ตั้งให้เราเป็นเว็บแรกที่คุณเลือก เก็บเราไว้เป็นเว็บโปรด
สมัครสมาชิก ได้มากกว่าที่คุณคิด เข้าสู่ระบบ
ดู: 2376
ตอบกลับ: 4
สั่งพิมพ์ ก่อนหน้า ถัดไป

~ ทำใจให้เป็นบุญ ~

[คัดลอกลิงก์]


โอกาสที่พวกเราจะได้มารวมกันแต่ละครั้ง นี้ก็ลำบากนะนับว่าเป็นมงคลอันหนึ่งที่ได้มาถวายสังฆทานและได้มาฟังธรรมที่วัดหนองป่าพง เมื่อคืนคงได้ฟังหลายกัณฑ์ละมังนี่ อาตมาได้ขอโอกาสแก่พระสงฆ์ทั้งหลายและญาติโยมแล้วให้พระสงฆ์ทำธุระแทน กำลังมันน้อยทุกวันนี้ ลมมันน้อย เสียงมันก็น้อย ทำไมมันจึงน้อยมันจะหมดนะแหละ น้อยๆลง เดี๋ยวก็หมดแหละ มาที่นี่นับเป็นโชคดีที่ยังเห็นตัวเห็นตนอยู่นะถ้านานๆไปมันจะไม่ได้เห็นแล้ว จะเห็นก็แต่วัดเท่านั้นแหละ ต่อจากนี้ให้ตั้งใจฟังธรรมระยะเวลานี้พวกเราแสวงบุญกันมาก มีคนแสวงบุญกันมากทุกแห่ง ที่ไหนที่ไหนก็มาผ่านวัดป่าพงที่จะไปก็ผ่านนี้ ที่ไม่ผ่านกลับมาก็ต้องผ่านนี้ ทอดผ้าป่าทอดกฐินทุกครั้งถ้าขาไปไม่พบขากลับก็ต้องมาผ่าน ก็คือต้องผ่านทั้งนั้น ฉะนั้นวัดป่าพงจึงเป็นเมืองผ่านผ่านไปชั่วคราว ผ่านไปผ่านมา บางคนที่มีธุระรีบร้อนก็ไม่ได้พบกันไม่ได้พูดกันฉะนั้นจึงต้องอาศัยเวลาของพวกเราโดย มากก็มาแสวงหาบุญกัน แต่ว่าไม่เคยเห็นญาติโยมที่แสวงหาการละบาปมีแต่แสวงบุญเรื่อยไป ไม่รู้จะเอาบุญไปไว้ตรงไหนก็ไม่รู้
ผ้าสกปรกไม่ฟอก แต่อยากจะรับน้ำย้อมนะ นี่มันเป็นอย่างนั้น คำสอนของพระท่านพูดไปโดยตรงง่ายๆ แต่มันยากกับคนที่จะต้องปฏิบัติ มันยากเพราะคนไม่รู้ เพราะคนรู้ไม่ถึงมันจึงยาก ถ้าคนรู้ถึงแล้ว มันก็ง่ายขึ้นนะ อาตมาเคยสอนว่าเหมือนกันกะรู มีรูอันหนึ่งถ้าเราเอา มือล้วงเข้าไปไม่ถึงก็นึก ว่ารูนี้ มันลึกทุกคนตั้งร้อยคนพันคนนึกว่ารูมันลึกก็เลยไปโทษรูว่ามันลึกเพราะล้วงไปไม่ถึง คนที่จะว่าแขนเราสั้นไม่ค่อยมี ร้อยก็ทั้งร้อยว่ารูมันลึกทั้งนั้นคนที่จะว่าไม่ใช่ แขนเรามันสั้น ไม่ค่อยมีคนแสวงหาบุญเรื่อยๆไป วันหลังต้องมาแสวงหาการละบาปกันเถอะไม่ค่อยจะมีนี่มันเป็นเสียอย่างนี้ คำสอนของพระท่านบอกไว้สั้นๆแต่คนเรามันผ่านไปๆ ฉะนั้นวัดป่าพงมันจึงเป็นเมืองผ่านธรรมะก็จึงเป็นเมืองผ่านของคน
สพฺพปาปสฺสอกรณํกุสลสูปสมฺปทา สจิตฺตปริโยทปนํ ๓ คาถาเท่านี้ไม่มากเลย
สัพพะปาปัสสะ อะกะระนัง การไม่กระทำบาปทั้งปวงนั่นน่ะ เอตัง พุทธานะสาสะนังเป็นคำสอนของพระ อันนี้เป็นหัวใจของพุทธศาสนา แต่เราข้ามไปโน้น เราไปเอาอย่างนี้การละบาปทั้งปวง น้อยใหญ่ทางกายวาจาใจน่ะเป็นเลิศประเสริฐแล้วเอตัง พุทธานะสานะนังอันนี้เป็นคำสอนของพระ อันนี้เป็นตัวศาสนา อันนี้เป็นคำสั่งสอนที่แท้จริงธรรมดาของเรานะ เวลาจะย้อมผ้า ก็จะต้องทำผ้าของเราให้สะอาดเสียก่อน อันนี้ไม่อย่างนั้นสิเราไปเที่ยวตลาด เห็นสีมันสวยๆก็นึกว่าสีนั้นสวยดี เราจะย้อมผ้าละ ไม่ดูผ้าของเราจับสีขึ้นมา เห็นสีสวยๆ ก็จะเอามาย้อมผ้าอย่างนั้นแหละ เอามาถึงก็เอามาย้อมเลยผ้าของเรายังไม่ได้ฟอก ไม่สะอาด มันก็ยิ่งขี้เหร่ไปกว่าเก่าเสียแล้ว เราคิดดูซิกลับไปนี่ เอาผ้าเช็ดเท้าไปย้อมไม่ต้องซัก ละนะ จะดีไหมน่ะ?
ดูซิ นี่ละ พระพุทธเจ้าท่านสอนกันอย่างนี้ เราข้ามกันไปหมด พากันทำบุญแต่ว่าไม่พากันละบาป ก็เท่ากับว่ารูมันลึก ใครๆก็ว่ามันลึก ตั้งร้อยตั้งพันก็ว่ารูมันลึกคนจะว่าแขนมันสั้นนะไม่ค่อยจะมี มันต้องกลับ ธรรมะต้องถอยหลังกลับมาอย่างนี้ถึงจะ มองเห็นธรรมะมันต้องมุ่งหน้ากันไปอย่างนี้
บางทีก็พากันไปแสวงหาบุญกัน ไปรถบัสคันใหญ่ๆสองคันสามคัน พากันไป ไปกันบางทีทะเลาะกันเสียบนรถก็มีบางทีกินเหล้าเมากันบนรถก็มี ถามว่าไปทำไมไปแสวงบุญกัน ไปแสวงหาบุญ ไปเอาบุญแต่ไม่ละบาป ก็ไม่เจอบุญกันสักที มันก็เป็นอย่างนั้นแหละ อันนี้มันอยู่อย่างนี้มันจะสะดุดเท้าเราใช่ไหมให้มองดูใกล้ๆมองดูตัวเรา พระพุทธเจ้าท่าน ให้มองดูตัวเราให้สติสัมปชัญญะอยู่รอบๆตัวเรา ท่านสอนอย่างนี้ บาปกรรมทำชั่วทั้งหลายมันเกิดขึ้นทั้งทางกายทางวาจา ทางใจ บ่อเกิดของบาปบุญคุณโทษก็คือกาย วาจา ใจ เราเอากาย วาจา ใจมาด้วยหรือเปล่าวันนี้หรือเอาไว้ที่บ้าน นี่ต้องดูอย่างนี้ ดูใกล้ๆอย่า ไปดูไกล เราดูกายของเรานี่ดูวาจา ดูใจของเรา ดูว่าศีลของเราบกพร่องหรือไม่อย่างนี้ ไม่ค่อยจะเห็นมี
โยมผู้หญิงเราก็เหมือนกันแหละ ล้างจานแล้วก็บ่นหน้าบูดหน้าเบี้ยวอยู่นั้นแหละมัวไปล้างแต่จานให้มันสะอาด แต่ใจเราไม่สะอาด นี่มันไม่รู้เรื่อง เห็นไหมไปมองดูแต่จาน มองดูไกลเกินไปใช่ไหม ดูนี่ซิ ใครคงจะถูกเข้าบ้างละ มังนี่นี่ให้ดูตรงนี้มันก็ไม่สะอาดแต่จานเท่านั้นแหละ แต่ใจเราไม่สะอาด นี่มันก็ไม่ดีเรียกว่าเรามองข้ามตัวเอง ไม่มองดูตัวเอง ไปมองดูแต่อย่างอื่น จะทำความชั่วทั้งหลายก็ไม่เห็นตัวของเรา ไม่เห็นใจของเรา ภรรยาก็ดีสามีก็ดี ลูกหลานก็ดี จะทำความชั่วแต่ละอย่างก็ต้องมองโน้นมองนี้แม่จะเห็นหรือเปล่า ลูกจะเห็นหรือเปล่า สามีจะเห็นหรือเปล่า ภรรยาจะเห็นหรือเปล่าอะไรอย่างนี้ ถ้าไม่มีใครเห็นแล้วก็ทำ อันนี้มันดูถูกเจ้าของว่า คนไม่เห็นก็ทำดีกว่ารีบทำเร็วๆ เดี๋ยวคนจะมาเห็น แล้วตัวเราที่ทำนี่มันไม่ใช่คนหรือ เห็นไหม นี่มันมองข้ามกันไปเสียอย่างนี้จึงไม่พบของดีไม่พบธรรมะ ถ้าเรามองดูตัวของเรา เราก็จะเห็นตัวเรา จะทำชั่วเราก็รู้จักก็จะได้ห้ามเสียทันที จะทำความดีก็ให้ดูที่ใจ เพราะเราก็มองเห็นตัวของเราอยู่แล้วก็จะรู้จักบาป รู้จักบุญ รู้จักคุณ รู้จักโทษ รู้จักผิด รู้จักถูก อย่างนี้ก็ต้องรู้สึกสิ


2#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-2-22 08:35 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
นี่ถ้าไม่พูดก็ไม่รู้ เราโลภก็ไม่รู้ เราหลงก็ไม่รู้ อะไรๆเราก็ไม่รู้ไปมุ่งกันอย่างอื่นนี่เรียกว่าโทษของคนที่ไม่มองดูตัวของเราถ้าเรามองดูตัวของเรา เราก็จะเห็นชั่วเห็นดีทุกอย่างอันนี้ดีก็จะได้เก็บไว้ แล้วเอามาปฏิบัติ เก็บดีมาปฏิบัติ ดีก็ทำตาม ความชั่วเก็บมาทำไมเก็บมาเพื่อเหวี่ยงทิ้ง
การละความชั่ว ประพฤติความดี นี่เป็นหัวใจของพระ-พุทธศาสนา สัพพะปาปัสสะอะกะระณัง การไม่ทำบาปทั้งทางกาย วาจา ใจ นั่นแหละถูกแล้ว เป็นคำสอนของพระถูกแล้วสะอาดแล้วละทีนี้ ต่อนั้นไปก็ กุสะละสูปะสัมปะทา คือ ทำใจให้เป็นบุญเป็นกุศล คงรู้จักแล้ว เมื่อจิตเป็นบุญ จิตเป็นกุศลแล้ว เราก็ไม่ต้องนั่งรถไปแสวงหาบุญที่ไหนใช่ไหมนั่งอยู่ที่บ้านเราก็จับบุญเอา จับเอา ก็เรารู้จักแล้ว อันนี้ไปแสวงหาบุญกันทั่วประเทศแต่ไม่ละบาป กลับไปบ้านก็กลับไปเปล่าๆ ไปทำหน้าบูดหน้าเบี้ยวอย่างเก่าอยู่นั่นแหละไปล้างจานหน้าบูดอยู่นั้นแหละ ไปดูแต่จานให้มันสะอาด แต่ใจเราไม่สะอาด ไม่ค่อยจะดูกันนี่คนเรามันพ้นจากความดีไปเสียอย่างนี้ คนเราน่ะมันรู้ แต่ว่ามันรู้ไม่ถึงเพราะรู้ไม่ถึงใจของเราฉะนั้นหัวใจของพระศาสนาจึงไม่ผ่านเข้าหัวใจของเรา ใช่ไหม เมื่อจิตของเราเป็นบุญเป็นกุศลแล้วมันก็จะสบายนั่งยิ้มอยู่ในใจของเรานั้นแหละ แต่นี่หาเวลายิ้มได้ยาก ใช่ไหมนี่เวลาที่เราชอบใจถึงยิ้มได้ใช่ไหมเวลาไม่ชอบใจละก็ยิ้มไม่ได้ จะทำยังไง ไม่สบายหรือสบายแล้ว คนเราต้องมีอะไรชอบใจเราแล้วจึงจะสบายต้องให้คนในโลกทุกคนพูดทุกคำให้ถูกใจเราหมด แล้วจึงจะสบายอย่างนั้นหรือ ถ้าเป็นอย่างนั้นเราจะสบายได้เมื่อไรมีไหมใครจะพูดถูกใจเราทุกคน มีไหมนี่ แล้วเราจะเอาสบายได้เมื่อไร เราต้องอาศัยธรรมะนี่ถูกก็ช่างไม่ถูกก็ช่างเถอะ เราอย่าไปหมายมั่นมัน จับดูแล้วก็วางเสีย เมื่อใจมันสบายแล้วก็ยิ้มอยู่อย่างนั้นแหละ อะไรที่ว่ามันไม่ดี ไม่พอใจของเราเป็นบาป มันก็หมดไปมีอะไรดี มันก็คงต้องเป็นไปของมันอย่างนั้น
สะจิตตะปะริโยทะปะนัง เมื่อชำระบาป แล้ว มันก็หมดกังวลใจก็สงบ ใจเป็นบุญเป็นกุศลเมื่อใจเป็นบุญเมื่อใจเป็นกุศลแล้วใจก็สบายสว่าง เมื่อจิตใจมันสว่างแล้ว ก็ละบาปใจสว่างใจผ่องใส จะยืน จะเดิน จะนั่ง จะนอน มันก็สบาย เมื่อสบายสงบแล้วนั่นแหละคือคุณสมบัติของมนุษย์ที่แท้เต็มที่ ที่เราอยู่สบายนั้นแหละ
ทีนี้เกี่ยวกับสิ่งที่เราชอบใจ ถ้าเขาพูดชอบใจเราก็ยิ้ม ถ้าเขาพูดไม่ชอบใจเราก็หน้าบูดเมื่อไรใครจะพูดให้ถูกใจเราทุกๆวันมีไหม แม้แต่ลูกในบ้านเรา เคยพูดถูกใจเราไหมเราเคยทำให้พ่อแม่ถูกใจหรือเปล่า แน่ะ ไม่ใช่แต่คนอื่น แม้แต่หัวใจของเราเองก็เหมือนกันบางทีคิดขึ้นมาไม่ชอบใจเหมือนกัน แล้วทำอย่างไร แน่ะ บางทีเดินไปตำหัวตอสะดุดปึ๊กฮึ! มันอะไรล่ะใครไปสะดุดมันล่ะ จะไปว่าใครล่ะ ก็ตัวเราทำเองนี่ จะทำยังไงก็แต่ใจเราเองยังไม่ถูกใจตัวของเราเองให้เราคิดดูสิ อันนี้มันเป็นอย่างนี้ละ มีบางอย่างเราก็ทำไม่ถูกใจเราเอง ก็ได้แต่ฮึ! ก็ไม่รู้จะไปฮึ! เอาใคร นี่ล่ะมันไม่เที่ยงอย่างนี้
บุญในทางพุทธศาสนาคือการละบาป เมื่อละบาปแล้วมันก็ไม่มีบาป ไม่มีบาปมันก็ไม่ร้อนไม่ร้อนมันก็เย็น จิตที่สงบแล้วนั้นจึงว่าเป็นกุศลจิต ไม่คิดโมโห มันก็ผ่องใสผ่องใสด้วยวิธีอะไรก็ให้โยมรู้จักว่า แหมวันนี้น่ะ ใจมันดุเหลือเกิน ไปมองดูอะไรแม้แต่จะมองดูถ้วยในตู้ มันก็ไม่สลาย อยากจะทุบมันทิ้งให้หมดทุกใบเลย ไปดูอะไรก็ไม่ชอบใจไปเสียทั้งนั้นดูใคร ดูเป็ด ดูไก่ดูสุนัข ดูแมว ไม่ชอบใจ แม้แต่ พ่อบ้านพูดขึ้นมาก็ไม่ชอบใจเมื่อดูในใจของเราก็ไม่ชอบใจของเรา ทีนี้ก็ไม่รู้จะไปอยู่ตรงไหนแล้วละทำไมมันถึงได้เกิดความร้อนอย่างนี้นั้นแหละที่เรียกว่าคนหมดบุญล่ะ เดี๋ยวนี้เรียกคนตายว่าคนหมดบุญแล้ว ไม่ใช่อย่างนั้นคนที่ไม่ตายแต่หมดบุญมีเยอะคือคนที่ไม่รู้จักบุญ ใจมันเป็นแต่บาปอยู่อย่างนั้น จึงสะสมแต่บาปอยู่
โยมไปทำความดี ก็เหมือนโยมอยากได้บ้านสวยๆ จะปลูกบ้านแต่ ไม่ปราบที่มันเสียก่อนเดี๋ยวบ้านมันก็จะพังเท่านั้นเองใช่ไหม สถาปนิก ไม่ดีนี่ อันนี้ก็ต้องทำเสียใหม่พยายามใหม่ให้เราดูของเรา นะ ดูข้อบกพร่องของเรา ดูกาย ดูวาจา ดูใจของเรากายเรานี่ก็มีอยู่แล้ววาจาก็มีอยู่แล้ว ใจ ก็มีอยู่แล้ว จะไปหาที่ปฏิบัติที่ไหนเล่า ไม่ใช่มันหลงหรือนี่จะไปหาที่ปฏิบัติอยู่ในป่าวัดป่าพงสงบเรอะ ไม่สงบเหมือนกัน ที่บ้านเรานั่นแหละมันสงบ
ถ้าเรามีปัญญา ที่ไหนที่ไหน มันก็สบาย มันสบายทั้งนั้นโลกทั้งหลายเขาถูกต้องของเขาหมดแล้วต้นไม้ทุกต้นมันก็ถูกต้องตามสภาพของมันแล้ว ต้นยาวก็มี ต้นสั้นก็มี ต้นที่มันเป็นโพรงก็มีสารพันอย่างของเขาเป็นของเขาอยู่อย่างนั้น มีแต่ตัวเรานั่นแหละไปคิด เพราะไม่รู้เรื่องเฮ้ต้นไม้นี่ มันยาวไป อ้ายต้นนี้มันสั้นไป อ้ายต้นนี้มันเป็นโพรง ต้นไม้น่ะเขาอยู่เฉยๆเขาสบายกว่าเราฉะนั้น จึงไปเขียนคำโคลงไว้ที่ต้นไม้ดีกว่า ให้ต้นไม้มันสอนเรา ได้อะไรบ้างหรือไม่ล่ะมาวันนี้ได้อะไรที่ต้นไม้ไปบ้างไหม ต้องเอาให้ได้สักอย่างหนึ่งน่ะ ต้นไม้หลายต้นมีทุกอย่างที่จะสอนเรา ได้ อย่างนี้เรียกว่าธรรมะมันมีอยู่ทุกสภาพตามธรรมชาติทุกอย่างให้เข้าใจนะ อย่าไปติเสียว่ารูมันลึก เข้าใจไหมให้วกมาดูแขนของเราสิ อ้อ แขนของเรามันสั้นอย่างนี้ก็สบาย เมื่อจะตรวจก็ให้รู้ว่ามันไม่ดีอย่างไร อย่าไปว่าแต่ว่า รูมันลึกให้เข้าใจเสียบ้างอย่างนั้น
บุญกุศลใดๆ ที่เรา ทำให้มันมีไว้ในใจแล้ว นั่นละมันเลิศ ที่ทำบุญกันวันนี้ก็ดีแต่ว่ามันไม่เลิศ จะสร้างวัตถุอะไรถาวรก็ดีแต่ว่ามันไม่เลิศ ถ้าสร้างใจให้เป็นบุญนั่นแหละมันจึงเลิศ มานั่งที่นี่ก็สบาย กลับไปบ้านก็สบาย ให้มันเลิศ ให้มันเป็นบุญไว้นะอันนี้มันเป็นเพียงตัววัตถุ เป็นกะพี้ของแก่น แต่ว่าแก่นมันจะมีได้ก็ต้องอาศัยกะพี้มันเป็นเสียอย่างนั้น แก่นมันต้องอาศัยกะพี้ มีกะพี้จึงมีแก่น ให้เข้าใจอย่างนั้นทุกอย่างก็เหมือนกันฉันนั้น
ฉะนั้น ถ้าเรามีปัญญาแล้ว มองดูที่ไหนที่ไหนมันก็จะเห็นธรรมะทั้งนั้น ถ้าคนขาดปัญญาแล้วมองไปเห็นสิ่งที่ว่าดี มันก็เลยกลายเป็นไม่ดี ก็ความไม่ดี มันอยู่ที่ไหน มันก็อยู่ที่ใจของเรานี่แหละตามันเปลี่ยน จิตใจมันก็เปลี่ยน อะไรๆมันก็เปลี่ยนไปทั้งนั้น สามีภรรยาเคยพูดกันสบายๆเอาหูฟังได้อีกวันหนึ่งใจมันไม่ค่อยดี ใครพูดอะไรมันก็ไม่เข้าท่า ไม่รับทั้งนั้น มันไม่เอาทั้งนั้นแหละใช่ไหม ใจมันไม่ดี ใจมันเปลี่ยนไปเสียแล้ว มันเป็นเสียอย่างนั้น ฉะนั้น การละความชั่วประพฤติความดี จึงไม่ต้องไปหาที่อื่น ถ้าใจมันไม่ดีขึ้นมาแล้ว อย่าไปมองคนโน้นหรือไปว่าคนโน้นว่าคนนี้ให้ดูใจของเราว่าใครเป็นผู้พูดอะไร ทำไมมันถึงเป็นอย่างนี้ จิตใจทำไมมันเป็นอย่างนี้นะ นี่ให้เข้าใจว่าลักษณะทั้งหลายนี้มันไม่เที่ยง ความรักมันก็ไม่เที่ยง ความเกลียดมันก็ไม่เที่ยง"เราเคยรักลูกบ้างไหม" ถามอย่างนี้ก็ได้ "รัก เคยรัก"อาตมาตอบแทนเอง "เคยเกลียดบ้างไหม"ตอบแทนเลยเนาะ"นี่บางทีก็เกลียดมัน" "ทิ้งมันได้ไหม" "ทิ้งไม่ได้" "ทำไม""ลูกคนไม่เหมือนลูกกระสุน"ลูกกระสุนยิงโป้งออกไปข้างนอก ลูกคนยิงโป้งมาโดนที่ใจเรานี้ ดีก็มาถูกตัวนี้ชั่วก็มาถูกตัวนี้อย่างนี้เรียกว่ามันเป็นกรรม ลูกเรานั่นแหละมีคนดีมีคนชั่ว ทั้งดีทั้งชั่วก็เป็นลูกเราทั้งนั้นเขาเกิดมาแล้ว ดูสิคนที่ไม่ดูขนาดไหนก็ยิ่งรักเกิดมาเป็นโรคโปลิโอ ขาเป๋ ดูซิรักคนนั้นกว่าเขาแล้ว จะออกไปจากบ้านเพราะรักคนนี้ จึงต้องสั่งว่า ดูน้องดูคนนี้ด้วยเถิดเมื่อจะตายจากไปก็สั่งไว้ให้ดู ให้ดูคนนี้ ดูลูกฉันคนนี้ มันไม่แข็งแรงยิ่งรักมันมากถ้าเป็นผลไม้ มันเน่า ละก็เหวี่ยงเข้าป่าไปเลย ไม่เสียดาย แต่คนเน่ายิ่งเสียดายมันลูกเรานี่ทำอย่างไรเล่า นี่ให้เข้าใจเสียอย่างนี้ ฉะนั้นจงทำใจไว้เสียดีกว่านะ รักครึ่งชังครึ่งอย่าทิ้งมันสักอย่างให้มันอยู่รวมๆกัน ของๆเรานี่ นี่คือกรรมกรรมนั้นละเป็นของเก่าของเราละน้อนี่มันก็สมกันกับเจ้าของ เขาคือกรรม? ก็ต้องเสวยไป ถ้ามันทุกข์ใจเข้ามาเต็มที่ก็ฮึ กรรมนะกรรม ถ้ามันสบายใจดีก็ ฮึ กรรมนะ บางทีอยู่ที่บ้าน ทุกข์ก็อยากหนีไปน่ะมันวุ่นวาย ถ้ามันวุ่นวายเข้าจริงๆ บางทีอยากผูกคอตายก็มี กรรม เราต้องยอมรับมันอย่างนี้เรื่อยๆไปสิ่งที่ไม่ดีก็ไม่ต้องทำล่ะซี เท่านี้ก็พอมองเห็นเจ้าของแล้วใช่ไหม พอมองเห็นเจ้าของแล้วนะนี่เรื่องการพิจารณาสำคัญอย่างนี้

3#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-2-22 08:35 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
เรื่องการภาวนา อารมณ์ที่เรียกว่าภาวนา เขาเอาพุทโธธัมโม สังโฆ มาภาวนาทำกรรมฐานกันแต่เราเอาสั้นกว่านั้น เมื่อรู้สึกว่าใจมันหงุดหงิด ใจไม่ดี โกรธ เราก็ร้องฮึ เวลาใจดีขึ้นมาก็ร้อง ฮึ ว่ามันไม่เที่ยงดอก ถ้ามันรักคนนั้นขึ้นมาในใจก็ฮึ ถ้ามันจะโกรธคนนั้นขึ้นมาก็ ฮึ เข้าใจไหม ไม่ต้องไปดูลึก ไม่ต้องไปดูพระไตรปิฎกหรอกไอ้ ฮึ นี่เรียกว่ามันไม่เที่ยง ความรักนี่มันก็ไม่เที่ยง ความชังนี่มันก็ไม่เที่ยงความดีมันก็ไม่เที่ยง ความชั่วมันก็ไม่เที่ยง มันเที่ยงอย่างไรเล่า มันจะเที่ยงตรงไหมมันเที่ยงก็เพราะของเหล่านั้นมันเป็นของมันอยู่อย่างนั้นคือมันเที่ยงอย่างนี้มันไม่แปรเป็นอย่างอื่น มันเป็นอย่างนั้น นี่เรียกว่าความเที่ยงเที่ยงก็เพราะว่ามันเป็นของมันอยู่อย่างนั้นมันไม่ได้แปรเป็นอย่างอื่น เดี๋ยวมันก็รักเดี๋ยวมันก็ชัง มันเป็นของมันอยู่อย่างนี้นี่คือ มันเที่ยงอย่างนี้ ฉะนั้น จึงจะบอกว่าเมื่อความรักเกิดขึ้น เราก็บอกฮึมันไม่เปลืองเวลาดี ไม่ต้องว่าอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาแล้วถ้าโยมขี้เกียจภาวนามากเอาง่ายๆดีกว่า คือ ถ้า มันเกิดมีความรักขึ้นมา มันจะหลงก็ร้อง ฮึ เท่านี้แหละอะไรๆมันก็ไม่เที่ยงทั้งนั้นมัน เที่ยงก็เพราะมันเป็นของมันอยู่อย่างนั้นเห็นเท่านี้ก็เห็นแก่น ของธรรมะ คือสัจธรรม อันนี้ถ้าเรามา ฮึ กันบ่อยๆ ค่อยๆทะยอยไปอุปาทานก็จะน้อยไป น้อยไปอย่างนี้แหละ ความรักนี้ฉันก็ไม่ติดใจ ความชั่วฉันก็ไม่ติดใจอะไรๆ ฉันก็ไม่ติดใจทั้งนั้นอย่างนี้จึงจะเรียกว่า ไม่เชื่ออะไรทั้งนั้น เชื่อสัจธรรมอย่างเดียวรู้ธรรมะเท่านี้ก็พอแล้วโยม จะไปดูที่ไหนอีกเล่า วันนี้มีโชคด้วยได้อัดทั้งเทปภายนอกภายในเข้าหูตรงนี้ก็อัดเข้าตรงนี้ก็ได้ เทปนั้น ก็จะได้มีทั้งสองอย่าง ถ้าโยมทำไม่ได้อย่างนี้ก็ไม่ค่อยจะดีเสียละมังเนาะไม่ต้องมา วัดป่าพงอีกละมัง นี่ข้างในก็อัด ข้างนอกก็อัดแต่ว่าเทปนี้มันไม่ค่อยสำคัญดอกเทปในใจนั่นละมันสำคัญกว่าเทปอันนี้มันเสื่อมได้ ซื้อมาแล้วมันก็เสื่อมได้เทปภายในของเรานั้นน่ะ เมื่อมันถึงใจแล้วมัน ดีเหลือเกินนะโยม มันมีอยู่ตลอดเวลา ไม่เปลืองถ่านไปอัดอยู่ในป่าพูดอยู่นั่นแล้ว ในวันในพรุ่ง ให้มันรู้อยู่อย่างนั้นแหละ มันรู้ว่ากระไร ภาวนาพุทโธ พุทโธ ต้องรู้อย่างนั้น เข้าใจกันแล้วหรือยังเข้าใจให้ถึงนะถ้ามันเข้าใจ ถ้ามันถูกอารมณ์ ปุ๊ป รู้จักแล้วละก็ หยุดเลยฟังเข้าใจนะ ถ้ามันโกรธขึ้นมาก็ว่า ฮึ พอแล้วระงับเลย ถ้ามันยังไม่เข้าใจก็ติดตามเข้าไปดู ถ้ามัน เข้าใจแล้ว เช่นว่าพ่อบ้านโกรธให้แม่บ้าน แม่บ้านโกรธให้พ่อบ้านโกรธขึ้นมาในใจก็ร้อง ฮึ มันไม่เที่ยง เอาละเทศน์ให้ฟังก็ขึ้นอักษร พอได้แล้วนะที่พอแล้วก็คือมันสบายแล้วเรียกว่าสงบแล้ว เอาละพอนะ
นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส พุทฺธํ ธมฺมํ สงฺฆํ นมสฺสามิอิโต ปรํ สกฺกจฺจํ ธมฺโมโสตพฺโพติ
ขอให้ตั้งอยู่ในความสงบ รับโอวาท พอสมควร วันนี้มีทั้งคฤหัสถ์และบรรพชิตมาถวายดอกไม้ตามกาลเวลาเรื่องสักการะเรื่องคารวะ การเคารพต่อผู้ใหญ่เป็นมงคลอันเลิศ พรรษานี้อาตมาไม่ค่อยมีเรี่ยวแรงไม่สบาย สุขภาพไม่แข็งแรง ฉะนั้นจึงหลบมาอยู่บนภูเขานี้ ก็ได้รับอากาศบริสุทธิ์สักพรรษาหนึ่งญาติโยมสานุศิษย์ทั้งหลายไปเยี่ยม ก็ไม่ได้สนองศรัทธาอย่างเต็มที่เพราะว่าเสียงมันจะหมดแล้วลมมันก็จะหมดแล้ว นับว่าเป็นบุญที่เป็นตัวเป็นตนมานั่งให้ญาติโยมเห็นอยู่นี่นับว่าดีแล้ว ต่อไปก็จะไม่ได้เห็น ลมมันก็จะหมด เสียงมันก็จะหมด มันเป็นไปตามเหตุตามปัจจัยของสังขารที่พระผู้มีพระภาคเจ้าท่านสอนไว้ ขัยะวัยยัง คือความสิ้นไปเสื่อมไปของสังขารเสื่อมไปอย่างไร เปรียบให้ฟังเหมือนก้อนน้ำแข็ง แต่ก่อนมันเป็นน้ำ เขาเอามาทำให้เป็นก้อนแต่มันก็อยู่ไม่กี่วันหรอกมันก็เสื่อมไป เอาก้อนน้ำแข็งใหญ่ๆ เท่าเทปนี้ไปวางไว้กลางแจ้งจะดูความเสื่อมของก้อนน้ำแข็งก็เหมือนสังขารนี้ มันจะเสื่อมทีละน้อยละน้อยไม่กี่นาทีไม่กี่ชั่วโมงก้อนน้ำแข็งก็จะหมด ละลายเป็นน้ำไป นี่เรียกว่าเป็นขัยะวัยยัง ความสิ้นไป ความเสื่อมไปแห่งสังขารทั้งหลาย เป็นมานานแล้ว ตั้งแต่มีโลกขึ้นมาเราเกิดมาเราเก็บเอาสิ่งเหล่านี้มาด้วย ไม่ใช่ว่าเราทิ้งไปไหน พอเกิดเราเก็บเอาความเจ็บความแก่ ความตาย มาพร้อมกัน
ดังนั้นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านจึงตรัสไว้ว่าขัยะวัยยัง ความสิ้นไปเสื่อมไปของสังขารทั้งหลายเรานั่งอยู่บนศาลานี้ทั้งอุบาสกอุบาสิกา ทั้งพระทั้งเณรทั้งหมดนี้ มีแต่ก้อนเสื่อมทั้งนั้นนี่ที่ก้อนมันแข็ง เปรียบเช่นก้อนน้ำแข็งแต่ก่อนเป็นน้ำมันเป็นก้อนน้ำแข็งแล้วก็เสื่อมไปเห็นความเสื่อมมันไหม ดูอาการที่มันเสื่อมซี ร่างกายของเรานี่ทุกส่วนมันเสื่อมผมมันก็เสื่อมไปขนมันก็เสื่อมไป เล็บมันก็เสื่อมไป หนังมันก็เสื่อม ไป อะไรทุกอย่างมันก็เสื่อมไปทั้งนั้น
ญาติโยมทุกคนเมื่อครั้งแรกคงจะไม่เป็นอย่างนี้นะ คงจะมีตัวเล็กกว่านี้นี่มันโตขึ้นมา มันเจริญขึ้นมา ต่อไปนี้มันก็จะเสื่อมเสื่อมไปตามธรรมชาติของมันเสื่อมไปเหมือนก้อนน้ำแข็งเดี๋ยวก็หมด ก้อนน้ำแข็งมันก็กลายเป็นน้ำ เรานี่ก็เหมือนกันทุกคนมีดินมีน้ำมีไฟมีลมเมื่อมีตัวตนประกอบกันอยู่ ธาตุสี่ ดิน น้ำ ลมไฟ ตั้งขึ้น เรียกว่าคน แต่เดิมไม่รู้ว่าเป็นอะไรหรอกเรียกว่าคนเราก็ดีอกดีใจ เป็นคนผู้ชาย เป็นคนผู้หญิง สมมติชื่อให้นายนั้นนางนี้ตามเรื่องเพื่อเรียกตามภาษา ให้จำง่ายใช้การงานง่าย แต่ความเป็นจริงก็ไม่มีอะไร มีน้ำหนึ่งดินหนึ่ง ลมหนึ่ง ไฟหนึ่ง มาปรุงกันเข้ากลายเป็นรูป เรียกว่าคน โยมอย่าเพิ่งดีใจนะดูไปดูมาก็ไม่มีคนหรอก ที่มันเข้มแข็งพวกเนื้อพวกหนัง พวกกระดูกทั้งหลายเหล่านี้เป็นดินอาการที่มันเหลวๆตามสภาพร่างกายนั้นเราเรียกว่าน้ำ อาการที่มันอบอุ่นอยู่ในร่างกายเราเรียกว่าไฟอาการที่มันพัดไปมาอยู่ในร่างกายของเรานี้ ลมพัดขึ้นเบื้องบนพัดลงเบื้องต่ำนี้ เรียกว่าลม ทั้งสี่ประการนี้มาปรุงกันเข้าเรียกว่า คน ก็ยังเป็นผู้หญิงผู้ชายอีกจึงมีเครื่องหมายตามสมมติของเรา
แต่อยู่ที่วัดป่าพง ที่ไม่เป็นผู้หญิงไม่เป็นผู้ชายก็มี เป็นนะปุงสักลิงค์ไม่ใช่อิตถีลิงค์ ไม่ใช่ปุงลิงค์ คือซากศพที่เขาเอาเนื้อเอาหนังออกหมดแล้วเหลือแต่โครงกระดูกเท่านั้นเป็นซากโครงกระดูกเขาแขวนไว้ ไปดูก็ไม่เห็นว่าเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย ใครไปถามว่านี่เป็นผู้หญิงหรือผู้ชายก็ได้แต่มองหน้ากัน เพราะมันมีแต่ โครงกระดูกเท่านั้น เนื้อหนังออกหมดแล้วพวกเราทั้งหลายก็ไม่รู้ ทุกคนไปวัดป่าพงเข้าไปในศาลาก็ไปดูโครงกระดูก บางคนดูไม่ได้วิ่งออกจากศาลาเลยกลัว....กลัวเจ้าของ อย่างนั้นเข้าใจว่าไม่เคยเห็นตัวเราเองสักทีไปกลัวกระดูก ไม่นึกถึงคุณค่าของกระดูกเราเดินมาจากบ้าน นั่งรถมาจากบ้าน ถ้าไม่มีกระดูกจะเป็นอย่างไรจะเดินไปมาได้ไหม นั่งรถมาถึงวัดป่าพง พอลงรถเข้าศาลาไปดูโครงกระดูก พอเห็นวิ่งออกจากศาลาเลยกลัวโครงกระดูก คนเราไม่เคยเห็น เกิดมาพร้อมกัน ไม่เคยเห็นกัน นอนเบาะอันเดียวกันไม่เคยเห็นกันนี่แสดงว่าเราบุญมากที่มาเห็นแก่แล้ว ๕๐ ปี๖๐ ปี ๗๐ ปี ไปนมัสการวัดป่าพงเห็นโครงกระดูก กลัว นี่อะไรไม่รู้ แสดงว่าเราไม่คุ้นเคยเลย ไม่รู้จักตัวเราเลยกลับไปบ้านก็ยังนอนไม่หลับอยู่ สามสี่วัน แต่ก็นอนกับโครงกระดูกนั่นแหละไม่ใช่นอนที่อื่นหรอกห่มผ้าผืนเดียวกันอะไรๆด้วยกัน นั่งบริโภคข้าวด้วยกัน แต่เราก็กลัว นี่แสดงว่าเราห่างเหินจากตัวเรามากที่สุดน่าสงสาร ไปดูอย่างอื่น ไปดูต้นไม้ ไปดูวัตถุอื่นๆ ว่าอันนั้นโตอันนี้เล็กอันนั้นสั้นอันนั้นยาว นี่ไปดูแต่วัตถุของอื่นนอกจากตัวเรา ไม่เคยมองดูตัวเราเลยถ้าพูดตรงๆแล้วก็น่าสงสารมนุษย์เหมือนกัน ดังนั้นคนเราจึงขาดที่พึ่ง
อาตมาเคยบวชนาคมาหลายองค์ เกศา โลมา นะ ขาทันตา ตะโจ นาคที่เคยเป็นนักศึกษาคงนึกหัวเราะว่าท่านอาจารย์เอาอะไรมาสอนนี่.เอาผมที่มันมีอยู่นานแล้วมาสอน ไม่ต้องสอนแล้วรู้จักแล้วเอาของที่รู้จักแล้วมาสอนทำไม นี่คนที่มันมืดมากมันก็เป็นอย่างนี้ คิดว่าเราเห็นผมอาตมาบอกว่าคำที่ว่าเห็นผมนั้น คือเห็นตามความเป็นจริง เห็นขนก็เห็นตามความเป็นจริงเห็นเล็บ เห็นหนัง เห็นฟันก็เห็นตามความเป็นจริง จึงเรียกว่าเห็น ไม่ใช่ว่าเห็นอย่างผิวเผินเห็นตามความเป็นจริงอย่างไรๆ เราคงจะไม่หมกมุ่นอยู่ในโลกอย่างนี้ ถ้าเห็นตามความจริงผม ขน เล็บฟันหนัง เป็นอย่างไร ตามความเป็นจริงเป็นอย่างไร เป็นของสวยไหมเป็นของสะอาดไหม เป็นของมีแก่นสารไหม เป็นของเที่ยงไหม เปล่า...มันไม่มีอะไรหรอกของไม่สวยแต่เราไปสำคัญว่ามันสวย ของไม่จริง ไปสำคัญว่ามันจริง

4#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-2-22 08:36 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
อย่างเกศา โลมา นะขา ทันตา ตะโจ คือ ผม ขน เล็บฟัน หนัง คนเราไปติดอยู่นี่พระพุทธองค์ท่านยกมาทั้งห้าประการนี้เป็นมูลกรรมฐาน สอนให้รู้จักกรรมฐานทั้งห้านี้มันเป็นอนิจจังเป็นทุกขัง เป็นอนัตตา ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน ไม่ใช่เราไม่ใช่เขาเราเกิดขึ้นมาก็หลงมัน อันนี้เป็นของโสโครกดูซิ คนเราไม่อาบน้ำสักสองวันสิเข้าใกล้กันได้ไหม มันเหม็น เหงื่อออกมากๆไปนั่งทำงานรวมกันอย่างนี้ เอาสิเหม็นทั้งนั้นแหละกลับไปบ้านอาบน้ำเอาสบู่มาถูออกหายไปนิดหนึ่งก็หอมสบู่ ขึ้นมา ได้ถูสบู่มันก็หอมไอ้ตัวเหม็นมันก็อยู่อย่างเดิมนั่นแหละ มันยังไม่ปรากฏเท่านั้น กลิ่นสบู่มันข่มไว้เมื่อหมดสบู่มันก็เหม็นตามเคย อันนี้เรามักจะเห็นรูปที่นั่งอยู่นี่นึกว่ามันสวยมันงาม มันแน่น มันหนามันตรึงตา มันไม่แก่ มันไม่เจ็บ มันไม่ตาย หลงเพลิดเพลินอยู่ในสากลโลกนี้ฉะนั้นจึงไม่รู้จักพึ่งตนเอง ตัวที่พึ่งของเราคือตัวใจใจของเราเป็นที่พึ่งจริงๆศาลาหลังนี้มันใหญ่ก็ไม่ใช่ที่พึ่ง มันเป็นที่อาศัยชั่วคราว นกพิราบมันก็มาอาศัยอยู่ตุ๊กแกมันก็มาอาศัยอยู่ จิ้งเหลนนี้มันก็มาอาศัยอยู่ ทุกสิ่งทุกอย่างมาอาศัยอยู่ได้เราก็นึกว่าของเรา มันไม่ใช่ของเราหรอก มันอยู่ด้วยกัน หนูมันก็มาอยู่ สารพัดอย่างนี่เรียกว่าที่อาศัยชั่วคราว เดี๋ยวก็หนีไปจากไป เราก็นึกว่าอันนี้เป็นที่พึ่งของเราคนมีบ้านหลังเล็กๆ ก็เป็นทุกข์เพราะบ้านมันเล็ก มีบ้านหลังใหญ่ๆก็เป็นทุกข์เพราะกวาดไม่ไหวตอนเช้าก็บ่น ตอนเย็นก็บ่น จับอะไรวางตรงไหนก็ไม่ค่อยได้เก็บ คุณหญิงคุณนายนี่จึงเป็นโรคประสาทกันเป็นทุกข์
ฉะนั้นพระพุทธองค์จึงให้หาที่พึ่งคือหาใจของเรา ใจของเราเป็นสิ่งสำคัญโดยมากคนเราไม่ค่อยมองดูในสิ่งที่สำคัญ ไปมองดูที่อื่นที่ไม่ สำคัญ เป็นต้นว่ากวาดบ้านล้างจาน ก็มุ่งความสะอาดล้างถ้วยล้างจานให้มันสะอาด ทุกสิ่งทุกอย่างมุ่งความสะอาดแต่ใจเจ้าของไม่เคยมุ่งเลย ใจของเรามันเน่า บางทีก็โกรธหน้าบูดหน้าบึ้งอยู่นั่นแหละก็ไปมุ่งแต่จานให้จานมันสะอาด ใจของเราไม่สะอาดเท่าไรก็ไม่มองดู นี่เราขาดที่พึ่งเอาแต่ที่อาศัยแต่งบ้านแต่งช่อง แต่งอะไรสารพัดอย่าง แต่ใจของเราไม่ค่อยจะแต่งกันทุกข์ไม่ค่อยจะมองดูมัน ใจ นี่แหละเป็นสิ่งสำคัญ ดังนั้นพระพุทธองค์ท่านจึงพูดว่าให้หาที่พึ่งทางใจ อัตตาหิ อัตตโนนาโถ ใครจะเป็นที่พึ่งได้ ที่เป็นที่พึ่งที่แน่นอนก็คือใจของเรานี่เองไม่ใช่สิ่งอื่น พึ่งสิ่งอื่นก็พึ่งได้แต่ไม่ใช่ของที่แน่นอน เราจะพึ่งสิ่งอื่นได้ก็เพราะเราพึ่งตัวของเราเราต้องมีที่พึ่งก่อน จะพึ่งอาจารย์ พึ่งญาติมิตรสหายทั้งหลาย จะพึ่งได้ดีนั้นเราต้องทำตัวของเราเป็นที่พึ่งให้ได้เสียก่อน
ดังนั้นวันนี้ที่มากราบนมัสการทั้งคฤหัสถ์และบรรพชิต ขอให้รับโอวาทนี้ไปพินิจพิจารณาเราทุกคนให้นึกเสมอว่า เราคืออะไร เราเกิดมาทำไม นี่ถามปัญหาเจ้าของอยู่เสมอว่าเราเกิดมาทำไม ให้ถามเสมอ บางคนไม่รู้นะ แต่อยากได้ความสุขใจ มันทุกข์ไม่หายรวยก็ทุกข์ จนก็ทุกข์ เป็นเด็กเป็นคนโตก็ทุกข์ ทุกข์หมดทุกอย่าง เพราะอะไรเพราะว่ามันขาดปัญญา เป็นคนจนก็ทุกข์เพราะมันจน เป็นคนรวยก็ทุกข์เพราะมันรวยมากของมากๆรักษาคนเดียว ในสมัยก่อนอาตมาเคยเป็นสามเณร เคยเทศน์ให้โยมฟัง ครูบาอาจารย์ท่านให้เทศน์พูดถึงความร่ำรวยในการมีทาสให้มีทาสสักร้อยผู้หญิงก็ให้ได้สักร้อยหนึ่ง ผู้ชายก็ร้อยหนึ่ง มีช้างก็ร้อยหนึ่ง มีวัวก็ร้อยหนึ่งมีควายก็ร้อยหนึ่ง มีแต่สิ่งละร้อยละร้อยทั้งนั้น ญาติโยมได้ฟังแล้วก็สบายใจให้โยมไปเลี้ยงควายสักร้อยหนึ่งเอาไหม เอาควายร้อยหนึ่ง เอาวัวร้อยหนึ่ง มีทาสผู้หญิงผู้ชายอย่างละร้อยให้โยมรักษาคนเดียวจะดีไหมนี่ไม่คิดดู แต่ความอยากมีวัว มีควาย มีช้าง มีม้า มีทาส สิ่งละร้อยละร้อยน่าฟังอุ๊ย!อิ่มใจเหลือเกิน มันสบายนะ แต่อาตมาเห็นว่าได้สักห้าสิบตัวก็พอแล้ว แค่ฟั่นเชือกเท่านั้นก็เต็มทีแล้ว อันนี้โยมไม่คิดคิดแต่ได้ ไม่คิดถึงว่ามันจะยากจะลำบาก
สิ่งทั้งหลายที่มีอยู่ในตัวเรานี้ ถ้าเราไม่ มีปัญญา จะทำให้เราทุกข์นะถ้าเรามีปัญญา นำออกจากทุกข์ได้ ตา หู จมูก ลิ้นกายใจ ตา ไม่ใช่ของดีนะ ถ้าเราใจไม่ดีไปมองคนบางคน ไปเกลียด เขาอีกแล้ว มานอนเป็นทุกข์อีกแล้ว ไปมองดูคนบางคนรักเขาอีกแล้วรักเป็นทุกข์อีกแล้ว มันไม่ได้ก็เป็นทุกข์ เกลียดก็เป็นทุกข์ รักก็เป็นทุกข์เพราะมันอยากได้อยากได้ก็เป็นทุกข์ ไม่อยากได้ก็เป็นทุกข์ ของที่ไม่ชอบใจอยากทิ้งมันไป อยากได้ของที่ชอบใจเข้ามามันก็ทุกข์ ของที่ชอบใจได้มาแล้วกลัวมันจะหายอีกแล้ว มันเป็นทุกข์ทั้งนั้นไม่รู้ว่าจะอยู่อย่างไรบ้านหลังใหญ่ๆขนาดนี้ก็นึกว่าจะให้มันสบายขึ้น เก็บความสบายเก็บความดีไว้ในนี้ถ้าคิดไม่ดีมันก็ไปไม่ได้ทั้งนั้นแหละ
ดังนั้นญาติโยมทั้งหลายจงมองดูตัวของเรา ว่าเราเกิดมาทำไม เราเคยได้อะไรไว้ไหมอาตมาเคยรวมคนแก่ เอาคนแก่อายุเลย ๘๐ ปีขึ้นไปแล้วมาอยู่รวมกัน อาชีพทำนาตามบ้านนอกของเรา ทำนามาตั้งแต่โน้น เกิดมาได้ ๑๗-๑๘ ปี ก็รีบแต่งงานกลัวจะไม่รวยทำงานตั้งแต่เล็กๆ ให้มันรวย ทำนาจน ๗๐ ปีก็มี๘๐ ปีก็มี ๙๐ ปีก็มี ที่มานั่งรวมกันฟังธรรมโยม อาตมาถาม"โยมจะเอาอะไรไปไหมนี่" "เกิดมาก็ทำอยู่จนเดี๋ยวนี้แหละ ผลที่สุดจะไปจะได้อะไรไปไหม" ไม่รู้จัก ตอบได้แต่ว่า "จังว่า จังว่าจังว่า" นี่ตามภาษาเขาว่ากินลูกหว้า เพลินกับลูกหว้า มันจะเสียเวลาเพราะจังว่านี่แหละ จะไปก็ไม่ไปจะอยู่ก็ไม่อยู่ มันอยู่ที่จังว่า นั่งอยู่ ก้างๆอยู่ง่า** นั่งอยู่คาคบนั่นแล้วมีแต่จังว่าๆ
ตอนยังหนุ่มๆครั้งแรกอยู่คนเดียว เข้าใจว่าเป็นโสดไม่สบาย หาคู่ครองเรือนมันจะสบายเลยหาคู่ครองมาครองเรือนให้เอาของสองอย่างมารวมกันมันก็กระทบกันอยู่แล้วอยู่คนเดียวมันเงียบเกินไปไม่สบายแล้วเอาคน สองคนมาอยู่ด้วยกัน มันก็กระทบกัน ก๊อกๆแก๊กๆ นั่นแหละลูกเกิดมาครั้งแรกตัวเล็กๆพ่อแม่ก็ตั้งใจว่า ลูกเราเมื่อมันโตขึ้นมาขนาดหนึ่งเราก็สบายหรอกก็เลี้ยงมันไปสามคนสี่คนห้าคนนึกว่ามันโตเราจะสบาย เมื่อมันโตมาแล้วมันยิ่งหนัก เหมือนกับแบกท่อนไม้ อันหนึ่งเล็กอันหนึ่งใหญ่ทิ้งท่อนเล็กแล้วแบกเอาท่อนใหญ่ นึกว่ามันจะเบาก็ยิ่งหนักลูกเราตอนเด็กๆ มันไม่กวนเท่าไรหรอกโยมมันกวนถามกินข้าวกับกล้วย เมื่อมันโตขึ้นมานี่มันถามเอารถมอเตอร์ไซด์ มันถามเอารถเก๋งเอาล่ะความรักลูกจะปฏิเสธไม่ได้ ก็พยายามหา มันก็เป็นทุกข์ ถ้าไม่ให้มันก็เป็นลูกบางทีพ่อแม่ทะเลาะกัน "อย่าพึ่งไปซื้อให้มันเลยรถนี่ มันยังไม่มีเงิน" แต่ความรักลูกก็ต้องไปกู้คนอื่นมาเห็นอะไรก็อยากซื้อมากินแต่ก็อด กลัวมันจะหมดเปลืองหลายอย่าง ต่อมาก็มีการศึกษาเล่าเรียน "ถ้ามันเรียนจบเราก็จะสบายหรอก"เรียนมันจบไม่เป็นหรอก มันจะจ บอะไร เรียนไม่มีจบหรอก ทางพุทธศาสนานี่เรียนจบศาสตร์อื่นนอกนั้นมันเรียนต่อไปเรื่อยๆ เรียนไม่จบเอาไปเอามาก็เลยวุ่นเท่านั้นแหละบ้านหนึ่งเรียน ๔ คน ๕ คน ตาย! พ่อแม่ทะเลาะกันไม่มีวันเว้นละอย่างนั้น
ไอ้ความทุกข์มันเกิด มา ภายหลังเราไม่เห็น นึกว่ามันจะไม่เป็นอย่างนั้นเมื่อมันมาถึงเข้าแล้วจึงรู้ว่า โอ! มันเป็นทุกข์ ทุกข์อย่างนั้นจึงมองเห็นยากทุกข์ในตัวของเรานะโยม พูดตามประสาบ้านนอกเราเรื่องฟันของเรานะโยม ตอนไปเลี้ยงวัวเลี้ยงควายขี้ถ่านไฟก็ยังเอามาถูฟันให้มันขาวไปถึงบ้านก็ไปยิงฟันใส่กระจกนึกว่ามันขาวถูฟันแล้วนี่ ไปชอบกระดูกของเจ้าของไม่รู้เรื่องพออายุถึง ๕๐-๖๐ ปีฟันมันโยก เออ! เอาซิฟันโยก มันจะร้องไห้กินข้าวน้ำตามันก็ไหลเหมือนกับถูกศอกถูกเข่าเขาอยู่ทุกเวลา ฟันมันเจ็บมันปวด มันทุกข์มันยากมันลำบากนี่อาตมาผ่านมาแล้วเรื่องนี้ ถอนออกหมดเลย ในปาก นี้เป็นฟันปลอมทั้งนั้น มันโยกไม่สบายอยู่๑๖ ซี่ ถอนทีเดียวหมดเลย เจ็บใจมัน หมอไม่กล้าถอนแน่ะตั้ง ๑๖ ซี่ "หมอ! ถอนมันเถอะเป็นตายอาตมา จะรับเอาหรอก" ถอนมันออกทีเดียวพร้อมกัน ๑๖ ซี่ ที่มันยังแน่นๆตั้งหลายซี่ตั้ง ๕ ซี่ ถอนออกเลย แต่ว่าเต็มทีนะ ถอนออกหมดแล้วไม่ได้ฉันข้าวอยู่ ๒-๓วัน นี่เป็นเรื่องทุกข์

5#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-2-22 08:36 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
อาตมาคิดแต่ก่อนนะ ตอนไปเลี้ยงวัวเลี้ยงควาย เอาถ่านไฟมาถูมันให้ขาว รักมันมากเหลือเกินนึกว่ามันเป็นของดี ผลที่สุดมันจะหนีจากเรา จึงเกือบตาย เจ็บฟันนี้มาตั้งหลายเดือนตั้งหลายปีบางทีมันบวมทั้งข้างล่างข้างบน หมดท่าเลยโยม อันนี้คงจะเจอกันทุกคนหรอก พวกที่ฟันไม่โยกเอาแปรงไปแปรงให้มันสะอาดสวยงามอยู่นั่นแหละ ระวังนะ ระวังมันจะเล่นงานเราเมื่อสุดท้ายไอ้ซี่ยาวซี่มันสั้นสลับ กันอยู่อย่างนี้ ทุกข์มากโยมอันนี้ทุกข์มากจริงๆ
อันนี้บอกไว้หรอก บางทีจะไปเจอเอาทุกข์เพราะความทุกข์ในตัวของเรานี้ ทุกข์ในตัวเราจะหาที่พึ่งอะไรมันไม่มี แต่มันค่อยยังชั่วเมื่อเรายังหนุ่ม มันแก่มาแล้วมันก็เริ่มพังมันช่วยกันพัง สังขารมันเป็นไปตามเรื่องของมัน เราจะ ร้องไห้มันก็อยู่อย่างนี้จะดีใจมันก็อยู่อย่างนี้ เราจะเป็นอะไรมันก็อยู่ของมันอย่างนี้ เราจะเจ็บปวดจะเป็นจะตายมันก็อยู่อย่างนั้นเพราะมันเป็นอย่างนั้นนี่มันหมดความรู้หมดวิชา เอาหมอฟันมาดูฟัน ถึงแก้ไขแล้วยังไงก็ยังเป็นอยู่อย่างนั้นต่อไปหมดฟันเองก็เป็นเหมือนเราอีก ไปไม่ไหวอีกแล้ว ทุกอย่างมันก็พังไปด้วยกันทั้งหมด นี้เป็นความจำเป็นที่เราจะต้องรีบพิจารณา เมื่อมีกำลังเรี่ยวแรงก็รีบทำจะทำบุญสุนทานจะทำอะไรก็รีบจัดทำกัน แต่ว่าคนเราก็มักจะไปมอบให้แต่คนแก่ จะเข้าวัดศึกษาธรรมะรอให้แก่เสียก่อนโยมผู้หญิงก็เหมือนกัน โยมผู้ชายก็เหมือนกัน ให้แก่เสียก่อนเถอะ ไม่รู้ว่าอะไรกันคนแก่นี่มันกำลังดีไหม ลองไปวิ่งแข่งกับคนหนุ่มดูซิทำไมจะต้องไปมอบให้คนแก่เหมือนไม่รู้จักตายพอแก่มาสัก๕๐ปี ๖๐ ปี จวนเข้าวัดอยู่แล้ว หูตึงเสียแล้ว ความจำก็ไม่ดี เสียแล้วนั่งก็ไม่ทน "ยายไปวัดเถอะ"โอย หูฉันไม่ดีแล้วนั่นเห็นไหม ตอนหูดีเอาไปฟังอะไรอยู่จังว่า จังว่า มันคาแต่ลูกหว้าอยู่นั่นแหละ จนหู มันหนวกเสียแล้วจึงไปวัดมันก็ไปไม่ได้ นั่งฟังท่านเทศน์ เทศน์อะไรไม่รู้เรื่อง มันหมดแล้วจึงมาทำกัน
ดังนั้น วันนี้คงจะได้ประโยชน์กับบุคคลที่สนใจเป็นบางสิ่งบางอย่าง ที่ควรเก็บไว้ในใจของเราสิ่งทั้งหลายนี่เป็นมรดกของเราทั้งนั้น มันจะรวมมา รวมมาให้เราแบกทั้งนั้นแหละขานี่เป็น สิ่งที่วิ่งได้มาแต่ก่อน อย่างขาอาตมานี่จะเดินมันก็หนัก สกลร่างกายจะต้องแบกมันแต่ก่อนนั้นมันแบกเรา บัดนี้เราแบกมันลุกขึ้นก็ "โอ๊ย" สมัยเป็นเด็กเห็นคนแก่ๆลุกขึ้นก็ "โอ๊ย" นั่งลงก็"โอ๊ย" ที่โอ๊ยๆยังไม่ยอมนะ ขนาดนี้นะ นั่งก็ "โอ๊ย"ลุกขึ้น ก็"โอ๊ย" "โอ๊ย" ทั้งนั้นแหละ ไม่รู้อะไรทำให้เราไม่รู้เรื่อง มีแต่"โอ๊ยๆ"ทั้งนั้น มันทุกข์ถึงขนาดนั้นเรายังไม่เห็นโทษมัน เมื่อจะหนีจากมันเราไม่รู้จักที่ทำเจ็บทำปวดขึ้นมา นี่เรียกว่าสังขารมันเป็นไปตามเรื่องของ มัน ที่มันเป็นมันเป็นประดงประดงไฟ ประดงข้อประดงงอ ประดงจิปาถะหมอเอายามาใส่ก็ไม่ถูก ผลที่สุดก็พังไปทั้งหมดอีกคือสังขารมันเสื่อม มันเป็นไปตามสภาพของมันมันจะเป็นของมันอยู่อย่างนั้น อันนี่เป็นเรื่องธรรมชาติมันฉะนั้นให้ญาติพี่น้องให้พากันเห็น ถ้าเห็นแล้วก็จะไม่เป็นอะไร อย่างงูอสรพิษตัวร้ายๆมันเลื้อยมาเราเห็น เราเห็นมัน ก่อนก็หนี มันไม่ได้กัดเราหรอกเพราะเราได้ระวังมันถ้าเราไม่เห็นมัน เดินๆไปไม่เห็นก็ไปเหยียบมัน เดี๋ยวมันก็กัดเลย
ถ้ามันทุกข์แล้วไม่รู้จะไปฟ้องใคร ถ้าทุกข์เกิดขึ้นจะไปแก้ตรงไหน คืออยากแต่ว่าไม่ให้มันทุกข์เฉยๆเท่านั้น อยากไม่ให้มันทุกข์แต่ไม่รู้จักทางแก้ไขมัน แล้วก็อยู่ไป อยู่ไปจนถึงวันแก่วันเจ็บแล้วก็วันตาย คนโบราณบางคนเขาว่า เมื่อมันเจ็บมันไข้จวบลมหายใจจะขาดให้ค่อยๆเข้าไปกระซิบใกล้หูคนไข้ว่า พุทโธพุทโธ พุทโธ มันจะเอาอะไรพุทโธนั่นนะคนที่ใกล้จะนอนในกองไฟจะรู้จักพุทโธอะไร ตั้งแต่ยังเป็นหนุ่มเป็นสาวอายุรุ่นๆทำไมไม่เรียนพุทโธให้มันรู้หายใจติดบ้างไม่ติดบ้าง "แม่ๆ พุทโธ พุทโธ" ว่าให้มันเหนื่อยทำไมอย่าไปว่าเลยมันหลายเรื่อง เอาได้แค่นั้นก็สบายแล้ว
โยมชอบเอาแต่ต้นกับปลาย มัน ตรงกลางไม่เอาหรอกชอบแต่อย่างนั้น บริวารพวกเราทั้งหลายก็ชอบอย่างนั้นทั้งญาติโยมทั้งพระทั้งเณรชอบ แต่ทำอย่างนั้น ไม่รู้จักแก้ไขภายในจิตของเจ้าของไม่รู้จักที่พึ่ง แล้วก็โกรธง่ายและก็อยากหลายด้วย ทำไมคือคนที่ไม่มีที่พึ่งทางใจอยู่เป็นฆราวาสครอบครัว อายุก็ ๒๐-๓๐ -๔๐ ปี กำลังแรงดีอยู่ พ่อบ้านแม่บ้านทั้งหลายก็พอพูดกันรู้เรื่องกันหน่อยนี่ ๕๐ ปีขึ้นไปแล้ว พูดกันไม่รู้เรื่องกันแล้วเดี๋ยวก็นั่งหันหลังให้กันหรอกแม่บ้านพูดไปพ่อบ้านทนไม่ได้ พ่อบ้านพูดไปแม่บ้านฟังไม่ได้ เลยแยกกันหันหลังให้กันคนนั้นพร้อม *ลูกชายคนนี้ คนนี้พร้อม* ลูกหญิงคนนั้น เลยแตกกันเลย
เรื่องนี้อาตมาเล่าไปหรอกไม่เคยมีครอบครัว ทำไมไม่มีครอบครัว คืออ่านคำว่าครอบครัวมันก็รู้แล้วครอบครัวคืออะไรครอบมันก็คืออย่างนี้ ถ้าเรานั่งอยู่เฉยๆก็เอาอะไรมาครอบลงนี้จะเป็นอย่างไรเรานั่งอยู่ไม่มีอะไรมาครอบมันก็พอทนได้ ถ้าเอาอะไร มาครอบลงก็เรียกว่าครอบแล้วมันเป็นอย่างไร ครอบก็เป็นอย่างนั้น มันมีวงจำกัดแล้ว ผู้ชายก็อยู่ในวงจำกัดผู้หญิงก็อยู่ในวงจำกัดแล้ว อาตมาไปอ่านแล้ว ครอบครัว โอยหนัก ศัพท์ตายนี่คำนี้ไม่ใช่ศัพท์เล่นๆศัพท์ที่ว่า ครอบ นี้ ศัพท์ทุกข์ ไปไม่ได้มันมีจำกัดแล้วแต่ไปอีก ครัว ก็หมายถึงการก่อกวนแล้วทิ่มแทงแล้วโยมผู้หญิงเคยเข้าครัว เคยโขลกพริกคั่วพริกแห้งไหม ไอ จาม ทั้งบ้านเลย ศัพท์ครอบครัวมันวุ่นไม่น่าอยู่หรอก อาตมาอาศัยสองศัพท์นี่แหละจึงบวชไม่สึก
ครอบครัวนี่น่ากลัว ขังไว้จะไปไหนก็ไม่ได้ ลำบากเรื่องลูกบ้าง เรื่องเงินเรื่องทองบ้างสารพัดอย่าง อยู่ในนั้น ไม่รู้จะไปที่ไหน มันผูกไว้แล้ว ลูกผู้หญิงก็มีลูกผู้ชายก็มี มันวุ่ นวายเถียงกันอยู่นั่นแหละจนตายไม่ต้องไปไหนกันละ เจ็บใจขนาดไหนก็ไม่ว่าน้ำตามันไหลออกก็ไหลอยู่นั่นแหละ เออ น้ำตามันไม่หมดนะโยมครอบครัวนี่นะ ถ้าไม่ครอบครัวน้ำตามันหมดเป็นถ้ามีครอบครัวน้ำตามันหมดยาก หมดไม่ได้ โยมเห็นไหม มันบีบออกเหมือนบีบอ้อยตาแห้งๆ ก็บีบออกให้เป็นน้ำไหลออกมา ไม่รู้มันมาจากไหน มันเจ็บใจ แค้นใจ สารพัดอย่างมันทุกข์ เลยรวมทุกข์บีบออกมาเป็นน้ำทุกข์
อันนี้ให้โยมทั้งหลายเข้าใจ ถ้ายังไม่ผ่านมันจะผ่านอยู่ข้างหน้า บางคนอาจจะผ่านมาบ้างแล้วเล็กๆน้อยๆบางคนก็เต็มที่แล้ว "จะอยู่หรือจะไปหนอ" โยมผู้หญิงเคยมาหาหลวงพ่อ "หลวงพ่อแหม ถ้าดิฉันไม่มีบุตร ดิฉันจะไปแล้ว" "เออ อยู่นั่นแหละ เรียนให้จบเสียก่อน"เรียนตรงนั้น อยากจะไปก็อยากจะไปไม่อยากจะอยู่ ถึงขนาดนั้นก็ยังหนีไม่ได้อยู่วัดป่าพงสร้างกุฏิเล็กๆไว้ตั้ง ๗๐-๘๐ หลัง บางทีจะมีพระเณรมาอยู่บรรจุเต็มบางทีก็มีเหลือ๒-๓ หลัง อาตมาถามว่า "กุฏิเรายังเหลื อว่างไหม?" พวกชีบอก "มีบ้าง ๒-๓ หลัง""เออ เก็บเอาไว้เถอะบางทีพ่อบ้านแม่บ้านเขาทะเลา ะกัน เอาไว้ให้เขามานอนสักหน่อย"แน่ะมาแล้วโยมผู้หญิงสะพายของมาแล้ว ถามว่า "โยมมาจากไหน?" "มากราบหลวงพ่อ ดิฉันเบื่อโลก""โอย! อย่าว่าเลย อาตมากลัวเหลือเกิน" พอผู้ชายมาบ้าง ก็เบื่ออีกแล้ว นั่นมาอยู่๒-๓ วันก็หายเบื่อไปแล้ว โยมผู้หญิงมาก็เบื่อ โกหกเจ้าของ โยมผู้ชาย มาก็เบื่อโกหกเจ้าของ ไปนั่งอยู่กุฏิเล็กๆเงียบๆคิดแล้ว "เมื่อไหร่หนอแม่บ้านจะมาเรียกเรากลับ""เมื่อไหร่หนอพ่อบ้านจะมาเรียกเรากลับ" แน่ะไม่รู้อะไร มันเบื่ออะไรกัน มันโกรธแล้วมันก็เบื่อแล้วก็กลับอีกเมื่ออยู่ในบ้านผิดทั้งนั้นน่ะ พ่อบ้านผิดทั้งนั้นแม่บ้านผิดทั้งนั้น มานั่งภาวนาได้๓ วัน "เออ! แม่บ้านเขาถูกเว้นเรามันผิด" "พ่อบ้านเขาถูก เราซิผิด" แน่ะมันจะกลับเปลี่ยนเอาเองของมันอย่างนั้น ก็กลับไปเลยทั้งนั้นแหละ นี้ความจริงมันเป็นอย่างนั้นนะโลกนี้อาตมาจึงไม่วุ่นวายอะไรมันมาก รู้ต้นรู้ปลายมันแล้ว ฉะนั้นจึงมาบวชอยู่อย่างนี้
วันนี้ขอฝากให้เป็นการบ้าน เอาไปทำการบ้าน จะทำไร่ ทำนา ทำสวน ให้เอาคำหลวงพ่อมาพิจารณาว่าเราเกิดมาทำไม เอาย่อๆว่าเกิดมาทำไม มีอะไรเอาไปได้ไหม ถามเรื่อยๆนะ ถ้าใครถามอย่างนี้บ่อยๆมีปัญญานะ ถ้าใครไม่ถามเจ้าของอย่างนี้ โง่ทั้งนั้นแหละเข้าใจไหม บางทีฟังธรรมวันนี้แล้วกลับไปถึงบ้านจะพบเย็นนี้ก็ได้ไม่นานนะมันเกิดขึ้นทุกวัน เราฟังธรรมอยู่มันเงียบบางทีมันรออยู่ที่รถ เมื่อเราขึ้นรถมันก็ขึ้นรถไปด้วยถึงบ้านมันก็แสดงอาการออกมา อ้อ หลวงพ่อท่านสอนไว้จริงของท่านละมังนี่ตาไม่ดีไม่เห็นนะเอาละวันนี้เทศน์มากก็เหนื่อย นั่งมามากก็เหนื่อยสังขารร่างกายนี้

ที่มา http://www.ubu.ac.th/wat/ebooks/ ... the_Heart_Good.html

ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ลงชื่อเข้าใช้ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้