ตั้งให้เราเป็นเว็บแรกที่คุณเลือก เก็บเราไว้เป็นเว็บโปรด
สมัครสมาชิก ได้มากกว่าที่คุณคิด เข้าสู่ระบบ
สั่งพิมพ์ ก่อนหน้า ถัดไป

~ หลวงพ่อทา วัดพะเนียงแตก ~

[คัดลอกลิงก์]
11#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-3-20 10:57 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
สู่สันโดษ

               ตลอดหลายพรรษา   ที่หลวงพ่อทาได้รับการฝึกอบรมจากท่านเจ้าอธิการวัดฆ้อง   และพระอาจารย์ชาวรามัญ  ซึ่ง พระเถระทั้งสองได้บอกอุบายหลักปฏิบัติและวิชาอาคมอย่างแก่กล้าและมีความถ่อง แท้ในหลักประพฤติวิปัสสนาธรรมตลอดถึงการต้องออกไปอยู่ป่าดงนอกท้องถิ่นของตน เอง   หลวงพ่อทั้งสองเห็นสมควรให้ศิษย์ได้ออกแสวงหาความจริง      ด้วยการเรียนรู้ตนเองในป่าดงโดยลำพัง

            หากจะพูดถึงวิชาแล้ว        หลวงพ่อทาได้รับการถ่ายทอดจนนำไปปฏิบัติอย่างได้ผล    สามารถเอาตัวรอดปลอดภัยมาได้ทุกประการ      ดังนั้นหลวงพ่อทา      ซึ่งอยู่ในคราวอายุ  ๓๕   ปี  เศษ ๆ ท่านกราบลาพระอาจารย์ทั้งสอง   ตลอดถึงครูอาจารย์พระอุปัชฌาย์จารย์ทุกรูป     ซึ่งรวมไปถึงพระอาจารย์ที่วัดโพธารามที่เคยอาศัยข้าวก้นบาตรจนเติบใหญ่   เมื่อกราบลาพระอาจารย์แล้ว    ท่านออกแสวงหาวิโมกขธรรมต่อไป       โดยจาริกไปตามท้องถิ่นต่างๆ ตามแบบฉบับของพระธุดงค์ยุคโบราณด้วยการถือปฏิบัติดังต่อไปนี้

๑.                     ถือเอาแบบฉบับแห่งองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า

๒.                     เป็นผู้มีสติในเพศของนักบวชแห่งพระพุทธศาสนา

๓.                     ถือสันโดษ   มักน้อย

๔.                     อยู่ในกลด      อาศัยป่าดงพงไพรเป็นที่อาศัยปฏิบัติธรรม

๕.                     ฉันในบาตร      ฉันหนเดียวพอประทังชีวิต

๖.                     สำรวมระวังศีล     มุ่งภาวนาด้วยสติปัญญา

               หลวงพ่อทา       วัดพะเนียงแตก      ท่านไปทำความเพียรครั้งนั้น     ท่านกลางความเงียบสงัดในป่า    มีสัตว์ป่ามากมายให้เห็นพอเป็นเพื่อนเกิด   แก่   เจ็บ    ตาย    ป่าดงพงไพรสมัยก่อนนั้นอุดมสมบูรณ์มากล้วนเป็นสัปปายะทางใจแก่ผู้ปฏิบัติ     ทั้งความเงียบ    ความร่มรื่นของป่าเป็นเสมือนพลังให้ผู้ปฏิบัติธรรมรุดหน้าไป

ยิ่ง ๆ ขึ้น       การขัดเกลากิเลสตัณหาออกจากจิตใจนั้นอยู่ที่ผู้ฝึกกระทำ   ส่วนธรรมชาติเป็นเครื่องส่งเสริมให้เกิดความแน่วแน่    เพ่งเพียรในอารมณ์    มีสติตื่นฟื้นตัวตลอดเวลา   สิ่งดี   สิ่งเลว  มันพรั่งพรู   ออกมาให้ได้แยกแยะมากมาย   ทุกเวลา    นาทีมีแต่การฝึกปฏิบัติทั้งสิ้น    ความหลับหลงของสตินั้นไม่มี    ป่าดงพงไพรที่หลวงพ่อทาเดินย่ำผ่านไปหลายแห่งที่พอจะค้นหาหลักฐานได้ก็คือ

๑.                ภาคเหนือหลายแห่ง    เพราะหลวงพ่อทามีจิตประสงค์ที่จะต้องไปกราบไหว้พระพุทธชินราชเมืองพิษณุโลก

๒.              ย้อนมาทางภาคอีสาน     แล้วเดินธุดงค์ต่อไปยังจุดหมายคือ   นครวัตร    ประเทศเขมร    แม้ยามนั้นประเทศเขมรจะอยู่ภายใต้อารักขาของฝรั่งเศส   โดยสมเด็จพระนโรดม   เมื่อพ.ศ. ๒๔๐๖แล้วก็ตาม   การเดินธุดงค์ของท่านก็ยังราบรื่นปลอดภัยกว่ายุคนี้

๓.   เดินทางมาสู่ภาคกลาง     แล้วได้แวะกราบรอยพระพุทธบาทเมืองสระบุรี    ซึ่งครูอาจารย์ยุคโบราณจะต้องมีโอกาสเดินทางมากราบไหว้อย่างน้อย   ๑    ครั้ง  ในช่วงชีวิต   เพราะสถานที่แห่งนี้มีความสำคัญในทางพระพุทธศาสนามากมายโดยเฉพาะประเทศไทย

๔.               แล้วเดินธุดงค์ต่อไปทางเมืองกาญจนบุรี    ผ่านออกไปทางประเทศพม่า    เดินธุดงค์ผ่านไปหลายแห่ง    จนมาถึงจุดหมายที่เมืองย่างกุ้ง   เข้ากราบพระมหาธาตุเจดีย์ชเวดากองประเทศพม่า
12#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-3-20 10:57 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
กิตติศัพท์

            หลวงพ่อทาได้ใช้ชีวิตอย่างสงบในป่าดงพงไพร     อาศัยแรงศรัทธาของชาวบ้านต่างถิ่นบิณฑบาตอาหารพอประทังชีวิตเพื่อหนทางแห่งความพ้นทุกข์    การปฏิบัติธรรมกรรมฐานของหลวงพ่อทาเป็นที่ประจักษ์ว่า   ท่านมีพลังจิตอันแก่กล้า      และมั่นคงจนได้รับสมญานามว่า  “ หลวงพ่อทาเป็นพระนักปฏิบัติ  มีสมาธิจิตสูงอยู่ในระดับพระธุดงค์ชั้นยอด”  หลังจากกลับมาประเทศไทย    หลวงพ่อทาก็รอนแรมมาทางอำเภอแม่สอด    จังหวัดตาก  ลัดมาทางจังหวัดอุทัยธานี   สุพรรณบุรี   และนครปฐม     กิตติศัพท์ของหลวงพ่อทาในระยะนี้เริ่มเป็นที่รู้จักกล่าวขวัญกันมากยิ่งขึ้น      โดยเฉพาะเรื่อของการปฏิบัติธรรมด้วยแล้ว    หลวงพ่อทาเจริญข้อวัตรปฏิบัติอย่างยิ่งยวดไม่บกพร่องตกหาย    กิริยา    อันสงบเสงี่ยม    สำรวมใจ     มีธรรมะเป็นเครื่องขัดเกลา    เมื่อท่านย่างเท้าก้าวไปถึงแห่งหนตำบลใด    จะมีแต่ผู้คนยกย่องสรรเสริญตลอดมา    ด้วยวัตรปฏิปทาอันบริสุทธิ์งดงามอย่างพระภิกษุสงฆ์ผู้เป็นบุตรแห่งพระตถาคตเจ้า    ได้ขจรขจายเข้าไปถึงพระราชวังหลวงในประวัติศาสตร์จารึกบันทึกไว้ว่า “ หลวงพ่อทาแห่งวัดพะเนียงแตก   มีศีลาจารจริยาวัตรอันงดงาม    เป็นที่เคารพของประชาชน   ความดีงามของท่าน     จึงเป็นที่วางพระทัยของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่  ๔  พระองค์ทรงให้ดำรงตำแหน่งอันสำคัญในพระพุทธศาสนาในกาลต่อมา”

            นี้เองเป็นผลของผู้ปฏิบัติธรรม  องค์พระศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า    ทรงพระเมตตาให้มนุษย์ทั้งหลายมีธรรมะประจำใจ   หลวงพ่อทาเป็นพระภิกษุผู้ปฏิบัติตาม   จึงปรากฏความงามในจิตใจเช่นนี้   ความจริงแห่งอมตะ  ...ธรรมะ...   เป็นเครื่องขัดเกลาและช่วยให้โลกมีความสะอาดจัดให้โลกมีระเบียบเรียบร้อย     จัดให้โลกไม่มีความเดือดร้อนวุ่นวาย       หากโลกทั้งสิ้นนี้มีธรรมะ....โลกก็จะมีแต่สันติสุข
13#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-3-20 10:58 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
หลวงพ่อทา     ท่านมี  หิริ  ความละอายแก่จิตใจไม่ให้กระทำความชั่ว

หลวงพ่อทา     ท่านมี  โอตตัปปะ   เป็นอาการกลัวความชั่วร้าย     กลัวความสกปรกลามกจะเกิดขึ้นในจิตใจ

หลวงพ่อทา     ท่านมี  ขันติ   ความอดทนต่อสภาพต่าง ๆ ทุกข์ก็ดี   สุขก็ดี    ท่านจะอดทนเพื่อให้บรรลุเป้าหมายอันดีงาม    และความมุ่งหมายอันชอบ

หลวงพ่อทา     ท่านมี  โสรัจจะ     มีคว่ามสงบเสงี่ยมเจียมใจ      มีอัธยาศัยอันงดงาม    มีความปราณีตหมดจดเรียบร้อย

            เพราะธรรมะนี้แหละ     ยังชำระจิตใจของมนุษย์ให้งดงาม     เปลี่ยนจิตใจคนให้เป็นจิตใจพระและใจพระอริยบุคคลในวลาต่อมา   ธรรมะเหล่านี้เองเป็นองค์ประกอบที่ทำให้หลวงพ่อทาท่านมีสมาธิจิตสูงล้ำ    มีความแข็งแกร่ง   กล้าหาญ    กล้าทำ    กล้าปฏิบัติ    จึงเป็นพระเถระผู้ที่ยิ่งยอดในยุคนั้น

            ในราวพ.ศ.  ๒๔๑๒    ปีมะเส็ง    ก่อนหลวงพ่อทาคิดจะสร้างวัด     ในปีดังกล่าวหลวงพ่อทามีอายุ   ๔๖    ปีเศษ   ท่านออกเดินธุดงค์อีกวาระหนึ่ง   ในการเดินธุดงค์ถือความพอใจและปรารถนาที่จะแสวงหาความสันโดษสงบสุข      ในปีดังกล่าว      ตรงกับรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว    รัชกาลที่   ๕     ท่านเข้าไปพบสถานที่แห่งหนึ่ง    ซึ่งกาลต่อมาก็คือ    บริเวณวัดพะเนียงแตกนั้นเองแต่ครั้งนั้น     บริเวณโดยทั่วไปเป็นป่ารก    มีต้นไม้ขึ้นหนาแน่น    หลวงพ่อทารู้ด้วยวาระจิตว่า    บริเวณดังกล่าวเคยมีความเจริญมาก่อน   และเป็นที่อันเป็นมงคลอย่างยิ่ง     เมื่อท่านปักกลดเสร็จ      ท่านก็ออกเดินสำรวจดูให้รู้ว่าบริเวณดังกล่าวมีอะไรบ้าง   เมื่อเดินไปถึงหมู่ไม้หนาแน่น     ก็เห็นเป็นสิ่งปรักหักพัง      เป็นสิ่งก่อสร้างแต่ครั้งโบราณ    กาลเวลาเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ ทำให้ความเสื่อมสลายลบร่องรอยความเจริญในอดีตนั้นเสีย     หลวงพ่อทาเดินสำรวจลึกเข้าไปก็พบกับระฆังใบใหญ่   เป็นระฆังโบราณ    มีหนังสือขอมโบราณจารไว้เป็นปริศนาลายแทงว่า

“ โตงเตงโตงใต้    ใครคิดได้อยู่ใต้โตงเตง ”  ความปริศนาไม่ยากที่จะตีความ   แต่ถ้าใครไม่มีดีอยู่ในตัว    ย่อมวิบัติและตายสถานเดียว   หลวงพ่อทาเล็งรู้ด้วยญาณสมาบัติว่า  “ ใต้ระฆังใบใหญ่นี้     มีทรัพย์สินเป็นแก้วแหวนเงินทองมากมายมหาศาล     ผู้เป็นเจ้าของทรัพย์ได้ฝังเอาไว้และมีอาถรรพณ์อันร้ายแรงอีกด้วย”
14#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-3-20 10:58 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
เจตนาเจ้าของทรัพย์

          การเดินสำรวจของหลวงพ่อทา     เดินดูทุกแห่งจนทั่วท่านก็ย้อนกลับมาที่ปักกลด      คืนนั้นท่านทำภาวนาตามปกติ      ความจริงท่านลืมเรื่องสมบัติที่ฝังไว้ใต้ระฆังโบราณไปแล้ว     แต่ขณะจิตสงบลงก็บังเกิดความรู้เห็นหรือ  “ ตาญาณ ”  ขึ้นไปพบเจ้าของทรัพย์และจำนวนทรัพย์มหาศาลนั้น   เมื่อถอนสมาธิออกแล้วท่านก็รำลึกขึ้นว่า  “ อันทรัพย์ทั้งหมดที่ฝังไว้ใต้พื้นดินนี้     เจ้าของทรัพย์ ได้มอบฝากฝังไว้กับสิ่งศักดิ์สิทธิ์   ผู้มีอิทธิฤทธิ์ทั้งหลาย     ตลอดถึงภูตผีปีศาจเป็นผู้ดูแลรักษาไว้   และยังได้อธิษฐานไว้ว่า        หากผู้มีบุญมาพบเห็นสมบัติเข้าแล้ว       ขอให้ขุดเอาทรัพย์ทั้งหมดนี้ขึ้นมาทั้งหมด     แล้วนำไปสร้างการกุศล    อุทิศไว้ในพระศาสนา ” สำหรับคนที่มีวาสนา      แต่พกพาจิตใจไว้ด้วยความโลภ    มีเจตนาที่ไม่บริสุทธิ์     แม้จะตีความลายแทงออกก็ไม่สามารถขุดเอาไปได้ดังนี้     หากมีผู้พบด้วยตีปริศนาลายแทงได้ก็จริง      ส่วนในจิตใจพกไว้ซึ่งความโลภ      ความมีจิตอกุศล    มีเจตนาไม่บริสุทธิ์      จะขุดไปลึกแค่ไหน       กว้างขวางอย่างไร   ก็ยากจะได้พบกับสมบัติเหล่านั้น      ตรงกันข้าม      จะต้องพบกับสิ่งอาถรรพณ์    ทำให้เจ็บป่วยเสียชีวิตได้     สำหรับหลวงพ่อทา   พระผู้เรืองเวทย์และอภิญญาแก่ล้ำเลิศองค์นี้      ท่านเป็นพระผู้บริสุทธิ์เป็นกรรมฐานที่หมั่นขัดเกลาตัวตัณหาทั้ง  ๓    ได้แก่   ราคะ    โทสะ    โมหะ     เพียรมุ่งหวังสร้างความดีมาโดยตลอดนับเป็นสิบ ๆ พรรษา   ดังนั้น      ความโลภที่จะเอาสมบัติของใครอื่นนั้นตัดปัญหาทิ้งน้ำไปได้เลย       หลวงพ่อทาทบทวนสมาธิหลายครั้ง      เจตนาเจ้าของทรัพย์ก็มาขอแรงเมตตาจากท่านให้ขุดเอาสมบัติเหล่านี้ขึ้นมาเสียที       หลวงพ่อทาพิจารณาแล้ว    ท่านรำพึงว่า “........สถานที่แห่งนี้เคยมีความสำคัญมาก่อน       เมื่อมีเจตนาให้นำมาสร้างกุศล       ก็จะสร้างวัดเสียที่นี่       หากได้สร้างวัดเอาไว้ในพระพุทธศาสนา         เจ้าของและวิญญาณเหล่านั้นก็จะได้อาศัยเนื้อนาบุญผืนนี้เป็นที่สุขคติต่อไป...”   สิ้นเสียงของหลวงพ่อทา    คำว่า   “   สาธุ  ”  ดังขึ้นระงมไปทั้งป่าแห่งนั้น       รุ่งเช้า         ท่านบิณฑบาตกลับมาฉันแล้วจึงลงมือขุดเอาสมบัติใต้พื้นดินเหล่านั้น       ขุดก็ไม่ลึกลงไปเท่าไรนักเพียงเอาไม้ขัด ๆ  เขี่ย ๆ ก็พบกับสมบัติภายใต้พื้นดินมากมาย      เอามือล้วงออกมารวบรวมไว้มากพอที่จะทำการสร้างวัดได้         บรรดาแก้วเพชรเงินทองต่าง ๆ   ถูกมากองรวมไว้     ใส่ย่ามปิดไว้อย่างมิดชิด       ส่วนสถานที่อันเป็นมงคลนั้น       หลวงพ่อทาได้เห็นเปลวไฟพะเนียงแตกพุ่งขึ้นไปบนอากาศอยู่เสมอโบราณท่านเรียกว่า  “   ทองลุก ”   “  ผีเลื่อนสมบัติ ”    เมื่อหลวงพ่อทา    ท่านทำการก่อสร้างวัดสำเร็จตามความปรารถนาของเจ้าของทรัพย์สมบัตินั้นแล้ว      ท่านได้ถือเอานิมิตบริเวณเก่าแก่แห่งนี้       ไฟอันเกิดจากเปลวพะเนียงแตก    หรือทองลุกนั้นเป็นชื่อวัดในพระพุทธศาสนาขึ้น    คือ   วัดพะเนียงแตก   มาตราบเท่าทุกวันนี้
15#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-3-20 10:58 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
หลวงพ่อเสือ  หรือหลวงพ่อทา            วัดพะเนียงแตก       ทำการสร้างเสร็จเรียบร้อยไปแล้ว      แต่ทรัพย์สมบัติที่ขุดขึ้นมาจากใต้ระฆังโบราณนั้นก็ยังเหลืออีกมาก      หลวงพ่อทาครุ่นคิดว่า   เจ้าของทรัพย์      มีเจตนาสร้างกุศล    เงินทองที่ใช้สร้างวัดก็ยังเหลืออยู่อีกมาก     สมควรที่จะสร้างวัดเพิ่มบุญให้เจ้าของวิญญาณเหล่านั้นตลอดถึงเทพเทวาที่มาร่วมอนุโมทนา

อีกด้วย    หลวงพ่อทาคิดดังนั้นแล้ว        ได้นำเอาทรัพย์สมบัติที่ขุดขึ้นมาได้ทั้งหมด   ไปสร้างวัดอีก   ๓   แห่งคือ

๑.         วัดบางหลวง

๒.         วัดดอนเตาอิฐ

๓.         วัดสองห้อง

            รวมแล้วด้วยความสามารถปฏิปทาหลวงพ่อทาแห่งวัดพะเนียงแตก    จึงทำให้วัดทั้ง   ๔   แห่งเจริญรุ่งเรืองมากในยุคนั้น      อย่างไรก็ดี    การหาไม้มาสร้างวัดนั้น   หลวงพ่อทาได้แรงจากชาวบ้านที่มีความเคารพนับถือในตัวท่าน    ได้แสวงหาไม้งาม ๆ เดินทางไปถึงจังหวัดกาญจนบุรี     ท่านได้มาสร้างพระอุโบสถและพระวิหาร     ตลอดถึงกุฏิ  ศาลา   นับเป็นความรักความสามัคคีทั้งชาวบ้านและชาววัดอย่างแท้จริง   หลังจากสร้างวัดทั้ง  ๔  แห่งไปเรียบร้อยแล้ว   หลวงพ่อแช่มแห่งวัดตาก้อง    ศิษย์สำคัญของหลวงพ่อทาได้เล่าไว้ในประวัติดังนี้

            “   หลวงพ่อทา  พระอุปัชฌาย์  วัดพะเนียงแตก    ต่อมาท่านได้รับสมณศักดิ์เป็นที่พระครูโสอุดรมีตำแหน่งเป็นเจ้าคณะแขวงเมืองนครปฐม   พระครูโสอุดรก็ดี     หลวงพ่อทาก็ดี    มีชาวบ้านญาติโยมเรียกอีกนามหนึ่งว่า “ หลวงพ่อเสือ ” หลวงพ่อทา     เป็นพระเถระผู้ใหญ่ที่เคร่งครัดมาก   มีคนรู้จักนับถือกว้างไกล     แม้ที่เมืองสุพรรณบุรีที่พยายามเดินทางมากราบถึงวัดการเดินทางก็มิใช่ว่าจะสะดวกสบาย     ลำบากมาก  แต่เมื่อตั้งใจมาหาทุกคนจะปลอดภัยเสมอ ”  จากคำบอกเล่าไว้ในประวัติของหลวงพ่อแช่มแห่งวัดตาก้องท่านกล่าวนามหลวงพ่อทาว่า….   หลวงพ่อเสือ.... ย่อมมีสาเหตุดังจะเล่าให้ท่านผู้อ่านได้ฟังดังนี้
16#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-3-20 10:59 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ในฐานะพระเถระผู้มีความสามารถในการปกครอง     ท่านสามารถแสดงบทต่างๆ  ได้เป็นอย่างดีเช่น

๑.               พวกเสือร้ายที่เที่ยวปล้นสะดมภ์

๒.               พวกนักเลงโต    นักเลงหัวไม้

๓.               พวกขี้เหล้า    พวกขี้ยา

พวกร้ายทั้งหมดนี้ล้วนมีความขยาดกลัวความเด็ดขาดของหลวงพ่อทามาก      หลวงพ่อทาก็มีอำนาจใน

การปกครองโดยผ่านจากคณะสงฆ์   “   สมัยก่อนมักมีกฎระเบียบที่เรียกว่า “ อาญาวัด ” คือให้อำนาจการปกครองแก่สมภารวัดโดยเด็ดขาด    คำว่า “   อาญาวัด “  แม้ในสมัยก่อนราว  ๔๕-๕๐  ปีย้อนหลัง  วัดวาในต่างจังหวัดมักนิยมจัดงานประจำปีกันเสมอๆ   แต่ละปีหรือปีละหลายๆหนเป็นงานใหญ่โตมาก

            เมื่อถึงวันงาน     ผู้คนจะล้นหลามพากันมาเที่ยวงานดังกล่าว     แต่ผู้คนที่มางานนั้นเป็นคนดีก็มี   คนเลวร้ายก็มาก    พวกนักเลงชอบวิวาทก็มาก   พวกขี้เหล้า   ขี้ยาก็ไม่น้อย   ผู้คนสมัยก่อนจะหาความสนุกสนานรื่นเริงได้ยาก     วัดจึงเป็นศูนย์รวมทั้งให้ความรู้ในธรรมะ     ให้ความรู้ประดับสติปัญญาแล้วยังต้องให้ความสนุกรื่นเริงประจำทุกปีอีกด้วย

            วัดพะเนียงแตก     ถือเป็นวัดสำคัญวัดหนึ่งเมื่อมีงาน      ผู้คนก็หลั่งไหลมาทั่วทิศมาทางบกก็ได้    มาทางเรือก็เยอะ       เอาข้าวปลามาหุงหากินกันเลยทีเดียว    ทีนี้พวกเกเรที่มีคู่อริอยู่แล้ว    ก็ต้องมาเจอกันที่นี้อย่างแน่นอน    เมื่อได้ร่ำสุราพอตึง ๆ ก็เริ่มแสดงเกะกะระรานชาวบ้านที่มาเที่ยวงาน    นัยย์ตามองใครไม่เป็นมิตร   

ชาวบ้านที่มาจากต่างถิ่นเพื่อมาทำบุญ    เกิดความรำคาญใจพากันหลบหนีพวกนักเลงโตได้ใจ    กลายเป็นงานอวดเก่งของคนพวกนี้
17#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-3-20 10:59 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
อาญาวัด

            อำนาจสงฆ์หรืออาญาวัด        จากการบอกเล่าของหลวงพ่อแช่มวัดตาก้องซึ่งเป็นลูกศิษย์ของหลวงพ่อทาได้บอกไว้ดังนี้

            “ พวกนักเลงโต    ตำบลตาก้อง   กับตำบลพะเนียงแตก    มักจะยกพวกตีกันเสมอแต่ละคราวมันไม่ได้ฆ่ากันตายหรอก     เขาตีกันด้วยไม้    อาจใช้มีดกันบ้าง   ใครหนังเหนียวก็รอดไป    ใครเปราะก็เลือดตกยางออกเสียเชิงชายอายขนาดทิ้งบางทิ้งตำบลที่ตนอยู่ไปเลยนะ      ที่วัดพะเนียงแตก   มีงานประจำปีแต่ละคราวใหญ่โตมาก    ผู้คนมาเที่ยวมาทำบุญกันเยอะ    หลวงพ่อพระอุปัชฌาย์ทาท่านไม่ขอร้องกำนันและไม่ต้องรบกวนเจ้าหน้าที่ตำรวจ     งานท่านราบรื่นดี    ผู้ดูแลรักษาการณ์ก็เป็นตัวของท่านพระอุปัชฌาย์ทาท่านเป็นผู้ตรวจเอง   เป็นตำรวจเองท่านเดินตรวจด้วยไม้พลองมันวับเดินรอบวัด   เมื่อมีเหตุการณ์พวกนักเลงเขาเกิดตีกันท่านก็ควงไม้พลองเข้าร่วมวงตะลุมบอนด้วย      ท่านหวดซ้ายหวดขวาอย่างว่องไว    ท่านตีดะไม่ถือว่าพวกไหนต่อพวกไหน     ท่านตีแรง ๆ ตีจริง ๆ เพื่อให้พวกนักเลงเจ็บแล้วเข็ดหราบ     ตีจนหัวแตกหัวโน     พวกนักเลงรู้ว่าใครร่วมวงด้วยก็ใจฝ่อหลบกันเป็นพัลวัน    ก็เจอคนจริงเข้าแล้ว    ใครจะหาญกล้า   เล่นจนวงไพบูลย์แตกกระเจิงไป    ทีนี้พวกร่ำสุรา  พอเมาได้ที่ก็เอะอะเกะกะกับชาวบ้านที่มาร่วมงาน    ชาวบ้านพากันรำคาญใจเพราะพวกนี้ไม่พูดเปล่า    มือไม้มันไปด้วย   หลวงพ่อทาเดินมาเห็นเข้าพอดี    เข้าไปหวดด้วยไม้พลอง   พวกขี้เมาหายเมาเป็นปลิดทิ้งเลยทีเดียว    กลัวหลวงพ่อจนหายเมา    ก็ท่านเอาจริง ๆ  ตีไม่ตีเปล่า    จับตัวเอาทั้งพวกนักเลงโตแล้วก็พวกขี้เหล้านั้น    มาผูกมัดล่ามโซ่ไว้กลางศาลา     การลงโทษเช่นนี้   ก็เพื่อให้เข็ดจำและเยี่ยงอย่างที่ไม่ดี    และพอหายเมาแล้วหลวงพ่อจึงปล่อยตัวไป ”
18#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-3-20 10:59 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ความจริงหลวงพระอุปัชฌาย์วัดพะเนียงแตก  ท่านเป็นพระใจดี   มีเมตตาเสมอ    หากจะมองทางด้านปฏิบัติต่อพวกนักเลงโต     นักเลงเหล้า   จะเข้าใจว่า  “ หลวงพ่อทาท่านดุ” ความจริงมิใช่อย่างนั้น     จิตใจของท่านนับว่าประเสริฐเลิศด้วยปัญญา      แต่ท่านต้องดุเพื่อแก้นิสัยของคน    คนดื้อรั้น   จำเป็นอยู่ดีที่จะต้องทำอะไรรุนแรงไปบ้างทั้งที่ฝืนใจ     

            ความเป็นพระเถระที่ทรงคุณธรรมสูงของหลวงพ่อทา   แห่งวัดพะเนียงแตก    จนได้รับการยกย่องถวายสมณศักดิ์เป็นพระครูโสอุดร   ก็เพราะ

            ๑.         หลวงพ่อทา     ท่านมีความรู้แตกฉานในพระธรรมวินัย     เป็นพระภิกษุสงฆ์ที่ยืนอยู่แถวหน้าอันดับหนึ่งในจังหวัดนครปฐม    มีคุณานุภาพมากมายเป็นที่ประจักษ์ในสมัยนั้น

            ๒.        หลวงพ่อทา     เป็นพระสำเร็จจิตขั้นอภิญญาและสมาบัติสูง      มีปฏิปทาน่านิยมเลื่อมใส   เป็นบุตรพระสมณโคดมโดยแท้

            ๓.        หลวงพ่อทา     ท่านมีความสามารถแก่กล้าในทางด้านพุทธาคม   ไสยาศาสตร์ต่างๆ เป็นที่นิยมเลื่อมใส   เป็นที่สักการบูชาของประชาชนใกล้ – ไกล  โดยทั่วไป

            ความโด่งดังของท่าน     กิติศัพท์หลวงพ่อทาได้ขจรไปไกล   มีเจ้านายระดับสูงมีจิตเคารพในคุณธรรมของท่านมาก     ในกาลต่อมา     ได้รับสมณศักดิ์ที่สำคัญถวายว่า

“ พระครูอุตตรการบดี ”
19#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-3-20 11:00 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
“ พระครูอุตตรการบดี ”    จากการที่ท่านได้รับตำแหน่งสูงสุดของ    หลวงพ่อทา     หลวงพ่อแช่ม   วัดตาก้อง   ได้รวมประวัติไว้ดังนี้            

            “  ในฐานะเจ้าคณะแขวงเมืองนครปฐม    หลวงพ่อพระอุปัชฌาย์ทาได้เลื่อนสมณศักดิ์      ก็ในสมัยนั้นมีการบูรณะพระปฐมเจดีย์    ขึ้น     จำเป็นต้องมีพระภิกษุสงฆ์ผู้ทรงสมณศักดิ์เป็นผู้รักษาพระปฐมเจดีย์ทั้ง  ๔  ทิศ

            ซึ่งเป็นตำแหน่งแต่งตั้งขึ้นในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ( ร.๔ ) มีลำดับตำแหน่ง   คือ.....

๑.   ทิศเหนือ          คือ       พระครูอุตตรการบดี  หรือ  พระครูโสอุดร

๒.  ทิศตะวันออก  คือ       พระครูบูรพาทิศรักษา  หรือ พระครูปุริมานุรักษ์

๓.  ทิศใต้               คือ       พระครูทักษิณานุกิจ

๔.  ทิศตะวันตก    คือ       พระครูปัจฉิมทิศบริหาร    หรือ  พระครูปาจิณทิศ

            ในตำแหน่งดังกล่าวมานี้    อุปมาดุจพรหมทั้ง  ๔   เป็นผู้อภิบาลองค์พระปฐมเจดีย์    ที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า   และตำแหน่งทั้ง  ๔   นี้   มีการแต่งตั้งถวายพระเถระที่สำคัญ ๆ มาแต่ครั้งอดีตทั้งสิ้น....”

ที่มา http://phanieng.igetweb.com/index.php?mo=3&art=394218
ข้อมูลเยี่ยมมากครับ
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ลงชื่อเข้าใช้ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้