ตั้งให้เราเป็นเว็บแรกที่คุณเลือก
เก็บเราไว้เป็นเว็บโปรด
สมัครสมาชิก ได้มากกว่าที่คุณคิด
เข้าสู่ระบบ
บ้านหลวงปู่
คศช.
ข่าวสารล่าสุด
ประสบการณ์
โชว์วัตถุมงคล
สอบถาม
นานาสาระ
นครนาคราช
ร่วมประมูล
บูชาวัตถุมงคล
เพื่อน
กระทู้แนะนำ
บุ๊คมาร์ก
ไอเท็ม
เหรียญ
ภารกิจ
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
ดูบริการทั้งหมด
เว็บบอร์ด
BBS
บูชาวัตถุมงคลหลวงปู่ชื่น
ศรีสุทธรรมนาคราช
ร้านจอมพระ
ศูนย์พระเครื่องจอมพระ
ค้นหา
ค้นหา
HOT TAG:
พระศรีราม
ขุนแผนแสนตรีเวทย์
พระเจ้าชัยวรมัน
บอร์ดนี้
บทความ
เนื้อหา
สมาชิก
Baan Jompra
›
นานาสาระ
›
ตำนานพระเกจิอาจารย์แห่งแดนสยาม
»
~ หลวงพ่อทา วัดพะเนียงแตก ~
1
2
3
/ 3 หน้า
ถัดไป
กลับไป
ตั้งกระทู้ใหม่
เจ้าของ: kit007
~ หลวงพ่อทา วัดพะเนียงแตก ~
[คัดลอกลิงก์]
kit007
kit007
ออฟไลน์
เครดิต
32163
11
#
เจ้าของ
|
โพสต์ 2013-3-20 10:57
|
ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
สู่สันโดษ
ตลอดหลายพรรษา
ที่หลวงพ่อทาได้รับการฝึกอบรมจากท่านเจ้าอธิการวัดฆ้อง และพระอาจารย์ชาวรามัญ ซึ่ง พระเถระทั้งสองได้บอกอุบายหลักปฏิบัติและวิชาอาคมอย่างแก่กล้าและมีความถ่อง แท้ในหลักประพฤติวิปัสสนาธรรมตลอดถึงการต้องออกไปอยู่ป่าดงนอกท้องถิ่นของตน เอง หลวงพ่อทั้งสองเห็นสมควรให้ศิษย์ได้ออกแสวงหาความจริง ด้วยการเรียนรู้ตนเองในป่าดงโดยลำพัง
หากจะพูดถึงวิชาแล้ว หลวงพ่อทาได้รับการถ่ายทอดจนนำไปปฏิบัติอย่างได้ผล สามารถเอาตัวรอดปลอดภัยมาได้ทุกประการ ดังนั้นหลวงพ่อทา ซึ่งอยู่ในคราวอายุ ๓๕ ปี เศษ ๆ ท่านกราบลาพระอาจารย์ทั้งสอง ตลอดถึงครูอาจารย์พระอุปัชฌาย์จารย์ทุกรูป ซึ่งรวมไปถึงพระอาจารย์ที่วัดโพธารามที่เคยอาศัยข้าวก้นบาตรจนเติบใหญ่ เมื่อกราบลาพระอาจารย์แล้ว ท่านออกแสวงหาวิโมกขธรรมต่อไป โดยจาริกไปตามท้องถิ่นต่างๆ ตามแบบฉบับของพระธุดงค์ยุคโบราณด้วยการถือปฏิบัติดังต่อไปนี้
๑. ถือเอาแบบฉบับแห่งองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
๒. เป็นผู้มีสติในเพศของนักบวชแห่งพระพุทธศาสนา
๓. ถือสันโดษ มักน้อย
๔. อยู่ในกลด อาศัยป่าดงพงไพรเป็นที่อาศัยปฏิบัติธรรม
๕. ฉันในบาตร ฉันหนเดียวพอประทังชีวิต
๖. สำรวมระวังศีล มุ่งภาวนาด้วยสติปัญญา
หลวงพ่อทา วัดพะเนียงแตก ท่านไปทำความเพียรครั้งนั้น ท่านกลางความเงียบสงัดในป่า มีสัตว์ป่ามากมายให้เห็นพอเป็นเพื่อนเกิด แก่ เจ็บ ตาย ป่าดงพงไพรสมัยก่อนนั้นอุดมสมบูรณ์มากล้วนเป็นสัปปายะทางใจแก่ผู้ปฏิบัติ ทั้งความเงียบ ความร่มรื่นของป่าเป็นเสมือนพลังให้ผู้ปฏิบัติธรรมรุดหน้าไป
ยิ่ง ๆ ขึ้น การขัดเกลากิเลสตัณหาออกจากจิตใจนั้นอยู่ที่ผู้ฝึกกระทำ ส่วนธรรมชาติเป็นเครื่องส่งเสริมให้เกิดความแน่วแน่ เพ่งเพียรในอารมณ์ มีสติตื่นฟื้นตัวตลอดเวลา สิ่งดี สิ่งเลว มันพรั่งพรู ออกมาให้ได้แยกแยะมากมาย ทุกเวลา นาทีมีแต่การฝึกปฏิบัติทั้งสิ้น ความหลับหลงของสตินั้นไม่มี ป่าดงพงไพรที่หลวงพ่อทาเดินย่ำผ่านไปหลายแห่งที่พอจะค้นหาหลักฐานได้ก็คือ
๑. ภาคเหนือหลายแห่ง เพราะหลวงพ่อทามีจิตประสงค์ที่จะต้องไปกราบไหว้พระพุทธชินราชเมืองพิษณุโลก
๒. ย้อนมาทางภาคอีสาน แล้วเดินธุดงค์ต่อไปยังจุดหมายคือ นครวัตร ประเทศเขมร แม้ยามนั้นประเทศเขมรจะอยู่ภายใต้อารักขาของฝรั่งเศส โดยสมเด็จพระนโรดม เมื่อพ.ศ. ๒๔๐๖แล้วก็ตาม การเดินธุดงค์ของท่านก็ยังราบรื่นปลอดภัยกว่ายุคนี้
๓. เดินทางมาสู่ภาคกลาง แล้วได้แวะกราบรอยพระพุทธบาทเมืองสระบุรี ซึ่งครูอาจารย์ยุคโบราณจะต้องมีโอกาสเดินทางมากราบไหว้อย่างน้อย ๑ ครั้ง ในช่วงชีวิต เพราะสถานที่แห่งนี้มีความสำคัญในทางพระพุทธศาสนามากมายโดยเฉพาะประเทศไทย
๔. แล้วเดินธุดงค์ต่อไปทางเมืองกาญจนบุรี ผ่านออกไปทางประเทศพม่า เดินธุดงค์ผ่านไปหลายแห่ง จนมาถึงจุดหมายที่เมืองย่างกุ้ง เข้ากราบพระมหาธาตุเจดีย์ชเวดากองประเทศพม่า
ตอบกลับ
สนับสนุน
คัดค้าน
ใช้ไอเท็ม
รายงาน
kit007
kit007
ออฟไลน์
เครดิต
32163
12
#
เจ้าของ
|
โพสต์ 2013-3-20 10:57
|
ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
กิตติศัพท์
หลวงพ่อทาได้ใช้ชีวิตอย่างสงบในป่าดงพงไพร อาศัยแรงศรัทธาของชาวบ้านต่างถิ่นบิณฑบาตอาหารพอประทังชีวิตเพื่อหนทางแห่งความพ้นทุกข์ การปฏิบัติธรรมกรรมฐานของหลวงพ่อทาเป็นที่ประจักษ์ว่า ท่านมีพลังจิตอันแก่กล้า และมั่นคงจนได้รับสมญานามว่า “ หลวงพ่อทาเป็นพระนักปฏิบัติ มีสมาธิจิตสูงอยู่ในระดับพระธุดงค์ชั้นยอด” หลังจากกลับมาประเทศไทย หลวงพ่อทาก็รอนแรมมาทางอำเภอแม่สอด จังหวัดตาก ลัดมาทางจังหวัดอุทัยธานี สุพรรณบุรี และนครปฐม กิตติศัพท์ของหลวงพ่อทาในระยะนี้เริ่มเป็นที่รู้จักกล่าวขวัญกันมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะเรื่อของการปฏิบัติธรรมด้วยแล้ว หลวงพ่อทาเจริญข้อวัตรปฏิบัติอย่างยิ่งยวดไม่บกพร่องตกหาย กิริยา อันสงบเสงี่ยม สำรวมใจ มีธรรมะเป็นเครื่องขัดเกลา เมื่อท่านย่างเท้าก้าวไปถึงแห่งหนตำบลใด จะมีแต่ผู้คนยกย่องสรรเสริญตลอดมา ด้วยวัตรปฏิปทาอันบริสุทธิ์งดงามอย่างพระภิกษุสงฆ์ผู้เป็นบุตรแห่งพระตถาคตเจ้า ได้ขจรขจายเข้าไปถึง
พระราชวังหลวงในประวัติศาสตร์จารึกบันทึกไว้ว่า “ หลวงพ่อทาแห่งวัดพะเนียงแตก มีศีลาจารจริยาวัตรอันงดงาม เป็นที่เคารพของประชาชน ความดีงามของท่าน จึงเป็นที่วางพระทัยของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๔ พระองค์ทรงให้ดำรงตำแหน่งอันสำคัญในพระพุทธศาสนาในกาลต่อมา”
นี้เองเป็นผลของผู้ปฏิบัติธรรม องค์พระศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงพระเมตตาให้มนุษย์ทั้งหลายมีธรรมะประจำใจ หลวงพ่อทาเป็นพระภิกษุผู้ปฏิบัติตาม จึงปรากฏความงามในจิตใจเช่นนี้ ความจริงแห่งอมตะ ...ธรรมะ... เป็นเครื่องขัดเกลาและช่วยให้โลกมีความสะอาดจัดให้โลกมีระเบียบเรียบร้อย จัดให้โลกไม่มีความเดือดร้อนวุ่นวาย หากโลกทั้งสิ้นนี้มีธรรมะ....โลกก็จะมีแต่สันติสุข
ตอบกลับ
สนับสนุน
คัดค้าน
ใช้ไอเท็ม
รายงาน
kit007
kit007
ออฟไลน์
เครดิต
32163
13
#
เจ้าของ
|
โพสต์ 2013-3-20 10:58
|
ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
หลวงพ่อทา ท่านมี หิริ ความละอายแก่จิตใจไม่ให้กระทำความชั่ว
หลวงพ่อทา ท่านมี โอตตัปปะ เป็นอาการกลัวความชั่วร้าย กลัวความสกปรกลามกจะเกิดขึ้นในจิตใจ
หลวงพ่อทา ท่านมี ขันติ ความอดทนต่อสภาพต่าง ๆ ทุกข์ก็ดี สุขก็ดี ท่านจะอดทนเพื่อให้บรรลุเป้าหมายอันดีงาม และความมุ่งหมายอันชอบ
หลวงพ่อทา ท่านมี โสรัจจะ มีคว่ามสงบเสงี่ยมเจียมใจ มีอัธยาศัยอันงดงาม มีความปราณีตหมดจดเรียบร้อย
เพราะธรรมะนี้แหละ ยังชำระจิตใจของมนุษย์ให้งดงาม เปลี่ยนจิตใจคนให้เป็นจิตใจพระและใจพระอริยบุคคลในวลาต่อมา ธรรมะเหล่านี้เองเป็นองค์ประกอบที่ทำให้หลวงพ่อทาท่านมีสมาธิจิตสูงล้ำ มีความแข็งแกร่ง กล้าหาญ กล้าทำ กล้าปฏิบัติ จึงเป็นพระเถระผู้ที่ยิ่งยอดในยุคนั้น
ในราวพ.ศ. ๒๔๑๒ ปีมะเส็ง ก่อนหลวงพ่อทาคิดจะสร้างวัด ในปีดังกล่าวหลวงพ่อทามีอายุ ๔๖ ปีเศษ ท่านออกเดินธุดงค์อีกวาระหนึ่ง ในการเดินธุดงค์ถือความพอใจและปรารถนาที่จะแสวงหาความสันโดษสงบสุข ในปีดังกล่าว ตรงกับรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ ท่านเข้าไปพบสถานที่แห่งหนึ่ง ซึ่งกาลต่อมาก็คือ บริเวณวัดพะเนียงแตกนั้นเองแต่ครั้งนั้น บริเวณโดยทั่วไปเป็นป่ารก มีต้นไม้ขึ้นหนาแน่น หลวงพ่อทารู้ด้วยวาระจิตว่า บริเวณดังกล่าวเคยมีความเจริญมาก่อน และเป็นที่อันเป็นมงคลอย่างยิ่ง เมื่อท่านปักกลดเสร็จ ท่านก็ออกเดินสำรวจดูให้รู้ว่าบริเวณดังกล่าวมีอะไรบ้าง เมื่อเดินไปถึงหมู่ไม้หนาแน่น ก็เห็นเป็นสิ่งปรักหักพัง เป็นสิ่งก่อสร้างแต่ครั้งโบราณ กาลเวลาเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ ทำให้ความเสื่อมสลายลบร่องรอยความเจริญในอดีตนั้นเสีย หลวงพ่อทาเดินสำรวจลึกเข้าไปก็พบกับระฆังใบใหญ่ เป็นระฆังโบราณ มีหนังสือขอมโบราณจารไว้เป็นปริศนาลายแทงว่า
“ โตงเตงโตงใต้ ใครคิดได้อยู่ใต้โตงเตง ”
ความปริศนาไม่ยากที่จะตีความ แต่ถ้าใครไม่มีดีอยู่ในตัว ย่อมวิบัติและตายสถานเดียว หลวงพ่อทาเล็งรู้ด้วยญาณสมาบัติว่า “ ใต้ระฆังใบใหญ่นี้ มีทรัพย์สินเป็นแก้วแหวนเงินทองมากมายมหาศาล ผู้เป็นเจ้าของทรัพย์ได้ฝังเอาไว้และมีอาถรรพณ์อันร้ายแรงอีกด้วย”
ตอบกลับ
สนับสนุน
คัดค้าน
ใช้ไอเท็ม
รายงาน
kit007
kit007
ออฟไลน์
เครดิต
32163
14
#
เจ้าของ
|
โพสต์ 2013-3-20 10:58
|
ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
เจตนาเจ้าของทรัพย์
การเดินสำรวจของหลวงพ่อทา เดินดูทุกแห่งจนทั่วท่านก็ย้อนกลับมาที่ปักกลด คืนนั้นท่านทำภาวนาตามปกติ ความจริงท่านลืมเรื่องสมบัติที่ฝังไว้ใต้ระฆังโบราณไปแล้ว แต่ขณะจิตสงบลงก็บังเกิดความรู้เห็นหรือ “ ตาญาณ ” ขึ้นไปพบเจ้าของทรัพย์และจำนวนทรัพย์มหาศาลนั้น เมื่อถอนสมาธิออกแล้วท่านก็รำลึกขึ้นว่า “ อันทรัพย์ทั้งหมดที่ฝังไว้ใต้พื้นดินนี้ เจ้าของทรัพย์ ได้มอบฝากฝังไว้กับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ผู้มีอิทธิฤทธิ์ทั้งหลาย ตลอดถึงภูตผีปีศาจเป็นผู้ดูแลรักษาไว้ และยังได้อธิษฐานไว้ว่า หากผู้มีบุญมาพบเห็นสมบัติเข้าแล้ว ขอให้ขุดเอาทรัพย์ทั้งหมดนี้ขึ้นมาทั้งหมด แล้วนำไปสร้างการกุศล อุทิศไว้ในพระศาสนา ” สำหรับคนที่มีวาสนา แต่พกพาจิตใจไว้ด้วยความโลภ มีเจตนาที่ไม่บริสุทธิ์ แม้จะตีความลายแทงออกก็ไม่สามารถขุดเอาไปได้ดังนี้ หากมีผู้พบด้วยตีปริศนาลายแทงได้ก็จริง ส่วนในจิตใจพกไว้ซึ่งความโลภ ความมีจิตอกุศล มีเจตนาไม่บริสุทธิ์ จะขุดไปลึกแค่ไหน กว้างขวางอย่างไร ก็ยากจะได้พบกับสมบัติเหล่านั้น ตรงกันข้าม จะต้องพบกับสิ่งอาถรรพณ์ ทำให้เจ็บป่วยเสียชีวิตได้ สำหรับหลวงพ่อทา พระผู้เรืองเวทย์และอภิญญาแก่ล้ำเลิศองค์นี้ ท่านเป็นพระผู้บริสุทธิ์เป็นกรรมฐานที่หมั่นขัดเกลาตัวตัณหาทั้ง ๓ ได้แก่ ราคะ โทสะ โมหะ เพียรมุ่งหวังสร้างความดีมาโดยตลอดนับเป็นสิบ ๆ พรรษา ดังนั้น ความโลภที่จะเอาสมบัติของใครอื่นนั้นตัดปัญหาทิ้งน้ำไปได้เลย หลวงพ่อทาทบทวนสมาธิหลายครั้ง เจตนาเจ้าของทรัพย์ก็มาขอแรงเมตตาจากท่านให้ขุดเอาสมบัติเหล่านี้ขึ้นมาเสียที หลวงพ่อทาพิจารณาแล้ว ท่านรำพึงว่า “........สถานที่แห่งนี้เคยมีความสำคัญมาก่อน เมื่อมีเจตนาให้นำมาสร้างกุศล ก็จะสร้างวัดเสียที่นี่ หากได้สร้างวัดเอาไว้ในพระพุทธศาสนา เจ้าของและวิญญาณเหล่านั้นก็จะได้อาศัยเนื้อนาบุญผืนนี้เป็นที่สุขคติต่อไป...” สิ้นเสียงของหลวงพ่อทา คำว่า “ สาธุ ” ดังขึ้นระงมไปทั้งป่าแห่งนั้น รุ่งเช้า ท่านบิณฑบาตกลับมาฉันแล้วจึงลงมือขุดเอาสมบัติใต้พื้นดินเหล่านั้น ขุดก็ไม่ลึกลงไปเท่าไรนักเพียงเอาไม้ขัด ๆ เขี่ย ๆ ก็พบกับสมบัติภายใต้พื้นดินมากมาย เอามือล้วงออกมารวบรวมไว้มากพอที่จะทำการสร้างวัดได้ บรรดาแก้วเพชรเงินทองต่าง ๆ ถูกมากองรวมไว้ ใส่ย่ามปิดไว้อย่างมิดชิด ส่วนสถานที่อันเป็นมงคลนั้น หลวงพ่อทาได้เห็นเปลวไฟพะเนียงแตกพุ่งขึ้นไปบนอากาศอยู่เสมอโบราณท่านเรียกว่า “ ทองลุก ”
“ ผีเลื่อนสมบัติ ”
เมื่อหลวงพ่อทา ท่านทำการก่อสร้างวัดสำเร็จตามความปรารถนาของเจ้าของทรัพย์สมบัตินั้นแล้ว ท่านได้ถือเอานิมิตบริเวณเก่าแก่แห่งนี้ ไฟอันเกิดจากเปลวพะเนียงแตก หรือทองลุกนั้นเป็นชื่อวัดในพระพุทธศาสนาขึ้น คือ วัดพะเนียงแตก มาตราบเท่าทุกวันนี้
ตอบกลับ
สนับสนุน
คัดค้าน
ใช้ไอเท็ม
รายงาน
kit007
kit007
ออฟไลน์
เครดิต
32163
15
#
เจ้าของ
|
โพสต์ 2013-3-20 10:58
|
ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
หลวงพ่อเสือ หรือหลวงพ่อทา
วัดพะเนียงแตก ทำการสร้างเสร็จเรียบร้อยไปแล้ว แต่ทรัพย์สมบัติที่ขุดขึ้นมาจากใต้ระฆังโบราณนั้นก็ยังเหลืออีกมาก หลวงพ่อทาครุ่นคิดว่า เจ้าของทรัพย์ มีเจตนาสร้างกุศล เงินทองที่ใช้สร้างวัดก็ยังเหลืออยู่อีกมาก สมควรที่จะสร้างวัดเพิ่มบุญให้เจ้าของวิญญาณเหล่านั้นตลอดถึงเทพเทวาที่มาร่วมอนุโมทนา
อีกด้วย หลวงพ่อทาคิดดังนั้นแล้ว ได้นำเอาทรัพย์สมบัติที่ขุดขึ้นมาได้ทั้งหมด ไปสร้างวัดอีก ๓ แห่งคือ
๑.
วัดบางหลวง
๒.
วัดดอนเตาอิฐ
๓.
วัดสองห้อง
รวมแล้วด้วยความสามารถปฏิปทาหลวงพ่อทาแห่งวัดพะเนียงแตก จึงทำให้วัดทั้ง ๔ แห่งเจริญรุ่งเรืองมากในยุคนั้น อย่างไรก็ดี การหาไม้มาสร้างวัดนั้น หลวงพ่อทาได้แรงจากชาวบ้านที่มีความเคารพนับถือในตัวท่าน ได้แสวงหาไม้งาม ๆ เดินทางไปถึงจังหวัดกาญจนบุรี ท่านได้มาสร้างพระอุโบสถและพระวิหาร ตลอดถึงกุฏิ ศาลา นับเป็นความรักความสามัคคีทั้งชาวบ้านและชาววัดอย่างแท้จริง หลังจากสร้างวัดทั้ง ๔ แห่งไปเรียบร้อยแล้ว หลวงพ่อแช่มแห่งวัดตาก้อง ศิษย์สำคัญของหลวงพ่อทาได้เล่าไว้ในประวัติดังนี้
“ หลวงพ่อทา พระอุปัชฌาย์ วัดพะเนียงแตก ต่อมาท่านได้รับสมณศักดิ์เป็นที่พระครูโสอุดรมีตำแหน่งเป็นเจ้าคณะแขวงเมืองนครปฐม พระครูโสอุดรก็ดี หลวงพ่อทาก็ดี มีชาวบ้านญาติโยมเรียกอีกนามหนึ่งว่า
“ หลวงพ่อเสือ ”
หลวงพ่อทา เป็นพระเถระผู้ใหญ่ที่เคร่งครัดมาก มีคนรู้จักนับถือกว้างไกล แม้ที่เมืองสุพรรณบุรีที่พยายามเดินทางมากราบถึงวัดการเดินทางก็มิใช่ว่าจะสะดวกสบาย ลำบากมาก แต่เมื่อตั้งใจมาหาทุกคนจะปลอดภัยเสมอ ” จากคำบอกเล่าไว้ในประวัติของหลวงพ่อแช่มแห่งวัดตาก้องท่านกล่าวนามหลวงพ่อทาว่า…. หลวงพ่อเสือ.... ย่อมมีสาเหตุดังจะเล่าให้ท่านผู้อ่านได้ฟังดังนี้
ตอบกลับ
สนับสนุน
คัดค้าน
ใช้ไอเท็ม
รายงาน
kit007
kit007
ออฟไลน์
เครดิต
32163
16
#
เจ้าของ
|
โพสต์ 2013-3-20 10:59
|
ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ในฐานะพระเถระผู้มีความสามารถในการปกครอง ท่านสามารถแสดงบทต่างๆ ได้เป็นอย่างดีเช่น
๑. พวกเสือร้ายที่เที่ยวปล้นสะดมภ์
๒. พวกนักเลงโต นักเลงหัวไม้
๓. พวกขี้เหล้า พวกขี้ยา
พวกร้ายทั้งหมดนี้ล้วนมีความขยาดกลัวความเด็ดขาดของหลวงพ่อทามาก หลวงพ่อทาก็มีอำนาจใน
การปกครองโดยผ่านจากคณะสงฆ์ “ สมัยก่อนมักมีกฎระเบียบที่เรียกว่า “ อาญาวัด ” คือให้อำนาจการปกครองแก่สมภารวัดโดยเด็ดขาด คำว่า “ อาญาวัด “ แม้ในสมัยก่อนราว ๔๕-๕๐ ปีย้อนหลัง วัดวาในต่างจังหวัดมักนิยมจัดงานประจำปีกันเสมอๆ แต่ละปีหรือปีละหลายๆหนเป็นงานใหญ่โตมาก
เมื่อถึงวันงาน ผู้คนจะล้นหลามพากันมาเที่ยวงานดังกล่าว แต่ผู้คนที่มางานนั้นเป็นคนดีก็มี คนเลวร้ายก็มาก พวกนักเลงชอบวิวาทก็มาก พวกขี้เหล้า ขี้ยาก็ไม่น้อย ผู้คนสมัยก่อนจะหาความสนุกสนานรื่นเริงได้ยาก วัดจึงเป็นศูนย์รวมทั้งให้ความรู้ในธรรมะ ให้ความรู้ประดับสติปัญญาแล้วยังต้องให้ความสนุกรื่นเริงประจำทุกปีอีกด้วย
วัดพะเนียงแตก ถือเป็นวัดสำคัญวัดหนึ่งเมื่อมีงาน ผู้คนก็หลั่งไหลมาทั่วทิศมาทางบกก็ได้ มาทางเรือก็เยอะ เอาข้าวปลามาหุงหากินกันเลยทีเดียว ทีนี้พวกเกเรที่มีคู่อริอยู่แล้ว ก็ต้องมาเจอกันที่นี้อย่างแน่นอน เมื่อได้ร่ำสุราพอตึง ๆ ก็เริ่มแสดงเกะกะระรานชาวบ้านที่มาเที่ยวงาน นัยย์ตามองใครไม่เป็นมิตร
ชาวบ้านที่มาจากต่างถิ่นเพื่อมาทำบุญ เกิดความรำคาญใจพากันหลบหนีพวกนักเลงโตได้ใจ กลายเป็นงานอวดเก่งของคนพวกนี้
ตอบกลับ
สนับสนุน
คัดค้าน
ใช้ไอเท็ม
รายงาน
kit007
kit007
ออฟไลน์
เครดิต
32163
17
#
เจ้าของ
|
โพสต์ 2013-3-20 10:59
|
ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
อาญาวัด
อำนาจสงฆ์หรืออาญาวัด จากการบอกเล่าของหลวงพ่อแช่มวัดตาก้องซึ่งเป็นลูกศิษย์ของหลวงพ่อทาได้บอกไว้ดังนี้
“ พวกนักเลงโต ตำบลตาก้อง กับตำบลพะเนียงแตก มักจะยกพวกตีกันเสมอแต่ละคราวมันไม่ได้ฆ่ากันตายหรอก เขาตีกันด้วยไม้ อาจใช้มีดกันบ้าง ใครหนังเหนียวก็รอดไป ใครเปราะก็เลือดตกยางออกเสียเชิงชายอายขนาดทิ้งบางทิ้งตำบลที่ตนอยู่ไปเลยนะ ที่วัดพะเนียงแตก มีงานประจำปีแต่ละคราวใหญ่โตมาก ผู้คนมาเที่ยวมาทำบุญกันเยอะ หลวงพ่อพระอุปัชฌาย์ทาท่านไม่ขอร้องกำนันและไม่ต้องรบกวนเจ้าหน้าที่ตำรวจ งานท่านราบรื่นดี ผู้ดูแลรักษาการณ์ก็เป็นตัวของท่านพระอุปัชฌาย์ทาท่านเป็นผู้ตรวจเอง เป็นตำรวจเองท่านเดินตรวจด้วยไม้พลองมันวับเดินรอบวัด เมื่อมีเหตุการณ์พวกนักเลงเขาเกิดตีกันท่านก็ควงไม้พลองเข้าร่วมวงตะลุมบอนด้วย ท่านหวดซ้ายหวดขวาอย่างว่องไว ท่านตีดะไม่ถือว่าพวกไหนต่อพวกไหน ท่านตีแรง ๆ ตีจริง ๆ เพื่อให้พวกนักเลงเจ็บแล้วเข็ดหราบ ตีจนหัวแตกหัวโน พวกนักเลงรู้ว่าใครร่วมวงด้วยก็ใจฝ่อหลบกันเป็นพัลวัน ก็เจอคนจริงเข้าแล้ว ใครจะหาญกล้า เล่นจนวงไพบูลย์แตกกระเจิงไป ทีนี้พวกร่ำสุรา พอเมาได้ที่ก็เอะอะเกะกะกับชาวบ้านที่มาร่วมงาน ชาวบ้านพากันรำคาญใจเพราะพวกนี้ไม่พูดเปล่า มือไม้มันไปด้วย หลวงพ่อทาเดินมาเห็นเข้าพอดี เข้าไปหวดด้วยไม้พลอง พวกขี้เมาหายเมาเป็นปลิดทิ้งเลยทีเดียว กลัวหลวงพ่อจนหายเมา ก็ท่านเอาจริง ๆ ตีไม่ตีเปล่า จับตัวเอาทั้งพวกนักเลงโตแล้วก็พวกขี้เหล้านั้น มาผูกมัดล่ามโซ่ไว้กลางศาลา การลงโทษเช่นนี้ ก็เพื่อให้เข็ดจำและเยี่ยงอย่างที่ไม่ดี และพอหายเมาแล้วหลวงพ่อจึงปล่อยตัวไป ”
ตอบกลับ
สนับสนุน
คัดค้าน
ใช้ไอเท็ม
รายงาน
kit007
kit007
ออฟไลน์
เครดิต
32163
18
#
เจ้าของ
|
โพสต์ 2013-3-20 10:59
|
ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ความจริงหลวงพระอุปัชฌาย์วัดพะเนียงแตก ท่านเป็นพระใจดี มีเมตตาเสมอ หากจะมองทางด้านปฏิบัติต่อพวกนักเลงโต นักเลงเหล้า จะเข้าใจว่า “ หลวงพ่อทาท่านดุ” ความจริงมิใช่อย่างนั้น จิตใจของท่านนับว่าประเสริฐเลิศด้วยปัญญา แต่ท่านต้องดุเพื่อแก้นิสัยของคน คนดื้อรั้น จำเป็นอยู่ดีที่จะต้องทำอะไรรุนแรงไปบ้างทั้งที่ฝืนใจ
ความเป็นพระเถระที่ทรงคุณธรรมสูงของหลวงพ่อทา แห่งวัดพะเนียงแตก จนได้รับการยกย่องถวายสมณศักดิ์เป็นพระครูโสอุดร ก็เพราะ
๑.
หลวงพ่อทา ท่านมีความรู้แตกฉานในพระธรรมวินัย เป็นพระภิกษุสงฆ์ที่ยืนอยู่แถวหน้าอันดับหนึ่งในจังหวัดนครปฐม มีคุณานุภาพมากมายเป็นที่ประจักษ์ในสมัยนั้น
๒.
หลวงพ่อทา เป็นพระสำเร็จจิตขั้นอภิญญาและสมาบัติสูง มีปฏิปทาน่านิยมเลื่อมใส เป็นบุตรพระสมณโคดมโดยแท้
๓.
หลวงพ่อทา ท่านมีความสามารถแก่กล้าในทางด้านพุทธาคม ไสยาศาสตร์ต่างๆ เป็นที่นิยมเลื่อมใส เป็นที่สักการบูชาของประชาชนใกล้ – ไกล โดยทั่วไป
ความโด่งดังของท่าน กิติศัพท์หลวงพ่อทาได้ขจรไปไกล มีเจ้านายระดับสูงมีจิตเคารพในคุณธรรมของท่านมาก ในกาลต่อมา ได้รับสมณศักดิ์ที่สำคัญถวายว่า
“ พระครูอุตตรการบดี ”
ตอบกลับ
สนับสนุน
คัดค้าน
ใช้ไอเท็ม
รายงาน
kit007
kit007
ออฟไลน์
เครดิต
32163
19
#
เจ้าของ
|
โพสต์ 2013-3-20 11:00
|
ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
“ พระครูอุตตรการบดี ”
จากการที่ท่านได้รับตำแหน่งสูงสุดของ หลวงพ่อทา หลวงพ่อแช่ม วัดตาก้อง ได้รวมประวัติไว้ดังนี้
“ ในฐานะเจ้าคณะแขวงเมืองนครปฐม หลวงพ่อพระอุปัชฌาย์ทาได้เลื่อนสมณศักดิ์ ก็ในสมัยนั้นมีการบูรณะพระปฐมเจดีย์ ขึ้น จำเป็นต้องมีพระภิกษุสงฆ์ผู้ทรงสมณศักดิ์เป็นผู้รักษาพระปฐมเจดีย์ทั้ง ๔ ทิศ
ซึ่งเป็นตำแหน่งแต่งตั้งขึ้นในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ( ร.๔ ) มีลำดับตำแหน่ง คือ.....
๑. ทิศเหนือ คือ พระครูอุตตรการบดี หรือ พระครูโสอุดร
๒. ทิศตะวันออก คือ พระครูบูรพาทิศรักษา หรือ พระครูปุริมานุรักษ์
๓. ทิศใต้ คือ พระครูทักษิณานุกิจ
๔. ทิศตะวันตก คือ พระครูปัจฉิมทิศบริหาร หรือ พระครูปาจิณทิศ
ในตำแหน่งดังกล่าวมานี้ อุปมาดุจพรหมทั้ง ๔ เป็นผู้อภิบาลองค์พระปฐมเจดีย์ ที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และตำแหน่งทั้ง ๔ นี้ มีการแต่งตั้งถวายพระเถระที่สำคัญ ๆ มาแต่ครั้งอดีตทั้งสิ้น....”
ที่มา
http://phanieng.igetweb.com/index.php?mo=3&art=394218
ตอบกลับ
สนับสนุน
คัดค้าน
ใช้ไอเท็ม
รายงาน
wind
wind
ออฟไลน์
เครดิต
1953
20
#
โพสต์ 2013-4-27 23:33
|
ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ข้อมูลเยี่ยมมากครับ
ตอบกลับ
สนับสนุน
คัดค้าน
ใช้ไอเท็ม
รายงาน
หน้าถัดไป »
1
2
3
/ 3 หน้า
ถัดไป
กลับไป
ตั้งกระทู้ใหม่
โหมดขั้นสูง
B
Color
Image
Link
Quote
Code
Smilies
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง
ลงชื่อเข้าใช้
|
ลงทะเบียน
รายละเอียดเครดิต
ตอบกระทู้
ข้ามไปยังโพสต์ล่าสุด
ตอบกระทู้
ขึ้นไปด้านบน
ไปที่หน้ารายการกระทู้
Share To Facebook
Share To Twitter
Share To Google+
Share To ...