ตั้งให้เราเป็นเว็บแรกที่คุณเลือก เก็บเราไว้เป็นเว็บโปรด
สมัครสมาชิก ได้มากกว่าที่คุณคิด เข้าสู่ระบบ
ดู: 4627
ตอบกลับ: 4
สั่งพิมพ์ ก่อนหน้า ถัดไป

ไสยเวทย์กับอาจารย์ฆราวาส

[คัดลอกลิงก์]
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย oustayutt เมื่อ 2013-11-25 15:36

ประดับความรู้นะครับ^^


นายแพทย์สำนวน บัวพิมพ์
เป็นหมอใหญ่ที่จบจากคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย นอกจากจะมีความชำนาญในวิชาชีพของท่านคือ การแพทย์รักษาผู้ป่วยแล้ว คุณหมอสำนวนยังเป็น "นักไวโอลิน" มือหนึ่งของประเทศไทยจึงได้รับการขอให้เป็นอาจารย์พิเศษสอนการสีไวโอลินด้วยเทคนิคระดับสูงให้กับกองดุริยางค์ทหารบก และความสามารถของท่านก็ลือลั่นขจรไปทั่วโลก จนที่สุดก็ได้รับเชิญไปแสดงการเดี่ยวไวโอลินถึงประเทศสหรัฐอเมริกา ประเทศสวีเดน ประเทศเดนมาร์ก เป็นต้น

     และอาจเพราะความสามารถรอบตัวจนน่าริษยาเช่นนี้เอง จึงเป็นเหตุให้คุณหมอสำนวนได้พบกับ "ศาสตร์" ที่ท่านไม่เคยได้สนใจ  ไม่เคยร่ำเรียนมา  และที่สำคัญคือ ไม่เคยคิดว่าในชีวิตของท่านต้องมาโดนเข้ากับตัวเองอย่างน่าสยองใจที่สุด

     ในปี พ.ศ. 2520  คุณหมอสำนวนเกิดมีอาการมือซ้ายชาและเกร็งแข็งขึ้นมาอย่างปัจจุบันทันด่วน  ทำให้ท่านต้องหยุดเล่นไวโอลิน   เพราะมือซ้ายต้องเป็นมือที่ใช้กดตัวโน้ต  ท่านเพียรพยายามรักษาโดยการให้แพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางตรวจรักษา  แต่ทุก ๆ  แพทย์ก็ไม่สามารถค้นหาสมุฏฐานของโรคได้ว่าเกิดจากอะไร ?  เหตุใดมือซ้ายของคุณหมอสำนวนจึงเกร็งอยู่ตลอดเวลา  เมื่อไม่อาจรักษาได้ก็เท่ากับว่าท่านกลายเป็น  “ผู้พิการ”ไปโดยปริยาย

     เหตุนี้ทำให้ท่านเป็นทุกข์ใจอย่างยิ่ง  แม้จะดิ้นรนหาทางรักษาด้วยวิทยาการสมัยใหม่เพียงใดก็ไม่ทำให้เกิดผลดีขึ้นมาให้เป็นที่พอใจเลยแม้สักนิดเดียว

     จนวันหนึ่ง  มีผู้รู้จักนับถือคนหนึ่งแนะนำคุณหมอสำนวนทำในสิ่งที่ท่านไม่เคยเชื่อถือมาตลอด  นั่นคือขอให้ลองไปรักษาในทาง  “ไสยศาสตร์”ดูบ้าง  โดยให้เหตุผลว่าเมื่อรักษาแบบแผนปัจจุบันวิทยาการสมัยใหม่มามากแล้วยังไม่ดี  ก็น่าจะทดลองในทางไสยศาสตร์ดูบ้าง  เพราะท่านผู้นี้รู้จักกับอาจารย์ผู้เชี่ยวชาญในทางไสยขาวรับรักษาคนป่วยที่ถูกของต้องมนต์หายขาดมามากต่อมากรายแล้ว  อาจารย์ท่านนี้มีชื่อว่า...

“อาจารย์โสมทัต  เขมจารี”

แม้คุณหมอสำนวนจะไม่มีความเชื่อถือในเรื่องไสยศาสตร์มนต์ดำเลยแม้นักน้อยหนึ่งในหัวใจ  แต่ด้วยความที่จนตรอกหาทางออกไม่ได้แล้ว  กอปรกับผู้แนะนำก็เป็นคนที่มีคุณธรรมน้ำใจนับหน้าถือตากันอยู่แล้ว  สิ่งที่พูดมาจึงมีน้ำหนักน่าเชื่อถือ  คุณหมอสำนวนจึงตกลงเดินทางไปพบอาจารย์โสมทัต  เขมจารี  ที่สำนักของท่านย่านสวนพลู

     วันศุกร์ที่  23  พฤษภาคม พ.ศ. 2523  คุณหมอสำนวนและคุณอุบล  บัวพิมพ์ ภรรยาคู่ทุกข์คู่ยากรวมทั้งท่านผู้แนะนำให้ไปหาอาจารย์โสมทัตได้พร้อมใจกันเดินทางไปที่สำนักของอาจารย์  เมื่อพบกันและแนะนำทักทายเรียบร้อยแล้ว  อาจารย์โสมทัตก็ได้ทำการตรวจดูมือซ้ายของคุณหมอสำนวนด้วยพิธีกรรมเฉพาะของท่าน  เมื่อพิจารณาอย่างละเอียดแล้วท่านก็บอกกับคุณหมอสำนวนว่า  สิ่งที่เป็นสาเหตุทำให้มือของท่านมีอาการเช่นนี้ก็คือ  “คุณไสย”ส่วนจะเป็นการกระทำใส่คุณหมอสำนวนโดยตรงหรือคุณหมอถูกของแบบ  “ลมเพลมพัด”นั้นไม่อาจบอกได้

อาจารย์โสมทัตบอกว่าจะรักษาให้ด้วยการเรียก  “ของ”ที่แฝงเร้นอยู่ในร่างกายออกมา  จากนั้นท่านก็ขอตัวไปทำน้ำมนต์  เมื่อเรียบร้อยก็เรียกให้คุณหมอสำนวนมาอาบน้ำมนต์  ขณะที่อาบน้ำมนต์นั้นอาจารย์โสมทัตได้ร่ายพระเวทย์อย่างต่อเนื่องตลอดเวลา

     ไม่นานนักสิ่งอัศจรรย์ก็เกิดขึ้น  เมื่อผิวเนื้อตรงหัวไหล่ด้านซ้ายของคุณหมอสำนวนค่อย ๆ ปูดนูนขึ้น...นูนขึ้น...  แล้วตะปูตัวหนึ่งก็ผุดทะลุขึ้นมาจากผิวหนังอย่างไม่น่าเชื่อ  อาจารย์โสมทัตหันมาบอกกับคุณอุบลผู้เป็นภรรยาว่า  ให้ใช้คีมคีบที่ตะปูแล้วดึงออกมาตรง ๆ  ครั้นคุณอุบลออกแรงฉุดดึงตะปูตัวนั้นออกมาได้หมดดอก  ก็แลเห็นชัดว่าเป็นตะปูเก่ายาวประมาณ  2  นิ้ว  สนิมจับเกรอะกรังไปทั้งดอก  ซึ่งความยาวของตะปูตัวดังกล่าวเป็นที่รู้กันว่ามันคือขนาดที่ใช้ตอกฝาโลงศพ !  

คุณหมอสำนวนกับภรรยาถึงกับตื่นตะลึง  ไม่อยากเชื่อสายตาตัวเองว่าในร่างกายตนสามารถมีตะปูยาวขนาดนั้นเข้าไปฝังอยู่ได้โดยที่ตัวเองไม่ได้ทำ  ไม่รู้ไม่เห็นว่าเข้าไปตอนไหนอย่างไร  และไม่รู้สึกเจ็บปวดเลย  ขณะที่กำลังตื่นเต้นตื่นตาอยู่นั้น  อาจารย์โสมทัตก็กล่าวขึ้นว่าในตัวของคุณหมอสำนวนยังคงมี  “ของ”ตกค้างอยู่อีก  วันพรุ่งนี้ให้มาใหม่จะทำการเรียก  “ของ” ที่เหลือออกมาให้หมดจะได้หายขาด  คุณหมอและคณะก็รู้สึกปีติยินดียิ่ง  นัดแนะกันแล้วก็กราบลาอาจารย์กลับบ้าน

     วันรุ่งขึ้น  เมื่อคุณหมอสำนวนจะเดินทางไปตามนัดนั้น  บังเอิญคุณประวัติ  โชติกำจร เพื่อนผู้คุ้นเคยกับคุณหมอสำนวนได้ทราบว่าคุณหมอจะเดินทางไปพบอาจารย์โสมทัตเพื่อถอนของ  ก็เลยขอติดตามไปชมด้วยคนจากนั้นก็ไปชวนคุณท.เลียงพิบูลย์ให้ไปดูเหตุการณ์ด้วยกัน  ซึ่งคุณท.เลียงพิบูลย์ ก็ยินดีไปด้วย

     เมื่อไปถึงสำนักของอาจารย์โสมทัต  ท่านก็ได้ทำน้ำมนต์อาบให้คุณหมอสำนวนเหมือนเช่นเคย  ไม่นานนักก็มีตะปูผุดขึ้นมาที่ไหล่ขวาของคุณหมอ  อาจารย์โสมทัตได้บอกให้คุณท.เลียงพิบูลย์ซึ่งอยู่ใกล้ ๆ ให้ช่วยถอนตะปูตัวนั้นออกมา  คุณท.เลียงพิบูลย์ ก็รับคำทันทีแล้วตรงเข้าไปใช้มือจับตะปูอย่างแน่นหนามั่นคงแล้วออกแรงดึงเต็มที่ด้วยคิดว่าตะปูคงหลุดออกมาได้โดยง่ายเพราะอยู่กับเนื้อกับหนัง  แต่ที่ไหนได้  ตะปูตัวนั้นกลับติดแน่นราวกับตอกยึดไว้กับไม้กระดาน  แม้คุณท.เลียงพิบูลย์จะออกแรงดึงสักเท่าไรก็ไม่ขยับเขยื้อนจนที่สุดตัวผู้ดึงเองก็ซวนเซจนแทบหกล้ม  

     ระหว่างที่ดึงอยู่นั้นคุณหมอสำนวนก็เจ็บปวดจนถึงกับร้องโอดโอย  แต่อาจารย์โสมทัตก็บอกกับคุณท.เลียงพิบูลย์ว่าไม่ต้องยั้งมือ  พยายามดึงตะปูออกมาให้ได้  ซึ่งคุณท.เลียงพิบูลย์ก็ออกแรงเต็มเหนี่ยวจนกระทั่งหัวตะปูเก่าสนิมกรังนั้นหักคามือ

     เมื่อหัวตะปูขาดเหลือแต่ตัวลุ่น ๆ  เจ้าตะปูตัวร้ายก็ทำอาการดุจมีชีวิต  ด้วยการทำท่าจะมุดกลับเข้าไปในร่างของคุณหมอสำนวน  อาจารย์โสมทัตจึงเร่งร่ายพระเวทย์ยับยั้งมิให้ตะปูหลบหายเข้าไปได้  ถึงตอนนี้คุณท.เลียงพิบูลย์ได้ร้องเรียกให้ท่านอธิบดีซึ่งยืนอยู่ใกล้ที่สุดให้ช่วยดึงตะปูตัวนั้นแทนท่านที  ท่านอธิบดีก็ตรงเข้าไปดึงตะปูหัวขาดสุดแรงเกิด  และในที่สุดมันก็หมดฤทธิ์ยอมหลุดออกมาพ้นหนังของคุณหมอสำนวน   พอหันไปดูตำแหน่งที่มันหลุดออกมา  ก็พบว่ามีแผลเล็ก ๆ และมีเลือดไหลออกมานิดหน่อย

     โดยเฉพาะตะปูตัวสุดท้ายนั้น  ได้ผุดขึ้นมาที่กลางศีรษะของคุณหมอและได้ถูกดึงออกโดยมือของคุณอุบล  ภรรยาของคุณหมอสำนวนเอง  ทุกคนถึงกับตะลึงจังงังว่าตะปูยาว  2  นิ้วแถมยังมีสนิมจับเขรอะ  เข้าไปฝังอยู่ในกะโหลกศีรษะ  และแทรกอยู่ในเนื้อสมองได้อย่างไรโดยที่เจ้าของร่างกายไม่รู้สึกเจ็บปวด  ไม่รู้สึกตัวว่ามีสิ่งแปลกปลอมอยู่ในร่างกาย  และที่สำคัญคือไม่เกิดอันตรายจนถึงแก่ชีวิตไปในทันที

นับเป็นเรื่องที่น่าอัศจรรย์มากที่สุด

     ในวันนั้น  อาจารย์โสมทัตได้ทำการเรียก  “ของ”ออกจากร่างกายของคุณหมอสำนวน  บัวพิมพ์ จนหมด  และในทันทีที่ของชิ้นสุดท้ายหลุดออกมา  มือซ้ายของคุณหมอสำนวนที่ใช้การไม่ได้มาตลอด  3  ปี ก็พลันเกิดอาการเบาสบายหายขาดเป็นปลิดทิ้ง  สามารถยกแขนเหยียดแขนและหยิบจับสิ่งของต่าง ๆ ได้เป็นปกติ  ทำให้คุณหมอดีใจจนน้ำตาคลอเบ้า  เพราะตลอด  3  ปีที่ผ่านมาต้องทนทุกข์ทรมานเหมือนคนเป็นอัมพฤกษ์  จะทำกิจอันใดก็ไม่ได้  รวมถึงงานอดิเรกที่โปรดปรานคือการเล่นดนตรีสีไวโอลิน

     แม้คุณหมอสำนวนและคณะจะพยายามซักถามถึงพิธีการทำของที่คนปล่อยมาใส่ตน  ถามถึงคนที่มุ่งร้ายปล่อยของมา  อาจารย์โสมทัตก็ไม่ยอมปริปากบอกอะไร  นอกจากพูดว่า  “รู้ไปก็ไม่มีประโยชน์”

แต่นั้นมาคุณหมอสำนวน และคุณอุบล  บัวพิมพ์  ก็ให้ความเชื่อถือในเรื่องของ “ศาสตร์”ที่ท่านไม่ได้เรียนและเคยดูแคลนมาตลอด  กับทั้งให้ความเคารพในตัวอาจารย์โสมทัต  เขมจารี ผู้ให้ชีวิตใหม่เป็นอย่างยิ่งนับแต่นั้นมา

http://www.navaraht.com/forum/forum15/topic79.html.

  เมื่อก่อนเคยคิดว่าศาสตร์พวกนี้จะค่อยๆจางหายไปจากสังคม หาคนเรียนคนต่อได้ยาก เพราะสังคมยุคใหม่คนไม่เชื่อ และเน้นวัตถุมากขึ้นเรื่อยๆ แต่กลับตรงข้าม เพราะคนในยุคปัจจุบันดิ้นรนปากกัดตีนถีบมากขึ้น สภาวะทางจิตย่ำแย่ คำกล่าวที่ว่า  ไม่ได้ด้วยเลห์ ก้เอาด้วยกล ไม่ได้ด้วยกลก็เอาด้วยมนต์คาถา ยังคงใช่ได้กับโลกในยุคปัจจุบัน ตราบใดที่จิตยังไม่พ้นจากโลกียวิสัย ผมเชื่อว่าสิ่งเหล่านี้ก็ยังคงอยู่ต่อไป เรียนผูกก็ต้องเรียนแก้ ตราบใดมีคนเรียนกะทำ ก็ต้องมีคนแก้เสมอ  
ขอบคุณสำหรับเรื่องราวดีๆครับ
ขอบคุณคร้าบ
เยี่ยมๆๆๆๆๆ
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ลงชื่อเข้าใช้ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้