป็นประสาทและนอนไม่หลับ
เมื่อพ่อแม่ได้ยินเด็กพูดดังกล่าวก็อึ้ง เพราะว่าบ้านพวกเขาไม่ได้มีรูปปั้นตัวตลกในห้องนอนสักหน่อย และเขาก็ไม่เคยซื้อรูปปั้นดังกล่าวมาด้วย และรูปปั้นตัวตลกในห้องนั้นนั่นคืออะไรล่ะ? ด้วยความกลัว พวกเขาก็โทรเรียกตำรวจทันทีและผลปรากฏว่าไม่พบรูปปั้นตัวตลกในห้องนอนของพวกเขา แต่พบว่ามีร่องรอยบุกรุกจากภายนอก สันนิษฐานว่าคนจรจัดไม่ก็คนบ้าได้ปลอมเป็นตัวตลกแอบบุกรุกในบ้าน หรือไม่ก็คนบ้าหลบหนีจากคุกเพื่อฆ่าเด็ก และเรื่องเล่าดังกล่าวก็เคยถูกนำมาแต่งเป็นนิยายของสตีเฟ่น คิง และถูกนำมาเป็นภาพยนตร์ในชื่อ Stephen King’s It (1990) หรือเรื่อง Killer Klowns(1988), Clownhouse(1990) ที่นำเสนอเป็นสัตว์ประหลาดที่มันจะออกมากินเด็กในเมืองนั้นและมันก็เกิดขึ้นจริงซะงั้น ในปี 1990 ที่ West Palm Beach ฟลอริด้า หญิงสาวคนหนึ่งชื่อเชียลา(shelia keen) อายุ 27 ปีถูกยิงตายโดยผู้เห็นเหตุการณ์กล่าวว่าคนฆ่าอยู่ใกล้ศพของเธอนั้นแต่งตัวเป็นตัวตลกใส่วิกผมสีส้มทอง(และคดีนี้ไม่สามารถไขได้ จนกลายเป็นคดีปริศนาในเวลาต่อมา) แต่ฆาตกรตัวตลกนี้เทียบไม่ได้กลับฆาตกรต่อเนื่องนาม จอห์น เวยน์ เกซี(John Wayne Gacy 1942 ~ 1994) ที่ทำการฆาตกรรมฆ่าข่มขืนเด็กหนุ่ม 33 ชีวิตในระหว่างปี 1970-1978 ในเมืองชิคาโก้ รัฐอิลินอยส์ เขาถูกตั้งฉายาว่า ฆาตกรตัวตลก เนื่องจากเขาชอบ แต่งตัวเป็นตัวตลกไปเยี่ยมเด็กๆในโรงพยาบาลหรืองานกุศล สุดท้ายเขาก็ถูกประหารชีวิตด้วยการฉีดยาพิษเข้าเส้นเลือด

                    

3#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-3-25 08:39 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
                        9. The Living Severed Head
                                                   


                            เป็นความเชื่อของคนหลายคนทั่วโลกไม่ใช่เฉพาะแค่อเมริกา โดยเชื่อว่าเมื่อคนโดนตัดหัวหลุดจากบ่า แต่แล้วหัวนั้นมันมีชีวิตอยู่ระยะหนึ่ง มันยังคงพะงาบๆ และมันเหลือบมองหน้าคนตัดอย่างอาฆาต!! และมันก็เกิดขึ้นจริงซะงั้น!! เมื่อหัวเราหลุดจากบ่า เรายังมีชีวิตอยู่ต่อได้ไหม เราสามารถกระพริบตา พะงาบๆ สมองยังทำงานได้ไหม
เรื่องเหล่านี้เริ่มขึ้นในช่วงที่กิโยตินหรือเครื่องตัดหัวเป็นที่นิยมใช้ประหารนักโทษ ด้วยเหตุผลที่ว่าเป็นการประหารที่ทำให้ผู้ถูกประหายตายอย่างรวดเร็ว หมดจด สมองไม่เสียหาย เวลาประหารแต่ละทีจะทำท่ามกลางประชาชนที่มามุมแน่นขนัด และนั้นเองทำให้พวกเขามีโอกาสเห็นหัวยังมีชีวิต หนึ่งในนั้นคือ สมัยปฏิวัติฝรั่งเศส วันที่ 17 กรกฎาคม 1793 สาวนาม ชาร์ล็อตต์ คอร์เดย์(Charlotte Corday) สาวบ้านนอกที่ทำการฆาตกรรม พอล มารัต(Jean-Paul Marat)เธอถูกประหารด้วยกิโยติน หลังจากคมมีดตัดเอาศีรษะเธอกระเด็นออก ผู้ช่วยประหารคนหนึ่งหยิบหัวเธอมา แล้วตบแก้ม พยานโดยรอบยืนยันว่าดวงตาของเธอกลอกมามองเขาพร้อมกับสีหน้าไม่พอใจและได้พูดคำว่า  ไม่ได้ (couldn) หลังจากนั้น ผู้คนที่จะถูกประหารด้วยกิโยตินก็จะถูกขอให้กระพริบตา ผลคือมีนักโทษหลายคนแสดงให้เห็นว่าแม้ถูกตัดหัวตนก็ยังมีชีวิตอยู่ใน 1905 จากหลักฐานต่างๆ สามารถสรุปได้ว่าแม้ถูกตัดหัวแล้ว สมองของคุณ ยังคงสามารถรับรู้สิ่งต่างๆ ได้หลายวินาทีก่อนที่จะตาย โดยหนึ่งในนั้นมาจากงานทดลองของดอกเตอร์ โบเรียคซ์ (Beaurieux) ผู้ซึ่งทำทดลองจากฆาตกรฝรั่งเศสชื่อ แลงกุยล์เลอ(Languille) หลังจากเขาถูกแท่นตัดคอนักโทษด้วยเครื่องประหารด้วยกิโยติน(แท่นตัดคอนักโทษที่ถูกออกแบบให้ประหารแบบมนุษยธรรม)? ตาของ แลงกุยล์เลอ และปากยังคงขยับดำเนินต่อไปนานถึงห้าถึงหกวินาที และต่อมาเมื่อโบเรียคซ์ ตะโกนเรียกชื่อนักโทษ ก็พบเรื่องน่าขนลุกเมื่อ ตาของ แลงกุยล์เลอเปิดออกครั้งและจ้องมองเขา? ทำให้เกิดความเชื่อว่าเมื่อคนหัวขาดอาจสามารถคลองสติได้ 15 วินาทีแพทย์สมัยใหม่เชื่อว่าปรากฏการณ์ดังกล่าวเกิดจากการ reflex ของกล้ามเนื้อ (คือกล้ามเนื้อกระตุกจากการสูญเสียเลือด หรือการควบคุม ทำให้ตากระพริบหรือกลอก) ไม่ใช่สติรู้ตัว แม้สมัยนี้กิโยตินถูกยกเลิกแล้ว แต่ใช่ว่าเหตุการณ์แบบนี้จะไม่เกิดขึ้นอีก เมื่อมีเหตุการณ์อุบัติเหตุเกิดขึ้น เช่นในเดือนมิถุนายนปี 1989 เมื่อคนสองคนนั่งแท็กซี่แล้วประสบอุบัติเหตุชนกับรถบรรทุก เพื่อถูกตัดศีรษะออก ส่วนอีกคนที่รอดได้พบเหตุการณ์น่าสยอง เธอได้เล่าเรื่องนี้หลังรอดชีวิตว่า หัวนั้นหงายหน้ามองฉัน ฉันยังสังเกตว่า ปากของเขาพยายามพูดสื่อสารอะไรบางอย่างกับฉันอยู่ แม้ตอนนั้นฉันกำลังสับสน หวาดกลัวและเศร้าโศก แต่ฉันไม่พูดเกินความจริง เขายังกะพริบตาและจ้องกับฉัน ก่อนที่หัวนั้นจะหลับตาลงและไม่ตื่นอีกเลย

                    

4#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-3-25 08:39 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
                        8. Buried Alive
                                                   


                            เรื่องเล่ากันว่ามีหญิงชายคนหนึ่งแต่งงานกับ และอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข จนกระทั้งแก่เฒ่า จนกระทั้งวันหนึ่งภรรยาของเขาได้จากไป เขาจัดพิธีศพตามหลักศาสนาคริสต์ คือนำศพของเธอมาฝังในโลงศพอย่างดีมาฝังในสุสานเพื่อให้เธอพักผ่อนถาวร?เรื่องคงจบแต่เพียงเท่านี้ หากแต่ไม่ เมื่อดึกคืนหนึ่งในขณะที่ฝ่ายชายนอนหลับ เขาได้ฝันน่ากลัวเข้า เมื่อเขาเห็นภรรยาที่อยู่ในโลงศพลืมตาดื่นขึ้น เธอพยายามตะเกียดตะกายเพื่อออกจากโลงที่ถูกฝังในดิน ความมืด ความแคบ อาการน้อยลงทุกที ทำให้เธอกลายเป็นบ้า เธอกำลังร้องชื่อเขาเพื่อมาช่วยเหลือเธอ
ฝ่ายชายฝันร้ายแบบนี้ทุกค่ำคืน จนกระทั้งทนไม่ไหว เขาเลยร้องขอให้แพทย์และหน่วยงานท้องถิ่นนำโลงศพของภรรยาของเขาออกมา และเมื่อทั้งหมดเปิดฝาโลงก็ตะลึงเมื่อศพภรรยาของเขาไม่ได้เน่าเบื่อ ซ้ำที่เบิกตาโพลง ทำหน้าตาหวาดกลัว ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยขีดข่วน ที่เล็บมีเลือดเกรอะกรัง และที่ฝาโลงด้านในมีรอยขีดข่วนชัดเจน
มันเป็นจริงซะงั้น! เรื่องของศพที่คิดว่าตายแล้วนำมาฝังตามพิธีกรรมทางศาสนา หากแต่ต่อมากลับพบว่าผู้ตายนั้นไม่ได้ตายจริง และกลับมาคืนชีพในโลงศพและพยายามตะเกียดตะกายเอาชีวิตรอด เรื่องราวเหล่านี้ถูกนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์สยองขวัญมากมาย แต่ที่น่าแปลกคือเรื่องเหล่านี้กลายเป็นจริงอีกทั้งมีมากกว่าหนึ่งกรณี สาเหตุง่ายมากก็เพราะสมัยก่อนนั้นการตรวจสอบผู้ตายนั้นตายจริงหรือไม่ นั้นไม่ค่อยทันสมัย ทำให้มีการฝังในโลงศพทั้งๆ ที่ผู้ตายคนนั้นแค่ตายชั่วขณะ และนี้คือตัวอย่าง ของผู้มีประสบการณ์ฝังทั้งเป็นที่ฟื้นคืนชีพในโลงศพที่ถึงฝังในดินอย่างน่าสยดสยอง
ปี 1851 เวอรจิเนีย เเมคโดเนล(Virginia Macdonald) อาศัยอยู่กับพ่อแม่ของเธอในนิวยอร์กซิตี้และป่วยตายเธอถูกนำไปฝังในสุสานกรีนวู๊ด(Greenwood) บรู๊คลิน นิวยอร์ค อเมริกา หลังจากพิธีฝังศพผ่านไป แม่ของเธอกลับบอกคนอื่นว่าเธอเชื่อว่าลูกของเธอไม่ตาย เธอพูดแบบนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนครอบครัวของเธอทนไหมไหวเลยต้องขุดโลงศพเปิดฝาโลงให้แม่ของเธอหายข้อข้องใจซะ แต่ปรากฏว่าพวกเขาพบว่าศพของเวอจิเนียนั้นยังไม่เน่า เธอคืนชีพในโลงและพยายามตะเกียดตะกาย ที่มือของเธอนั้นสภาพเละอย่างไม่มีชิ้นดี แสดงให้เห็นว่าเธอพยายามทำลายโลง แต่ล้มเหลวและขาดใจตายไปเสียก่อน (ปล. หลังจากนั้นป่าช้าแห่งนี้ได้ถูกย้ายไปที่แห่งใหม่ หลายโรงถูกนำมาตรวจสอบก็พบว่ามีศพหลายศพที่ถูกฝังทั้งเป็นจำนวนมาก)

                    

5#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-3-25 08:39 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
                        7. Faust
                                                   


                            Faust เป็นตัวละครเอกในนิยายเร้นลับโด่งดังของนักเขียนเยอรมันชื่อ โยฮันน์ โวล์ฟกัง ฟอน เกอเธบทละครอมตะของโลก ซึ่งจัดเป็นวรรณกรรมชิ้นเอกของเยอรมันที่มีความสำคัญเทียบเท่ากับงานของกวี โลก เช่น โฮเมอร์ ดันเต้ และเชคสเปียร์
เรื่องราวเกี่ยวกันเฟาสท์ ได้มีการเล่าขานเป็นตำนานพื้นบ้านที่น่าตื่นเต้นที่มีสีสัน เนื้อหาสำคัญอยู่ที่ว่า เฟาสท์เป็นเหมือนศาสดาผู้มีความรู้ทั้งทางวิทยาศาสตร์?เป็นเรื่องราวของชายผู้มีความรู้ ท่วมตัว และทะเยอทะยานที่ไม่มีที่สิ้นสุด วันหนึ่งโชคชะตาชักนำให้เขาพบ กับเมมฟิสโต้ (Mephistopheles) ปีศาจ ผู้สงสัยในอำนาจของพระเจ้า และเชื่อว่ามนุษย์ทุกคนจะมีชีวิตที่ดีกว่าที่เป็นอยู่ หากไม่หลงเชื่อในภาพลวงตาแห่งสวรรค์ ที่พระเจ้าเสกสรรค์ปั้นแต่งขึ้น ท่ามกลางสถานการณ์คับขันที่ต่างฝ่ายต่างมีภารกิจ ที่จะต้องสนองตัณหาของตนเอง เฟาสท์จึงยอมขายวิญญาณให้แก่เมฟิสโต้เพื่อ แลกกับความเป็นหนุ่มอีกครั้งและ นี่คือจุดเริ่มต้นของโศกนาฎกรรม
เฟาสท์นั้นเป็นบุคคลที่มีชีวิตจริงอยู่ในศตวรรษที่ 16 มีอีกชื่อหนึ่งคือ ดร.เฟาสต์(Dr.Faust)เป็นผู้ศึกษาด้านเวทมนต์อำนาจมืด เขาถูกกล่าวหาว่าคบหากับซาตาน

                    

6#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-3-25 08:39 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
                        6. Boogeyman
                                                   


                            Boogeyman หรือบูกี้แมน มาหลายชื่อเพราะมันปรากฏตัวทั่วโลก เช่นboeman (เดนมาร์ก), buse (นอร์เวย์), bcan,pca, pooka or pookha (Irish Gaelic), pwca, bwga or bwgan (เวลล์), puki (Old Norse), pixie or piskie (Cornish), puck (อังกฤษ), bogu (Slavonic, buka Russian)?เป็นผีหรือปีศาจ มีความโหดร้านเลือดเย็น โบกีย์แมนไม่มีตัวตนจริงๆ มันสามารถเปลี่ยนรูปร่างต่างๆ ได้ และสามารถผ่านเข้าไปได้ทุกๆ ที่ บางที่อาจเป็นเพียงธุรี ปลิวเข้าทางช่องหน้าต่างหรือรูกุญแจ บางทีอาจเป็นเงารางๆ แต่มันสามารถฆ่าคนได้ มีความเชื่อว่า พวกฆาตกรต่อเนื่องหรือซีเรียล คิลเลอร์ที่ก่อคดีฆาตกรรมมากมายนั้นคือ โบกีย์แมนนั้นเอง โบกีย์แมนยังถูกใช้เป็นเครื่องมือในการที่พ่อแม่ หรือผู้ใหญ่จะเอาไว้หลอกเด็กๆ ให้เกิดความกลัวเวลาเล่นซน โบกีย์แมนนั่นมาจากเรื่องจริง ในแถบเกาะชวาหรือมาเลเซีย ซึ่งชาวอังกฤษเข้ามายึดครองพื้นที่แถบนี้ โดยโบกีย์แมนนั้นมาจาก บูกีส(Bugis) ที่เป็นโจรสลัดในแถบนั้น มีความโหดร้าย ปล้นฆ่านักเดินทางอยู่ในย่านนั้น สร้างความหวาดกลัวเป็นอันมาก จนมีคำขู่กับลูกเรือที่นอกลู่นอกทางกันว่า เดี๋ยวบูกิสจะมาเอาชีวิต? จนกระทั้งความหวาดกลัวที่มีต่อบูกิสติดตามมายังอังกฤษ

                    

7#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-3-25 08:40 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
                        5. House so Haunted
                                                   


                            หนึ่งในเรื่องเล่าที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในอเมริกาและทั่วโลก ที่เล่ากันว่าให้ระวังการซื้อบ้านมือสอง ที่มีขนาดใหญ่หรือเป็นคฤหาสน์ ที่เปลี่ยนมือเจ้าของหลายราย ไม่งั้นจะได้สิ่งไม่พึ่งปรารถนาแถมมาด้วย นั่นก็คือวิญญาณร้ายที่สิ่งสถิตในบ้านหลังนั้นที่จะทำให้เจ้าของหรือผู้อยู่อาศัยต้องขวัญผวา จนผู้อยู่อาศัยต้องย้ายออกไปทุกครั้ง
นอกจากนี้ในหมู่เด็กๆ ก็มักจะเล่าถึงบ้านขนาดใหญ่ร้างคนว่าใครก็ตามที่เข้าไปในบ้านหลังดังกล่าวจะไม่สามารถกลับออกมาอีกเลย เพราะมันเป็นบ้านกินคนที่มักกินคนที่หลงเข้ามาในบ้าน และสถานที่คาดว่ามีผีสิงคาดว่าจะอยู่ มิชิแกน, โอไฮโอ และแคลิฟอร์เนีย และเรื่องที่โด่งดังที่สุดคงจะไม่เกินไปกว่าเรื่องของ บ้านอมิตี้วิลล์ โอนอเวนิว ทางใต้ของนิวยอร์ค ซึ่งเป็นบ้านทรงดัทซ์ โคโลเนียล ที่ถูกสร้างตั้งแต่ปี 1924 แต่เมื่อ 13 พฤศจิกายน ค.ศ. 1974 และได้เกิดการฆาตกรรมหมู่ครอบครัวหนึ่งจากนั้นเป็นต้นมาที่นี่ก็กลายเป็นบ้านผีดุ ไปในบัดดล โดยที่โด่งดังที่สุดคือกรณี ของครอบครัว ของจอร์จ ลัทซ์ก็อาศัยอยู่บ้านหลังนี้และพบเหตุการณ์ประหลาดแทบทุกคืนไม่ว่าจะเป็น เสียง รอยเท้า ผีอำ ฯลฯ จนครอบครัวนี้ทนไม่ไหวจนต้องย้ายบ้านในเวลา และเรื่องราวเหล่านี้ได้ถูกสร้างเป็นภาพยนตร์โด่งดังหลายเรื่อง

                    

8#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-3-25 08:40 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
                        4. Babysitter Upstairs
                                                   


                            เป็นเรื่องเล่าที่ฮิตของอเมริกาตลอดกาลที่เกี่ยวกับหญิงสาวที่รับเลี้ยงเด็กเวลาพ่อแม่ไม่อยู่บ้านในตอนกลางคืน โดยเฉพาะคืนนั้นเป็นคืนที่มีพายุหนัก และบ้านที่รับจ้างขนาดใหญ่ที่ว่าจ้างให้เธอรับเลี้ยงเด็ก และเมื่อเด็กนอนหลับเธอก็เริ่มได้รับโทรศัพท์แปลกโทรมา เมื่อเธอรับ เธอตกใจมากเมื่อปลายสายบอกว่าเขาจะมารับเธอ ด้วยความตกใจเธอเรียกตำรวจ ไม่กี่นาทีต่อมาตำรวจก็มาถึง ตำรวจเรียกเธอเพื่อบอกสิ่งที่พวกเขาสืบ โดยพวกเขาบอกเธอว่าสายมาจากภายในบ้าน และบางทีมันอาจจะอยู่ข้างบนบ้านแต่กระนั้นจะการตรวจสอบของเจ้าหน้าที่ก็ไม่พบคนแปลกหน้าอยู่ในบ้านเลยสักคน และนี้คือหนึ่งในเรื่องที่นิยมจนถูกนำไปทำภาพยนตร์สยองขวัญในเวลาต่อมา

                    

9#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-3-25 08:40 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
                        3. The Hook
                                                   


                            เป็นตำนานที่โด่งดังในช่วง 1940 เกี่ยวกับการการเตือนเกี่ยวกับหนุ่มสาวที่ร่วมรักกันในรถข้างทางเปลี่ยว และเรื่องเล่านี้ก็กลายเป็นจริงอีกด้วย
เรื่องราวมีอยู่ว่ามีหนุ่มสาวคู่หนึ่ง เป็นผู้ชายหล่อและสาวเป็นเชียร์ลีดเดอร์ผมสีบลอนด์ พวกเขาเป็นแฟนกัน และ ตอนนั้นทั้งคู่กำลังขับรถกินลมชมวิว ฟังเพลงโรแมนติกอยู่ และด้วยบรรยากาศเป็นใจทั้งคู่เกิดอารมณ์ ทั้งคู่จูบอย่างดูดดื่ม และมีความรู้สึกอยากร่วมรัก ทั้งคู่เลยคิดจะจอดรถทางเปลี่ยวที่ไหนสักแห่งเพื่อทำกิจที่ว่า ในระหว่างที่พวกเขากำลังหาที่เปลี่ยวนั้นเอง เพลงโรแมนติกก็หยุดลงพร้อมกับข่าวด่วน ว่ามีคนบ้าหนีออกมา โดยแจ้งลักษณะไปว่าให้มองหาคนผอมแห้งตัวสูงท่าทางปวกเปียกและมือซ้ายเป็นมือตะขอ หญิงสาวกลัวข่าวนั้นเธอขอฝ่ายชายให้พาเธอกลับบ้าน แต่ฝ่ายชายบอกว่าไม่ต้องกลัว ฆาตกรที่ว่านั้นอยู่ไกลเกินกว่าจะมาที่นี้ได้ และเมื่อถึงที่เหมาะ ทั้งสองก็ร่วมรักกัน เมื่อเวลาผ่านไป ทันใดนั้นเองหญิงสาวได้ยินเสียงขูดนอกรถ เสียงได้ดังใกล้เข้ามา หญิงสาวเริ่มรู้สึกกลัวเธอบอกให้แฟนหยุดกิจกรรม แต่แล้วเสียงก็เงียบไป ทั้งคู่หันๆไปที่ด้านหลังรถก็ไม่พบอะไรที่ผิดปกติ แต่หญิงสาวกังวลเธอเลยบอกแฟนหนุ่มออกรถหนีไปจากที่นี้ซะ แฟนหนุ่มเลยต้องออกรถตามหญิงสาวขอ และเมื่อทั้งคู่ไปสถานที่ปลอดภัย ก็พบว่าที่ประตูรถของพวกเขามีมือตะขอเกี่ยวอยู่ (นอกจากนี้เรื่องนี้อาจมีการเพิ่มเรื่องสยองขวัญขึ้น เช่น ระหว่างที่แฟนหนุ่มกำลังพูดหญิงสาวเรื่องได้ยินเสียงขูดอยู่นั้น ทันใดนั้นเธอก็สะดุ้งเมื่อได้เห็นตะขอปลายแหลมคลั่งได้ผลักประตูรถ คนบ้าฆาตกรมือตะขอกำลังอยู่ตรงหน้าพวกเขาแล้ว? และแล้วประตูรถก็เปิดออกมันใช้ตะขอเกี่ยวแฟนหนุ่มของเธอออกนอกรถ หญิงสาวกรีดร้องและปิดประตู แล้ตั้งสติออกรถทันทีโดยไม่ทันไปมองแฟนหนุ่มของเธอและเมื่อเธอกลับมาถึงบ้านเธอก็พบว่าประตูจับรถนั้นเปื้อนเลือด มันเป็นเลือดของแฟนหนุ่มนั่นเอง)และนี้คือเรื่องเล่าในตำนานที่ถูกไปสร้างภาพยนตร์มากมาย อีกทั้งยังกลายเป็นจริงอีกด้วย เมื่อฆาตกรเช่น ฆาตกรจักรราศี (Zodiac Killer) ฆาตกรต่อเนื่องซึ่งก่อนในช่วงปลายทศวรรษที่ 1960 ในแถบพื้นที่ทางตอนเหนือของรัฐแคลิฟอร์เนีย หรือจะเป็นฆาตกรล่องหน (Phantom Killer) ฆาตกรต่อเนื่องที่เชื่อว่าเขาได้ฆ่าคนจำนวนหนึ่งในเขตมหานครเท็กซาร์คานาระหว่างวันที่ 23 กุมภาพันธ์ ถึงวันที่ 4 เมษายน 1946 ที่ฆาตกรสองรายล้วนชอบฆ่าหนุ่มสาวที่คิดจะร่วมรักในรถทางเปลี่ยวทั้งสิ้น

                    

10#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-3-25 08:40 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
                        2. Bloody Mary
                                                   


                            บลัดดี้ แมรี่ เป็นผีหรือแม่มด เป็นตำนานพื้นบ้าน(ช่วงปี 1970) ที่รู้จักกันอย่างกว้างขวาง เป็นพิธีที่มักทำเล่นกันในห้องน้ำที่มืดๆ โดยการเรียกเธอสามครั้ง (หรือหลายครั้ง แต่ความเชื่อปัจจุบันบอก 13 ครั้ง)และความเชื่อนี้พิธีกรรมการละเล่นหลายแบบ แต่โดยรวมๆ คือต้องเข้าไปในห้องน้ำ ปิดไฟและยืนกระจกในที่มืด และเรียกชื่อของเธอสามครั้ง แต่ตอนนี้จะต่างตรงที่อาจมีอะไรเสริมเข้ามา เช่นต้องสวดมนต์ร้อยครั้ง. ต้องเที่ยงคืน, น้ำไหล, ใช้เทียนไข และแมรี่จะปรากฏในกระจกเป็นผีผู้หญิงลางๆ บางทีกระจกจะกลายเป็นสีแดง หรือมีเสียงกรีดร้อง โดยประวัติของแมรี่นั้นค่อนข้างหลากหลายบางคนบอกว่าเธอเป็นแม่มด, หญิงที่สูญเสียลูกจนต้องฆ่าตัวตาย หรือเป็นฆาตกรเป็นต้นและตำนานของเธอก็ถูกดัดแปลงมากมาย เช่น เป็นพิธีทดสอบความกล้าหากยอมแพ้แมรี่จะเอาชีวิต หรือเป็นรูปแบบพยากรณ์อย่างเช่นปอกแอปเปิลหน้ากระจกตอนเที่ยงคืน ร้องเพลงในคืนพิเศษแล้วมองผ่านกระจกอย่างเร็วๆจะเห็นหน้าของเนื้อคู่ลางๆ เป็นต้น

                    

ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ลงชื่อเข้าใช้ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้