ตั้งให้เราเป็นเว็บแรกที่คุณเลือก
เก็บเราไว้เป็นเว็บโปรด
สมัครสมาชิก ได้มากกว่าที่คุณคิด
เข้าสู่ระบบ
บ้านหลวงปู่
คศช.
ข่าวสารล่าสุด
ประสบการณ์
โชว์วัตถุมงคล
สอบถาม
นานาสาระ
นครนาคราช
ร่วมประมูล
บูชาวัตถุมงคล
เพื่อน
กระทู้แนะนำ
บุ๊คมาร์ก
ไอเท็ม
เหรียญ
ภารกิจ
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
ดูบริการทั้งหมด
เว็บบอร์ด
BBS
บูชาวัตถุมงคลหลวงปู่ชื่น
ศรีสุทธรรมนาคราช
ร้านจอมพระ
ศูนย์พระเครื่องจอมพระ
ค้นหา
ค้นหา
HOT TAG:
พระศรีราม
ขุนแผนแสนตรีเวทย์
พระเจ้าชัยวรมัน
บอร์ดนี้
บทความ
เนื้อหา
สมาชิก
Baan Jompra
›
นานาสาระ
›
มรดกธรรม เส้นทางสู่ทางสงบในชีวิตและจิตใจ
»
~ ธรรมะที่หยั่งรู้ยาก ~
กลับไป
ตั้งกระทู้ใหม่
ดู: 1938
ตอบกลับ: 6
~ ธรรมะที่หยั่งรู้ยาก ~
[คัดลอกลิงก์]
kit007
kit007
ออฟไลน์
เครดิต
32163
ไปยังโพสต์
1
#
โพสต์ 2014-3-9 09:49
|
ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
|
โพสต์ใหม่ขึ้นก่อน
|
โหมดอ่าน
ธรรมะที่หยั่งรู้ยาก
วันมหาปวารณา
วันนี้เป็นวันมหาปวารณาความเป็นจริงนั้นเรานับถือพระพุทธเจ้าของเราเทิดทูนพระรัตนตรัยคือพระพุทธพระธรรม พระสงฆ์ยิ่งกว่าอะไรทั้งหลายทั้งนั้นแต่ว่าเรื่องนี้มันไม่ใช่ของเล่นๆจะต้องเป็นผู้ฉลาดพอสมควรต้องฉลาดในการสอนจิตของตัวเองเอาออกมาฝึกให้มากๆ
จิตของเรานี้จะบีบมันมากก็ไม่ได้จะปล่อยมันก็เลอะเทอะพระพุทธองค์ท่านตรัสว่าสอนตัวอย่างไรสอนคนอื่นอย่างนั้นตัวทำอย่างไรจึงให้คนอื่นทำอย่างนั้นไม่ใช่ของเล่นๆหรอกโยมโยมไปมองดูพระท่านบวชก็นึกว่าท่านสบายอย่างเช่นเรื่องอาจารย์ดีจะเล่าให้ฟัง
อาจารย์ดี ศิษย์หลวงปู่มั่น
อาจารย์ดีที่เป็นคู่กับอาจารย์ทองรัตเป็นพระกรรมฐานรุ่นกลางไม่ใช่รุ่นแรกที่เป็นศิษย์อาจารย์มั่นภูริทัตโต เที่ยวบิณฑบาตไปฉันตามบ้านป่าบางทีบางบ้านก็ไม่รู้เรื่องเลยพระไปบิณฑบาตก็ใส่แต่ข้าวจะเอาอาหารใส่บาตรหรือก็ไม่เคยทำกันบางแห่งก็ว่าพระกรรมฐานท่านฉันแต่หวานอย่างอื่นท่านไม่ฉันหรอกพอไปบิณฑบาตตามบ้านเขาก็เอาข้าวเปล่าใส่เท่านั้นแหละพระจะไปบอกให้เขาเอาอาหารใส่บาตรก็ไม่ได้เป็นอาบัติบางทีพระไปพักอยู่เป็นเดือนๆเขาก็ยังไม่เข้าใจทีนี้ท่านอาจารย์ดีท่านไปบิณฑบาตในบ้านที่ยังไม่เคยไปโยมก็ใส่แต่ข้าวตอนฉันจังหันเขาก็ตามไปท่านก็ฉันจังหันอยู่อย่างนั้นแหละฉันแต่ข้าวเปล่าๆเพราะของมันอยู่ในบาตรโยมเขาก็มองไม่เห็นเห็นพระเอามือล้วงลงไปท่านก็เอาขึ้นมาฉันสบายๆก็นึกว่าอาหารท่านเยอะแยะแล้วท่านอาจารย์ดีท่านฉันข้าวเปล่าๆอยู่๗ วัน ท่านก็คิดว่า"จะทำอย่างไรดีหนอ"พระกรรมฐานนี่ท่านก็มีปัญญาพอสมควรเหมือนกันนะวันหนึ่งท่านก็เอาฝาบาตรหงายขึ้นจับเอากาน้ำมารินใส่มีแต่น้ำเท่านั้นแหละโยมก็ตามมานั่งอยู่จะมาฟังธรรมท่านก็เอาข้าวเหนียวมาปั้นแล้วก็จิ้มกับน้ำในฝาบาตรที่รินมาจากกาน้ำนั่นแหละท่านก็ฉันข้าวไปโยมเขาก็มองท่านท่านก็ฉันของท่านไปเรื่อยๆ
โยมสงสัยก็ถาม"เอ้า หลวงพ่อทำไมฉันอย่างนั้นเล่าทำไมฉันข้าวกับน้ำ"
ท่านก็ว่า"มันมีอย่างนี้ก็ฉันอย่างนี้"
โยมก็ว่า "ฉันพริกฉันปลาร้าไม่ได้หรือ"
"ถ้ามันมีก็ได้"ท่านอาจารย์ตอบ
โอ้โฮ มันช่างเพราะเหลือเกินนะท่านเอาข้าวในบาตรนั้นมาจิ้มน้ำเปล่าอยู่นั่นแหละนี่คือจะสอนเอากันถึงขนาดนั้นทีนี้เขารู้แล้วก็ว่าโอ...เราบาปแล้วให้พระฉันข้าวกับน้ำเปล่าๆอยู่ถึง๑๕ วัน แล้วนี่ความไม่รู้เรื่องเป็นอย่างนี้คนที่ไม่รู้เรื่องมันสอนยากสอนลำบาก
เมื่อหลวงพ่อป่าไปสอนที่เมืองนอก
ครูบาอาจารย์ผู้สอนมานั้นลำบากอย่างเช่นอาตมาออกไปเมืองนอกซึ่งเขาไม่มีพระเหมือนบ้านเราก็เป็นเหตุให้มองเห็นพระพุทธเจ้าเสียแล้วพอเราออกไปบิณฑบาตเขามองไม่เป็นพระเลยเขามองเป็นตัวอะไรก็ไม่รู้คนที่จะคิดใส่บาตรสักคนหนึ่งก็ไม่มีมีแต่เขาพากันมองว่าตัวอะไรน่ะมานั่นโอ้โฮ นึกถึงพระพุทธองค์อาตมากราบท่านเลยมันแสนยากแสนลำบากที่จะฝึกคนเพราะเขาไม่เคยทำผู้คนที่ไม่เคยทำไม่รู้จักนี่มันลำบากมากพอมานี่นึกถึงเมืองไทยเราออกจากป่าไปบิณฑบาตเท่านั้นแหละไม่อดแล้ว ไปที่ไหนมันก็สบายมาก
บิณฑบาตเอาคนอย่าเอาอาหาร
แต่เมื่อเราไปเมืองนอกอย่างนั้นมองๆดูไม่มีใครตั้งใจมาตักบาตรพระบาตรเขายังไม่รู้จักเลยเราสะพายบาตรไปเขานึกว่าเป็นเครื่องดนตรีเสียอีกถึงอย่างนั้นอาตมาก็ยังดีใจในสิ่งที่ได้ทำมาแล้วโดยมากพระท่านไปเมืองนอกท่านไม่บิณฑบาตหรอกอาตมามองเห็นข้อนี้นึกถึงพระพุทธเจ้าอาตมาต้องบิณฑบาตใครจะห้ามก็จะบิณฑบาตไปบิณฑบาต ไปทำกิจอันนี้ที่กรุงลอนดอนได้ดีใจเหลือเกินพวกพระไปด้วยกันก็ว่าบิณฑบาตทำไมมันไม่ได้อาหาร"อย่าเอาอาหารซิไปบิณฑบาตเอาคนเอาคนเสียก่อนขนมมันมากับคน"
บุ๊คมาร์ก
0
ตอบกลับ
ใช้ไอเท็ม
รายงาน
kit007
kit007
ออฟไลน์
เครดิต
32163
2
#
เจ้าของ
|
โพสต์ 2014-3-9 09:49
|
ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ให้อายเฉพาะในสิ่งที่เป็นบาป
พระก็ไปบิณฑบาตให้เขามองดูเขามองดูพระนั่นก็ถือว่าได้แล้วก็เหมือนท่านพระสารีบุตรนั่นท่านไปบิณฑบาตอุ้มบาตรอยู่ในบ้านตั้งหลายครั้งเขาก็ไม่ใส่บาตรสักขันเลยเขามองดูแล้วเขาก็เดินหนีมาถึงวันหนึ่งเขาก็ว่า"พระสมณะนี่มาอย่างไรไป หนีไป "พระสารีบุตรท่านก็ดีใจแล้วได้บิณฑบาตแล้ววันนี้เพราะเขาสนใจเขาจึงไล่เราถ้าเขาไม่สนใจเขาไม่ไล่หรอกเขาไม่พูดกับเราหรอกพระสารีบุตรท่านเป็นผู้มีปัญญาเท่านั้นท่านก็พอใจแล้วคนสนใจ นี่เป็นจิตของพระที่ท่านไปประกาศพระศาสนาอาตมามานึกถึงข้อนี้แล้วก็ไม่อายเพราะพระพุทธเจ้าของเราท่านตรัสว่า"ให้อายแต่สิ่งที่มันเป็นบาปไม่เป็นบาปไม่ต้องอาย"ก็เลยออกไปบิณฑบาตได้สัก๗ วัน ตำรวจก็จ้องสะกดรอยตามมาห้ามให้หยุดบิณฑบาตบอกว่าผิดกฎหมายในเมืองเขาเราไม่รู้นี่มันผิดเราก็หยุด ที่ผิดเพราะเขาหาว่าเป็นขอทานบ้านเขาห้ามขอทานเราก็บอกว่าอันนั้นมันเป็นเรื่องของคนแต่นี่มันเรื่องของศาสนาพระพุทธศาสนาไม่ใช่ขอทานก็เลยได้อธิบายไปว่าขอทานประการหนึ่งการบิณฑบาตอีกอย่างหนึ่งก็เลยเข้าใจกันทุกวันนี้ที่นั่นพระก็ได้บิณฑบาตอยู่แต่ก็ยังไม่ดีเท่าไรหรอกค่อยๆเริ่มไปล่ะนี่เป็นสิ่งที่ทำได้ยากทำได้ลำบาก
ขอให้ปฏิบัติธรรมตลอดชีวิต
จิตใจของเรานี้ก็เหมือนกันอย่างเราชาวพุทธที่มาฟังธรรมะกันทุกวันพระนี่บางคนก็ยังไม่ค่อยจะรู้เรื่องธรรมะแท้ๆอย่างเมื่อสองสามวันมานั้นพวกโยมจากสาขามารวมกันเป็นร้อยๆทีนี้อาตมาก็เลยถามว่า"โยม ปีนี้เท่าที่ตรวจดูนะอาตมาสอนมานี่ก็เกือบสามสิบปีแล้วปล่อยไปตามใจสบายๆวันนี้ก็เลยอยากถามว่าพวกเราอุบาสกอุบาสิกาทั้งหลายนั้นมีบ้างไหมในที่นี้ได้ตั้งใจที่จะปฏิบัติปฏิบัติไม่มากหรอกมีศีล ๕ ตลอดชีวิตมีบ้างไหม"
มองดูตากันล่อกแล่กไม่มีเลย นั่งนิ่งอยู่อย่างนั้นนี่เห็นไหมมันขาดการปฏิบัติคือมันยังไม่ถึงใจอาตมาก็เลยเทศน์ว่าไปสักหน่อยวันนั้นจะมีใครโกรธหรืออย่างไรก็ไม่รู้อาตมาก็นึกว่าจะมีคนสักคนหนึ่งแต่ดูแล้วมีแต่ขี้คนมีแต่ขี้มันคนไม่มี ถ้าคนแท้มันต้องสำรวมด้วยศีล๕ คือถ้าเป็นมนุษย์แล้วเราต้องพยายามทำศีลนี้ให้มันมีขึ้นมาโดยตลอดชีวิตได้สัก ๔-๕ คนก็ยังดีนะนี่ไม่มีหรอกเพราะไม่เคยทำมา
ปฏิบัติศีล๕ สม่ำเสมอ
สมัยก่อนอาตมายังไม่ได้มาสอนที่นี่เรื่องสมาธินี่คนก็ไม่รู้เรื่องเลยศีลก็พูดแต่รับกับพระไปเท่านั้นพูดไปทำไมก็ไม่รู้สมาธิก็ไม่รู้เรื่องไม่เคยทำ เข้าไปวัดก็ไม่มีใครฝึกเมื่อศีล สมาธิก็ไม่เริ่มปัญญาจะเกิดที่ไหนถ้ามาพูดถึงตรงนี้รู้สึกว่าพวกเรายังไกลกันมากที่สุดขอให้แต่ละคนเอาการบ้านข้อนี้ไปคิดกันอย่างอาตมาขึ้นไปเมืองเหนือไปเทศน์ให้เขารักษาศีลเขาก็ว่า
"ท่านอาจารย์เทศน์อย่างนี้ท่านจะฉันข้าวกับอะไร"
"ไม่รู้ อาตมาไม่รู้"
เขาก็ว่า "ถ้าอย่างนั้นเอาไหมผมจะโขลกพริกกับเกลือมาให้ท่านฉันทุกวันท่านจะฉันได้ไหม"
อาตมาก็ว่า"ใครจะทำ โยมคนไหนจะทำอย่าหนีจากกันเลยนะให้โยมโขลกพริกกับเกลือมาทุกวันๆอาตมาก็จะฉันให้ทุกวันๆอาตมาไม่เคยเห็นใครมีศรัทธาอย่างนี้เอาไหม เอากันเป็นปีๆไหมหรือตลอดปีก็เอากันไหมให้โยมมาจัดทุกวันนะ"
โน่น คนที่พูดไปนั่งอยู่โน่นมันไม่กล้าทำหรอกมันพูดแต่ปากนั่นแหละพูดให้เราจนเท่านั้นความเป็นจริงคนที่มาวัดทุกวันนี้มันต้องมีศรัทธาคนพูดเช่นนั้นมันไม่มีศรัทธาหรอก
เข้าถึงพระรัตนตรัยไม่ต้องดูฤกษ์
ผู้ที่เข้าถึงพระรัตนตรัยคือพระพุทธพระธรรม พระสงฆ์นั้นที่จริงมันง่ายที่สุดโยมมันง่ายมากการกระทำอะไรต่อมิอะไรมันง่ายมันไม่ยากไม่ต้องเลือกวันนั้นเดือนนี้ ยามนี้ไม่ต้องแล้วพระพุทธองค์ของเราก็ทรงสอนว่าเมื่อไรมันสะดวกวันนั้นมันดีมันไม่ขัดข้องวันนั้นมันดีแต่นี่เราไม่อย่างนั้นเช่นจะปลูกบ้านปลูกช่องสารพัดอย่างก็จะต้องหาฤกษ์วันพันยามกันเสียแล้วพระพุทธองค์ท่านไม่ว่าอย่างนั้นท่านว่าเมื่อโอกาสมันเหมาะสมก็ให้ทำไปเถอะแต่เราก็กลัวซึ่งถ้าพูดถึงพระรัตนตรัยเต็มที่ถึงที่สุดแล้ว
ตอบกลับ
สนับสนุน
คัดค้าน
ใช้ไอเท็ม
รายงาน
kit007
kit007
ออฟไลน์
เครดิต
32163
3
#
เจ้าของ
|
โพสต์ 2014-3-9 09:50
|
ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
มีความสะดวกเมื่อใดเป็นฤกษ์ดีเมื่อนั้น
ไม่มีอะไรที่จะต้องกลัวคือว่ามันไม่ผิดหรอกเมื่อมันมีโอกาสที่จะทำเมื่อไรมันสะดวกมันถูกกับเวลาของเรามันสะดวกก็เอาละนี่ท่านว่าอย่างนี้แต่เราไม่เอาอย่างนั้นซิจะต้องเอาวันนั้นวันนี้จนอาตมารำคาญยิ่งวันแต่งงานนั้นเขาถือว่าเป็นวันที่สำคัญของเขามากต้องเอาวันนั้นต้องเอาฤกษ์อย่างนั้นอย่างนี้นิมนต์เอาพระหลวงตาไปฉันนั่งคอยเมื่อยจะตายแล้วอยู่นั่นแหละคือถ้าไม่ได้ฤกษ์ไม่เอาต้องให้ได้ฤกษ์อาตมาก็คอยสังเกตใครที่มีฤกษ์ดีๆบ้างว่ามันจะเป็นอย่างไรไหมมันจะดีไหม บางคนอยู่กันได้ไม่ถึงเดือนทะเลาะกันไปเลยอ้าว..ดูซิมันเป็นเสียอย่างนี้แล้วทำไมไม่สังเกตเหตุผลดูล่ะจะต้องเอาวันนั้นวันนี้วันนี้มันจมวันนั้นมันฟูต้องทำข้างขึ้นข้างแรมอย่าเอาไปถือเอาอันนั้นมาเป็นฤกษ์ของเราฤกษ์มันก็เป็นเรื่องของฤกษ์เวลาก็เป็นเรื่องของเวลามันไม่ใช่มาเกี่ยวข้องกับเราถ้าเราไปคิดอะไรต่อมิอะไรมันมากทุกอย่างในเรื่องพุทธศาสนามันก็จะยุ่งเหยิงหลายอย่างจนกระทั่งที่ว่าพูดกันไม่ค่อยจะได้
ความคิดของหลวงพ่อเกี่ยวกับฤกษ์ยาม
ทีนี้เรามามองดูซิว่าถ้าเป็นอย่างนั้นพระรัตนตรัยของเราจะเสื่อมไหมเศร้าหมองไหมมันก็เสื่อมมันก็เศร้าหมองเท่านั้นแหละที่ว่าฤกษ์ดียามดีก็คืออะไรที่มันดีอะไรที่มันเหมาะสมไม่ขัดข้องนั่นแหละอาตมาว่ามันดีแล้วอาตมาพูดอย่างนี้ทั้งยังถืออย่างนี้มาตลอดจนทุกวันนี้ไม่เคยเห็นมันเป็นอะไรเมื่อเรามามองคนบางคนตระกูลบางตระกูลโยมบางโยมก็ลำบากเช่นแต่งงานกันไม่ถึงฤกษ์หมายจริงๆไม่ต้องละพระฉันเสร็จแล้วก็ต้องนั่งคอยอยู่นั่นแหละคือพอถึงฤกษ์ก็ต้องสวดชะยันโต โพธิยามูเล...แต่แล้วมันก็ดีบ้างได้บ้างเสียบ้าง เหมือนกันบางคนก็อยู่ด้วยกันเดือนสองเดือนพูดกันไม่รู้เรื่องหนีจากกันเสียแล้วทำไมฤกษ์มันไม่คุ้มล่ะฤกษ์มันไปอยู่ตรงไหน
อย่าเชื่อมงคลตื่นข่าว
อันนี้ขอให้โยมคิดกันอาตมาเคยพูดอยู่เรื่อยๆให้โยมคิดถ้าเราพูดถึงการตกลงกันวันนั้นวันนี้ตกลงกันพร้อมเพรียงสามัคคีกันไม่ใช่ว่าได้วันจันทร์ไม่เอานะไม่ได้วันอังคารไม่เอานะไม่ใช่อย่างนั้นอันนี้เป็นเรื่องยุ่งไม่ต้องมากหรอกเท่านี้มันก็ยุ่งแล้วเมื่อเราตัดสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ที่เป็นมงคลตื่นข่าวออกไปแล้วมันก็ก้าวเข้าไปห้าสิบเปอร์เซ็นต์แล้วเรานับถือพระพุทธพระธรรม พระสงฆ์สูงสุดสูงส่งดีแล้วจะสบายจะสะดวกกันทุกอย่าง
อย่างตามบ้านนอกของเรานั้นทำไร่ ทำนา ทำค้าทำขายทำโน่นทำนี่ ถ้าถือกันอย่างนี้ก็ยิ่งลำบากขัดข้องหลายอย่างอยู่มาวันหนึ่งเขาเอาหนังเสือมาให้ลงคาถาให้หนังหน้าผากเสือนี่มันก็ต้องฆ่าเสือมันถึงเอาหนังหน้าผากเสือมาได้ก็นึกว่าเราได้ของดีแล้วเอามาให้หลวงพ่อลงคาถาให้อาตมาก็ว่า"จะลงคาถาไปทำไมเสือก็ไปฆ่ามาแล้วนี่หนังมันจะดีอะไร"ไปฆ่าตัวมันเอาหนังมันมาลงคาถาถือกันไปอย่างนี้ที่จริงแล้วที่มันดีอยู่ก็คืออย่าไปฆ่าเสือมันอันนี้ไปฆ่าเขาถือกันว่าดีและยังจะเอาหนังมาลงคาถาอีกจะทำอะไรกันต่อไปอีกเป็นอย่างนี้มันถือผิดกันหมด
อย่างกลองที่วัดอาตมาเคยอยู่นะคือวัดทุ่งกลองเขาเอาไว้ตีเพล...ทุ่ม...ทุ่ม...ทุ่มมีอาจารย์องค์ไหนก็ไม่รู้บอกว่าถ้าได้หนังหน้ากลองมาจะลงคาถาให้ก็เลยพากันไปผ่าเอากลองเพลที่วัดทุ่งปาดหน้ากลองแล้วก็เอาไปลงคาถาเราก็เคยเห็นว่ากลองเพลมันดังถ้าตีไปคนก็มารวมกันอันนี้คงดีแน่แต่นี่กลับไปตัดเอามาลงคาถาเสียนี่เรื่องทั้งหลายเหล่านี้มันหลายเหลือเกินเมื่อค้นถึงพุทธศาสนาของเราแล้วที่จริงนั้นมันลำบากอยู่เราจะเอาตรงไหนมันดี มันลำบากการปฏิบัติของเรานั้นมันถึงไม่ปรากฏผลขึ้นมา
บูชายัญเป็นความเชื่อถือของพราหมณ์
เรื่องทั้งหลายเหล่านี้พระพุทธองค์ตรัสว่ามันยุ่งทรงตัดทิ้งเพราะมันเป็นเรื่องของพราหมณ์พราหมณ์เขาบูชายัญทำไมพราหมณ์ถึงบูชายัญเพราะเขาต้องการสิ่งที่เขาปรารถนาเขาถึงบูชายัญมันตรงกันข้ามกับพุทธศาสนาของเราทำไมเราถึงทำบุญกันทำบุญกันทำไมการทำบุญนั้นพระพุทธเจ้าของเราหมายถึงไม่ให้เห็นแก่ตัวหรือว่าทำไปเพื่อกำจัดความโลภออกจากใจของเรามันไปคนละข้างกับพราหมณ์เสียแล้วมันกลับกันฉะนั้นผู้เข้าถึงพระรัตนตรัยนั้นหยาบๆมีเยอะแต่มันก็ยังไปไม่ได้ไม่ต้องไปพูดถึงธรรมลึกซึ้งอะไรอย่างเช่นท่านว่า"อนิจฺจาวต สงฺขารา อุปฺปาทวยธมฺนิโน"มันจะถึงสังขารเมื่อไรเพราะมันไม่ได้พิจารณากันแม้แต่นั่งสมาธิทำจิตให้เป็นหนึ่งมันก็ไม่เคยรู้เรื่องไม่รู้จักทำกันแล้วมันจะไปมองเห็นตรงไหนอันนี้ให้พวกเราเอาไปพิจารณาดู
ตอบกลับ
สนับสนุน
คัดค้าน
ใช้ไอเท็ม
รายงาน
kit007
kit007
ออฟไลน์
เครดิต
32163
4
#
เจ้าของ
|
โพสต์ 2014-3-9 09:51
|
ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
พุทธศาสนา ถ้าไม่ปฏิบัติก็ไม่เกิดผล
การประพฤติปฏิบัตินี้เป็นพระก็ปฏิบัติได้เป็นโยมก็ปฏิบัติได้แต่ว่าเป็นพระนี้มันไกลจากความกังวลแต่ก็ไม่แน่บางแห่งก็ยิ่งกังวลมากขึ้นอันนี้ก็เป็นสิ่งที่ลำบากอยู่ฉะนั้นเรื่องธรรมะนี้จะต้องใช้การภาวนาคือการพิจารณาอย่างเช่นพระนวกะที่ท่านได้เทศน์ให้ฟังไปนั้นท่านได้พูดรวมลงมาว่า
"พุทธศาสนานั้นต้องปฏิบัติถ้าไม่ปฏิบัติไม่เกิดผลไม่เกิดประโยชน์เรียนมากขนาดไหนก็ไม่มีประโยชน์มันไม่เกิดประโยชน์ถ้าไม่ปฏิบัติ"
อันนี้ท่านพูดสั้นๆท่านเกิดมีความรู้สึกอย่างไรก็ไม่รู้ของท่านท่านพูดสั้นแต่ก็ถูกของท่านทั้งหมดเลยเพราะถ้าไม่ปฏิบัติแล้วทุกอย่างมันไม่เกิดประโยชน์มันเสียหายเช่นว่าเราทำนาสักแปลงหนึ่งแต่พอถึงคราวที่จะเกี่ยวไม่รู้จะเอาอะไรเกี่ยวมันก็เสียหายมากการกระทำนั้นก็เลยไม่ได้ผลประโยชน์แต่ว่าทำไมการปฏิบัติมันถึงยากลำบากคือถ้าจะว่ากันจริงๆแล้วมันจะต้องยากเสียก่อนแล้วมันจึงจะง่าย
ตัวทุกข์คือตัวสัจจธรรมที่แท้
อย่างเช่นพระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า"ทุกข์" พอเราเห็นว่าทุกข์อย่างเดียวก็ไม่ชอบเสียแล้วไม่อยากจะรู้ทุกข์แต่ความเป็นจริงแล้วตัวทุกข์นั่นแหละคือตัวสัจจธรรมแท้ๆแต่เราก็อ้อมอันนี้เสียไม่อยากจะดูทุกข์หรืออย่างคนที่แก่ๆเราก็ไม่อยากจะดูอยากจะดูแต่คนหนุ่มเป็นเสียอย่างนั้นทุกข์นี้ไม่อยากจะดูเมื่อไม่อยากจะดูทุกข์มันก็ไม่รู้จักทุกข์ตลอดกี่ภพกี่ชาติก็ไม่รู้จักทุกข์ทุกข์นี้เป็นตัวอริยสัจจ์เป็นสัจจธรรมถ้าเราเห็นทุกข์ก็เป็นเหตุให้เราแก้ไขอย่างเช่นว่าทางที่นี่มันรกไปไม่ค่อยจะได้ไปแล้วมันก็รกอยู่นั่นแหละความคิดมันก็เกิดขึ้นมาทำอย่างไรหนอทางนี้มันจึงจะง่ายไปทุกวัน คิดทุกวันจิตนี้มันเกิดความคิดอย่างนี้เพราะสิ่งที่ไม่สะดวกคือตัวปัญหาตัวปัญหามันเกิดขึ้นมามันถึงหาทางเฉลยแก้ปัญหาอันนั้นถ้าเราไม่ทุกข์มันก็ไม่มีปัญหาเมื่อไม่มีปัญหาก็ไม่มีเหตุให้พิจารณาอะไรเลยอันนี้เราก็เลยข้ามไปฉะนั้นพระพุทธองค์ท่านจึงทรงสอนเรื่อง'ทุกข์'
ใช้ปัญญาพิจารณาในการละทุกข์
วันหนึ่งมีพระอยู่ด้วยกันมาเล่าให้อาตมาฟังท่านเล่าว่าปีนี้มันทุกข์เหลือเกินอาตมาก็ว่าก็ให้มันทุกข์เสียก่อนซิมันถึงจะอดทนถ้าไม่มีความอดทนมันจะเห็นธรรมะไหมอย่างเช่นว่าก่อนนั้นตีสามไม่เคยจะตื่นเลยอยู่ที่นี่พอตีสามระฆังดังหง่างๆๆ...แล้วเรามันเคยสองโมงเช้าจึงจะตื่นเมื่ออยู่ที่บ้านมาอยู่ที่นี่ตื่นตีสามมันก็เลยแย่ทำไมมันจะไม่อยากโดดหนีล่ะมันก็คิดถึงบ้านเท่านั้นแหละอยู่บ้านพ่อบ้านแม่เราไม่เคยลำบากอย่างนี้ไปมันเสียดีกว่ามันเป็นทุกข์ทำไมจะไม่เป็นทุกข์อย่างการขบฉันพระตั้งสามสี่สิบอาตมาก็ให้ฉันบิณฑบาตเรียงกันไปเรื่อยๆแต่เมื่อเรามันหิวขึ้นมาก็ว่าฉันพร้อมกันไม่ได้หรือมันยุ่งยากอาตมาก็ว่าดีแล้วมันยุ่งยากนั่นน่ะมันดีมันอดทนดี พระบวชใหม่ๆอยากฉันก็ฉันพอมันมาพบตรงนี้เข้ามันก็ทุกข์เพราะพระจะฉันก็ต้องฉันเรียงลำดับกันไปกว่าจะถึงเราก็โอ๊ยมันอดแล้วอดอีกมันก็เป็นทุกข์กว่าจะปรับตัวได้ก็ร่วมสามเดือน
เมื่อละทุกข์ได้ชีวิตก็เป็นสุข
อาตมาก็เคยบอกพระนวกะเราแต่แรกแล้วว่าให้ถึงเดือนที่สามแล้วถึงจะพอรู้เรื่องสักนิดหนึ่งเพราะมันผ่านทุกข์มานั่นเองถ้าได้ผ่านตรงนี้แล้วก็เอาซิจะไปทำมาค้าขายอะไรก็มีกำลังการงานดีขึ้นมีกำลังขึ้นเช่น มีลูกศิษย์คนหนึ่งที่มาอยู่นี่ต้องตื่นนอนตีสามนอนบางทีหกทุ่มพอสึกไปเป็นทหารตอนอยู่เวรคนอื่นเขาจะตายแล้วแต่คนนี้สบายเดินจงกรมสบายเจ้านายก็รักเลยมาบอกว่าเป็นทหารมันไม่ยากหรอกมันง่ายๆ ส่วนคนที่ไม่เคยทำกรรมฐานมันจะตายแล้วคนที่สบายเพราะมันเคยทุกข์มาจนพอแล้วให้มันทุกข์ขนาดนั้น(เป็นทหาร) มันไม่เต็มมือมันมันเลยสบายเลยนี่แหละเราต้องการตรงนี้ฉะนั้นที่มาบวชวัดหนองป่าพงนี่มันเป็นทุกข์มันเป็นทุกข์เพราะไม่เห็นว่าทุกข์นี่แหละเป็นทางตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า
ตอบกลับ
สนับสนุน
คัดค้าน
ใช้ไอเท็ม
รายงาน
kit007
kit007
ออฟไลน์
เครดิต
32163
5
#
เจ้าของ
|
โพสต์ 2014-3-9 09:53
|
ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ทำอย่างไรจึงจะไม่เป็นทุกข์
พระพุทธเจ้าของเราท่านให้เห็นทุกข์คือทุกข์ สมุทัยนิโรธมรรค ออกช่องนี้เลยพระอริยบุคคลออกช่องนี้ถ้าไม่ออกช่องนี้จะออกช่องไหนใครจะไปตรงไหนถ้าไม่ออกช่องนี้ก็ไม่มีทางออกจะต้องรู้จักทุกข์รู้จักเหตุเกิดของทุกข์รู้จักความดับทุกข์รู้จักข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์นี่ออกช่องนี้พระโสดาบันพระอริยบุคคลเบื้องต้นก็ออกตรงนี้ไม่มีทางอื่นที่จะออกถ้าไม่รู้จักทุกข์ออกไม่ได้ทุกๆอย่างนั่นแหละมันทุกข์อย่างทุกข์ใจของเรานี่มันก็สารพัดอย่างโยมเองก็เคยเป็นทุกข์กันมาแล้ววิธีปฏิบัติในทางพุทธศาสนาก็เพื่อแก้ทุกข์คือทำอย่างไรจะไม่ให้มันเป็นทุกข์เมื่อความทุกข์มันเกิดขึ้นมาก็ตามหาว่ามันเกิดขึ้นจากอะไรเออ...มันเกิดจากตรงนั้นท่านก็ให้ทำลายเหตุตรงนั้นเสียไม่ให้มันเกิดขึ้นมาเพราะเห็นทุกข์เสียก่อนจึงรู้จักว่าทุกข์มันเกิดจากอะไรก็ตามมันไปอีกจึงไปแก้ไขตรงนั้นว่ามันเกิดจากอันนั้นแล้วทำลายสิ่งที่มันเป็นเหตุที่ทำให้เกิดไปเสียด้วยการขจัดมันไปทุกข์ สมุทัยแล้วก็นิโรธคือความดับเช่นนั้นมันมีอยู่จะต้องหาข้อปฏิบัติคือมรรค เพื่อจะเดินทางไปดับทุกข์แก้ตรงนั้นมันจึงไม่เกิดทุกข์อย่างนี้พระพุทธศาสนาออกไปตรงนี้ไม่ออกไปที่ไหน
เมื่อตัณหาเกิดคำว่าพอจะไม่มี
มนุษย์เราทั้งหลายที่ยังตกค้างอยู่ในโลกนี้มากมายก่ายกองนั้นมีเรื่องสงสัยวุ่นวายตลอดเวลาอันนี้มันไม่ใช่ของเล่นๆมันเป็นของยากของลำบากฉะนั้นจะต้องยอมสละทิ้งมันส่วนหนึ่งทิ้งร่างกายทิ้งตัวต้องตกลงถวายชีวิตอย่างเช่นพระที่ท่านมาบวชหรืออย่างพระพุทธองค์ท่านเป็นกษัตริย์ใช่ไหมคนเราพอเห็นท่านเป็นกษัตริย์ออกบวชไม่สึกก็ว่าดีอยู่แต่ว่าท่านเป็นกษัตริย์ท่านก็ไปได้เพราะอะไรๆท่านก็ร่ำรวยมาหมดทุกอย่างแล้วท่านก็ไปได้ล่ะนี่คนเราไปว่าอย่างนั้นรู้ไหมว่าตัณหามันมีประมาณไหมได้ขนาดไหนมันถึงจะพอมีไหมมันมีไหม ลองถามดูอย่างนี้ก็ได้มันไม่มีเพียงพอมันก็ยังอยากอยู่เรื่อยไปนั่นแหละเมื่อมันทุกข์จวนจะตายอยู่แล้วมันก็ยังอยากคำว่าเพียงพอมันไม่มี
ความเกิดเป็นตัวนำทุกข์
ทีนี้เมื่อมาพูดถึงธรรมะล้วนๆพูดถึงการปฏิบัตินั้นมันยิ่งลึกลงไปญาติโยมบางคนอาจจะฟังไม่ได้เช่นพระพุทธเจ้าท่านตรัสว่าท่านไม่มีการเกิดอีกแล้วในภพชาติท่านหมดเท่านี้พอว่าไม่ต้องเกิดอีกก็เป็นเหตุให้โยมไม่สบายใจแล้วถ้าพูดกันตรงไปตรงมานั้นพระพุทธ-เจ้าท่านทรงสอนไม่ให้พวกเราไปเกิดนั่นแหละเพราะมันเป็นทุกข์ท่านวกไปวนมาแล้วมาพิจารณามองเห็นความเกิดนี่แหละเป็นสิ่งสำคัญเพราะความเกิดนี่แหละพาให้ทุกข์ทั้งหลายเกิดขึ้นมาคือเมื่อมีการเกิดปั๊บก็มีตาปาก จมูก มีสารพัดอย่างขึ้นมาพร้อมกันเลยแต่ว่าพวกเราก็ว่าตายไม่ได้ผุดเกิดนั้นฉิบหายเสียแล้วนี่พระพุทธองค์ท่านสอนมันลึกที่สุดมันเป็นอย่างนี้
ทุกวันนี้เราทุกข์เพราะอะไรทุกข์เพราะการเกิดมาเพราะฉะนั้นท่านจึงพยายามขจัดความเกิดแต่ไม่ใช่ว่าการเกิดคือร่างกายมันเกิดนะหรือการตายคือร่างกายที่มันตายนี่นะแบบนี้เด็กๆมันก็รู้จักคนเราโดยมากจะรู้จักว่ามันตายตรงที่ร่างกายนี่ตายลมมันหมดแล้วนอนอยู่ส่วนคนตายที่หายใจอยู่ไม่ค่อยจะรู้กันคนตายที่พูดได้เดินได้วิ่งได้ คนไม่รู้จักการเกิดก็เหมือนกันเมื่อไปคลอดที่โรงพยาบาลก็ว่านั่นเกิดแล้วแต่ว่าจิตที่มันเกิดที่มันวุ่นวายอยู่นั่นมองเห็นบางทีก็เกิดความรักบางทีก็เกิดความเกลียดบางทีก็เกิดความไม่พอใจบางทีก็เกิดความพอใจบางทีก็เกิดความพอใจสารพัดอย่างล้วนแต่เรื่องเกิดทั้งนั้นแหละมันทุกข์เพราะอันนี้เองเมื่อตาไปเห็นรูปแล้วเกิดไม่ชอบใจก็ทุกข์แล้วหูฟังเสียงชอบใจนี่ก็ทุกข์มีแต่เรื่องทุกข์ทั้งนั้นฉะนั้นสิ่งทั้งปวงนี้ท่านสรุปว่ารวมแล้วนั้นมันมีแต่กองทุกข์ทุกข์เกิดขึ้นแล้วทุกข์มันก็ดับมีสองเรื่องเท่านั้นทุกข์เกิด ทุกข์ดับทุกข์เกิด...ทุกข์ดับเราก็ไปตะครุบมันตะครุบมันเกิดตะครุบมันดับตะครุบอยู่อย่างนี้มันไม่จบเรื่องกันสักที
สุขไม่มี มีแต่ทุกข์น้อยลงเท่านั้น
พระท่านจึงให้พิจารณาว่ารูป นามขันธ์มันเกิดแล้วมันก็ดับนอกจากนั้นแล้วก็ไม่มีอะไรถ้าพูดตามเป็นจริงแล้วสุขมันไม่มีเลยมีแต่ทุกข์ที่ดับไปนั้นก็ทุกข์ดับไปเฉยๆไม่ใช่สุขหรอกแต่เราไปหมายเอาตรงนั้นว่ามันสุขก็ทุกข์อันเก่านั้นแหละนี่มันละเอียดตรงนั้นสุขเกิดขึ้นมาก็ดีใจทุกข์เกิดขึ้นมาก็เสียใจถ้าความเกิดไม่มีความดับมันก็ไม่มีท่านจึงบอกว่าทุกข์เกิดและทุกข์ดับเท่านั้นนอกนั้นไม่มีแต่ว่าเราก็ไม่เห็นชัดว่ามันมีทุกข์อย่างเดียวเพราะว่าที่ทุกข์มันดับไปเราก็เห็นว่าเป็นสุขเลยตะครุบอยู่อย่างนั้นแต่ผู้ที่ซึ้งในธรรมะนั้นไม่ต้องรับอะไรแล้วมันสบาย
ตามความเป็นจริงแล้วโลกที่เราอยู่นี้ไม่มีอะไรทำไมใครเลยไม่มีอะไรจะเป็นที่วิตกวิจารเลยไม่มีอะไรที่น่าร้องไห้หรือหัวเราะเพราะมันเป็นเรื่องอย่างนั้นธรรมดาๆแต่เราพูดธรรมดาได้แต่มองไม่เห็นธรรมดาแต่ถ้าเรารู้ธรรมะสม่ำเสมอแล้วไม่มีอะไรเป็นอะไรแล้วมันเกิดมันดับของมันอยู่อย่างนั้นเราก็จะสงบ
ตอบกลับ
สนับสนุน
คัดค้าน
ใช้ไอเท็ม
รายงาน
kit007
kit007
ออฟไลน์
เครดิต
32163
6
#
เจ้าของ
|
โพสต์ 2014-3-9 09:54
|
ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ควรระงับทุกข์เพื่อให้เกิดสุข
สิ่งที่มนุษย์เราต้องการอยู่ทุกวันนี้ไม่ใช่เรื่องให้มันสงบแต่ต้องการที่จะระงับทุกข์เพื่อให้มันเกิดสุขเมื่อมันมีสุขมีทุกข์อย่างนี้มันก็เรียกว่ามีภพมีชาติอยู่อย่างนั้นแต่ในความหมายของพระพุทธเจ้าแล้วให้ปฏิบัติจนมันเหนือสุขเหนือทุกข์มันจึงจะสงบ แต่พวกเราคิดกันไม่ได้ตรงนี้ก็ว่าสุขนั่นแหละดีแล้วได้สุขเท่านั้นก็พอแล้วฉะนั้นมนุษย์เราทั้งหลายจึงปรารถนาเอาแต่สิ่งที่มันได้มากๆได้มากๆนั่นแหละดีคิดกันอยู่แค่นี้เห็นว่ามันสุขแค่นั้นหรือเรียกว่าการทำดีแล้วได้ดีแล้วมันก็จบลงแค่นั้นต้องการแค่นั้นก็พอแล้วได้ดีมันจบลงตรงไหนเล่าดีแล้วก็ไม่ดีไม่ดีแล้วก็ดีมันก็วกวน วกไปวกมาอยู่อย่างนั้นก็ทุกข์อยู่อย่างนั้นตลอดวันยังค่ำ
พระพุทธองค์ท่านทรงสอนว่าหนึ่ง ให้ละความชั่วแล้วก็ให้ทำความดีตอนที่สองท่านสอนว่าความชั่วก็ต้องทิ้งมันเสียความดีก็ต้องทิ้งมันเสียต้องละมันเหมือนกันคือไม่ต้องหมายมั่นมันเพราะว่ามันเป็นเชื้อเพลิงอันหนึ่งมันมีเชื้ออยู่มันก็จะเป็นเชื้อเพลิงให้มันลุกขึ้นมาอีกความดีมันก็เป็นเชื้อความชั่วมันก็เป็นเชื้ออันนี้ถ้าพอถึงขั้นนี้มันก็ฆ่าคนเสียแล้วคนเราก็คิดตามไม่ไหวเสียแล้วดังนั้นท่านจึงต้องยกเอาศีลธรรมมาสอนกันให้มีศีลธรรมอย่าเบียดเบียนซึ่งกันและกันให้ทำงานตามหน้าที่ของตนเองอย่าเบียดเบียนคนอื่นท่านก็บอกให้ถึงขนาดนี้แค่นี้ก็ยังไม่หยุดกันแล้ว
มนุษย์ทุกคนในโลกอยู่ในกรง
อย่างที่เราได้สวดธัมมจักกฯวันนี้ก็มีข้อที่ว่าการเกิดอีกไม่มีเป็นชาติที่สุดแล้วการเกิดของตถาคตไม่มีแล้วนี่ท่านพูดเอาสิ่งที่เราไม่ปรารถนากันถ้าเราฟังธรรมะมันก้าวก่ายกันอยู่อย่างนี้เราจะให้สว่างกับธรรมะนั้นไม่มีเลยโยมอาตมาก็ปฏิบัติมาหลายเมืองหลายที่ร้อยคนพันคนจะมีใครที่ตั้งใจปฏิบัติเพื่อความหลุดพ้นจริงๆไม่ค่อยจะมีนอกจากว่าพระกรรมฐานด้วยกันที่พูดถูกกันที่เห็นด้วยกันอย่างนั้นผู้ที่จะพ้นจากวัฏฏสงสารจริงๆมีน้อยยิ่งถ้าพูดถึงธรรมะอันละเอียดจริงๆแล้วโยมก็กลัว ไม่กล้าขนาดพูดแค่ว่าอย่าไปทำความชั่วเท่านี้ก็ยังไม่ค่อยจะได้อาตมาได้เคยเทศน์ให้โยมฟังแล้วว่าโยมจะดีใจก็ตามจะเสียใจก็ตามสุขก็ตาม ทุกข์ก็ตามร้องไห้ก็ตามร้องเพลงก็ตามเถอะอยู่ในโลกนี้ก็เหมือนอยู่ในกรงเท่านั้นแหละไม่พ้นไปจากกรงถึงเราจะรวยก็อยู่ในกรงมันจะจนก็อยู่ในกรงมันจะร้องไห้ก็อยู่ในกรงมันจะรำวงอยู่ก็รำวงอยู่ในกรงมันจะดูหนังก็ดูหนังอยู่ในกรงกรงอะไรเล่ากรงคือความเกิดกรงคือความแก่กรงคือความเจ็บกรงคือความตาย
เปรียบเหมือนอย่างนกเขาที่เลี้ยงเอาไว้เอานกเขามาเลี้ยงไว้แล้วก็ฟังเสียงขันของมันแล้วก็ดีใจว่านกเขามันขันดีนกเขามันเสียงโตนกเขามันเสียงเล็กไม่ได้ไปถามนกเขามันเลยว่ามันสนุกหรือเปล่าเพราะเราก็ว่าฉันเอาข้าวให้มันกินเอาน้ำให้มันกินแล้วทุกอย่างอยู่ในกรงทั้งหมดแล้วก็นึกว่านกเขามันจะพอใจเรานึกหรือเปล่าว่าถ้าหากเขาเอาข้าวเอาน้ำให้กินโดยให้เราไปขังอยู่ในกรงนั้นเราจะสบายใจไหมมันไม่ได้คิดอย่างนี้ก็นึกว่านกเขามันสบายแล้วน้ำมันก็ได้กินข้าวมันก็ได้กินมันจะไปทุกข์อย่างไรพอคิดแค่นี้ก็หยุดแล้วแต่ว่านกเขามันจะตายอยู่แล้วมันอยากจะบินไปมันอยากจะออกจากกรงไปแต่เจ้าของนกนั้นไม่รู้เรื่องก็ว่านกเขาของฉันมันขันดีนะกลางคืนมันก็ขันเวลาเดือนหงายมันก็ขันยังคุยโง่ไปโน่นอีก
ยิ่งแบกก็ยิ่งหนัก
มันเหมือนกับเราขังกันอยู่ในโลกนี้แหละอันนั้นก็ของฉันอันนี้ก็ของฉันอันนี้ก็ของฉันสารพัดไม่รู้เรื่องของเจ้าของความเป็นจริงนั้นเราสะสมความทุกข์ไว้ในตัวของเรานั่นเองไม่อื่นไกลหรอกแต่เราไม่มองถึงตัวเหมือนเราไม่มองถึงนกเขาเราเห็นว่ามันสบายกินน้ำได้กินอาหารก็ได้ตลอดเราก็เลยเห็นว่ามันสุขถึงมันจะแสนสุขแสนสบายเท่าไรก็ช่างเถอะเมื่อมันเกิดมาแล้วต่อไปมันก็ต้องแก่แก่แล้วต้องเจ็บเจ็บก็ต้องตายนี่มันเป็นทุกข์อยู่อย่างนี้แต่เราก็มาปรารถนาอีกว่า"ชาติหน้าขอให้ฉันได้เกิดเป็นเทวดาเถิด"มันก็หนักกว่าเก่าอีกแต่เราก็คิดว่ามันสบายตรงนั้นนี่คือความคิดของคนมันยิ่งหนักพระพุทธองค์ทรงสอนว่า"ทิ้ง" เราก็ว่า"ฉันทิ้งไม่ได้"ก็เลยยิ่งแบกยิ่งหนักไปเรื่อยคือความเกิดมันเป็นเหตุให้หนักแต่เรามองกันไม่เห็นถ้าว่าไม่เกิดเราก็ว่ามันบาปที่สุดแล้วคนตายไม่เกิดบาปที่สุดแล้วฉะนั้นเราจะทะลุปรุโปร่งเรื่องธรรมะนี้มันจึงยาก
สิ่งสำคัญของคนเรา
เรื่องที่สำคัญอันหนึ่งคือเราจะต้องมาภาวนามาพิจารณากันทุกๆคนทุกคนก็จะพ้นทุกข์ได้ทั้งนั้นแหละอย่างบ้านเรานี้เรียกว่าเป็นเจ้าของพุทธศาสนาแต่เราก็ทิ้งหลักธรรมพุทธศาสนาที่แท้จริงกันได้แต่ถือกันมาเรื่อยๆแต่เรื่องจะมาภาวนากันนั้นไม่ค่อยจะมีแม้ตลอดจนถึงพระภิกษุจะมาภาวนาเรื่องจิตใจของเราเป็นอย่างไรนั้นก็ไม่ค่อยจะมีเรียกว่าเราห่างไกลกันเหลือเกินห่างจากพุทธศาสนาและอีกอย่างหนึ่งคือพวกเรามักจะเข้าใจว่าบวชจึงจะปฏิบัติได้โยมผู้หญิงก็บอกว่า"อยากเป็นผู้ชายเว้ย...จะหนีไปบวชซะหรอก"นี่ก็นึกว่าบวชนั้นจึงจะดีทำความดีได้แต่นักบวชให้ย้อนกลับไปถึงเราดีๆเถอะการทำความดีความชั่วมันอยู่กับตัวเราทั้งนั้นอย่าไปพูดถึงการบวชหรือการไม่บวชขอแต่ว่าเราสร้างความดีของเราเรื่อยไปนี่เป็นสิ่งที่สำคัญมาก
ตอบกลับ
สนับสนุน
คัดค้าน
ใช้ไอเท็ม
รายงาน
kit007
kit007
ออฟไลน์
เครดิต
32163
7
#
เจ้าของ
|
โพสต์ 2014-3-9 09:55
|
ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ใช้ศีลธรรมเป็นเครื่องละบาป
ฉะนั้นเรื่องของศาสนานี้ก็คือเรื่องให้ปล่อยตัวออกจากกรงนั่นเองที่เรามาปฏิบัตินี้ก็เพื่อแก้ปัญหานี้ที่เรามาสมาทานศีลมาฟังธรรม ก็เพื่อแก้ปัญหาอันนี้เรื่องแก้ปัญหาชีวิตของเรานี้เบื้องต้นพระพุทธองค์หรือนักปราชญ์ทั้งหลายท่านสอนว่าให้มีศีลธรรมให้รู้จักศีลธรรมเช่นเพชรเม็ดนี้ของใครนะฉันอยากได้แต่ฉันจะขโมยเอาก็กลัวจะบาปนี่เท่านี้ก็พอแล้วเรียกว่าศีลธรรมถ้าเราเห็นอย่างนี้ก็จะเป็นคนไม่เห็นแก่ตัวอาตมาเคยพูดว่าพวกเราทั้งหลายในปีสองปีมานี้ชอบทำบุญสุนทานกันมากการคมนาคมก็สะดวกไปทัศนาจรแสวงบุญกันแต่มามองดูแล้วมันไปแสวงบุญอย่างเดียวแต่มันไม่แสวงหาการละบาปมันผิดคำสอนของพระพุทธเจ้าที่ว่าให้เราละบาปก่อนจึงบำเพ็ญบุญไปทำบุญ ไม่ละบาปมันก็ไม่หมดมันเป็นเชื้อโรคติดต่อกันอยู่ตลอดเวลามันจึงเดือดร้อนกัน
หัวใจพุทธศาสนาสอนว่าไม่ให้ทำความผิดแล้วก็ทำจิตให้เป็นกุศลแล้วก็จะเกิดปัญญาแต่ทุกวันนี้ทำบุญกันแต่การละบาปนั้นไม่มีใครคิดเห็นความเป็นจริงนั้นก็ต้องละบาปก่อนจึงบำเพ็ญบุญกุศลถ้าบาปไม่ละจะเอาบุญไปอยู่ที่ไหนไม่มีที่จะอยู่หรอกบุญนั้นฉะนั้นเราต้องกวาดเครื่องสกปรกออกจากใจของเราเสียแล้วจึงจะทำความสะอาดเรื่องนี้พวกเราควรจะเอาไปคิดพิจารณา
อำนาจของพระธรรมจักมีได้อย่างไร?
พวกเราทุกวันนี้เรียกว่ามันขาดการภาวนาขาดการพิจารณาจึงไม่ได้ข้อประพฤติปฏิบัติเมื่อไม่เห็นชัดก็ไม่ได้ปฏิบัติมันจึงแก้ปัญหาไม่ได้มันไม่มีใครถอยออกมาพิจารณาให้มันเห็นชัดตามหลักพุทธศาสนาเช่นว่า เจ้านายบางคนก็มากราบหลวงพ่อถามว่า "บ้านเมืองมันจะเป็นอย่างไรหนอคงจะไม่เป็นอะไรมั้งครับมันมีอำนาจของพระพุทธอำนาจของพระธรรมอำนาจของพระสงฆ์มีอำนาจของพระพุทธศาสนา"
พระพุทธศาสนาไม่มีอำนาจอะไรเลยแม้ก้อนทองคำก็ไม่มีราคาถ้าเราไม่มารวมกันว่ามันเป็นโลหะที่ดีมีราคาทองคำมันก็จะถูกทิ้งเหมือนก้อนตะกั่วเท่านั้นแหละพระพุทธศาสนาตั้งไว้มีอยู่แต่ถ้าเราไม่ประพฤติปฏิบัติจะไปมีอำนาจอะไรเล่าอย่างธรรมะเรื่องขันติมีอยู่แต่เราไม่อดทนกันมันจะมีอำนาจอะไรไหม
อำนาจแห่งธรรมมาจากการปฏิบัติ
อำนาจหลักพระพุทธศาสนาก็คือพวกเราที่เป็นเจ้าของพระพุทธศาสนานี่แหละช่วยกันบำรุงเช่นทำศีลธรรมให้เกิดขึ้นมามีความสามัคคีกันมีความเมตตาอารีซึ่งกันและกันมันก็เกิดขึ้นมาเป็นกำลังของพุทธศาสนาไม่ใช่ว่าพระพุทธศาสนานั้นมันจะมีอำนาจที่มีอำนาจก็เพราะเราเอาธรรมะนั้นมาปฏิบัติให้ถูกต้องมันจึงจะมีพลังเกิดขึ้นมาช่วยแก้ปัญหาหลายสิ่งหลายอย่างอย่างเช่นคนในศาลานี้มันตั้งใจจะรบกันแต่พอมาฟังธรรมะที่ว่าการอิจฉาหรือการพยาบาทมันไม่ดีเข้าใจทุกๆคนเท่านั้นก็เลิกกันอำนาจพุทธศาสนาก็เต็มเปี่ยมขึ้นมาเดี๋ยวนั้นแต่ถ้าพูดให้ฟังเท่าไรๆก็ไม่ยอมกันมันก็รบกันเท่านั้นแหละพุทธศาสนาจะมากันอะไรได้นี่มันเป็นอย่างนี้
ที่มา
http://www.ubu.ac.th/wat/ebooks/chahthai/Dhamma_Hard_to_Know.html
ตอบกลับ
สนับสนุน
คัดค้าน
ใช้ไอเท็ม
รายงาน
กลับไป
ตั้งกระทู้ใหม่
โหมดขั้นสูง
B
Color
Image
Link
Quote
Code
Smilies
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง
ลงชื่อเข้าใช้
|
ลงทะเบียน
รายละเอียดเครดิต
ตอบกระทู้
ข้ามไปยังโพสต์ล่าสุด
ตอบกระทู้
ขึ้นไปด้านบน
ไปที่หน้ารายการกระทู้
Share To Facebook
Share To Twitter
Share To Google+
Share To ...