ตั้งให้เราเป็นเว็บแรกที่คุณเลือก เก็บเราไว้เป็นเว็บโปรด
สมัครสมาชิก ได้มากกว่าที่คุณคิด เข้าสู่ระบบ
สั่งพิมพ์ ก่อนหน้า ถัดไป

~ กุญแจภาวนา ~

[คัดลอกลิงก์]
11#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-3-1 11:16 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
เรียนตามแบบรบนอกแบบ

ตามที่ได้ทราบข่าวมีพระนักปริยัติบางรูปท่านค้นคว้าตามตำราเพราะได้เรียนมามาก   อาตมาว่าทดลองดูเถอะการกางแบบกางตำราทำนี่ถึงเวลาเรียนๆ ตามแบบแต่เวลารบๆ นอกแบบ   ไปรบตามแบบมันสู้ข้าศึกไม่ไหว ถ้าเอากันจริงจังแล้วต้องรบนอกแบบเรื่องมันเป็นอย่างนั้น   ตำรานั้นท่านทำไว้พอเป็นตัวอย่างเท่านั้น บางทีอาจทำให้เสียสติก็ได้เพราะพูดไปตามสัญญา   สังขาร ท่านไม่เข้าใจว่าสังขารมันปรุงแต่งทั้งนั้น เดี๋ยวนี้ลงไปพื้นบาดาลโน่นไปพบปะพญานาคเวลาขึ้นมาก็พูดกับพญานาคพูดภาษาพญานาค   พวกเราไปฟังมันไม่ใช่ภาษาพวกเรา มันก็เป็นบ้าเท่านั้นเอง
ครูบาอาจารย์ท่านไม่ให้ทำอย่างนั้น เรานึกว่าจะดิบจะดีมันไม่ใช่อย่างนั้น   ที่ท่านพาทำนี้มีแต่ส่วนละส่วนถอนเรื่องทิฐิมานะเรื่องเนื้อเรื่องตัวทั้งนั้น อาตมาว่าการปฏิบัตินี้ก็ยากอยู่   ถึงอย่างไรก็อย่าทิ้งครูทิ้งอาจารย์ เรื่องจิตเรื่องสมาธินี่หลงมากจริงๆ เพราะสิ่งที่ไม่ควรจะเป็นไปได้แต่มันเป็นขึ้นมาได้   เราจะว่าอย่างไรอาตมาก็ระวังตัวเองเสมอ


ตัดปัญหาอย่าคาดหวังหรือกะเกณฑ์

เมื่อคราวออกปฏิบัติในระยะ ๒-๓ พรรษาแรกยังเชื่อตัวเองไม่ได้   แต่พอได้ผ่านไปมากแล้วเชื่อวาระจิตตัวเองแล้วไม่เป็นอะไรหรอก ถึงจะมีปรากฏการณ์อย่างไรก็ให้มันเป็นมา   ถ้ารู้เรื่องอย่างนี้สิ่งเหล่านี้ก็ระงับไป มีแต่เรื่องจะพิจารณาต่อไปก็สบาย ท่านมหายังไม่ได้ทำดู   เคยนั่งสมาธิแล้วใช่ไหม การนั่งสมาธินี่สิ่งที่ไม่น่าผิดก็ผิดได้ เช่นเวลานั่งเราตั้งใจว่า   "เอาละจะเอาให้มันแน่ๆ ดูที" เปล่า! วันนั้นไม่ได้เรื่องเลยแต่คนเราชอบทำอย่างนั้น   อาตมาเคยสังเกตมันเป็นของมันเอง เช่นบางคืนพอเริ่มนั่งก็นึกว่า "เอาละวันนี้อย่างน้อยตีหนึ่งจึงจะลุก"   คิดอย่างนี้ก็บาปแล้วเพราะว่าไม่นานหรอกเวทนามันรุมเอาเกือบตาย มันดีเวลานั่งโดยไม่ต้องกะเกณฑ์   ไม่มีที่จุดที่หมายทุ่มหนึ่งสองทุ่มสามทุ่มก็ช่างมันนั่งไปเรื่อยๆ วางเฉยไว้อย่าบังคับมัน   อย่าไปหมายมั่น อย่าไปบังคับหัวใจว่าจะเอาให้มันแน่ๆ มันก็ยิ่งไม่แน่
ให้เราวางใจสบายๆ หายใจก็ให้พอดีอย่าเอาสั้นเอายาว   อย่าไปแต่งมัน กายก็ให้สบายทำเรื่อยไป มันจะถามเราว่าจะเอากี่ทุ่มจะเอานานเท่าไร   มันมาถามเรื่อยหรอก เราต้องตวาดมันว่า "เฮ้ยอย่ามายุ่ง" ต้องปราบมันไว้เสมอเพราะพวกนี้มีแต่กิเลสมากวนทั้งนั้น   อย่าเอาใจใส่มัน เราต้องพูดว่า "กูอยากพักเร็วพักช้าไม่ผิดกระบาลใครหรอก กูอยากนั่งอยู่ตลอดคืนมันจะผิดใคร   จะมากวนกูทำไม" ต้องตัดมันไว้อย่างนี้แล้วเราก็นั่งเรื่อยไปตามเรื่องของเรา วางใจสบายก็เลยสงบเป็นเหตุให้เข้าใจว่าอำนาจอุปาทานความยึดหมายนี้สำคัญมากจริงๆ   เมื่อเรานั่งไปๆ นานแสนนานเลยเที่ยงคืนค่อนคืนไปก็เลยนั่งสบาย มันก็ถูกวิธีจึงรู้ว่าความยึดมั่นถือมั่นเป็นกิเลสจริงๆ   เพราะวางจิตไม่ถูก
บางคนนั้นเวลานั่งจุดธูปไว้ข้างหน้าคิดว่า "ธูปดอกนี้ไหม้หมดจึงจะหยุด"   แล้วนั่งต่อไปพอนั่งไปได้ ๕ นาทีดูเหมือนนานตั้งชั่วโมงลืมตามองดูธูปแหมยังยาวเหลือเกินหลับตานั่งต่อไปอีกแล้วก็ลืมตาดูธูปไม่ได้เรื่องอะไรเลย   อย่าอย่าไปทำมันเหมือนกับลิง จิตเลยไม่ต้องทำอะไรนึกถึงแต่ธูปที่ปักไว้ข้างหน้าว่าจวนจะไหม้หมดหรือยังหนอ   นี่มันเป็นอย่างนี้เราอย่าไปหมาย
ถ้าเราทำภาวนาอย่าให้กิเลสตัณหามันรู้เงื่อนรู้ปลายได้   "ท่านจะเอาอย่างไร" มันมาถามเรา "จะเอาขนาดไหนจะเอาประมาณเท่าไรดึกเท่าไร" มันมาทำให้เราตกลงกับมันถ้าเราไปว่าจะเอาสักสองยามมันจะเล่นงานเราทันทีนั่งไปยังไม่ถึงชั่วโมง   ต้องร้อนรนออกจากสมาธิแล้ว ก็เกิดนิวรณ์ว่า "แหมมันจะตายหรือยังกันนาว่าจะเอาให้มันแน่มันก็ไม่แน่นอน   ตั้งสัจจะไว้ก็ไม่ได้ดั่งตั้ง" คิดทุกข์ใส่ตัวเองด่าตัวเองพยาบาทตัวเอง ไม่มีคนพยาบาทก็เป็นทุกข์อีกนั่นแหละ   ถ้าได้อธิษฐานแล้วต้องเอาให้มันรอดตายหรือตายโน่นอย่าไปหยุดมันจึงจะถูก เราค่อยทำค่อยไปเสียก่อนไม่ต้องอธิษฐาน   พยายามฝึกหัดไป บางครั้งจิตสงบความเจ็บปวดทางร่างกายก็หยุด เรื่องปวดแข้งปวดขามันหายไปเอง

   

หมั่นพิจารณาเสมอๆอย่าเผลอใจ

การปฏิบัติอีกแบบหนึ่งนั้นเห็นอะไรก็ให้พิจารณา ทำอะไรก็ให้พิจารณาทุกอย่าง   อย่าทิ้งเรื่องภาวนา บางคนพอออกจากทำความเพียรแล้วคิดว่าตัวหยุดแล้วพักแล้วจึงหยุดกำหนดหยุดพิจารณาเสีย   เราอย่าเอาอย่างนั้น เห็นอะไรให้พิจารณาเห็นคนดีคนชั่ว คนใหญ่คนโต คนร่ำคนรวย คนยากคนจน   เห็นคนเฒ่าคนแก่ เห็นเด็กเห็นเล็ก เห็นคนน้อยคนหนุ่ม ให้พิจารณาไปทุกอย่างนี่เรื่องภาวนาของเรา   
การพิจารณาเข้าหาธรรมะนั้น ให้เราพิจารณาดูอาการเหตุผลต่างๆ   นานามันน้อยใหญ่ดำขาวดีชั่ว อารมณ์ทุกอย่างนั่นแหละถ้าคิดเรียกว่ามันคิด แล้วพิจารณาว่ามันก็เท่านั้นแหละ   สิ่งเหล่านี้ตกอยู่ในอนิจจังทุกขังอนัตตา อย่าไปยึดมั่นถือมั่นเลย นี่แหละป่าช้าของมันทิ้งมันใส่ลงตรงนี้จึงเป็นความจริง   
เรื่องการเห็นอนิจจังเป็นต้นนี้คือ เรื่องไม่ให้เราทุกข์เป็นเรื่องพิจารณา   เช่นเราได้ของดีมาก็ดีใจ ให้พิจารณาความดีเอาไว้ บางทีใช้ไปนานๆ เกิดไม่ชอบ มันก็มีอยากเอาให้คนหรืออยากให้คนมาซื้อเอาไป   ถ้าไม่มีใครมาซื้อก็อยากจะทิ้งไปเพราะเหตุไรจึงเป็นอย่างนี้ มันเป็นอนิจจังมันจึงเป็นอย่างนี้   ถ้าไม่ได้ขายไม่ได้ทิ้งก็เกิดทุกข์ขึ้นมา เรื่องนี้มันเป็นอย่างนี้เอง พอรู้จักเรื่องเดียวเท่านั้นจะมีอีกกี่เรื่องก็ช่างเป็นอย่างนี้หมด   เรียกว่าเห็นอันเดียวก็เห็นหมด
บางทีรูปนี้หรือเสียงนี้ไม่ชอบไม่น่าฟัง ไม่พอใจก็ให้พิจารณาจำไว้   ต่อไปเราอาจจะชอบอาจจะพอใจในของที่ไม่ชอบเมื่อก่อนนี้ก็มี มันเป็นได้เมื่อนึกรู้ชัดว่า   "อ้อสิ่งเหล่านี้ก็เป็นอนิจจังทุกขังอนัตตา" ทิ้งลงใส่นี่แหละ ก็เลยไม่เกิดความยึดมั่นในสิ่งที่ได้ดีมีเป็นต่างๆ   เห็นเป็นอย่างเดียวกัน ให้เป็นธรรมะเกิดขึ้นเท่านั้น เรื่องที่พูดมานี้พูดให้ฟังเฉยๆ   เมื่อมาหาก็พูดให้ฟังเรื่องเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องพูดมากอะไร ลงมือทำเลยเช่นเรียกกันถามกันชวนกันไปว่าไปไหมไปไปก็ไปเลยพอดีพอดี   
12#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-3-1 11:17 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
นิมิตเป็นของหลอกลวง

เมื่อลงนั่งสมาธิ ถ้าเกิดนิมิตต่างๆ เช่นเห็นนางฟ้าเป็นต้น   เมื่อเห็นอย่างนั้นให้เราดูเสียก่อนว่าจิตเป็นอย่างไร อย่าทิ้งหลักนี้ จิตต้องสงบจึงเป็นอย่างนั้น   นิมิตที่เกิดขึ้นอย่าอยากให้มันเกิด อย่าไม่อยากให้มันเกิด มันมาก็พิจารณาพิจารณาแล้วอย่าหลง   ให้นึกว่ามันไม่ใช่ของเรานี่ก็เป็นอนิจจังทุกขังอนัตตาเช่นกัน ถึงมันจะเป็นอยู่ก็อย่าเอาใจใส่มัน   เมื่อมันยังไม่หายตั้งจิตใหม่กำหนดลมหายใจมากๆ สูดลมเข้ายาวๆ หายใจออกยาวๆ อย่างน้อย   ๓ ครั้งก็ตัดได้ตั้งกำหนดใหม่เรื่อยไป
สิ่งเหล่านี้อย่าว่าเป็นของเรา สิ่งเหล่านี้เป็นเพียงนิมิต   คือของหลอกลวงให้เราชอบให้เรารักให้เรากลัว นิมิตเป็นของหลอกลวง ใจเรามันไม่แน่นอน   ถ้าเห็นแล้วอย่าไปหมายมันไม่ใช่ของเรา อย่าวิ่งตามนิมิต เห็นนิมิตให้ย้อนดูจิตเลยอย่าทิ้งหลักเดิม   ถ้าทิ้งตรงนี้ไปวิ่งตามมันอาจพูดลืมตัวเองเป็นบ้าไปได้ไม่กลับมา พูดกับเราเพราะหนีจากคอกแล้วให้เชื่อตัวเองแน่นอน   เห็นอะไรมาก็ตามถ้านิมิตเกิดขึ้นมาดูจิตตัวเองจิตต้องสงบมันจึงเป็น
ถ้าเป็นมาให้เข้าใจว่า สิ่งเหล่านี้มิใช่ของเรา นิมิตนี้ให้ประโยชน์แก่คนมีปัญญา   ให้โทษแก่คนไม่มีปัญญา ทำความเพียรไปจนเราไม่ตื่นเต้นในนิมิต มันอยากเกิดก็เกิด   ไม่เกิดก็ไม่เกิด ไม่กลัวมันเชื่อใจได้อย่างนี้ไม่เป็นไร ทีแรกเราตื่นของน่าดูมันก็อยากดู   ความดีใจเกิดขึ้นมาอย่างนี้ก็หลงไม่อยากให้มันดีมันก็ดี ไม่รู้จะทำอย่างไรปฏิบัติไม่ถูกก็เป็นทุกข์   มันอยากดีใจก็ช่างมันให้เรารู้ความดีใจนั่นเองว่าความดีใจนี้ก็ผิดไม่แน่นอน เช่นกันแก้มันอย่างนี้อย่าไปแก้ว่า   "ไม่อยากให้มันดีใจทำไมจึงดีใจ" นี่ผิดอยู่นะผิดอยู่กับของเหล่านี้ ผิดอยู่ใกล้ๆ   ไม่ได้ผิดอยู่ไกลหรอก อย่ากลัวนิมิตไม่ต้องกลัว เรื่องภาวนานี้พอพูดให้ฟังได้เพราะเคยทำมา   ไม่รู้ว่าจะถูกหรือไม่นะให้เอาไปพิจารณาเอาเองเอ้าพอสมควรละนะ


สงวนลิขสิทธิ์ © 1999 วัดมาบจันทร์

ที่มา http://www.ubu.ac.th/wat/ebooks/ ... _to_Liberation.html




ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ลงชื่อเข้าใช้ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้