ตั้งให้เราเป็นเว็บแรกที่คุณเลือก เก็บเราไว้เป็นเว็บโปรด
สมัครสมาชิก ได้มากกว่าที่คุณคิด เข้าสู่ระบบ
ดู: 1778
ตอบกลับ: 2
สั่งพิมพ์ ก่อนหน้า ถัดไป

การเป็นพุทธบริษัทที่ถูกต้อง

[คัดลอกลิงก์]
การเป็นพุทธบริษัทที่ถูกต้อง



ญาติโยมทั้งหลายที่เป็นพุทธบริษัท ทั้งคฤหัสถ์และบรรพชิต วันนี้เป็นวันธรรมสวนะถึงวันเช่นนี้พวกเราทั้งหลาย ซึ่งเป็นผู้นับถือพุทธศาสนากันมานมนานแล้ว จงตั้งใจฟังโอวาทคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตามกำลังพอสมควรแก่เวลา พวกท่านทั้งหลายนั้น นับว่าเป็นผู้ที่สมควรจะรับโอวาทเราทุกคนที่มารวม ณ สถานที่นี้ ก็นับเนื่องเป็นพุทธบริษัทของพระพุทธเจ้า
การเป็นพุทธบริษัทมีหลายอย่างเหมือนกัน บางคนก็สำคัญตนว่าเป็นพุทธบริษัทอย่างสมบูรณ์เพราะว่าอาศัยการมากราบมาไหว้มาไหว้พระสวดมนต์มาฟังพระธรรมเทศนา ความเข้าใจเช่นนี้ก็เป็นความเข้าใจถูกต้องเสียครึ่งหนึ่งเท่านั้น
การที่มันถูกครึ่งหนึ่งก็เรียกว่า มันยังไม่สมบูรณ์ พุทธบริษัทนี้มีกฎเกณฑ์อย่างบริษัทอะไรต่างๆทุกประเภทจะต้องมียี่ห้อเครื่องหมาย บริษัทของพระพุทธเจ้าก็เหมือนกันจะต้องมีเครื่องหมายสำหรับบุคคลแต่ละคนผู้จะเข้ารับธรรมะนับถือพุทธศาสนานั้นเป็นต้น จะต้องเป็นผู้มีกายวาจาอันสะอาดเรียบร้อยสมกับที่ได้รับธรรมะเปรียบเหมือนผ้าที่มันสกปรกก็ไม่สามารถจะรับน้ำย้อมได้สวย เพราะผ้ามันไม่สะอาด
ดังนั้น องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านโปรดสัตว์ ในครั้งพุทธกาลนานท่านก็ทำอย่างนั้นเหมือนกัน ทำให้เราเป็นผู้สะอาดเสียก่อน แม้การฟังธรรมในวันนี้ก็เหมือนกันให้เป็นผู้ที่สะอาดสมกับที่เราได้มาวัดเพื่อมารับธรรมะ ก็เสมือนว่าผ้าอันขาวสะอาดมารับน้ำย้อมฉะนั้น
และการแต่งเนื้อแต่งตัวทางภายในภายนอกนั้น เมื่อจะเข้ามาในวัดอารามเป็นต้นก็ทำให้มันสะอาด แสดงว่าภายนอกมันก็เข้าถึงภายใน เมื่อพูดถึงภายใน ก็ตั้งใจให้มันสะอาดวันนี้เป็นวันที่พวกเราทั้งหลายจะมารับน้ำย้อมคือธรรมะ ย้อมใจของเราเป็นต้นทุกวันนี้พวกเราพุทธบริษัททั้งหลายนั้น บางคนก็เข้าใจบ้าง บางคนก็ไม่เข้าใจเท่าไรนัก
ดังนั้นการฟังธรรมะนี้จะต้องตั้งใจฟัง สมัยก่อนเมื่ออาตมายังเป็นเด็ก ได้ไปฟังธรรมกับยายยายอาตมาก็ชอบเข้าวัดฟังธรรม แต่ชอบฟังธรรมเอาบุญไม่ชอบฟังธรรมเพื่อจะให้มีปัญญาคือนั่งฟังอยู่เฉยๆ ท่านพูดอะไรก็ได้ยิน ไม่ต้องจำไม่ต้องรู้ ถือว่าคำท่านพูดเข้ามาเราได้ยินเสียงเท่านั้นก็เป็นการฟังธรรมแล้วพากันดีอกดีใจว่า วันพระที่ล่วงมาแล้วนั้น เราได้ไปฟังธรรมกัน แต่ฟังธรรมด้วยเรื่องอะไรไม่รู้สมัยโบราณเราชอบจะเป็นอย่างนั้น
แต่ถึงอย่างนั้นบ้านเมืองเราในสมัยก่อนนั้น ก็ไม่ค่อยกระสับกระส่ายนักถึงแม้ว่าเขาไม่เข้าใจธรรมะเท่าไหร่ เขาฟังธรรมเอาบุญกันเขาก็ยังได้บุญ และการเคารพคารวะของเด็กกับผู้ใหญ่ของลูกกับพ่อแม่ ดูเหมือนจะดีกว่าทุกวันนี้ การศึกษาเล่าเรียนก็น้อย มีกระดานแผ่นเดียวสำหรับเขียนเท่านั้น
ทุกวันนี้ดูซิ เด็กนักเรียนมันหอบหนังสือไปเรียน แบกแทบจะไม่ไหวอยู่แล้วเปิดเทอมทีหนึ่งพ่อแม่หมดเงินไปตั้งหลายร้อยหลายพัน เรียนยังไม่จบก็เปลี่ยนหลักสูตรใหม่อีกแล้วสูตรเก่าก็ทิ้งไป เปลี่ยนสูตรใหม่ก็ยังไม่จบอีก แล้วก็เพิ่มสูตรใหม่เข้ามาอีกเรื่อยๆเพราะอะไร?เพราะการศึกษามันมากความรู้มันก็มากแต่ความฉลาดมันน้อย
ความรู้มันหนักมากก็จริงแต่ว่าเป็นความรู้ที่ไม่ให้มีความสงบเป็นความรู้ในการก่อกวนตัวเองความรู้ในการก่อกวนพ่อแม่ ความรู้ในการก่อกวนเจ้าหน้าที่ทั้งหลาย ความรู้ที่ออกจากหน้าที่การงานของเจ้าของเป็นต้นสมัยนี้ก็ชอบจะเป็นอย่างนั้น เมื่อมีความรู้มาแล้ว ก็ตั้งอกตั้งใจจะไปสอนคนอื่นเขาเท่านั้นส่วนตัวเองไม่ต้อง สอนคนอื่นตะพึดไป ใครๆทุกคนก็เป็นอย่างนั้น
ดังนั้นความรู้มันจึงอยู่กับใบลานอยู่กับตัวหนังสือเรียกว่าศีลธรรมก็อยู่ในตัวหนังสือไม่เอาตั้งไว้ในใจถ้าหากว่าความรู้ทั้งหลายมันตั้งอยู่ในใจของเจ้าของนั้นความสงบเรียบร้อยก็จะเกิดขึ้นแต่ทุกวันนี้มันมีแต่ความเดือดร้อนกระวนกระวาย หาสาเหตุต้นปลายมันไม่พบ
ธรรมะที่เราศึกษาในด้านศาสนานี้เป็นของง่ายๆ แต่ว่าเป็นของปฏิบัติยาก เฉพาะกับคนที่ยังไม่เชื่อคนที่ยังงมงาย เช่นโลกของเราทุกวันนี้ ทำไมมันเดือดร้อน ทำไมมันวุ่นวาย มันขาดอะไรไหม?เราอย่าไปดูอื่นไกลเลย ดูต้นไม้เถอะ ใบมันเหี่ยวแห้ง ต้นมันเหี่ยวแห้งลงไปกิ่งมันก็แห้งลงไป มันเพราะอะไร? มันจะต้องมีเหตุ ไม่ใช่ว่ามันแห้งเฉยๆ ไม่ใช่ว่ามันตายเฉยๆไปดูโคนมันซิ มันมีตัวหนอน ถ้าไม่มีตัวหนอนก็ต้องมีอันใดอันหนึ่ง หรือมีปลวกไปทำลายมันหรือมิฉะนั้นก็อาหารมันน้อย ลำต้นมันถึงไม่เจริญ ตลอดจนกิ่งใบ ดอก ผล ก็ไม่เจริญฉันใดก็ฉันนั้น
ความเดือดร้อนที่มันเกิดในประเทศชาติ เกิดในกลุ่มชนหมู่ใดหมู่หนึ่งเป็นต้นมันก็ต้องมีเหตุ เพราะเราไม่ค่อยเอางานเอาการ ไม่เคารพในหน้าที่การงาน ไม่ตรงไปตรงมานั่นเองการงานมันก็ดีขึ้นไปไม่ได้ คนดีจะทำดีขึ้นมามันก็ยาก ทำดีขึ้นก็ไม่ค่อยจะได้ดีจึงเกิดความอ่อนใจ ก็วางหน้าที่การงานของเจ้าของ หน้าที่ๆจะทำการงานถึงร้อยเปอร์เซ็นต์ทำมันเพียงยี่สิบเปอร์เซ็นต์ เพราะเข้าใจผิดว่าทำแล้วไม่เกิดผลอะไรขึ้นมาทั้งหลายเหล่านี้เป็นเพราะอะไร?
ถ้ามนุษย์ทั้งหลายขาดคุณธรรม โลกทั้งหลายเป็นต้น มันมีเรื่องจะคุ้มของมันอยู่ให้เจริญงอกงามได้แต่ธรรมนั้นมันไม่มี มีอยู่แต่คนไม่ประพฤติธรรมไม่ปฏิบัติธรรมก็เหมือนกับที่ว่าของมันไม่มีสิ่งที่มันเป็นประโยชน์อยู่ถ้าคนทำมันก็เป็นประโยชน์ถ้าคนไม่ทำมันก็ไม่เกิดประโยชน์
ยกตัวอย่างเช่นผลไม้ที่มีเมล็ดพันธุ์ดี เอาไปปลูกในที่ดินมันไม่ดี ผลไม้นั้นก็ไม่งามหรืออาจจะไม่เกิดเลยก็ได้ เพราะอะไร? ดินมันไม่เหมาะสม ถึงแม้ผลไม้มันจะมีพันธุ์ดีเท่าไรก็ตามเถอะถ้าสถานที่ปลูกมันไม่ดี พื้นดินมันก็ไม่ดี คนรักษาไม่ดี ปฏิบัติไม่ดี มันก็ไม่ได้ผลฉันนั้น
อย่างโลกที่เราอยู่กันทุกวันนี้ มันจะต้องคุ้มกันให้มันเจริญ ให้มันสงบให้มันระงับ เป็นธรรมดาอย่างนั้น ธรรมะมีไม่มากเพียงแต่ให้มีความละอายอยู่ในตัวของเราจะยืน เดิน นั่ง นอน ถ้าหากว่ามีความละอายแล้ว ความชั่วช้าทั้งหลายก็จะไม่เกิดขึ้นเพราะอะไร? มันไม่มีเหตุที่จะเกิด ไม่มีอะไรที่จะก่อขึ้น มันก็ไม่เกิด ฉันนั้นเหมือนกันความชั่วทั้งหลายนั้น มันชอบเกาะอยู่ในที่สกปรก ไอ้ที่มันผิดนั่นแหละ มันผิดตรงไหนมันก็บาปอยู่ที่ตรงนั้น มันบาปอยู่ที่ตรงไหน มันก็ผิดอยู่ที่ตรงนั้น
คำที่ว่าบาปนั้น ประชาชนชาวพุทธเราไม่เห็น ทำไมคนไม่เห็นบาป? คือไม่เห็นความผิดนั่นเองความผิดนั่นแหละเป็นบาป ถ้าไปทำแล้วมันผิด ผิดแล้วมันก็เป็นทุกข์ เป็นเหตุให้เดือดร้อนความเดือดร้อนนั่นแหละเป็นบาป เห็นง่ายๆ ถ้าเราพิจารณา บาปนี้มันไม่เป็นตัวเป็นตนมันเป็นอาการ อย่างความผิดมันก็ไม่มีตัวตน แต่ไปทำผิดที่ตรงนั้น มันก็เกิดผลขึ้นมาทันทีอย่างไปขโมยของเขาเมื่อไรเป็นต้นน่ะ ถูกจับทุกทีนะ ถูกเจ้าหน้าที่ลงโทษทุกทีแต่ก็ยังไม่เห็นว่าเป็นบาป ว่าเราไปขโมยของเขาเฉยๆ ก็คือคนไม่เห็นบาป เปรียบประหนึ่งว่าเหมือนคนตาบอดน่ะแหละวัตถุมันจะมีอยู่อย่างไร พระอาทิตย์พระจันทร์จะส่องสว่างอยู่เต็มโลกเท่าไรไอ้คนตาบอดมันก็มองไม่เห็น ก็เหมือนกันกับคนที่ไม่รู้จักบาปนั่นแหละ


2#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-3-14 14:00 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
เราทนทุกข์ทรมานเท่าไร ก็ไม่รู้ว่ามันเป็นบาป ว่าแต่เราทุกข์เท่านั้น ว่าเรามีความทรมานกายทรมานใจเท่านั้นตัวนั้นแหละคือมันเป็นบาป ใครไปทำที่ไหนที่มันเป็นทุกข์ที่มันเป็นบาปตัวนั้นแหละท่านเรียกว่านรกนรกมันอยู่ที่ไหน? ที่ไหนที่ท่านห้ามว่า ที่นี่อย่ามาทำเลยมันผิด นั่นแหละนรกอยู่ตรงนั้นแหละถ้าไปทำตรงนั้นมันก็ผิดตรงนั้น ถ้ามันผิดแล้วมันก็มีโทษ มีโทษแล้วมันก็ทุกข์ใครทุกข์คนนั้นแหละตกนรกที่ไหนมันทำคนให้เป็นทุกข์ก็ที่นั้นแหละมันเป็นนรก
ถ้าเราคิดให้มันง่ายๆ สบายๆ อย่างนี้เป็นต้น บาปมันก็จะเห็นในปัจจุบันนี้อันนี้เพราะความมืด ที่เราอาศัยอยู่นี้มันมืด ไม่รู้จักสว่าง คือใจมันมืดไม่ใช่แสงตะวันมืด ไม่ใช่เดือนมืด แต่ใจเรามันมืดถึงแม้ว่าพระอาทิตย์มันจะส่องสว่างอยู่ถ้าเรายังหลงอยู่มันก็มืดอยู่ไอ้ความมืดมันเป็นอย่างนี้ไม่ใช่ว่าตานอกของเรานี้มันมืด แต่ตาใจของเรามันไม่รู้เรื่องอะไร การทำชั่วก็ไม่รู้จักจบสิ้น
ถ้าทำความชั่วแล้ว ก็มีความปรารถนาว่าไม่อยากจะให้มันชั่ว ไม่อยากจะให้มันผิดคือชอบทำความผิดแต่ไม่อยากจะให้มันผิดอย่างนี้เป็นต้น เรียกว่าคนมืดคนไม่รู้จัก ถ้าเรามีความละอายมีหิริความละอายมีโอตตัปปะความกลัวทั้งสองประการนี้ท่านเรียกว่าเป็นโลกบาลคือเป็นธรรมที่คุ้มครองสัตว์โลกอยู่สัตว์โลกจะต้องเป็นไปตามธรรมอันนั้น ทุกวันนี้คือคนไม่ละอาย เมื่อไม่ละอายก็ไม่เห็นไม่จบ เรียกว่าคนมืด
เช่นว่าวันนี้เป็นวันธรรมสวนะ เรามาฟังธรรมกันสมาทานศีลไปแล้วเช่นนี้ บางคนมีความรู้สึกนึกคิดว่านี่มันคืออะไร? เราทำเพื่ออะไร? อย่างนี้ไม่ค่อยจะคิด ไม่รู้เหตุผลของมันเป็นอย่างไร?ไม่รู้เรื่องเป็นต้น ถ้าใครมีความละอายมีความกลัวต่อความผิดคนนั้นก็มีธรรมะถ้าความอายหรือความกลัวนี้ไปตั้งอยู่ในใจของคนทุกคน บ้านเมืองของเรานี้จะมีความวุ่นวายน้อยลงทุกทีจะมีความสงบระงับ การสงบระงับนั่นแหละท่านว่ามันเป็นผลบุญ
ฉะนั้นสมัยโบราณพ่อแม่เรานั้น พื้นเดิมเขาเป็นคนซื่อสัตย์ เขาฟังธรรมเพื่อเอาบุญมันก็เลยได้บุญ คือมันตั้งอยู่ในใจเขาแล้ว เมื่อเขาไปฟังพระท่านเทศน์ ท่านจะว่าอะไรก็ช่างเถอะตั้งใจฟังสบายๆ ไม่ต้องรู้เรื่องอะไร บุญเก่านั้นมันยังอยู่ คือมันมีความซื่อสัตย์อยู่แล้วเป็นต้นมันก็มีความสบายกัน ไม่ต้องพิจารณาอะไรมาก ต่างกับสมัยทุกวันนี้ ทุกวันนี้นักศึกษามากการเรียนมันก็มีมาก การรู้มันก็มากขึ้น ไอ้ความรู้ในสมัยนี้ตามอาตมาสังเกตแล้วนะมันรู้ดีอยู่แต่ว่าคนกระทำมันน้อยการกระทำมันน้อย ตลอดจนพุทธบริษัท ทั้งคฤหัสถ์ทั้งบรรพชิตเราก็ดีพากันเสื่อมไปทุกทีๆ ทั้งท่านผู้อุปถัมภ์อยู่ข้างนอกก็เสื่อมไป ทางพระเจ้าพระสงฆ์ซึ่งเป็นเนื้อนาบุญของญาติโยมนั้นมันก็เสื่อมไปต่างคนต่างเสื่อมไปเรื่อยๆ ต่างคนต่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว
เช่นท่านตรัสไว้ว่า "เมื่อพระวินัยเศร้าหมองธรรมะมันก็เศร้าหมองธรรมะมันเศร้าหมองพระวินัยก็เศร้าหมองจิตใจเราเศร้าหมองร่างกายเราก็เศร้าหมอง"ทุกสิ่งสารพัดมันอับเฉาลง
ฉะนั้นการฟังธรรม จึงเป็นเหตุให้พวกเราทั้งหลายนั้นรับไปพิจารณา อย่างวันนี้สมาทานศีลคือทำกายให้หมดจด ทำวาจาให้หมดจด ให้สะอาด เมื่อฟังธรรมแล้ว ให้เกิดความรู้เพื่อฟอกจิตของเราให้จิตของเราเห็น ให้มันสะอาด แล้วก็ไปภาวนากัน
คำว่าภาวนานั้น พวกเราทั้งหลายบางคนยังไม่รู้จัก พูดถึงการภาวนาแล้วน่ะกลัวไม่รู้เรื่อง ยิ่งสมัยใหม่นี่นั่งไม่ได้นั่งไม่ติดนะ ประเดี๋ยวก็เดือดร้อนอันนั้นอันนี้เมื่อจะนั่งให้สงบมันก็ไม่สงบ เพราะไม่รู้จักการภาวนากัน เมื่อไม่รู้จักก็ไม่มีใครที่จะคิดถึงเปรียบเหมือนคนๆหนึ่งอยู่โน้น อยู่กรุงเทพ หรืออยู่โคราช เราอยู่อุบลฯ ไม่เคยรู้จักคนๆนั้นตั้งแต่เราเกิดมาเราก็ไม่เคยคิดถึงคนๆนั้นเลย เพราะอะไร? เพราะอะไร? เพราะไม่เคยได้พูดกันไม่เคยได้เห็นกัน มันจึงไม่มีปัจจัยที่จะอยากรู้ ที่จะอยากเห็น ที่จะอยากพบถึงคนๆนั้นมีอยู่ก็เหมือนกับว่าไม่มี อันนี้ก็ฉันนั้น
บุญกุศลในทางพุทธศาสนาที่ท่านสอนนั้น เราทั้งหลายไม่คิดถึง ไม่ปรารภถึงมันก็ไม่เกิดประโยชน์อะไร ไม่มีเวลาที่จะสดับตรับฟังพระธรรมเทศนา บางคนฟังธรรมมาตั้งแต่เด็กน้อยๆจนมาถึงแก่ไอ้ความเป็นจริงนั้นไม่ได้ฟังธรรมซักนิดเดียวก็ได้เหมือนเราไปนั่งอยู่ใกล้ๆอาหารมันจะเอร็ดอร่อยเท่าไรก็ตามเถอะเราไปนั่งติดๆมันอยู่เท่านั้นแหละไอ้ความอิ่มมันก็ไม่ปรากฏขึ้นมาไอ้รสมันก็ไม่ปรากฏขึ้นมาเพราะอะไร?เพราะเราไม่ได้ปฏิบัติคือไม่ได้ชิมดูบริโภคดูไม่ลิ้มเลียดู ฉันใดก็ฉันนั้น
อย่างประเพณีเมืองไทยเราเคยทำมา จะทำบุญสุนทานทุกครั้ง จะต้องไหว้พระจะต้องสมาทานศีลห้าแต่ว่าจะมีใครสักคนหรือสองคนตั้งใจว่า จะให้มีศีลห้าประจำชีวิตของเรานี้หาได้ยากเลยทีเดียว
ฉะนั้นมนุษย์มันจึงเกิดมาในโลกนี้ได้ยาก ไม่ใช่ว่ามันเป็นของง่าย คำว่ามนุษย์เกิดมาในโลกนี้มันเป็นของยากน่ะก็คือมนุษย์ที่สมบูรณ์บริบูรณ์ที่เรามานั่งอยู่ในศาลาโรงธรรมนี้นะ ก็นึกว่าเราเป็นมนุษย์กันทุกคน ความเป็นจริงมันเป็นมนุษย์อย่างนี้ก็จริงแต่ความสมบูรณ์ที่จะเป็นมนุษย์ยังพร่องอยู่ คือคุณสมบัติที่จะให้เราเป็นมนุษย์นั้นมันไม่ค่อยจะมีหรือว่ามันมีน้อย พวกเราทั้งหลายนี่ก็เหมือนกันฉันนั้น แต่เราเข้าใจว่า เราเกิดมารูปร่างเช่นนี้ก็เรียกว่ามนุษย์ทั้งนั้นแหละ แต่ว่ามันเป็นมนุษย์ที่ปลอม มนุษย์ไม่เต็มมนุษย์มนุษย์ที่ครึ่งๆกลางๆ ฉะนั้นพุทธบริษัทของเราเป็นต้น จึงเป็นพุทธบริษัทที่กลางๆไม่เต็มที่ที่จะเป็นพุทธบริษัท และการอยู่ร่วมกันของคนที่ไม่สมบูรณ์ มันก็ไม่มีความหมายมันมีความบกพร่องบางสิ่งบางอย่าง
ดังนั้นพวกเราทั้งหลายทุกวันนี้จึงมีความเดือดร้อน เดือดร้อนเพราะอะไร?เพราะมันขาดธรรมะมันขาดหิริความละอายขาดโอตตัปปะความเกรงกลัว เท่านี้แหละมันไม่มากหรอกธรรมสองอย่างเท่านี้แหละเราทั้งหลายถ้าไม่มาประพฤติเมื่อไหร่ถ้าไม่ปฏิบัติธรรมเมื่อไหร่เป็นต้นพวกเราทั้งหลายนั้นก็จะไม่สงบตลอดไปฉะนั้นพวกเราซึ่งเป็นบรรพบุรุษของกุลบุตรลูกหลาน ควรตั้งอกตั้งใจเข้ามาสู่ธรรมะเมื่อหมดเรา ก็เพื่อลูกเพื่อหลานต่อไป
การทำความดีเป็นต้น เด็กๆมันก็มองดู ถ้าเราสร้างความชั่ว เด็กๆมันก็ตามความชั่วของผู้ใหญ่เปรียบกับเถาวัลย์ที่มันเกิดอยู่บนพื้นดินน่ะ ถ้ามันใกล้ต้นไม้ต้นใด มันก็ขึ้นต้นนั้นแหละก่อนเขาต้นไม้ที่มันอยู่ไกลมันไม่ไปหรอก อันนี้ก็ฉันนั้นเด็กๆมันชอบตามผู้ใหญ่อย่างนั้นผู้นำเราทุกคนจะต้องเป็นผู้มีธรรมะเป็นที่อยู่ของเราเป็นคนซื่อสัตย์เป็นคนประหยัดเป็นคนทำจริงทุกๆคน
ของดีหรือของจริงน่ะมันมีอยู่ แต่พวกเราทั้งหลายไม่ค่อยจะทำตาม มันจึงไม่มีความดีเกิดขึ้นมาไม่มีความจริงเกิดขึ้นมา ฉะนั้นองค์สัมมาสัมพุทธเจ้าของเราทั้งหลายนั้นจึงขอร้องพวกเราทั้งหลายที่เป็นชาวพุทธให้น้อมกาย น้อมวาจา น้อมจิต เข้ามาฟังเข้ามาดู แล้วไปพิจารณา ถ้าว่าตรงนั้นมันผิดทำไมมันจึงผิด คือมันไม่ดีนั่นเอง ถ้าใครไปทำมันก็เดือดร้อน ใครไปทำมันก็ผิดตรงนั้นท่านว่าไม่ดี ไอ้ความที่ว่ามันไม่ดีนั้น เราได้ปฏิบัติกันบ้างหรือเปล่า?เมื่อเราอยากจะได้บุญเราก็ทำสิ่งที่มันเป็นบุญถ้าเราอยากพ้นจากบาปเราก็อย่าไปทำบาปถ้าเราอยากจะพ้นจากความผิดเราก็อย่าไปทำความผิดการประพฤติธรรมะมันก็เห็นผลขึ้นในปัจจุบันเท่านั้นเอง ฉะนั้นพวกเราทั้งหลายได้เกิดมาเป็นมนุษย์พบพระพุทธศาสนาเช่นนี้แล้ว เป็นการหายากกว่าสัตว์ทั้งหลายในโลกนี้ จึงควรพยายามอบรมมาฟังธรรม อบรมแล้วก็นั่งสมาธิ คือทำจิตใจให้สงบ บางคนก็ไม่เห็นใจเราสงบไม่รู้จักใจของเราเสียด้วยรู้จักแต่ความคิดคิดอยากจะทำอันนั้นก็ทำไป คิดอยากจะทำอันนี้ก็ทำไป คือตามใจตนตามใจกิเลสนั่นเองไม่รู้จักใจของเราว่ามันเป็นอย่างไร? ลองๆดูก็ได้เดี๋ยวนี้
ที่ว่าเราเรียกว่าใจๆน่ะ อะไรมันเป็นใจกัน? รู้ไหมว่าใจมันอยู่ที่ไหน?ยังไม่เคยพบนะ ยังไม่เคยพบว่าเราอยู่ยังไง? เราจะรักษาใจของเราได้หรือ? ก็ไม่รู้เรื่องจะรักษาที่ไหน? นอกจากมาอบรมธรรมะให้มันรู้เรื่อง ให้มันเข้าใจในสิ่งทั้งหลายเหล่านั้น

3#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-3-14 14:00 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ใครที่เป็นผู้ซึ่งรับรู้อารมณ์ทั้งหลายคนที่รับรู้อารมณ์ทั้งหลายนั่นแหละที่พวกเราทั้งหลายเรียกว่าใจของเราจิตของเรามันก็มีเท่านี้ นอกนั้นไปก็เป็นกายส่วนที่เรามองเห็นด้วยตาของเรา คือตัวนั่งอยู่นี่ก็คือกายสิ่งที่เรามองไม่เห็นด้วยตาเนื้อ มันรู้อยู่ภายในก็เรียกว่าใจ เป็นรูปธรรมแล้วก็เป็นนามธรรมทั้งสองอย่างนี้จะทำให้เราเป็นทุกข์ก็สองอย่างนี้มันจะทำให้เราเป็นสุขก็สองอย่างนี้ ไม่มากหรอก
ฉะนั้นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเราทั้งหลาย ท่านจึงให้ดูตัวเองตัวเองมันอยู่ที่ไหนถ้าเราเห็นกายของเราเห็นใจของเราเราก็เห็นตัวของเราเมื่อเห็นตัวของเราเราก็สอนตัวของเราได้บัดนี้เราทำผิด บัดนี้เราคิดผิด บัดนี้เรามีความสุข บัดนี้เรามีความทุกข์เราก็จะได้เห็นกายเห็นใจของเราได้ง่ายๆ คือมองเห็นตัวของเจ้าของเป็นต้น ท่านเรียกว่าอัตตะนาโจทะยัตตานังจงเตือนตนด้วยตนเอง
ถ้าเราไม่รู้จักตน เราจะสอนใคร? จะสอนตรงไหน? จะเตือนตรงไหน ดังนั้นพระพุทธเจ้าจึงให้รู้จักเจ้าของเจ้าของนี้คืออะไร? คือกายกับใจ มันอยู่ที่ไหน? ถ้าเรารู้จักว่าไอ้กายมันเป็นอย่างนี้ใจมันเป็นอย่างนี้ เราก็รู้จักกายของเรา เมื่อกายของเราเป็นโรค เราก็ต้องพิจารณากายของเราว่าโรคมันเกิดที่กายแต่ใจของเราเป็นคนทุกข์พบว่าใจเป็นคนอุปาทานมันก็ของสองอย่างเท่านี้เอง ไม่ใช่อื่นไกล
ดังนั้นการทำบุญสุนทานทุกประการ มันก็มีกายกับจิตเท่านั้น ไม่ต้องไปเรียนอะไรมันมากเรียนให้มันรู้กายกับจิตของเรารู้ใจของเราเท่านั้นแหละรู้ว่ามันผิดรู้ว่ามันถูก ถ้ารู้ผิดรู้ถูกแล้วก็ปฏิบัติความผิดก็ละออกเสียปฏิบัติความถูกเราค่อยๆสะสมขึ้นบำเพ็ญขึ้น มันก็ค่อยเกิดขึ้น ที่สกปรกเรารู้ว่ามันสกปรกแล้วเราก็ล้างมันออกเสียเช็ดมันออกเสียมันก็สะอาดเท่านั้นแหละมันไม่ยาก
ถ้าหากว่าเราทั้งหลายกำหนดรู้กาย รู้วาจา รู้จิตของเจ้าของแล้ว ว่าบาปมันอยู่ตรงนี้บุญมันอยู่ตรงนี้ ผิดมันอยู่ตรงนี้ ทุกข์มันอยู่ตรงนี้ สุขมันอยู่ตรงนี้ เราก็ปฏิบัติที่กายที่ใจของเรานี้ ไม่มากมายอะไรหนักหนา การฟังธรรมก็ไม่ต้องมาก ถ้าเรารู้เช่นนี้แล้วเราก็ปฏิบัติอยู่ที่นี้เรามาที่นี่เราก็ต้องเอากายกับใจเรามาด้วย เราจะกลับไปบ้าน เราก็เอากายกับใจของเราไปมีของสองอย่างนี้ ต่างคนต่างรู้ธรรมะอยู่ในตัวของเจ้าของ ก็รู้จักความละอายรู้จักความกลัวเท่านั้น เมื่อมีความรู้จักความละอาย รู้จักความกลัวเท่านั้นเมื่อมีความรู้จักความละอายความกลัวแล้วก็ได้ชื่อว่าปฏิบัติธรรมะทุกๆคน การปฏิบัติธรรมะก็เกิดผลประโยชน์คือความอยู่เย็นเป็นสุขนั่นเอง
ในวันพระเช่นนี้ท่านจึงให้มารวมกัน มาอบรมกัน อบรมกายนี้แหละ อบรมใจนี้แหละไม่ใช่อบรมอย่างอื่น มันมีอยู่นี่แล้ว ไม่ต้องไปคิดให้มันมาก ถ้าทุกๆคนเข้าใจอย่างนี้พวกเราทั้งหลายจะมีความสามัคคีกัน อยู่ที่ไหนก็เหมือนกับลูกกัน หลานกัน พี่กันน้องกัน เป็นญาติกัน ญาติคืออะไร?ญาติคือความเกิดญาติคือความแก่ญาติคือความเจ็บญาติคือความตายมันเป็นญาติกัน
ทุกวันนี้มันไม่ค่อยเห็นเป็นญาติกันเสียแล้ว สมัยโบราณเราน่ะมองดูหน้าตากันแช่มชื่นดีชื่นอกชื่นใจดีอกดีใจ ทุกวันนี้มองหน้ากันไม่ได้เสียแล้ว มองหน้าก็ว่ามองทำไม!แน่หรือ!เพราะเดี๋ยวนี้มันศึกษาหลาย ระวังมาก ไม่รู้ว่าเขามองร้ายหรือมองดี มันเกิดขึ้นจากใจของเรามันระวังใจมันระแวง ก็เพราะมันมีประสบการณ์มาแล้ว มันอยู่กับพวกมีพิษมีภัยมาหลาย
ทุกวันนี้ก็แปลกนะ อย่างชีวิตอาตมาเกิดมานี่ แต่ก่อนเดินไปตามดงตามป่าเห็นคนดีใจเหลือเกินนะ ถ้าหลงทางจะได้ให้เขานำทาง ถ้ามันหิวอาหารจะได้ขออาหารกินถ้าหิวน้ำจะได้ขอน้ำกิน ทุกวันนี้ลำบากไม่รู้ว่าใครเป็นใคร ใครเป็นอย่างไร?ไม่ไว้ใจเสียแล้ว มองไปเห็นเป็นปฏิปักษ์ทั้งนั้นแหละ ต้องระวังจะเป็นขโมยหรือเป็นโจรเพราะทำไม? มันเคยถูกทุบมาแล้ว เคยถูกปล้นมาแล้ว ไม่ค่อยไว้ใจใครทั้งนั้น
ฉะนั้นการเบียดเบียนกัน การฆ่ากันแกงกันน่ะมันเร็วที่สุดเลย เพราะการระแวงนั่นเองเพราะอะไร? เพราะการประพฤติปฏิบัติธรรมมันไม่มีมันจึงเกิดการระแวงเช่นนั้นทุกสิ่งทุกอย่างก็เกิดความเดือดร้อนขึ้นมา หูได้ยินเสียงก็เดือดร้อนตาเห็นรูปก็เดือดร้อนมันเดือดร้อนทั่วไปหมดอันนี้ก็เพราะมันขาดคุณธรรมไม่เห็นเป็นพี่น้องกันถ้าเห็นตามธรรมะว่าเป็นพี่น้องกัน ญาติคือความเกิด ญาติคือความเจ็บ ญาติคือความตายมันสบายกันทั้งนั้นแหละ
ทุกวันนี้ดึกๆไปซิไปบ้านไหน ไปขอนอนบ้านคนซิ ไม่เปิดประตูหรอก ไม่กล้าปิดเงียบเลย คนก็ไม่ตื่นขึ้นมาหรอก เงียบเฉย ฟัง มันจะเป็นคนร้ายหรือคนดีสารพัดอย่าง มันยิ่งแคบไปทุกทีๆ บ้านเมืองของเราทุกวันนี้ เพราะมันขาดธรรมะนั่นเอง
ฉะนั้นขอมนุษย์พุทธบริษัททั้งหลาย จงพากันตั้งอกตั้งใจ ถึงเวลาที่พวกเราจะรื้อศีลธรรมขึ้นมาปฏิบัติกันได้แล้วมันทิ้งไปเสียนาน ทั้งเด็กทั้งผู้ใหญ่ คนเฒ่าคนแก่ ให้สมกับว่าเป็นพุทธบริษัทขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเราแล้วจะไม่มีความเดือดร้อนกระวนกระวายใจ เพราะประพฤติธรรมะปฏิบัติธรรมะ
ขอญาติโยมทั้งหลายจงน้อมธรรมะอันนี้กลับไปเป็นโอปนยิกธรรม*ทำให้มันดี ให้มันเกิดอยู่ในสันดานของเจ้าของอย่าให้มันอยู่ข้างนอก อย่าให้มันอยู่นอกใจ ให้มันอยู่ในใจของเราทุกคน ทีนี้เราก็จะมองเห็นหน้าพี่ของเรามองเห็นหน้าน้องของเรา มองเห็นญาติของเรา จะพบคนผ่านไปมาที่ไหนก็สบายใจ เข้าไปพึ่งเข้าไปอาศัยเดี๋ยวนี้มองเห็นคนเดินทางไปก็กลัวเสียแล้ว มันเป็นเปรตเป็นมารเสียจนจะหมดแล้วอันนี้มันไกลจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรา



ดังนั้นวันนี้ขอญาติโยมทั้งหลายทุกคน ซึ่งเดินทางมาจากที่อื่นก็ดี ที่อยู่ในถิ่นฐานนี้ก็ดีให้เห็นว่าเป็นคนๆเดียวกันคือคนมุ่งคุณงามความดีเหมือนกันมุ่งความสุขเหมือนกันไม่มีใครอยากจะทุกข์ชอบความสงบชอบความสบายเหมือนกัน
จงเป็นผู้มีเมตตาความรักใคร่ซึ่งกันและกันกรุณาความสงสารซึ่งกันและกันมุทิตาความพลอยยินดีอุเบกขาความวางใจเป็นกลางๆจงมีธรรมะเป็นเครื่องอยู่อย่างนั้นเมื่ออยู่กันไปก็มีความเยือกเย็น ไม่เดือดร้อนกระวนกระวาย จะ อยู่ในครอบครัวก็เป็นสุขไปที่ไหนๆทุกสถานที่ก็เป็นสุข ถ้าเรามีธรรมะมันติดตามอย่างนั้น ฉะนั้นวันนี้ขอจบพระธรรมเทศนาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าขอญาติโยมทั้งหลายฟังแล้ว ก็ตั้งอกตั้งใจนำไปประพฤติปฏิบัติ ให้สมความมุ่งมาดปรารถนาจึงจะมีความสุขความเจริญ

ที่มา http://www.ubu.ac.th/wat/ebooks/ ... _of_the_Buddha.html

ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ลงชื่อเข้าใช้ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้