|
"น้ำตาล" ตัวการของความอ้วนที่เป็นศัตรูตัวฉกาจของคุณนี่ล่ะคะ ที่ทำให้รอบเอวของคุณขยายออกแบบขัดใจกับความพยายามลดน้ำหนักเสียจริง โดยมีข้อมูลระบุว่า ได้กำหนดให้ปริมาณน้ำตาลไม่ควรเกินร้อยละ 10 ของปริมาณพลังงานที่ได้รับใน 1 วัน เพื่อสุขภาพที่ดี ใ...น 1 วันเราควรทานน้ำตาลไม่เกิน 4, 6 และ 8 ช้อนชา สำหรับผู้ต้องการพลังงาน 1600, 2000 และ 2400 กิโลแคลอรี (หรือผู้หญิงไม่ควรเกิน 4 ช้อนชา, ผู้ชายไม่ควรเกิน 6-8 ช้อนชา) ซึ่งเท่ากับประมาณร้อยละ 5 โดยเฉลี่ย โดยส่วนที่เหลือได้เผื่อไว้สำหรับน้ำตาลที่ได้รับจากอาหารอื่นซึ่งไม่ทราบปริมาณ
แต่เอ...ดูเหมือนว่าคนไทยจะทานน้ำตาลกันมากถึงวันละ 25 ช้อนชา ซึ่งน้ำตาลเหล่านี้ไม่ใช่ว่าเราตั้งใจจะทานเข้าปากโดยตลอดหรอกนะจ๊ะ แต่เพราะมันซุกซ่อนอยู่ในส่วนผสมอาหารหลายชนิด รวมทั้งที่คาดไม่ถึงอย่าง "เครื่องดื่ม" ที่เราดื่มกันเข้าไปด้วย
สำรวจปริมาณน้ำตาลในเครื่องดื่มชนิดต่าง ๆ
----------------------------------------------
- กาแฟ 3 in 1 1 ซองเล็ก มีน้ำตาลผสมอยู่ 2.7 ช้อนชา
- กาแฟสด 1 แก้ว มีน้ำตาลผสมอยู่ 7 ช้อนชา
- น้ำผักและผลไม้ 1 ขวด (300 มิลลิลิตร) มีน้ำตาลผสมอยู่ 37 กรัม หรือ 7.7 ช้อนชา
- น้ำผลไม้ผสม 1 ขวด (400 มิลลิลิตร) มีน้ำตาลผสมอยู่ 10 ช้อนชา
- น้ำอัดลม 1 กระป๋อง (325 มิลลิลิตร) มีน้ำตาลผสมอยู่ 8 ช้อนชา
- เครื่องดื่มชูกำลัง 1 ขวด (100 มิลลิลิตร) มีน้ำตาลผสมอยู่ 6.25 ช้อนชา
- เครื่องดื่มเสริมหล่อ 1 ขวด (450 มิลลิลิตร) มีน้ำตาลผสมอยู่ 44 กรัม หรือ 11 ช้อนชา
- เครื่องดื่มเพิ่มสวย 1 ขวด (360 มิลลิลิตร) มีน้ำตาลผสมอยู่ 26 กรัม หรือ 6.5 ช้อนชา
- นมเปรี้ยว 1 ขวดเล็ก (80 มิลลิลิตร) มีน้ำตาลผสมอยู่ 3.6 ช้อนชา
- ชาเขียว 1 กล่อง (250 มิลลิลิตร) มีน้ำตาลผสมอยู่ 3.72-7.65 ช้อนชา
- นมรสหวาน 1 กล่อง (250 มิลลิลิตร) มีน้ำตาลผสมอยู่ 1.8-2 ช้อนชา
- นมรสช็อกโกแลต 1 กล่อง (250 มิลลิลิตร) มีน้ำตาลผสมอยู่ 3-4 ช้อนชา
เห็นตัวเลขปริมาณน้ำตาลแบบนี้แล้ว แต่หลายคนอาจยัง (แอบ) สงสัย ว่า เอ...ก็ไม่เห็นฉลากข้างขวดเขียนบอกเลยนี่น่าว่ามี "น้ำตาล" ผสมอยู่มากขนาดนี้ เอ้า...ลองสังเกตดูดี ๆ ก่อนค่ะ ผู้ผลิตเครื่องดื่มส่วนใหญ่เขาจะไม่ใช้คำว่า "น้ำตาล" หรอกนะ แต่จะใช้คำว่า "ซูโครส" หรือ "ฟรุกโตส" ที่ก็คือน้ำตาลอีกชนิดหนึ่งนั่นเอง
โดยเฉพาะ "ฟรุกโตส" ที่เป็นที่นิยมใช้กันมากที่สุด เพราะมีราคาถูก แถมยังให้ความหวานถึงใจ แต่โรคร้ายก็ตามมาถึงที่เช่นกัน ดังที่งานวิจัยในต่างประเทศหลายชิ้นได้ยืนยันว่า น้ำตาลฟรุกโตสมีผลทำให้ความจำสั้น ทำให้การเรียนรู้ต่ำ แถมขัดขวางไม่ให้ร่างกายส่งสัญญาณอิ่มไปยังสมอง ซึ่งก็จะทำให้เรายิ่งทานอาหารมากขึ้นโดยไม่รู้ตัว หรือก็คือทำให้อ้วนขึ้นไงล่ะ
แต่ถ้าใครอดรนทนไม่ไหว ยังไง้...ยังไง ก็จะดื่มเครื่องดื่มหวาน ๆ เย็น ๆ ดับกระหายในช่วงหน้าร้อนแบบนี้ให้ได้แล้วล่ะก็ งั้นลองมาดูว่า แล้วเราจะสามารถเผาผลาญน้ำตาลในเครื่องดื่มที่เราทานเข้าไปด้วยวิธีไหนได้บ้าง
น้ำตาล 2 ช้อนชา เท่ากับการวิ่ง 10 นาที
น้ำตาล 4 ช้อนชา เท่ากับการเล่นบาสเกตบอล 20 นาที
น้ำตาล 6 ช้อนชา เท่ากับการกระโดดเชือก 18 นาที
น้ำตาล 8 ช้อนชา เท่ากับการว่ายน้ำ 32 นาที
(*หมายเหตุ : คำนวณจากผู้มีน้ำหนักตัว 30 กิโลกรัม)
ทีนี้ก็ลองคำนวณดูแล้วกันนะจ๊ะว่า เครื่องดื่มแก้วโปรดของคุณต้องทำกิจกรรมใด นานแค่ไหน ถึงจะเผาผลาญได้หมด เพราะถ้าเผาผลาญไม่หมด รอบเอวของคุณได้ขยายใหญ่แทนแน่ ๆ และที่น่ากลัวก็คือ งานวิจัยของ สสส. ระบุไว้ชัดว่า รอบเอวที่เพิ่มขึ้นทุก ๆ 5 เซนติเมตร คือโอกาสเสี่ยงเป็นเบาหวานเพิ่มขึ้น 3-5 เท่า ถึงจะเป็นพุงของคนผอมก็เป็นอันตรายไม่ต่างจากพุงของคนอ้วนเลยนะ
รู้แบบนี้แล้วก็มาเปลี่ยนพฤติกรรมตัวเองกันดีกว่าค่ะ หากชอบดื่มกาแฟเย็น หรือกาแฟ 3 in 1 ก็เปลี่ยนมาเป็นดื่มกาแฟร้อนแทน ส่วนใครที่คิดว่า ไม่เป็นไร เดี๋ยวไปดื่มน้ำอัดลม 0% แทน อันนี้จะทำให้คุณจะยิ่งอ้วนขึ้นด้วยซ้ำ เนื่องจากความหวานที่ลิ้นจะไปหลอกสมองว่าได้พลังงานแล้วนะ แต่เมื่อไม่มีพลังงาน สมองจะสั่งให้ร่างกายทานอาหารมากขึ้น
สุดท้ายแล้วมาจบที่การเลือกดื่ม "น้ำเปล่า" ที่ไม่มีน้ำตาลเลย จะดีที่สุด นอกจากจะช่วยดับกระหายได้แล้ว ยังให้ประโยชน์ดี ๆ ต่อสุขภาพอีกเพียบเลยค่ะ
¸¸¸.•*´¯`❀¸¸¸.•*❀ —¸¸¸.•*´¯`❀¸¸¸.•*❀ —
ด้วยรักและห่วงใยจาก Good Look Good Health by โค้ชหมู
ขอบคุณเพื่อนๆ ที่ร่วมกันแบ่งปันข้อมูลสุขภาพดีๆ
ให้กับผู้คนทีละคน...ทีละคน... ไปด้วยกันค่ะ
|
|