ตั้งให้เราเป็นเว็บแรกที่คุณเลือก เก็บเราไว้เป็นเว็บโปรด
สมัครสมาชิก ได้มากกว่าที่คุณคิด เข้าสู่ระบบ
ดู: 7060
ตอบกลับ: 16
สั่งพิมพ์ ก่อนหน้า ถัดไป

หอยสังข์

[คัดลอกลิงก์]
ตำนานหอยสังข์
---สังข์เป็นหอยอีกชนิดหนึ่ง ที่มีความเกี่ยวพันกับขนบธรรมเนียมประเพณีวัฒนธรรมต่าง ๆ ที่เป็นมงคลของไทย ที่เห็นบ่อย ๆ ได้แก่ การรดน้ำสังข์ในงานแต่งงาน หรือในงานพระราชพิธีต่าง ๆ ที่มีการอัญเชิญพระสังข์ พระมหาสังข์องค์ต่าง ๆ เข้าประกอบพิธี เช่น พิธีโสกัณฑ์ พระราชพิธีบรมราชาภิเษก หรือแม้กระทั่งที่ผ่านมา ในงานพิธีฉลองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี ของในหลวงเรา ก็คงจะได้เห็นภาพที่พระราชครูวามเทพมุนี ถวายน้ำพระมหาสังข์ แด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ณ พระที่นั่งอัมรินทรวินิจฉัย ซึ่งพระมหาสังข์เอง ก็จัดเป็นหนึ่งในเครื่องราชูปโภค ซึ่งหมายถึง เครื่องใช้ส่วนพระองค์ของพระมหากษัตริย์ อีกทั้ง ยังใช้เป็นเครื่องประกอบในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ซึ่งประกอบด้วยเครื่องมงคล 8 ประการ เรียกว่า  "อัฐพิธมงคล" อันประกอบด้วย
---1.คทา หรือ ตะบอง
---2.สังข์ทักษิณาวรรต
---3.จักร
---4.ธงสามชาย
---5.อุณหิศ หรือ หญ้าแพรก
---6.โคอศุภราช
---7.หม้อน้ำมนต์
---8.ขอสับช้าง

---แม้แต่รูปปั้นของเทพเจ้าฮินดู ที่ทรงสังข์เป็นเทพศาสตราวุธ ในพระหัตถ์ก็จะทรงสังข์ทักษิณาวรรต หรือในมหากาพย์ต่าง ๆ เช่น มหาภารตยุทธ ก็ได้กล่าวถึงสังข์สำคัญมากมาย ซึ่งเหล่ากษัตริย์มีไว้ประจำองค์ และนำติดตัวไปเป็นเครื่องพิชัยสงคราม ยามที่ออกเล่นศึกชาญณรงค์สงคราม หลายท่านอาจจะสงสัยว่า สังข์ ใช้เป็นอาวุธได้อย่างไร จริง ๆ แล้วมิได้ใช้ ขว้าง ทิ่ม แทง ใส่ศัตรูดอกขอรับ เพียงแต่ใช้เป่า เป็นอาณัติสัญญาณให้กับไพร่พล เวลาออกทำศึกในตอนเช้า และเลิกทัพในตอนเย็น รวมถึงตอนที่เข้าประจัญบาน เพื่อให้เกิดความฮึกเหิม หรือเป็นการประกาศเดชานุภาพ ให้เหล่าทวยเทพและมหาชนได้รับรู้




2#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-12-9 07:01 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
---แม้แต่ในพงศาวดารหลายเรื่อง ก็มีการกล่าวถึงหอยสังข์ เช่น การใช้เปลือกหอยสังข์ มาทำเป็นผังเมืองสำหรับสร้างเมืองหริภุญไชย หรือที่กล่าวไว้ในพระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ในตอนสร้างกรุงศรีอยุธยา ในปี พ.ศ. 1893 พระเจ้าอู่ทอง (สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1) ทรงเห็นว่า ทำเลบริเวณหนองโสน อยู่ในชัยภูมิที่เหมาะสม มีคูคลองล้อมรอบ จึงมีรับสั่งให้ชีพ่อพราหมณ์ ตั้งพิธีกลบบาตสุมเพลิง จากนั้น จึงให้พนักงานขุดดินโดยรอบ เพื่อเตรียมสร้างพระราชวัง และได้พบสังข์ทักษิณาวรรต สีขาวบริสุทธิ์ใต้ต้นหมันหนึ่งขอน
---อ้อ ลืมบอกไปขอรับ คำลักษณะนามที่ใช้เรียก “สังข์” นั้น เขาเรียกกันเป็น “ขอน” เดี๋ยวจะเข้าใจว่าเป็นขอนของต้นหมันไป ทรงถือเป็นศุภนิมิตร ทรงโปรดให้สร้างปราสาทขึ้นเพื่อประดิษฐานสังข์ทักขินาวัฎขอนดังกล่าว ในปัจจุบันจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ยังคงรูปสังข์ทักษิณาวรรต ประดิษฐานอยู่ในพานทองใต้ต้นหมัน เป็นตราประจำจังหวัด นอกจากนี้ ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ก็ปรากฏว่ ามีแขกคนหนึ่งชื่อ นักกุดาสระวะสี ได้นำมหาสังข์ทักษิณาวรรตมาถวายเป็นคนแรก จึงทรงพระกรุณาโปรดตั้งให้เป็นขุนนางมียศเป็นหลวงสนิทภูบาล

---เรื่องราวที่เล่าขานมานี้ ล้วนแต่แสดงให้เห็นว่า สังข์มีความเกี่ยวพันกับคนไทยมานานแล้ว หลายคนอาจจะสงสัยว่า ทำไมต้องใช้สังข์หลั่งน้ำในงานมงคลต่าง ๆ หรือเข้าประกอบในงานมงคลต่าง ๆ นั้น เรื่องนี้มีที่มาขอรับ เรื่องของเรื่องมีอยู่ว่า เมื่อครั้งพระอิศวรสร้างเขาพระสุเมรุแล้ว พระองค์ก็มีประกาศิต ให้พระพรหมธาดา ขึ้นไปอยู่ในพรหมโลก ให้เป็นใหญ่กว่าพรหมทั้งหลาย ในครั้งนั้น บรรดาพรหมที่มีจิตใจริษยาต่างก็ไม่พอใจ ก็เลยจุติลงมาเป็นสังข์อสูร อยู่ใต้เขาพระสุเมรุ ครั้งนั้น พระพรหมธาดาได้นำเอาคัมภีร์มาถวายพระอิศวร เมื่อมาถึงที่อยู่ของสังข์อสูร ก็เกิดอาการร้อนรุ่มอยากสรงน้ำ จึงได้วางคัมภีร์ไว้ริมฝั่งแล้วเสด็จลงน้ำ
---ฝ่ายสังข์อสูร เมื่อเห็นเช่นนั้น จึงได้ให้ผีเสื้อน้ำไปลักเอาคัมภีร์นั้นมา แล้วก็กลืนเข้าไว้ในท้องทั้งหมด ฝ่ายองค์พรหมเมื่อขึ้นมาจากน้ำไม่เห็นคัมภีร์  จึงรีบไปเข้าเฝ้าพระอิศวร ทูลเรื่องที่เกิดขึ้นให้ทรงทราบ เมื่อพระศิวะเจ้า เข้าฌานก็ทราบถึงสาเหตุ จึงได้เชิญพระนารายณ์มา และให้เป็นธุระในการนำเอาพระคัมภีร์กลับมา พระนารายณ์จึงได้แปลงกายเป็นปลากรายทอง นามว่า "มัจฉาวตาร" ไล่ล่าสังหารผีเสื้อน้ำ และเข้าโรมรันกับสังข์อสูรเป็นสามารถ ในที่สุดก็เอาชนะสังข์อสูรได้ แล้วสำแดงองค์ คืนร่างเป็นพระสี่กร ยื่นพระหัตถ์เข้าไปในปากสังข์อสูร เพื่อหยิบเอาพระคัมภีร์
---บางตำนานก็ว่า ทรงแหวกปากของสังข์อสูรออก ทำให้หอยสังข์ในปัจจุบัน มีรอยนิ้วของพระนารายณ์ปรากฏอยู่จนทุกวันนี้ จากนั้น พระสี่กรจึงสาปสังข์อสูรว่า สังข์อสูรเป็นพรหมมาจุติ และกลืนคัมภีร์พระเวทย์เข้าไว้ อีกทั้งยังมีรอยนิ้วพระหัตถ์แห่งพระองค์ปรากฏอยู่ด้วย นับว่าเป็นมงคล ดังนั้น ถ้าผู้ใดจะทำการมงคลพิธีในภายภาคหน้าก็จงเอาสังข์เข้าอยู่ในพิธีนั้น ผู้ใดรดน้ำในอุทรสังข์ ก็ให้เป็นมงคลกันอุบาทว์เสนียดจัญไร หรือเป่าก็ให้เป็นมงคลไปจนสุดเสียงสังข์ ครั้นสาปแล้ว พระนารายณ์ก็นำคัมภีร์ไปถวายพระอิศวร และเสด็จกลับเกษียรสมุทรตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา พราหมณ์จึงถือว่าหอยสังข์ที่ปากมีริ้ว 2-4 ริ้ว อันเกิดจากนิ้วพระหัตถ์ของพระสี่กรปรากฏอยู่นั้นเป็นสังข์สำคัญ
3#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-12-9 07:02 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
---อีกตำนานหนึ่ง ซึ่งมีที่มาจากทางคชศาสตร์ โดยเกี่ยวพันกับเทพเจ้าแห่งช้าง ที่สำคัญสององค์ คือ “พระ พิฆเนศ” และ “พระโกญจนาเนศวร” สำหรับพระพิฆเนศนั้น เชื่อว่าหลายท่านคงรู้จักดี แล้วขออนุญาตไม่เล่าในที่นี้ขอรับ ถ้าอยากทราบประวัติของท่าน สามารถหาอ่านได้ในหนังสือ“อมนุษยนิยาย” ของ ส พลายน้อย ได้ขอรับ แต่เทพอีกองค์คือ พระโกญจนาเนศวร นั้น มีพระนามปรากฏอยู่เฉพาะในตำราคชลักษณ์ ตามตำนานกล่าวว่า ในไตรดายุค พระนารายณ์ ทรงกระทำเทวฤทธิ์ให้เกิดดอกบัวผุดขึ้นจากอุทร ดอกบัวดอกนั้นมีแปดกลีบ มีเกสร 172 เกสร แล้วนำไปถวายพระอิศวร ซึ่งองค์เทวะเจ้า ได้แบ่งเกสรดอกบัวออกเป็นสี่ส่วน หนึ่งส่วนเป็นขององค์ศิวะเจ้าเอง
---หนึ่งส่วนขององค์พรหมา ส่วนหนึ่งเป็นของพระวิษณุ และส่วนที่สี่ให้แก่พระอัคนี เพื่อให้เทวะแต่ลงองค์ ทรงบันดาลให้เกิดช้างสี่ตระกูล คือ อิศวรพงศ์, พรหมพงศ์, วิษณุพงศ์ และอัคนิพงศ์ แล้วจึงสร้างพระเวทสี่ประการ ไว้ให้สำหรับชนทั้งหลาย จะได้ปราบช้างทั้งสี่ตระกูลในโลก พระผู้ทรงจันทเศขร ทรงประสาทพร ให้พระเพลิงกระทำเทวฤทธิ์ให้บังเกิดเปลวเพลิงออกจากช่องพระกรรณทั้งสองและท่ามกลางเปลวเพลิงทางด้านขวา บังเกิดเป็นเทวกุมาร องค์หนึ่ง มีพระพักตร์เป็นช้าง พระกรขวาทรงตรีศูล พระกรซ้ายทรงดอกบัว มีอุรเคนทร์ (พญานาค) เป็นสังวาล นั่งชาณุมณฑล อยู่เบื้องขวาพระผู้เป็นเจ้าทั้งสาม ทรงพระนามว่า “ศิวบุตรพิฆเนศวร” ส่วนเบื้องซ้ายบังเกิดเป็นเทวกุมาร มีพระพักตร์เป็นช้างสามเศียร มีหกพระกร ทรงพระนาม “โกญจนาเนศวร” ทรงบันดาลให้เกิดเป็นช้างเอราวัณ ช้างเผือกผู้มี 33 เศียร
---อีกพระการหนึ่ง บังเกิดช้างคิรีเมขละไตรดายุค ช้างเผือกผู้สามเศียร ช้างทั้งสองถือเป็น “เทพยานฤทธิ์” ซึ่งพระเป็นเจ้าทั้งสามประสาทพรไว้ให้เป็นเทพพาหนะขององค์อมรินทร์ พระกรอีกสองกรของพระโกญจนาเนศวร เกิดเป็นช้างเผือกซึ่งจะได้อุบัติในโลก
4#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-12-9 07:02 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
---สำหรับเป็นพาหนะของกษัตริย์ อันมีอภินิหารอีกข้างละสามตระกูล คือ ช้างเผือกเอก โท ตรี และพระกรเบื้องขวาเป็นพลาย อีกสองพระกรบังเกิดเป็น “สังข์ทักษิณาวรรต” เบื้องขวา “สังข์อุตราวัฏ” เบื้องซ้าย ยืนอยู่เหนือกระพองศรีษะช้างเจ็ดเศียร บรรดาหมอช้างทั้งหลายจึงไหว้บูชา พระศิวบุตรพิฆเนศวรและพระโกญจนาเนศวร  ด้วยเหตุนี้ พระศิวบุตรทั้งสอง ก็ประจำอยู่ในโลกจนสิ้นภัทรกัปหนึ่ง

---ช้างเผือกทั้งสามตระกูล และสังข์สองตระกูล จึงเป็นของมงคล เพราะเกิดจากกลางฝ่ามือของพระโกญจนาเนศวรศิวบุตรนั่นเอง ความเชื่อดังกล่าว ทำให้การขึ้นระวางสมโภชช้างสำคัญในทุกรัชกาล จะทรงหลั่งน้ำพระมหาสังข์ทักขิณาวัฏเหนือศีรษะช้างสำคัญ อันเป็นพิธีใหญ่และสำคัญมาก เทียบเท่าพระเจ้าลูกยาเธอชั้นเจ้าฟ้าเลยนะครับ
---สำรับพระมหาสังข์ที่สำคัญที่ใช้ในงานพระราชพิธีต่าง ๆ ประกอบด้วย พระมหาสังข์สำคัญ ตั้งแต่รัชกาลที่ 1 จนถึงรัชกาลปัจจุบัน มีจำนวน 16 องค์ เป็นพระมหาสังข์ทักษิณาวรรตเจ็ดองค์ ส่วนพระมหาสังข์สำคัญองค์อื่น ๆ เป็นสังข์อุตราวัฏ ได้แก่
---พระมหาสังข์ทักขิณาวัฏ (ทักษิณาวรรต)  พระมหาสังข์องค์นี้ สร้างในสมัยรัชกาลที่ 1 ทรงใช้สำหรับบรรจุน้ำพระพุทธมนต์ สรงมูรธาภิเษกในงานพระราชพิธีปราบดาภิเษกของพระองค์ และเป็นพระราชประเพณีถือปฏิบัติสืบมาว่า ห้ามมิให้สตรีจับต้อง
5#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-12-9 07:03 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
---พระมหาสังข์เพชรใหญ่ (ทักษิณาวรรต)  สร้างในสมัยรัชกาลที่ 1 ทรงสร้างขึ้นไว้ประจำถาดสรงพระพักตร์ และยังใช้สำหรับมูรธาภิเษก ในพระราชพิธีบรมราชาภิเษกรัชกาลต่อ ๆ มา
---พระมหาสังข์เพชรน้อย (ทักษิณาวรรต)  ไม่ปรากฏหลักฐานแน่นอนว่าสร้างในรัชกาลใด สังข์องค์นี้ ใช้ประจำสำหรับองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สรงน้ำพระแก้วมรกต ในพระราชพิธีเปลี่ยนเครื่องทรงประจำฤดูกาล และทรงใช้สังข์นี้ บรรจุน้ำพระพุทธมนต์ จากที่สรงน้ำพระแก้วมรกต หลั่งลงที่พระเศียรของพระองค์เอง แล้วหลั่งพระราชทานพระราชวงศ์ ตั้งแต่ชั้นหม่อมเจ้าขึ้นไป ที่มาเข้าเฝ้าในพระราชพิธี นอกจากนี้ พระสังข์องค์นี้ยังใช้ในพิธีสรงน้ำมูรธาภิเษก ในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก และเป็นพระมหาสังข์ สำหรับถวายสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร และสมเด็จพระเทพพระรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงใช้หลั่งน้ำ พระราชทานในงานพระราชพิธีมงคลต่าง ๆ เช่น อภิเษกสมรส เป็นต้น
6#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-12-9 07:03 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
---พระมหาสังข์ทอง สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 1
---พระมหาสังข์เงิน สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 1
---พระมหาสังข์นาก สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 4
---พระมหาสังข์งา สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 4
---พระมหาสังข์สัมฤทธิ์ ไม่ปรากฏแน่ชัดว่าสร้างขึ้นในรัชสมัยใด
---พระมหาสังข์เดิม (อุตราวัฏ)  เป็นสังข์ของพระบรมราชชนกในรัชกาลที่ 1 ทรงใช้มาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา ในรัชกาลต่อ ๆ มา ทรงใช้สำหรับหลั่งน้ำพระราชทานแก่ราชสกุลชั้นหม่อมราชวงศ์ หม่อมหลวง ราชสกุล และราชนิกุล เช่น งานสมรสพระราชทาน หรือ การเข้าเฝ้าฯ เพื่อกราบถวายบังคมลาไปปฏิบัติราชการ ณ ต่างประเทศ
---สังข์นคร (อุตราวัฏ) เป็นสังข์ที่เจ้าพระยานครศรีธรรมราช เชิญมาทูลเกล้าฯ ถวายพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ในรัชสมัยต่อ ๆ มา ถือเป็นราชประเพณี ใช้สำหรับพระราชทานรดน้ำแก่ข้าราชการทั่วไป  ที่เข้าเฝ้าฯ เช่น กราบถวายบังคมลาไปเป็นเอกอัครราชทูต หรือหลั่งน้ำพระราชทานแก่พระยาแรกนา และเทพีในพระราชพิธีพืชมงคล เป็นต้น
7#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-12-9 07:04 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
---พระสังข์ข้างที่  เป็นสังข์ซึ่งใช้ประจำ ณ พระราชฐานที่ประทับ สำหรับเรียกพระราชทาน ในกรณีเป็นการปกติส่วนพระองค์โดยไม่มีกำหนดเวลาให้เข้าเฝ้าฯ
---สังข์พิธีของหลวง (อุตราวัฏ)  ใช้พระราชพิธีบรมราชาภิเษก
---พระมหาสังข์พิธีพราหมณ์ (ทักษิณาวัตร)  เป็นของหลวงมีมาแต่รัชกาลที่ 1 สำหรับพราหมณ์ใช้ถวายน้ำเทพมนต์แด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในงานพระราชพิธีต่าง ๆ
---พระมหาสังข์ประจำพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร (ทักษิณาวัตร)  สร้างในรัชกาลที่ 4 ทรงถวายเป็นพุทธบูชา สำหรับถวายน้ำสรงพระแก้วมรกต โดยเฉพาะเมื่อเวลาเปลี่ยนเครื่องทรงตามฤดูกาล ประดิษฐานอยู่หน้าบุษบกที่ประดิษฐานพระแก้วมรกต
---พระมหาสังข์ทักษิณาวัตรสำหรับพราหมณ์  สร้างในรัชกาลที่ 1 สำหรับพราหมณ์ ใช้เป่านำเสด็จพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในพระราชพิธีปราบดาภิเษกและพระราชพิธีบรมราชาภิเษก รัชกาลต่อ ๆ มา มี 2 องค์

---จากเทวปกรณัมที่เล่ามา หลายคนอาจจะสงสัย พระสังข์ทักษิณาวรรต หรือถ้าแปลเป็นภาษาง่าย ๆ จะแปลว่าหอยเวียนขวา ส่วนพระสังข์อุตราวัฏ หรือหอยเวียนซ้ายนั้น จะดูอย่างไร ว่าสังข์ขอนไหนที่เป็นเวียนขวา หรือว่าเวียนซ้าย ก่อนอื่นเราคงต้องมาทำความเข้าใจกันก่อนนะขอรับ ว่าการดูว่าเปลือกหอยเปลือกไหน เวียนขวาหรือว่าเวียนซ้ายนั้น มีการมองอยู่สองแบบ แบบหนึ่งเป็นไปตามหลักการทางด้านสังขวิทยา
---ส่วนอีกแบบเป็นไปตามคติของพราหมณ์ เราลองมาเปรียบเทียบทั้งสองแบบดูนะขอรับ เอาแบบทางด้านสังขวิทยาก่อนแล้วกันนะขอรับ ถ้าตอนนี้ ใครมีเปลือกหอยทะเลในมือ (ขอเป็นหอยฝาเดียวนะขอรับ หอยสองฝาเดี๋ยว ไว้มีเวลากระผมค่อยบอกว่าดูยังไงเป็นฝาซ้ายหรือว่าฝาขวา) ทีนี้ลองยกเปลือกหอยขึ้นมาดูนะขอรับ ให้เอาด้านที่เป็นปลายแหลมชี้ขึ้นข้างบน แล้วหันเอาด้านที่เป็นปากเปิด (aperture) หันเข้าหาตัว ถูกต้องแล้วขอรับ
---ทีนี้ให้สังเกตด้านปากเปิด ถ้าปากเปิดอยู่ด้านขวามือเรา แสดงว่า เป็นหอยเวียนขวา (right-hand coiling : Dextral) แต่ถ้าปากเปิดอยู่ด้านซ้ายก็เป็นหอยเวียนซ้าย (left-hand coiling : Sinistral) ขอรับ ซึ่งในหอยทะเล 99.99 % เป็นหอยเวียนขวา และ 0.01 % เป็นหอยเวียนซ้าย เอาล่ะขอรับ ทีนี้เรามาลองดู การขดวนของหอย แบบทางคติพราหมณ์บ้างขอรับ ในทางพราหมณ์นั้น เขาไม่ได้มองการขดวน เหมือนทางวิชาการ แต่ดูจากเวลาใช้สังข์รดน้ำ ลองนึกภาพตอนที่เรารดน้ำสังข์ในงานแต่งงานสิขอรับ เราทำอย่างไร
8#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-12-9 07:04 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
---เราจะหันเอาด้านปลายแหลมเข้าหาตัว แล้วก็เอาด้านที่เป็นช่องที่ใส่น้ำออกจากตัวใช้ไหมขอรับ ในกรณีนี้ ถ้าปากเปิด หรือช่องที่ใช้รดน้ำนั่นแหละขอรับ อยู่ทางด้านซ้ายมือเรา ก็จะเรียกว่า หอยเวียนซ้าย หรือสังข์อุตราวรรต แต่ถ้าปากเปิดอยู่ทางด้านซ้ายมือ ก็จะเป็นหอยเวียนขวา หรือสังข์ทักขิณาวรรต ทีนี้เอาใหม่นะขอรับ เราลองเอาสังข์อุตราวรรต มาดูการขดวนแบบทางวิชาการดู สังเกตเห็นอะไรไหมขอรับ ใช่แล้วขอรับ สังข์อุตราวัฏ ก็จะกลายเป็นหอยเวียนขวาในทางวิชาการ และในทำนองเดียวกัน สังข์ทักขิณาวรรต ก็จะกลายเป็นหอยเวียนซ้าย
---เพราะฉะนั้น อย่าได้สับสนนะขอรับ ให้เข้าใจว่า ถ้าพูดถึงสังข์ หรือพระมหาสังข์ทักษิณาวรรตแล้วล่ะก็ จะหมายถึงหอยที่มีการขดวนของเปลือกเป็นแบบเวียนซ้าย ส่วนสังข์หรือพระสังข์อุตราวัฏ จะหมายถึง หอยที่มีการขดวนของเปลือกเป็นแบบเวียนขวาขอรับ ขออนุญาตนอกเรื่องสักนิดขอรับ ในประเทศอินเดีย เราคงทราบดีอยู่แล้วว่า มีการปกครองแบบแบ่งวรรณะ (varna) ต่าง ๆ สี่วรรณะ เชื่อหรือไม่ขอรับว่า แม้แต่สังข์เอง ก็ยังแบ่งออกเป็นสีในการใช้ตามวรรณะด้วยเช่นกัน
9#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-12-9 07:05 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
---โดยวรรณะพราหมณ์ ใช้สังข์สีขาว วรรณะกษัตริย์ ใช้สังข์สีแดงหรือสีน้ำตาล หรือชมพู วรรณไวศยะ ซึ่งได้แก่ คหบดี หรือพ่อค้า ใช้สังข์สีเหลือง และวรรณะสุดท้ายคือ ศูทร ได้แก่ ชาวไร่ ชาวนา ผู้ใช้แรงงาน ใช้สังข์สีเทา หรือสีดำ ขอรับ จากที่กล่าวมา เรื่องสีของสังข์นี่ หลายท่านอาจจะสงสัยว่า เป็นสีโดยธรรมชาติ หรือว่า เอาสีมาย้อมสังข์กันแน่นอน เมื่อสอบถามท่านผู้รู้ก็ได้คำตอบว่า โดยทั่วไป สังข์ที่ไม่ได้เอาผิวชั้นนอกสุด (periostracum) ออกก็มักจะมีสีเหมือน ๆ กัน คือ สีน้ำตาล แต่ถ้าลอกเอาผิวชั้นนอกนี้ออก ผิวเปลือกด้านในก็จะมีสีหลายสีด้วยกัน (หมายถึงแต่ละขอนนะขอรับ มิได้เป็นสีรวมมิตร) คือ สีขาวบริสุทธิ์ สีชมพู สีส้ม แดง น้ำตาล เหลือง และเทา
---พูดถึงเรื่องสังข์ทักษิณาวรรตแล้ว ในปัจจุบันมีการหลอกขายสังข์ทักษิณาวรรต สำหรับคนที่อยากได้ไว้ครอบครอง สักขอน โดยจะนำเอาหอยสังข์อีกชนิดหนึ่ง ซึ่งมีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Busycon persum มาหลอกขายให้และบอกว่า เป็นสังข์ทักษิณาวรรตของแท้ ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่า ประชากรหอยชนิดนี้ มีการขดวนของเปลือกเป็นแบบเวียนซ้าย (sinistral) หรือแบบทักษิณาวรรตทั้งหมด ทำให้คนที่ไม่รู้ ก็นึกว่าตัวเองได้สังข์ทักษิณาวรรตของแท้ไปครอง
---เรื่องของสังข์ นี่ถ้าจะให้เล่ากันล่ะก็ คงเล่าได้ไม่รู้จบ เอาเป็นว่า เราพอที่จะสรุปได้ว่า วิถีชีวิตคนไทยเรา ผูกพันกับสังข์มานาน และแม้แต่ในปัจจุบันก็ยังมีพิธีกรรมต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับสังข์ ดังเช่น งานพระราชพิธีต่าง ๆ ที่กล่าวถึงในตอนต้น และสำหรับเราเหล่าสามัญชนแล้วล่ะก็ ที่ยังเห็นได้บ่อย ๆ คือ การรดน้ำสังข์ในงานแต่งงานนั่นเอง
---ทั้งนี้ทั้งนั้น ล้วนแต่มาจากคติความเชื่อที่ว่า สังข์เป็นของมงคล และน้ำที่หลั่งจากสังข์ ช่วยปัดเป่าสิ่งที่ไม่ดีออกไปได้ พอพูดถึงเรื่องนี้ คนแก่เองก็อยากทราบเหมือนกันว่า คนกรุงเทพฯ เรานี่จะมีสักกี่คนที่ทราบว่า หอยสังข์อุตราวัฏสัมฤทธิ์ขนาดใหญ่ ใน “สวนรมณีนาถ” ซึ่งสร้างในวโรกาสที่สมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ ทรงเจริญพระชนมายุครบ 60 พรรษานั้น ภายในสังข์นั้นบรรจุแผ่นยันต์มหาโสฬสมงคล และองค์สังข์จริง ซึ่งได้รับพระราชทานจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ประดิษฐานไว้ในสังข์สำริด ทำให้น้ำพุที่ไหลผ่านกลายเป็นน้ำศักดิ์สิทธิ์ไปด้วย.

ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ลงชื่อเข้าใช้ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้