ตั้งให้เราเป็นเว็บแรกที่คุณเลือก
เก็บเราไว้เป็นเว็บโปรด
สมัครสมาชิก ได้มากกว่าที่คุณคิด
เข้าสู่ระบบ
บ้านหลวงปู่
คศช.
ข่าวสารล่าสุด
ประสบการณ์
โชว์วัตถุมงคล
สอบถาม
นานาสาระ
นครนาคราช
ร่วมประมูล
บูชาวัตถุมงคล
เพื่อน
กระทู้แนะนำ
บุ๊คมาร์ก
ไอเท็ม
เหรียญ
ภารกิจ
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
ดูบริการทั้งหมด
เว็บบอร์ด
BBS
บูชาวัตถุมงคลหลวงปู่ชื่น
ศรีสุทธรรมนาคราช
ร้านจอมพระ
ศูนย์พระเครื่องจอมพระ
ค้นหา
ค้นหา
HOT TAG:
พระศรีราม
ขุนแผนแสนตรีเวทย์
พระเจ้าชัยวรมัน
บอร์ดนี้
บทความ
เนื้อหา
สมาชิก
Baan Jompra
›
นานาสาระ
›
ตำนาน เรื่องเล่า เกร็ดความรู้ เรื่องลี้ลับ
»
พระพุทธบาทสี่รอย
กลับไป
ตั้งกระทู้ใหม่
ดู: 3547
ตอบกลับ: 2
พระพุทธบาทสี่รอย
[คัดลอกลิงก์]
oustayutt
oustayutt
ออฟไลน์
เครดิต
22903
ไปยังโพสต์
1
#
โพสต์ 2013-12-23 12:54
|
ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
|
โพสต์ใหม่ขึ้นก่อน
|
โหมดอ่าน
เนาว์ นรญาณ
นับตั้งแต่มีธาตุมีธรรมบังเกิดขึ้นมา ไม่ว่าจะเป็นในกาลอดีต ปัจจุบัน หรืออนาคตอันมิอาจจะกำหนดขอบเขตที่สิ้นสุดได้ก็ตามที ยอดแห่งเอกอัครมหาบุรุษเพียงหนึ่งเดียว ผู้ถึงพร้อมด้วยคุณธรรมและคุณสมบัติอันเลอเลิศประเสริฐอย่างถึงที่สุดด้วยลักษณาการทั้งปวง ชนิดที่บรรลุถึงขีดขั้นหาที่ติมิได้ หาที่เปรียบมิได้ และหาที่เสมอสองมิได้เท่าที่ประวัติศาสตร์แห่งมวลหมู่มนุษยชาติจะพึงได้พบได้เห็นหรือได้รู้จัก แม้เพียงยลยินเพียงด้วยชื่ออย่างแท้จริงนั้น ย่อมไม่อาจจะที่จะเป็นใดอื่นไปได้อีกแล้ว นอกจากพระบรมศาสดาแห่งบวรพระพุทธศาสนา ผู้มีพระนามอันบังเกิดแต่พระคุณแห่งพระองค์เองทั้งสิ้นว่า “สมเด็จพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า” เป็นแน่นอน.... องค์สมเด็จพระบรมศาสดา ผู้ทรงพระสวัสดิโสภาคย์ทั้งหลายนั้น ทรงเป็นจอมอรหันต์ผู้อนุตรบุคคล คือทรงเป็นบุคคลเอก เป็นหนึ่งไม่มีสอง หาผู้ใดเสมอเหมือนมิได้ เพราะทรงกอรปไปด้วยคุณาธิคุณอันยอดยิ่งกว่าผู้ทรงคุณอื่นๆทั่วไป ด้วยต้องทรงสร้างสมอบรมอธิการบารมีทั้ง 30 ทัศมาอย่างเหลือล้น จนสุดที่จะนับจะประมาณได้ อย่างน้อยที่สุด ก็ต้องยาวนานถึง 20 อสงไขย 100,000 มหากัป สำหรับ “พระปัญญาธิกะพุทธเจ้า”(พระพุทธเจ้าผู้ยิ่งด้วยปัญญา) ส่วน “พระสัทธาธิกะพุทธเจ้า”(พระพุทธเจ้าผู้ยิ่งด้วยศรัทธา) หรือ “พระวิริยาธิกะพุทธเจ้า” (พระพุทธเจ้าผู้ยิ่งด้วยวิริยะความพากเพียร) ก็ยิ่งต้องใช้เวลาสร้างพระบารมีเป็นทบเท่าทวีคูณ ถึง 40 และ 80 อสงไขย กำไร 100,000 มหากัปตามลำดับ จึงจักสามารถตรัสรู้พระปรมาภิเษก สำเร็จยังพระสร้อยศรีสรรเพชญ์พุทธรัตนอนาวรญาณเป็นองค์สมเด็จพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้เป็นครูของทั้งมนุษย์และเทวดาทั้งปวงอย่างสมบูรณ์แบบและสมภาคภูมิอย่างแท้จริงได้ เพราะด้วยเหตุที่การอุบัติบังเกิดขึ้นของที่สุดแห่งอัจฉริยบุคคลอันดับหนึ่งเฉกเช่นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลายนั้น ย่อมจะเป็นสิ่งที่หาได้ยากยิ่ง ด้วยเหตุแห่งเงื่อนไข,จิตใจ,ข้อจำกัดและระยะแห่งกาลที่ยาวนานจนเหลือที่จะนับได้ดังกล่าว จึงมีสรรพชีวิตเพียงไม่กี่ดวงเท่านั้นที่จักสามารถอดทน อดกลั้น ฟันฝ่าต่ออุปสรรค ความยากลำบาก และมหันตทุกข์ในสังสารวัฏต่างๆ สร้างสมไตรทศบารมีทั้ง 30 ประการจนตลอดรอดฝั่ง ถึงขั้นสำเร็จเป็นพระพุทธเจ้าได้ ดังปรากฏหลักฐานในพระไตรปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ ว่า ในตลอดระยะเวลา 4 อสงไขย 100,000 มหากัป ที่ผ่านพ้นมา ได้มีพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้ในโลกเพียง “28” พระองค์เท่านั้น โดยบางกัป ก็มีพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้เพียงพระองค์เดียว บางกัปก็มีพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้เพียง 2 หรือ 3 หรือ 4 พระองค์ และบางพุทธันดร(ช่วงเวลาจากพุทธสมัยของพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งถึงพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่ง)บางคราว ก็ยืดยาวนานถึง 70,000 กัป ถึง อสงไขยกัปก็มี ซึ่งการดังกล่าวย่อมเป็นการยืนยันถึงพระพุทธพจน์หนึ่งให้เป็นที่แจ้งใจทั่วไปเป็นอย่างดีที่สุดว่า “กิจฺโฉ พุทฺธานมุปฺปาโท” หรือ “การบังเกิดขึ้นของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย หาได้ยากยิ่ง” โดยแท้ฯ และด้วยเหตุที่การอุบัติบังเกิดขึ้นของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย หาได้ยากยิ่งเยี่ยงนี้นี่เอง ตลอดระยะเวลา 4 อสงไขย 100,000 มหากัปที่ผ่านมา ตลอดไปจนถึงพระพุทธเจ้าอีก 10 พระองค์ ที่จะมาตรัสรู้ในอนาคตกาลภายภาคเบื้องหน้า ตามที่พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้ในคัมภีร์ “อนาคตวงศ์”ก็ตาม สรรพชีวิตและโลกทั้งสิ้นก็ยังไม่เคยที่จะมีบุญวาสนาสูงสุดที่จะได้ประสพพบกับช่วงเวลาอันประเสริฐสุด ที่เรียกว่า “มหาภัทรกัป” คือกัปอันเจริญ ที่ประดับด้วยการอุบัติบังเกิดขึ้นของพระพุทธเจ้ามากถึง 5 พระองค์ในกัปๆเดียวอย่างที่เราท่านทั้งหลายกำลังดำรงอยู่ในขณะปัจจุบัน ณ.บัดเดี๋ยวนี้เลยจริงๆ
เอโก พุทฺโธ สารกปฺเป มณฺฑกปฺเป ชินา ทุเว
วรกปฺเป ตโย พุทฺธา สารมณฺเฑ จตุโร พุทฺธา
ปญฺจ พุทฺธา ภทฺทกปฺเป ตโต นตฺถาธิกา ชินา
ในสารกัป มีพระพุทธเจ้า 1 พระองค์
ในมัณฑกัป มีพระพุทธเจ้า 2 พระองค์
ในวรกัป มีพระพุทธเจ้า 3 พระองค์
ในสารมัณฑกัป มีพระพุทธเจ้า 4 พระองค์
ในภัทรกัป มีพระพุทธเจ้า 5 พระองค์
พระพุทธเจ้ามากกว่านี้ ไม่มี
ก็หลักฐานหรือพยานทางวัตถุเพียงหนึ่งเดียว ที่เป็นเครื่องแสดงและยืนยันถึงการเสด็จขึ้นมาแล้วแห่งพระพุทธเจ้าถึง 4-5 พระองค์ ของช่วงเวลาแห่ง “มหาภัทรกัป”ที่ชัดเจนและชัดแจ้งที่สุดเท่าที่โลกทั้งสิ้นอาจสามารถพึงพบพึงเห็นและเข้าพิสูจน์ได้ด้วยตาด้วยใจแห่งตนอย่างสิ้นสงสัยสิ้นเชิงนั้น โดยแท้แล้วก็คือ “พระพุทธบาทสี่รอย” อันเป็นรอยพระพุทธบาทแห่งองค์สมเด็จพระโลกนาถ สัมมาสัมพุทธเจ้าถึง 4 พระองค์ ซึ่งปัจจุบัน ประดิษฐานอยู่ที่วัดพระพุทธบาทสี่รอย ต.สะลวง อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่นี่เอง....
สำหรับพระพุทธบาทสี่รอยแห่งนี้ นับเป็นมหาปูชนียสถานพิเศษที่ทรงไว้ซึ่งความสำคัญและความศักดิ์สิทธิ์อย่างยิ่งยวด ด้วยเป็น “บริโภคเจดีย์”ที่เนื่องโดยตรงในองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ได้เสด็จอุบัติขึ้นมาแล้วถึง 4 พระองค์คือ
1. พระกกุสันธพุทธเจ้า
2. พระโกนาคมนพุทธเจ้า
3. พระกัสสปพุทธเจ้า
4. พระโคตมพุทธเจ้า(พระองค์ปัจจุบัน)
โดยรอยพระพุทธบาทของพระพุทธเจ้าทั้ง 4 พระองค์นี้ ได้ปรากฏเป็นรอยลึกลดหลั่นลงไปในแท่งหินใหญ่บนยอดเขาสูงในเขตป่าดงดิบอันลึกล้ำมาแต่บูรพกาล แม้พระไตรปิฎก ก็ยังได้จดจารึกบันทึกพระพุทธบาทสี่รอยแห่งนี้ไว้ในฐานะ 1 ใน 5 รอยพระพุทธบาทที่สำคัญที่สุดมาเนิ่นนานกว่า 20 ศตวรรษ ในนามรอยพระพุทธบาทแห่ง “โยนกปุระ”
หมายเหตุ , รอยพระพุทธบาท 5 แห่งที่ปรากฏในพระไตรปิฎก ประกอบด้วย
1. สุวัณณมาลิก (ลังกา)
2. เขาสัจจพันธ์คีรี (สระบุรี ประเทศไทย)
3. เขาสุมนกูฏ (ลังกา)
4. แม่น้ำนัมมทานที (อินเดียหรือพม่า)
5. โยนกปุระ (ดินแดนทางภาคเหนือของไทย)ที่เคยเป็นอาณาจักรล้านนา ที่นักประวัติศาสตร์ นักโบราณคดีทั่วโลกต่าง
สืบเสาะแสวงหากันมาเนิ่นนานก็ได้ปรากฏหลักฐานทั้งทางฝ่ายวัตถุและบุคคล ดังเช่น คำบอกเล่าของพระราชอุดมมงคล (หลวงพ่ออุตตมะ) วัดวังก์วิเวการาม กาญจนบุรี ก็ได้เคยเล่าให้ผู้เขียน(เนาว์ นรญาณ) ฟังโดยตรงเมื่อประมาณปีพ.ศ. 2538-2539 ว่า “พระพุทธบาทสี่รอยนี้ เราเคยได้ธุดงค์ไปกราบมาแล้ว...”
“สมัยก่อน ตอนที่เรายังธุดงค์อยู่ในเขตภาคเหนือนั้น เราเคยได้ยินเขาเล่าลือกันว่า มีรอยพระพุทธบาทอยู่ที่โยนกนคร(ปุระ) เราก็ธุดงค์ไปหาอยู่ สมัยที่เราไปนั้น เป็นราวพ.ศ. 2490 ถนนหนทางยังไม่มี เราต้องธุดงค์ข้ามเขาไปหลายลูก จึงไปถึง พบเป็น 4 รอยพระบาท...” และที่สำคัญที่สุด ก็คือการที่หลวงพ่ออุตตมะได้กล่าวย้ำอย่างหนักแน่นว่า “พระพุทธบาทสี่รอยแห่งนี้ เป็นรอยพระพุทธบาทที่พระพุทธเจ้าทรงเหยียบไว้เองจริงๆนะ..!!!!!” และ “พระพุทธบาทสี่รอยนี้ ทางเมืองนอก(พม่า)เขาก็รู้ และเสาะหาอยู่เหมือนกัน คิดกันไปว่าน่าจะอยู่ในเขตพม่า แต่จริงๆแล้ว ก็มาอยู่ที่เมืองไทยเรานี่แหละ....”
นอกจากนี้ หลักฐานในทางวัตถุที่ยืนยันว่า รอยพระพุทธบาทแห่ง “โยนกปุระ” แท้จริงแล้วก็คือ “พระพุทธบาทสี่รอย” ก็คือ แผ่นศิลาจารึก ที่ติดอยู่บนพื้นผนังกำแพงมุขหลังพระวิหาร พระนาคปรก วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม กทม. อันสถาปนามาแต่รัชกาลที่ 1 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ โดยในศิลาจารึกนั้น ได้บรรยายถึงรอยพระพุทธบาททั้ง 5 แห่ง โดยเฉพาะรอยพระพุทธบาทที่โยนกปุระนั้น ในศิลาจารึกแผ่นนี้ ได้ขยายความระบุถึงที่ประดิษฐานไว้อย่างชัดเจนยิ่งว่า
“รอยพระพุทธบาท อันพระพุทธเจ้าทรงประดิษฐานไว้บนยอดเขา “รังรุ้ง” แดนโยนกประเทศ คือเมืองเชียงใหม่”
ยิ่งไปกว่านี้ หลักฐานในทางวัตถุที่สำคัญอย่างยิ่งยวดอีกประการก็คือ “คำให้การของขุนหลวงหาวัด” อันว่าด้วยเรื่องราวต่างๆของกรุงศรีอยุธยา ที่พระเจ้ามังระ กษัตริย์พม่าให้อาลักษณ์บันทึกรับสั่งของเจ้าฟ้าอุทมพร(ขุนหลวงหาวัด) ภายหลังจากที่กรุงศรีอยุธยาแตกครั้งที่ 2 เมื่อปีพ.ศ. 2310 ไว้อย่างละเอียด โดยตอนหนึ่งได้กล่าวถึงสมเด็จพระนเรศวรมหาราชได้เสด็จพระราชดำเนินปทรงนมัสการพระพุทธบาทสี่รอย (สมัยโบรารเรียก “พระพุทธบาทรังรุ้ง) ไว้อย่างชัดเจนว่า
“....สมัยสมเด็จพระนเรศวรยกทัพไปรบที่เมืองหาง พระองค์ทรงทราบว่า มีรอยพระพุทธบาทอยู่บนยอดเขา เรียก “เขารังรุ้ง” จึงได้เสด็จขึ้นไปนมัสการ ทรงเปลื้องเครื่องทรง ทั้งสังวาลและภูษา แล้วทรงถวายไว้ในรอยพระบาท และทำสักการบูชาด้วยธง ธูปเทียน ข้าวตอกดอกไม้ มีเครื่องทั้งปวงเป็นอันมาก แล้วจึงทำการพิธีสมโภชอยู่เจ็ดราตรี”
ด้วยเหตุดังพรรณนามานี้เอง “พระพุทธบาทสี่รอย” ที่มีหลายชื่อหลายนาม ไม่ว่าจะเป็น “พระพุทธบาทรังรุ้ง” หรือ “พระพุทธบาทแห่งโยนกปุระ” จึงเป็นรอยพระพุทธบาทรอยแรกที่คนไทยได้เคยค้นพบและกราบนมัสการ สมดังที่สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ พระบิดาแห่งประวัติศาสตร์ไทยได้ทรงรับรองไว้ครั้งหนึ่งว่า
“พระพุทธบาทสี่รอยแห่งนี้ เป็นรอยพระพุทธบาทที่เก่าแก่ที่สุดในประเทศไทยด้วยเหตุนี้ แม้พระเดชพระคุณพระญาณสิทธาจารย์ หรือหลวงปู่สิม พุทฺธาจาโร พระอริยเจ้าผู้ทรงคุณธรรมและญาณสมาบัติชั้นสูงสายพระอาจารย์มั่น ภูริทัตตมหาเถระ แห่งสำนักถ้ำผาปล่อง อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ ก็เคยธุดงค์ไปกราบพระพุทธบาทสี่รอย และนำมาเทศนาบอกเล่ารับรอง ภายหลังจากตรวจการทั้งปวงด้วยญาณวิถีแห่งพระอรหันตเจ้าที่ไม่มีกิเลสาสวะใดมากีดกันปิดกั้นได้แก่บรรดาศิษยานุศิษย์เป็นหลายครั้ง จนพระพุทธบาทสี่รอยแห่งนี้ เป็นที่รู้จักมักคุ้นและแพร่หลายกันโดยทั่วไปในเวลาต่อมาว่า
“ในเขตเชียงใหม่นี้ ยังมีพระบาทสี่รอย อยู่ในเขตอำเภอแม่ริม แต่ว่าลึกเข้าไปในภูเขาหลวงปู่ผู้เทศน์ไปดูมาแล้ว ไปกราบไปไหว้ มันเป็นก้อนหินก้อนใหญ่ เป็นก้อนสี่เหลี่ยมขึ้นไปอยู่ข้างริมแม่น้ำ.....พระพุทธเจ้ากกุสันโธ ได้มาตรัสรู้ในโลก ท่านก็มาเหยียบรอยพระพุทธบาทไว้ในยอดก้อนหินนั้น ยาวขนาด 12 ศอก...ขนาดนั้น.... พระพุทธเจ้ากกุสันโธก็โปรดเวไนยสัตว์ทั้งหลาย นำพระสาวก อุบาสก อุบาสิกาไปสู่นิพพาน
เมื่อหมดศาสนาพระพุทธเจ้ากกุสันโธแล้ว ศาสนาพระพุทธเจ้าโกนาคมโน ก็มาตรัสมาสอนรื้อขนสัตว์ไปอีก ก่อนนิพพาน ท่านก็มาเหยียบไว้ที่พระบาทแม่ริมนี้ เป็นรอยที่สอง (ขนาด) ลดลงมา คือคนสมัยนั้นก็เรียกว่า มันกำลังทดลง ไม่ได้ใหญ่ขึ้น(ตัวเล็กลง)
เมื่อพระพุทธเจ้าโกนาคมโนนิพพานไปพร้อมด้วยสาวกแล้วศาสนธรรมคำสอนท่านหมดไป ก็ มาถึงพระสั มมาสัมพุทธเจ้ากัสสโปมาตรัสรู้ ท่านก็มาเหยียบไว้ ได้สามรอยละ....
เมื่อศาสนาพระพุทธเจ้ากัสสโปหมดไปแล้ว มาถึงศาสนาพระพุทธเจ้าของเราในปัจจุบันนี้ ให้ชื่อว่าพระพุทธเจ้าโคตมโคตร พระพุทธเจ้าโคดมมาตรัสรู้ ก่อนที่ท่านจะนิพพาน ก็มาเหยียบรอยพระบาทไว้ในก้อนหินก้อนเดียวกัน จึงให้ชื่อว่า “พระพุทธบาทสี่รอย”.......
คือในโลกนี้แผ่นดินนี้ ยังเหลืออยู่อีพระพุทธเจ้าองค์หนึ่ง ที่เราทุกคนได้ยินได้ฟังกันมาจนชินหูแล้วก็มี ว่ายังมีพระศรีอาริยเมตไตรโยโพธิสัตว์ จะมาตรัสรู้เป็นองค์สุดท้าย เมื่อตรัสรู้แล้ว โปรดเวไนยสัตว์แล้ว ก็มาเหยียบไว้อีก เหยียบทีนี้น่ะดูเหมือนจะใหญ่ คือว่าเหยียบเต็มเลย ก็คล้ายๆกันกับว่า เหยียบปิดเลย ละลายหินก้อนนั้น เพราะว่าเมื่อหมดศาสนาพระศรีอาริย์แล้ว.....ก็ไม่มีศาสดาใดที่จะมาตรัสรู้อีก เรียกว่า แผ่นดินที่เราเกิดนี้ นับว่าเป็นแผ่นดินที่ร่ำรวยที่สุด ....แผ่นดินนี้เรียกว่า “ภัทรกัป มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาตรัสรู้ได้ห้าพระองค์....”
หรือแม้แต่ หลวงปู่ตื้อ อจลธัมโม พระอริยเจ้าผู้ทรงฤทธิ์อย่างยวดยิ่งแห่งวัดป่าอรัญญวิเวก จ.นครพนม เมื่อครั้งยังเที่ยวธุดงค์อยู่ที่จังหวัดเชียงใหม่ ก็ได้กล่าวรับรองไว้ด้วยเช่นกันว่า “พระพุทธบาทสี่รอยนี้ เป็นสัญลักษณ์แห่งมหาภัทรกัป ที่มีความสำคัญที่สุดในจักรวาล...”
ด้วยเหตุดังกล่าวมาทั้งหมดนี้เอง จึงเป็นที่สมมุตยุติสรุปการทั้งปวงได้อย่างสิ้นสงสัยอย่างสิ้นเชิงแล้วว่า อัน “พระพุทธบาทแห่งโยนกปุระ” หรือ “พระพุทธบาทรังรุ้ง” และหรือ “พระพุทธบาทสี่รอย” ซึ่งประดิษฐานอยู่ ณ ที่วัดพระพุทธบาทสี่รอย ต.สะลวง อ. แม่ริม จ.เชียงใหม่ดังที่พรรณนามานี้ เป็นรอยพระพุทธบาทที่แท้จริง และมีความสำคัญอย่างที่สุด อย่างที่ไม่เคยปรากฏมีมาก่อนตลอดระยะเวลา 4 อสงไขย 100,000 มหากัปถึงเพียงไหน..???
เพราะที่สุด พระคุณเจ้า หลวงปู่สิม พุทฺธาจาโร สำนักสงฆ์ถ้ำผาปล่อง จ.เชียงใหม่ พระผู้ที่พระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต พระบุพพาจารย์ใหญ่ฝ่ายวิปัสสนากรรมฐานแห่งยุคก็ยังได้เคยพยากรณ์ไว้ เมื่อครั้งที่หลวงปู่สิมยังเป็นสามเณรอยู่ว่า “เณรสิมนี้ ยังเป็นดอกบัวที่ยังตูมอยู่ ถ้าเบ่งบานเมื่อได้ จะหอมกว่าหมู่” เมื่อได้เล็งญาณพิจารณาการทั้งสิ้นแล้ว จึงได้กล่าวสรุปปิดท้ายไว้ก่อนละสังขารไม่นานว่า
“พระบาทสี่รอยนี้ เป็นที่พระพุทธเจ้าเสด็จมาเหยียบรอยพระบาทไว้เองจริงๆ....”
“รอยพระบาทที่จังหวัดสระบุรี เป็นรอยพระบาทของพระพุทธเจ้าโคดมเพียงพระองค์เดียว แต่ที่พระบาทสี่รอยนั้น เป็นรอยพระบาทของพระพุทธเจ้าถึง 4 พระองค์ ไหว้พระบาทสี่รอยครั้งหนึ่ง ก็เท่ากับได้ไหว้พระพุทธเจ้ารวดเดียวถึง 4 พระองค์นั่นแหละ....”
และที่สำคัญอย่างยิ่งที่สุดก็คือ
“การที่ได้ไปกราบไปไหว้ไปทำบุญ นั่งสมาธิ สวดมนต์ภาวนาที่พระบาทสี่รอยนี้ จะทำให้ได้บุญเพิ่มมากขึ้นถึง 4 เท่าเลยทีเดียวนะ..!!!!!”
และด้วยอานุภาพแห่ง “อริยวาทะ”แห่งพระอรหันตเจ้าเยี่ยง “หลวงปู่สิม พุทฺธาจาโร” ที่การันตีถึงความ “จริง”และ “แท้”ของ “พระพุทธบาทสี่รอย” ว่า เป็นรอยพระพุทธบาทที่พระพุทธเจ้าถึง 4 พระองค์ได้เสด็จมาทรงประทับรอยพระบาทไว้ด้วยพระองค์เองอย่างแท้จริงดังว่านี้เอง จึงทำให้พุทธศาสนิกชนทั้งหลาย เกิด “อจลศรัทธา” คือความเลื่อมใสศรัทธาในพระพุทธบาทสี่รอยอย่างยิ่งยวดและไม่หวั่นไหว ต่างก็พากันแห่โหมไปกราบไปไหว้ ไปกระทำอภิสักการะบูชาอย่างยิ่งใหญ่และต่อเนื่องมิได้ขาดจนถึงที่ โดยไม่หวั่นต่อความยากลำบากด้วยประการไรๆ จนส่งผลให้วัดพระพุทธบาทสี่รอย จากที่เคยเป็นเพียงวัดโบราณอันรกร้างและชำรุดคร่ำคร่าบนยอดเขาสูงกลางป่าดงดิบอันไกลโพ้น กลับกลายสภาพเป็นพระอารามที่สวยสดงดงามวิจิตรอลังการอย่างน่าอัศจรรย์เป็นที่สุด ปานประหนึ่งดังได้ชลอเอาเทวพิภพมาทบเทียบลงยังพื้นโลกก็มิปาน ดังที่ทุกๆท่านอาจสามารถแจ้งประจักษ์แก่ตาแก่ใจได้ในในปรัตยุบันวารนี้โดยแท้
บุ๊คมาร์ก
0
ตอบกลับ
ใช้ไอเท็ม
รายงาน
Nujeab
Nujeab
ออฟไลน์
เครดิต
27800
2
#
โพสต์ 2013-12-23 14:10
|
ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
นะ โม พุท ธา ยะ
สาธุ สาธุ สาธุ
ตอบกลับ
สนับสนุน
คัดค้าน
ใช้ไอเท็ม
รายงาน
sritoy
sritoy
ออฟไลน์
เครดิต
3631
3
#
โพสต์ 2013-12-23 19:12
|
ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
สักวันคงได้ไปครับสาธุ
ตอบกลับ
สนับสนุน
คัดค้าน
ใช้ไอเท็ม
รายงาน
กลับไป
ตั้งกระทู้ใหม่
โหมดขั้นสูง
B
Color
Image
Link
Quote
Code
Smilies
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง
ลงชื่อเข้าใช้
|
ลงทะเบียน
รายละเอียดเครดิต
ตอบกระทู้
ข้ามไปยังโพสต์ล่าสุด
ตอบกระทู้
ขึ้นไปด้านบน
ไปที่หน้ารายการกระทู้
Share To Facebook
Share To Twitter
Share To Google+
Share To ...