ตั้งให้เราเป็นเว็บแรกที่คุณเลือก เก็บเราไว้เป็นเว็บโปรด
สมัครสมาชิก ได้มากกว่าที่คุณคิด เข้าสู่ระบบ
ดู: 3199
ตอบกลับ: 11
สั่งพิมพ์ ก่อนหน้า ถัดไป

10 สถานที่ควรไปเยือน ก่อนเสื่อมโทรม-หายไปจากโลก

[คัดลอกลิงก์]
10 สถานที่ควรไปเยือน ก่อนเสื่อมโทรม-หายไปจากโลก

                                                                                                                       
                                                                                               
                                                                                               


                                ทีมงาน toptenthailand ขอเสนอ "10 สถานที่ควรไปเยือน ก่อนเสื่อมโทรม-หายไปจากโลก"

                                                                       
                                                ที่มา : kapook.com, tripinsurance.com
                                                                       


2#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-12-14 20:16 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
                        10. ทัชมาฮาล (Taj Mahal)
                                                   


                            ทัชมาฮาล สุสานหินอ่อนซึ่งเป็นอนุสรณ์แห่งความรักที่งดงามมากที่สุดในโลก แห่งประเทศอินเดีย สร้างขึ้นโดยสมเด็จพระจักรพรรดิโมกุลผู้มีรักมั่นคงต่อพระนางมุมตัซ มาฮาล พระมเหสีของพระองค์ ใช้ระยะเวลาในการก่อสร้างนานกว่า 21 ปี

                    

3#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-12-14 20:17 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
                        9. อุทยานแห่งชาติกลาเชียร์ (Glacier National Park)
                                                   


                            อุทยานแห่งชาติกลาเชียร์ ตั้งอยู่ในรัฐมอนทานา สหรัฐอเมริกา ซึ่งเมื่อ 100 ปีก่อน มีการค้นพบธารน้ำแข็งมาก 150 แห่งกระจายอยู่รอบอุทยานแห่งชาติกลาเชียร์ แต่ใน ค.ศ. 2005 ธารน้ำแข็งกลับละลายไปจนเหลือธารน้ำแข็งเพียง 27 แห่งเท่านั้นที่ยังคงเหลืออยู่ ซึ่งคาดว่าสภาวะโลกร้อนอาจจะทำให้ธารน้ำแข็งที่เหลืออยู่ละลายไปจนหมดภายใน 20 ปีนี้ หรือเร็วกว่านั้น

                    

4#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-12-14 20:17 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
                        8. ลุ่มน้ำคองโก (The Congo Basin)
                                                   


                            ลุ่มน้ำคองโก เป็นป่าฝนเขตร้อนซึ่งมีพื้นที่กว่า 10 ล้านเอเคอร์ ใหญ่เป็นอันดับ 2 ถัดจากลุ่มน้ำแอมะซอน ตั้งอยู่ในทวีฟแอฟริกา เป็นพื้นที่ซึ่งได้รับการระบายน้ำจากแม่น้ำคองโกซึ่งอยู่ในตะวันออกกลางของทวีปแอฟริกา และเป็นแหล่งผลิตออกซิเจนของโลกถึง 40% ซึ่งตามข้อมูลจากองค์การสหประชาชาติ ระบุว่า หากไม่มีการจัดการปัญหาที่เกิดขึ้นในพื้นที่นี้อย่างมีประสิทธิภาพมากพอ อาจจะทำให้ พื้นที่ป่าเขตร้อน พืชพรรณธรรมชาติ และสัตว์ป่า กว่า 2 ใน 3 ของลุ่มน้ำคองโก หายไปภายจนหมดภายใน 25 ปี เนื่องจากปัญหา การทำเหมือง การลักลอบตัดไม้ การทำฟาร์ม และการทำปศุสัตว์

                    

5#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-12-14 20:17 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
                        7. มาดากัสการ์ (Madagascar)
                                                   


                            สาธารณรัฐมาดากัสการ์ ตั้งอยู่ในมหาสมุทรอินเดีย เป็นเกาะที่ใหญ่อยู่ในอันดับที่ 4 ของโลก และยังเป็นถิ่นของสายพันธุ์พืชและสัตว์ถึงของโลกถึง 5% โดยที่มากกว่า 80% นั้นเป็นสัตว์หรือพืชเฉพาะถิ่นมาดากัสการ์ โดยสัตว์ที่เป็นเอกลักษณ์ของเกาะแห่งนี้ก็คือ ตัวลีเมอร์ซึ่งอยู่ในตระกูลไพรเมต ตัวฟอสซา นกเฉพาะถิ่น 3 ตระกูล และต้นบาวบับ 6 ชนิด แต่ในทุกวันนี้ สมดุลทางธรรมชาติของมาดากัสการ์ถูกคุกคามอย่างมาก เนื่องจากพื้นที่ป่าถูกทำลายด้วยการตัดไม้และเผาป่า เพื่อนำไปทำเป็นพื้นที่ทางการเกษตร และการรุกล้ำพื้นที่ป่า ทำให้มีการคาดว่าหากไม่มีมาตรการที่จะช่วยรักษาสภาพแวดล้อมของเกาะ จะทำให้พื้นที่ป่าตามธรรมชาติของสาธารณรัฐมาดากัสการ์ หายไปจนหมดภายในเวลา 35 ปี ซึ่งจะส่งผลให้สัตว์ต่าง ๆ ที่อาศัยอยู่ในป่าแห่งนั้นหายไปด้วยเช่นกัน

                    

6#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-12-14 20:17 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
                        6. เทือกเขาแอลป์ (The Alps)
                                                   


                            เทือกเขาแอลป์ เป็นเทือกเขาที่ใหญ่สุดของทวีปยุโรป ซึ่งธารน้ำแข็งกับหิมะของเทือกเขาแอลป์นั้นได้รับผลกระทบจากภาวะโลกร้อนอย่างมาก และที่ผ่านมา จากอุณหภูมิที่เพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวนับตั้งแต่ยุค ค.ศ. 1880 ซึ่งมากกว่าอุณหภูมิเฉลี่ยของโลกนั้น ก็ทำให้เทือกเขาน้ำแข็งแห่งนี้ละลายไปแล้วกว่า 20% และนั่นทำให้มีการคาดการณ์ว่า ภาวะโลกร้อนอาจจะทำให้เทือกเขาแอลป์ละลายหายไปจนหมดภายในปี 2050 หรืออีกไม่ถึง 40 ปีเท่านั้น

                    

7#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-12-14 20:18 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
                        5. ทะเลเดดซี (The Dead Sea)
                                                   


                            ทะเลเดดซี หรือทะเลมรณะ เป็นทะเลที่เค็มที่สุดในโลก ตั้งอยู่ในระหว่างเขตประเทศจอร์แดนและประเทศอิสราเอล โดยรับน้ำที่ไหลมาจากแม่น้ำจอร์แดนเพียงสายเดียวเท่านั้น แต่ในช่วง 40 ปีที่ผ่านมา น้ำในทะเลแห่งนี้ลดระดับลงไปถึง 1 ใน 3 หรือ 13 นิ้วต่อปี อีกทั้งพื้นที่ตั้งของรีสอร์ทริมทะเลรวมถึงอาหารที่อยู่ในพื้นที่ 1.6 กิโลเมตรจากชายฝั่ง ก็ทรุดลงไปถึง 24.3 เมตรแล้ว ทั้งนี้ก็เพราะน้ำจากแม่น้ำจอร์แดน เริ่มจะไหลลงมะยังทะเลเดดซีน้อยลงทุกที ทำให้คาดว่าทะเลเดดซีอาจจะเหือดแห้งไปจนหมดภายใน 50 ปีนี้

                    

8#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-12-14 20:18 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
                        4. เวนิซ (Venice)
                                                   


                            เวนิซ เมืองหลวงของแคว้นเวเนโต แห่งประเทศอิตาลี เป็นเมืองที่ประกอบด้วยหมู่เกาะเล็กๆ หลายเกาะในบริเวณเดียวกัน ซึ่งจากความงดงามและสภาพที่เต็มไปด้วยคลองน้อยใหญ่กระจายอยู่ทั่วเกาะ จนเกาะแห่งนี้เต็มไปด้วยสะพานข้ามคลอง ทำให้เวนิซได้รับการขนานนามว่าเป็นเมืองแห่งสายน้ำ และเมืองแห่งสะพาน โดยมีเส้นทางคมนาคมทางน้ำและการเดินเท้าเท่านั้น แต่บางคนอาจจะไม่ทราบว่าเมืองแห่งสายน้ำที่แสนงดงามแห่งนี้เริ่มที่จะจมลงมานานแล้ว โดยในช่วง 100 ปีที่ผ่านมา เวนิซจมลงไปแล้วถึง 9 นิ้ว และการเพิ่มขึ้นของระดับน้ำทะเลก็ยิ่งทำให้สถานการณ์การจมของเกาะต่าง ๆ ในเวนิชเลวร้ายมากยิ่งขึ้น เมืองเวนิชมีความถี่ของการเกิดอุทกภัยเพิ่มขึ้นในแต่ละปี โดยที่ผ่านมา ใน ค.ศ. 1900 มีความถี่ในการเกิดน้ำท่วมบริเวณ เซนท์มาร์กสแควร์ ไม่ถึง 10 ครั้ง แต่ใน ค.ศ. 1980 กลับเพิ่มขึ้นเป็น 40 ครั้ง และใน ค.ศ. 200 ก็มีความถี่ในการเกิดน้ำท่วมบริเวณดังกล่าวไม่ต่ำกว่า 60 ครั้ง ทั้งนี้ มีการคาดการณ์ว่า เมืองแห่งสายน้ำนี้อาจจะยังคงอยู่เพื่อรอให้นักท่องเที่ยวไปเยือนอีกเพียงแค่ไม่ถึง 70 ปีเท่านั้น

                    

9#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-12-14 20:18 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
                        3. เกรตแบร์ริเออร์รีฟ (Great Barrier Reef)
                                                   


                            เกรตแบร์ริเออร์รีฟ เป็นแนวปะการังนอกชายฝั่งที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก อยู่บริเวณชายฝั่งทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศออสเตรเลีย มีความยาวกว่า 2,000 กิโลเมตร โดยเริ่มตั้งแต่แหลมยอร์ก (Cape York) ของรัฐควีนส์แลนด์ ลงมาถึงบันดะเบอร์ก (Bundaberk) ทางตอนใต้ ครอบคลุมดูแลพื้นที่ว่า 347,800 ตารางกิโลเมตร โดยมีแนวปะการังใหญ่แบ่งออกเป็น 3 ส่วนคือ แนวปะการังเหนือ หมู่เกาะวิตซันเดย์ และแนวปะการังใต้ ซึ่งเกรตแบร์ริเออร์รีฟนี้เป็นแหล่งอาศัยของสิ่งมีชีวิตเพียงอย่างเดียวบนโลกที่สามารถมองเห็นจากอวกาศได้ แต่อย่างไรก็ตาม ด้วยผลจากการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิน้ำในมหาสมุทร มลภาวะทางน้ำ ค่าความเป็นกรดของน้ำ รวมทั้งพายุไซโคลนที่พัดเข้าทำลายแนวหินปะการังอย่างต่อเนื่อง ก่อให้เกิดปะการังฟอกขาวเป็นจำนวนมาก ซึ่งอาจะทำให้ปะการังตายลงและทำลายระบบนิเวศของเกรตแบร์ริเออร์รีฟไป ทั้งนี้ จากปัญหาด้านสภาวะโลกร้อนซึ่ง เดอะ ออสเตรเลียน กรีน เฮ้าส์ มีรายงานว่า ภายในปี 2070 อุณหภูมิจะเพิ่มขึ้นอีก 6 องศาเซลเซียส ทำให้มีการคาดการณ์ว่า 60% ของปะการังทั้งหมดในโลกจะหายไปภายในปี 2030 ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่น่ากังวลว่าสิ่งที่ธรรมชาติสร้างสรรค์มานานกว่า 8,000 ปี อาจจะต้องหายไปภายใน 1 ชั่วชีวิตของเรา และหินปะการังขนาดใหญ่ของเกรตแบร์ริเออร์รีฟนี้ ก็จะถูกทำลายลงจนหมดภายในระยะเวลาเพียงแค่ไม่ถึง 100 ปีเท่านั้น

                    

10#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-12-14 20:18 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
                        2. มัลดีฟส์ (The Maldives)
                                                   


                            มัลดีฟส์ ตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศอินเดียและศรีลังกา เป็นประเทศที่งดงามประกอบด้วยหมู่เกาะปะการังจำนวนมาก ท่ามกลางผืนน้ำอันงดงามของมหาสมุทรอินเดียที่โอบล้อมเกาะไว้ ทำให้นักท่องเที่ยวได้ชื่นชมกับธรรมชาติอันงดงามของหาดทรายริมทะเลและพันธุ์ไม้เขตร้อนของมัลดีฟส์ แต่อย่างไรก็ตาม มัลดีฟส์เป็นประเทศที่มีพื้นที่อยู่ต่ำที่สุดในโลก โดย 80% ของหมู่เกาะทั้ง 1,200 เกาะของมัลดีฟส์ มีความสูงเหนือน้ำทะเลเพียงไม่ถึง 1 เมตรเท่านั้น ซึ่งมีการคาดการณ์ว่า ภายในอีก 100 ปีข้างหน้า มัลดีฟส์ อาจจะจมหายลงไปในมหาสมุทรอินเดียจนไม่สามารถใช้เป็นที่อยู่อาศัยได้อีกต่อไป และจากความกังวลนี้ ทำให้ใน ค.ศ.2008 ประธานาธิบดีของสาธารณรัฐมัลดีฟส์ ได้ประกาศนโยบายที่จะเริ่มซื้อดินแดนจากประเทศอื่น ๆ เช่นอินเดีย เพื่อใช้เป็นบ้านแห่งใหม่ในอนาคตของเหล่าประชาชนที่จะไร้ที่อยู่อาศัย เนื่องจากการเพิ่มขึ้นของระดับน้ำทะเล และการกัดเซาะของชายหาด ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของการเสียพื้นที่ชายหาดถึง 90%

                    

ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ลงชื่อเข้าใช้ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้