ตั้งให้เราเป็นเว็บแรกที่คุณเลือก เก็บเราไว้เป็นเว็บโปรด
สมัครสมาชิก ได้มากกว่าที่คุณคิด เข้าสู่ระบบ
ดู: 8183
ตอบกลับ: 11
สั่งพิมพ์ ก่อนหน้า ถัดไป

หลวงปู่สุวัจน์ สุวโจ บรรลุธรรมด้วยอิริยาบทเดิน

[คัดลอกลิงก์]
หลุดพ้นด้วยอิริยาบถเดิน


เพราะมันเป็นเรื่องของธรรมกับจิตที่มันจะตัดสินชี้บอก แต่สุดท้ายมันเสร็จกิจหมดแล้ว มันไม่ต้องทำ ไม่ต้องใช้เครื่องมือแล้วมันประหารเลยทีนี้ แม้แต่จิตมันก็ประหาร เพราะจิตมันใช้สำหรับคิดนึก มันไม่ต้องใช้อะไรแล้ว มันก็ไม่จำเป็นต้องมี ผมเองสังเกตดูแล้วคล้ายว่า “เอาให้พ้นทุกข์อย่างเดียว ไม่มีอะไรมากที่เราทำมา” เพราะฉะนั้นสามัญผลพิเศษพลังอย่างนั้นคงไม่มีอะไร อิทธิฤทธิ์อะไร มีฤทธิ์เดชอะไร มีอานุภาพอะไร อยู่เงียบๆ ไป แล้วแต่มันจะเกิด เหมือนกับครูบาอาจารย์บางองค์ ท่านไม่พูด ไม่สอน อยู่อย่างไรก็ได้ แล้วท่านก็มรณภาพไป มีหลายองค์ส่วนมากเป็นอย่างนี้


เพราะฉะนั้นพวกเราทั้งหลาย ถ้าหากว่าพอจะมีบุญวาสนามีศรัทธาอยู่กับจิตเป็นกองทุนแล้ว ก็พยายามสร้างศรัทธาพร้อมกับวิริยะ ความพากเพียร สติปัญญาขึ้นมา คู่นี้แหละที่ปฏิบัติ เราจะอยู่ที่ไหนก็ตาม สติปัญญาขึ้นมา ธรรมะเท่านี้แหละ พลังนี้แหละเป็นตัวสำคัญ มันรวมในมรรค มันอยู่ด้วยกัน จะว่ามรรคก็ได้ จะว่าพลังก็ได้ ธรรมะที่เด่นๆ ที่จะเอาชนะกิเลสได้นี่ ศรัทธา วิริยะ ตลอดทั้งสติ สมาธิ ปัญญานี่ มันตัวธรรมที่สำคัญมาก ไม่ต้องเอาอันอื่น เวลาสงบก็สงบ ถ้าต้องการสบายก็พิจารณา ทั้งกลางวันกลางคืน ยืน เดิน นั่ง นอน บางครั้งกำลังฉันนี่ มันไม่ได้อยู่ในฉันแล้ว มันไปอยู่ในธรรมะส่วนใหญ่ ทำข้อวัตรปฏิบัติต่างๆ ยิ่งปัดกวาดนี้ มันก็เกิดธรรมะสลดสังเวช หรือข้อวัตรต่างๆ นี้ มันเกิดขึ้นประจำ ถ้าเราชอบทำแล้ว จิตมันตั้งชอบแล้ว มันก็น้อมไปทางเรื่องที่ชอบไปทั้งนั้น เพราะฉะนั้นคราวนี้ที่มันไปรู้ ไปรู้อยู่โน้น จึงได้เป็นพยานยืนยัน อยู่ที่ไหนก็ทำได้ ไม่สงสัย ขอให้จิตเราอย่างเดียวเท่านั้นทีนี้พอตอนที่จิตมันจถอน ก็ไม่ใช่นอน ไม่ใช่นั่ง กำลังเดินจะถึงกุฏิ คือจุดปัญญามันจะพอของมัน พอมันปรากฏของมัน


มันอยู่ตรงไหนก็ได้ กลางวันก็ได้ กลางคืนก็ได้ แต่พลังในส่วนนั้นที่มันปรากฏเรื่อยๆ มา มันก็มีอยู่เหมือนกัน แต่เราก็ไม่ได้จดจำไว้ ตั้งแต่เริ่มปฏิบัติก็มีอยู่เหมือนกันทีนี้กิเลสที่มันต่อสู้มันก็มีไม่ย่อยเหมือนกัน เหมือนคู่แข่งกันธาตุธรรม เพราะฉะนั้นคราวนี้จึงได้เห็นว่า เมื่อกิเลสดับแล้ว ธรรมะก็ดับไปด้วยกัน เครื่องมือก็ดับ มันดับคู่กัน มรรคก็ทำลายด้วยกัน สมุทัย ทุกข์ นิโรธ มันดับไปด้วยกัน เพราะมันหมดกิจแล้วนี่ ไม่ต้องใช้แล้วนี่ มันปรากฏไปอย่างนั้นแหละ จึงว่าแม้แต่มรรคแม้แต่จิต มันก็ไม่ได้ใช้แล้วนี่ มันไม่เคยปรากฏอย่างนี้มาก่อน


แต่มันปรากฏออกมาอย่างนี้ก็ไม่ทราบว่าจะว่ายังไง เหมือนกับไม่ใช่เถียงครูบาอาจารย์ แต่พูดตามที่มันปรากฏมาว่านี้แหละ เราก็เชื่อว่า “มันเป็นด้วยที่สร้างบารมีมา แต่ก่อน ก่อนมันจะขาด” ตอนนี้ไม่ว่าพระพุทธเจ้า พระอริยเจ้า ก่อนจะตรัสรู้ ที่เต็มเปี่ยมบริบูรณ์มากน้อยเท่าไหร่ก็ตรงนี้แหละ แต่ถึงเวลาประหารไปแล้วมันไม่มีสีแสง ไม่มีอะไรกว่านั้น เป็นพระพุทธเจ้านั้น เป็นสาวกนั้นเป็นอะไร ไม่มีแล้ว มันเป็นธาตุธรรม ธรรมฐิติ เพราะมันไม่มีแสงสีที่กำหนดที่อะไร แต่มันมีอยู่ มันไม่ปฏิเสธ มันมีอันเดียว ไม่ทราบว่าจะเอาอันอื่นมาเทียบไม่ได้ ไม่มีอะไรที่จะเปรียบ ไม่มีอะไรจะเทียบ ก็ไม่มีอะไรที่จะบัญญัติด้วย ไม่ใช่ว่าบัญญัติ…..


ครูบาอาจารย์ที่หลุดพ้นแล้ว ที่ครูบาอาจารย์ผู้ปฏิบัติดี ท่านได้ฉันดี นอนดี อยู่ดี อันนี้มันเป็นเรื่องเปลือก ไม่ใช่เรื่องแก่น ไม่ใช่สิ่งที่เราจะต้องสนใจ สนใจแต่ทำความเพียรทั้งกลางวันกลางคืนเฉพาะในจิตในใจโดยเฉพาะมันไม่ช่มากนะอันเรื่องที่จะพ้นทุกข์นี่ ดูเหมือนมันเฉพาะๆ พอเรารู้ตามพระองค์แล้ว ไม่ใช่ว่าเราจะต้องไปเห็นตาม รู้ตาม กำหนดตาม แล้วก็ดับไปตาม ปรากฏในจิตในใจที่มันมีธรรมะอยู่ในตัวของมันเอง มันชัดอยู่ในตัวของมันเอง เพราะฉะนั้นบางองค์ที่ท่านรู้ ท่านรู้จริง แต่บางองค์ที่ท่านไม่บัญญัติมาพูด ไม่ได้ตั้งใจมาพูด มันรู้เลย อย่างหลวงปู่ขาว หลวงปู่แหวน ครูบาอาจารย์ที่ท่านไม่พูด นึกว่าท่าน “ไม่พ้นไม่ใช่นะ” ไม่ใช่ว่าท่านไม่ได้อะไร บางคนไปเห็นนึกว่าท่านไม่ได้เทศน์ไม่สอน นึกว่าท่านไม่เก่งเหมือนตัวเอง บาปกินไม่รู้ตัว


ไม่มีอะไรจะพูดแล้วเวลานี้ เพราะมันไม่ได้อะไรเลย เพราะมันปรากฏแต่เท่านั้นเพราะมันทำลาย ไม่ใช่เรื่องได้นี่นะที่ปรากฏ นี่มันเรื่องทำลายหมด ไม่มีอะไรที่จะเหลือเลย จะเอาอะไรมาพูด ถ้าพูด ก็พูดแต่ของเก่าที่เคยจำมาแล้วเท่านั้นแหละถ้าพูดขึ้นมาก็ของเก่า
ที่นี้ถ้าหมดขันธ์อันนี้แล้ว ก็ไม่มีของเก่าที่เหลืออยู่ ไม่มีอะไรอีก อายตนะที่เกี่ยวเนื่องด้วยธาตุนี่มันก็มีอยู่ ก็อาจจะไม่ได้ทำความเพียรต่อเนื่องกันถึงตอนนี้หรอก

ทางจงกรมกับกุฏิก็อยู่ใกล้กันทำได้ตลอด อากาศก็ดี มันก็สัปปายะอันหนึ่ง แต่สำคัญว่าจิตของเราอย่าไปหลงความเจริญของบ้านเมือง ถ้าเราไปเอานั้นมานี้แล้วเสร็จ ธรรมะหายไปหมดเลย แต่จิตใจของคนมันไม่อัศจรรย์เลย แม้แต่เขาจะวิเศษยังไงมันก็ไม่


อัศจรรย์เลย อัศจรรย์แต่พระพุทธเจ้า ธรรมคือพระองค์สามารถที่จะพ้นทุกข์ความสุข จนขนาดเทวดานี่ พระองค์ยังเห็นโทษ ขนาดที่นั่งฌานสงบ ที่เรานั่งสงบมีความสุขพอใจในความสุขอันนั้น แต่พระองค์ก็ยังเห็นโทษไม่ติด ขนาดทำลายรูป มีแต่อากาศ มีแต่วิญญาณ แต่พระองค์ก็ยังเห็นทุกข์เห็นโทษจนพ้นได้ อันนี้มันอัศจรรย์ ปัญญาเราน่ะมันไปไม่ได้นะ เราต้องอาศัยพระพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นการปฏิบัติมันต้องยึดหลักพระองค์แล้วก็เร่งทำความเพียร เพราะทำแล้ว จะต้องรู้ นอกจากพระพุทธเจ้าและครูบาอาจารย์ที่เราใกล้ชิดที่เห็นปฏิบัติ…



.

(องค์ยืน) หลวงปู่สุวัจน์ สุวโจ ณ วัดภูริทัตตวนาราม ประเทศสหรัฐอเมริกา


ทำลายหมดไม่เหลือเศษ


แต่คราวนั้นทำลายแต่เพียงเวทนากับสัญญาขันธ์สองอย่างเท่านั้นเอง สามอย่างมันยังไม่ปรากฏมันไม่ได้บอก พอคราวนี้มันไม่เหลืออะไรเลย มันบอกถึงความบริสุทธิ์แล้วก็หมดกิจตลอดถึงโลกทั้งสามเลย มันทำลายหมดแล้วนี้ มันบอกหมด ไม่มีอะไรเหลือเศษแม้คำว่าเศษเหลือนิดเดียวก็ไม่มีอะไรเลย แม้แต่จิตกับมรรค อรหัตตมรรคผู้ทำลายนี่มันลายไปด้วยกัน เพราะไม่มีกิจจำเป็นจะต้องมีไว้แล้วหลังจากนั้นเราก็เดินทางไปเมืองนอก ไปจำพรรษาเมืองนอก

ขอขอบคุณ ป้านัยนิด ผู้นำมาเผยแพร่ใน Facebook
2#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-11-14 07:15 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย Sornpraram เมื่อ 2013-11-14 07:22

ประวัติสังเขปพระคุณเจ้าพระโพธิธรรมาจารย์เถร (หลวงปู่สุวัจน์ สุวโจ)ชาติภูมิ






        หลวงปู่สุวัจน์ สุวโจ มีชาติกำเนิดในสกุล "ทองศรี" ท่านมีนามเดิมว่า "สุวัจน์" เกิดเมื่อวันที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2462 ตรงกับวันศุกร์ ขึ้น 4 ค่ำ เดือน 10  ปีมะแม ณ ตำบลตากูก อำเภอเมือง จังหวัดสุรินทร์
        โยมบิดาชื่อ "บุตร" โยมมารดาชื่อ "กึ่ง" ท่านมีพี่น้องร่วมบิดามารดา 5 คน โดยมีพี่ชาย 2 คน และน้องสาว 2 คน

วัยเด็กและการศึกษา
        เมื่ออายุถึงเกณฑ์ท่านได้เข้าเรียนที่โรงเรียนวัดกระพุมรัตน์ บ้านตากูก จนจบชั้นประถมบริบูรณ์ ซึ่งเป็นชั้นสูงสุดของโรงเรียนในสมัยนั้น และท่านได้อยู่ช่วยงานด้านเกษตรกรรมร่วมกับบิดามารดา และพี่ ๆ น้อง ๆ นอกจากนั้น ท่านได้มีโอกาสเรียนวิชาชีพกับช่างทองจนมีความรู้พอประกอบอาชีพได้

สู่เพศพรหมจรรย์
        ด้วยจิตใจที่ฝักใฝ่ทางธรรมและรักในเพศบรรพชิตมาตั้งแต่เป็นเด็ก ดังนั้นในปี พ.ศ. 2481 ซึ่งขณะนั้นท่านมีอายุได้ 19 ปี ท่านก็ได้ขออนุญาตบิดามารดา เพื่อบรรพชาเป็นสามเณร โดยเข้าพิธีบรรพชา ณ วัดกระพุมรัตน์ บ้านตากูก นั้นเอง
        ท่านได้ตั้งใจศึกษาและประพฤติปฏิบัติธรรม จนเมื่ออายุใกล้ครบบวช ซึ่งแม้ว่าการปฏิบัติธรรมของท่านในช่วงที่เป็นสามเณรอยู่นี้จะไม่นานนัก แต่ความศรัทธาต่อศาสนธรรมคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้นได้หยั่งลงลึกในจิตใจท่าน และเพียงพอที่จะเกิดเป็นปณิธานภายในใจท่านว่า อย่างไรเสียท่านต้องอุปสมบท เพื่อประพฤติธรรมในสมณเพศนี้สืบไป ดังนั้นท่านจึงได้ของอนุญาตโยมบิดามารดาเพื่ออุปสมบท ซึ่งท่านทั้งสองก็ไม่ขัดข้อง
        อย่างไรก็ดี ตอนนั้นเป็นช่วงที่กำลังเก็บเกี่ยวข้าวพอดี ประกอบกับเพื่อจะได้จัดการในเรื่องต่าง ๆ ก่อนที่จะอุปสมบท ท่านจึงได้ลาสิกขาบทจากสามเณรเป็นระยะเวลาหนึ่งก่อน
        ในปี พ.ศ. 2482 หลังจากที่ท่านได้จัดการเรื่องต่าง ๆ เสร็จเรียบร้อยแล้ว ประกอบกับท่านมีอายุครบ 20 ปีท่านจึงได้เข้าพิธีอุปสมบท อยู่ในภิกษุภาวะสมความตั้งใจ ณ วัดกระพุมรัตน์ บ้านตากูก ซึ่งเป็นวัดมหานิกายที่ท่านเคยบรรพชาเป็นสามเณร ท่านได้รับฉายาว่า "สุวโจ" โดยมี
        พระครูธรรมทัศน์พิมล (ด้น) เจ้าอาวาสวัดศาลาลอย (เมื่อครั้งเป็นเจ้าคณะอำเภอเมือง จังหวัดสุรินทร์) เป็นพระอุปัชฌาย์
        พระอาจารย์เคลือบ วัดดาวรุ่ง บ้านขาม เป็นพระกรรมวาจาจารย์
        พระอาจารย์อุเทน วัดกระพุมรัตน์ บ้านตากูก เป็นพระอนุสาวนาจารย์
        หลังจากที่ท่านอุปสมบทเป็นพระภิกษุแล้ว ในพรรษาแรกนั้นเอง ได้มีชาวบ้านบุแกรง อำเภอท่าตูม (ปัจจุบันคืออำเภอจอมพระ) จังหวัดสุรินทร์ พากันมาอาราธนาท่านไปเป็นเจ้าอาวาสวัดบุแกรง ซึ่งเป็นวัดร้าง ไม่มีพระอยู่จำพรรษา ต่อมาด้วยเห็นว่า หากจะอยู่ทำประโยชน์ไว้ในพระบวรพุทธศาสนาให้กว้างขวางยิ่งขึ้น จำเป็นที่ท่านต้องศึกษาเพิ่มเติม ดังนั้น ในปี พ.ศ. 2483 หลังออกพรรษาแล้ว ท่านจึงเดินทางไปศึกษาพระปริยัติธรรม ณ วัดป่าศรัทธารวม ตำบลหัวทะเล อำเภอเมือง จังหวัดนครราชสีมา จนสอบได้นักธรรมชั้นตรีและโทในปี พ.ศ. 2483 และ 2484 ตามลำดับ

ญัตติใหม่เป็นพระธรรมยุต

        ในปี พ.ศ. 2484 ภายหลังที่ท่านสอบได้นักธรรมโทแล้ว เกิดมีศรัทธาหนักไปทางปฏิบัติจิตตภาวนา ดังนั้นท่านจึงได้ญัตติใหม่ในธรรมยุติกนิกาย ณ วัดสุทธจินดา อำเภอเมือง จังหวัดนครราชสีมา โดยมี
        ท่านเจ้าคุณพระธรรมฐิติญาณ (สังข์ทอง) เป็นพระอุปัชฌาย์
        พระอาจารย์มหาปิ่น ปัญญาพโล เป็นพระกรรมวาจาจารย์
        พระอาจารย์ทองดี เป็นพระอนุสาวนาจารย์
        จากนั้น ท่านได้กลับไปจำพรรษา ณ วัดป่าศรัทธารวม เป็นเวลา 2 พรรษา ก่อนที่จะเริ่มต้นการเดินธุดงค์ในปี พ.ศ. 2486

ประวัติการอยู่จำพรรษา
พ.ศ. 2486
วัดป่าพระสถิต อำเภอศรีเชียงใหม่ จังหวัดหนองคาย

พ.ศ. 2487
วัดโยธาประสิทธิ บ้านห้วยเสนง จังหวัดสุรินทร์ (ในพรรษานี้ ท่านได้จำพรรษา ร่วมกับท่านพระอาจารย์ฝั้น อาจาโร ประกอบกับได้ดูแลโยมบิดามารดา ซึ่งกำลังป่วยอยู่)

พ.ศ. 2484
วัดป่าศรีไพรวัน อำเภอเมือง จังหวัดร้อยเอ็ด เมื่อออกพรรษาแล้ว ท่านได้เดินธุดงค์ผ่านจังหวัดกาฬสินธุ์ ข้ามเขาภูพาน ไปวัดป่าบ้านหนองผือ ตำบลนาใน อำเภอพรรณานิคม จังหวัดสกลนคร เพื่อไปศึกษาธรรมกับหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต

พ.ศ. 2489-2492
หลวงปู่มั่น ท่านพิจารณาเห็นว่าท่านพระอาจารย์ฝั้น อาจาโรเป็นลูกศิษย์ชั้นผู้ใหญ่ แต่ยังไม่มีผู้ดูแลอุปัฏฐากจึงมอบหมายให้ท่านอาจารย์สุวัจน์ไปเป็นพระอุปัฏฐากท่านพระอาจารย์ฝั้น ในระยะเวลา 4 ปีนี้ ณ วัดป่าภูธรพิทักษ์ ตำบลธาตุนาเวง อำเภอเมือง จังหวัดสกลนคร โดยในช่วงเวลาออกพรรษาของแต่ละปี ท่านอาจารย์สุวัจน์จะลาท่านพระอาจารย์ฝั้นไปศึกษาธรรม และอุปัฏฐากหลวงปู่มั่น ณ วัดป่าบ้านหนองผือ ตำบลนาในอำเภอพรรณานิคม จังหวัดสกลนคร

พ.ศ. 2493
วัดเทพกัลยาราม บ้านน้อยจอมศรี อำเภอเมือง จังหวัดสกลนคร

พ.ศ. 2494
วัดป่าพระสถิต อำเภอศรีเชียงใหม่ จังหวัดหนองคาย

พ.ศ. 2495
สำนักสงฆ์ควนเขาดิน อำเภอท้ายเมือง จังหวัดพังงา

พ.ศ. 2496
วัดเจริญสมณกิจ อำเภอเมือง จังหวัดภูเก็ต

พ.ศ. 2497
วัดป่าภูธรพิทักษ์ จังหวัดสกลนคร

พ.ศ. 2498
วัดป่าปราสาทจอมพระ อำเภอจอมพระ จังหวัดสุรินทร์

พ.ศ. 2499
วัดถาวรคุณาราม อำเภอเมือง จังหวัดภูเก็ต

พ.ศ. 2500-2501
วัดป่าปราสาทจอมพระ  อำเภอจอมพระ จังหวัดสุรินทร์

พ.ศ. 2502
วัดถาวรคุณาราม อำเภอเมือง จังหวัดภูเก็ต

พ.ศ. 2503
วัดป่าบ้านไม้ขาว อำเภอถลาง จังหวัดภูเก็ต

พ.ศ. 2504
วัดถาวรคุณาราม อำเภอเมือง จังหวัดภูเก็ต

พ.ศ. 2505
สำนักสงฆ์ถ้ำขาม ตำบลบ้านไร่ อำเภอพรรณานิคม จังหวัดสกลนคร

พ.ศ. 2506
วัดป่าภูธรพิทักษ์ จังหวัดสกลนคร

พ.ศ. 2507
วัดถาวรคุณาราม อำเภอเมือง จังหวัดภูเก็ต

พ.ศ. 2508
วัดป่าอุดมสมพร อำเภอพรรณานิคม จังหวัดสกลนคร

พ.ศ. 2509-2514
วัดป่าภูธรพิทักษ์ จังหวัดสกลนคร

พ.ศ. 2515-2524
สำนักสงฆ์ถ้ำศรีแก้ว ตำบลสร้างค้อ อำเภอกุดบาก จังหวัดสกลนคร

พ.ศ. 2525-2526
สำนักสงฆ์ (ชั่วคราว) เมืองซีแอตเติ้ล มลรัฐวอชิงตัน

พ.ศ. 2527
สำนักสงฆ์ (ชั่วคราว) เมืองแอนนาไฮม์ฮิล มลรัฐแคลิฟอร์เนีย

พ.ศ. 2528
สำนักสงฆ์ป่าธรรมชาติ เมืองลาพวนเต้ มลรัฐแคลิฟอร์เนีย

พ.ศ. 2529
สำนักสงฆ์นอร์ธแซนฮวน เมืองซาคราเมนโต้ มลรัฐแคลิฟอร์เนีย

พ.ศ. 2530-2533
วัดภูริทัตตวนาราม เมืองออนทาริโอ มลรัฐแคลิฟอร์เนีย

พ.ศ. 2534
วัดเมตตาวนาราม เมืองแวลเลย์เซ็นเตอร์ มลรัฐแคลิฟอร์เนีย

พ.ศ. 2535
วัดภูริทัตตวนาราม เมืองออนทาริโอ มลรัฐแคลิฟอร์เนีย

พ.ศ. 2536-2538
วัดเมตตาวนาราม เมืองแวลเลย์เซ็นเตอร์ มลรัฐแคลิฟอร์เนีย

พ.ศ. 2539
วัดป่าเขาน้อย จังหวัดบุรีรัมย์

พ.ศ. 2540
วัดภูริทัตตวนาราม เมืองออนทาริโอ มลรัฐแคลิฟอร์เนีย

พ.ศ. 2541-ปัจจุบัน
วัดป่าเขาน้อย ต.เสม็ด อ.เมือง จ.บุรีรัมย์

การรับแต่งตั้งให้ปฏิบัติศาสนกิจ และการรับสมณศักดิ์
        1. ตามหนังสือที่ 26/2529 ลงวันที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2529 ท่านได้รับแต่งตั้งจากเจ้าคณะใหญ่ธรรมยุต ให้เป็นพระอุปัชฌาย์
        2. ตามหนังสือที่ 9/2529 ลงวันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2529 ท่านได้รับแต่งตั้งจากสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ เจ้าคณะใหญ่ธรรมยุต ให้เป็นประธานกรรมการคณะธรรมยุตในประเทศสหรัฐอเมริกา
        3. วันที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2532 ท่านได้รับแต่งตั้งให้เป็น "พระครูปลัดสุวัฒนญาณคุณ"
        4. วันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2533 ท่านได้รับสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะที่ "พระโพธิธรรมจารย์เถร"

การปฏิบัติศาสนกิจในประเทศสหรัฐอเมริกา
        นับแต่ท่านได้รับแต่งตั้งเป็นพระธรรมทูตจากคณะสงฆ์ไทย ในปี พ.ศ. 2525 เพื่อไปเผยแผ่พระพุทธศาสนา ในประเทศสหรัฐอเมริกา ท่านได้ปฏิบัติศาสกิจนี้อย่างสมบูรณ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การสร้างวัดภูริทัตตวนาราม และวัดเมตตาวนาราม มลรัฐแคลิฟอร์เนีย ให้เป็นที่ประพฤติปฏิบัติธรรมตามแบบอย่างของวัดกรรมฐานสายพระอาจารย์มั่น ภูริทัตตเถร ซึ่งมีพุทธศาสนิกชนทั้งชาวไทย และชาวต่างชาติให้ความสนใจเป็นจำนวนมาก และพุทธศาสนิกชนชาวอเมริกาหนึ่งในจำนวนนั้นได้มีจิตศรัทธาในพระพุทธศาสนาเป็นอย่างยิ่ง จึงได้ถวายปัจจัยแด่ท่าน เพื่อซื้อที่ดินบนเขา เนื้อที่ 60 เอเคอร์ (ประมาณ 150 ไร่) คิดเป็นเงิน 700,000 ดอลล่าร์ (ประมาณ 17,500,000 บาท) ให้เป็นสถานที่บำเพ็ญภาวนา ซึ่งก็คือ วัดเมตตาวนาราม เมืองแวลเลย์เซ็นเตอร์ มลรัฐแคลิฟอร์เนีย ในปัจจุบัน
3#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-11-14 07:17 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย Sornpraram เมื่อ 2013-11-14 07:25

"รำลึกพระคุณหลวงปู่"

สูญเสียร่มโพธิ์ร่มไทร

องค์หลวงปู่ท่านมีปัญหาเรื่องปอดไม่แข็งแรงมานานแล้ว
ในช่วงระยะ 1 ปีที่ผ่านมา องค์หลวงปู่ท่านต้องเข้าโรงพยาบาล
เพื่อรักษาโรคปอดติดเชื้อมาตลอด (ประมาณ 4-5 ครั้ง)
ครั้งสุดท้ายก่อนที่ท่านจะละสังขารนี้
องค์หลวงปู่เข้ามารักษาองค์ที่โรงพยาบาลวิชัยยุทธ
และหัวใจท่านได้หยุดเต้นไป
แต่เป็นบุญที่คณะแพทย์และพยาบาลได้ถวายการรักษาได้ทันท่วงที
จึงสามารถช่วยท่านไว้ได้
ตลอดระยะเวลาที่ทำการรักษา
องค์หลวงปู่มักจะปรารถอยู่เนืองๆว่าท่านอยากกลับไปวัด
จนเมื่อวันที่ 3 มีนาคม องค์หลวงปู่แข็งแรงขึ้นมาก
และแพทย์เห็นสมควรให้ท่านเดินทางกลับบุรีรัมย์ได้

หลวงปู่ท่านสดใสมาก เมื่อได้กลับไปที่วัดป่าเขาน้อย
อาการท่านก็ดีขึ้นเรื่อยๆ แข็งแรงมากพอที่จะไปโปรดญาติโยม
ที่วัดป่าปราสาทจอมพระ จังหวัดสุรินทร์ได้
หลวงปู่เมตตาพำนักที่วัดป่าปราสาทจอมพระ
และแสดงธรรมโปรดญาติโยมประมาณ 1 อาทิตย์
คือช่วงวันที่ 13 มี.ค. ถึง 20 มี.ค.
จึงได้กลับเดินทางกลับวัดป่าเขาน้อย

หลังจากที่หลวงปู่ท่านเดินทางกลับมาพำนักที่เขาน้อยได้ประมาณหนึ่งอาทิตย์
หลวงปู่มีอาการอ่อนเพลียมาก จนต้องพาท่านเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลเอกชนบุรีรัมย์
หลังจากที่ท่านได้เข้าไปรักษาตัวได้ 2 วัน อาการดีขึ้นมาก
แพทย์ที่ถวายการรักษา ขอดูอาการ ซึ่งหากไม่ทรุดลงไป
ก็จะอนุญาตให้กลับวัดได้
แต่แล้ว...อาการของหลวงปู่ ก็เริ่มทรุดลงเมื่อวันที่ 2 เม.ย.
และอาการหนักในคืนวันที่ 3 เม.ย.
เนื่องจากโรคปอดติดเชื้อที่แทรกซ้อนขึ้นมา
เช้าวันที่ 5 เป็นวันที่ศิษยานุศิษย์ใกล้ชิดและแพทย์ต้องตัดสินใจ
แพทย์แนะนำให้เจาะคอองค์หลวงปู่
แต่เมื่อประชุมกันแล้ว ลงความเห็นว่าไม่สมควรเจาะคอ
เพราะจะเพียงแค่ยืดอายุขัยท่าน แต่ก็จะทรมานองค์หลวงปู่มากมาย
แพทย์หลายๆคนพยายามติดต่ออาจารย์หมอที่ชำนาญทางปอด
เพื่อให้เดินทางมาถวายการรักษาที่บุรีรัมย์

ประมาณช่วงเที่ยงวันนั้น
องค์หลวงปู่ท่านแสดงให้เห็นเจตนารมณ์ที่จะละสังขาร
ด้วยการค่อยๆถอนให้เห็น
โดยปกติคนที่ป่วยหนัก ค่าต่างๆที่แสดงถึงความมีชีวิตอยู่
อาทิ ความดัน ชีพจร ฯลฯ จะ fluctuate
แต่ขององค์หลวงปู่ท่านจะคงที่ ค่อยๆลดลงเป็นลำดับ
ให้เห็นว่าองค์ท่านควบคุมได้ และไม่ประสงค์จะครองสังขารอีกต่อไป
คณะศิษยานุศิษย์จึงเตรียมนำองค์ท่านกลับคืนสู่วัด
หากแต่ก็ไม่ทัน ...

องค์หลวงปู่ ละขันธ์ ด้วยสติที่พร้อมบริบูรณ์เมื่อเวลา 13.12 น.
ของวันที่ 5 เม.ย. 2545

ปฏิปทาองค์หลวงปู่

ได้รับฟังจากญาติธรรม ศิษยานุศิษย์ใกล้ชิดองค์หลวงปู่มา
สมัยที่ท่านมาอยู่ที่เขาน้อยใหม่ๆนั้น
ไม่มีอะไรเลย นอกจากกุฏิเล็กๆ 2 หลัง
เป็นกุฏิชั้นเดียว ห้องเดียว มีลานเล็กๆตรงกลาง
หากแต่ลานเล็กๆ กุฏิเล็กๆนี้เอง
ที่ใช้เป็นที่แสดงธรรม และสอนกรรมฐานทุกเย็น

องค์หลวงปู่จะเมตตาญาติโยมมาก
ไม่ว่าจะมากันกี่คน 2 คน 3 คน หรือมากกว่านั้น
องค์ท่านจะนำทำวัตร แสดงธรรม และปฏิบัติภาวนาทุกวัน
ท่านจะให้ความสำคัญกับการภาวนามาก
พี่ๆเล่าว่า ท่านไม่เคยเบื่อ หรือหงุดหงิดกับความดื้อรั้น
ขี้เกียจ หรือความเขลาของเหล่าศิษย์เลย
ท่านคงความเมตตาที่เปี่ยมล้นอย่างสม่ำเสมอ
จนแม้แต่คนที่ไม่น่าจะเอาดีในด้านการภาวนา
ก็มีหลักในการภาวนาจนได้ ภาวนาเป็น

องค์หลวงปู่เคารพพ่อแม่ครูบาอาจารย์มากนัก
และท่านก็เคารพรัก"หลวงปู่บ้านตาด" เป็นนักหนา
แม้ในช่วงที่ท่านไปปฏิบัติหน้าที่เป็นธรรมทูตที่อเมริกา
ทุกครั้งที่ท่านเดินทางกลับมาเมืองไทย
หากองค์หลวงตาอยู่ที่สวนแสงธรรม
ท่านจะตรงไปสวนแสงธรรม
หรือหากองค์หลวงตาอยู่ที่บ้านตาด
ท่านก็จะเดินทางไปที่บ้านตาด
เพื่อกราบองค์หลวงตา ก่อนที่จะกลับไปที่วัดของท่านเอง

องค์หลวงปู่มักจะพูดน้อย แต่นุ่มนวล
ท่านมักจะปรารภเรื่อยๆ
ว่าท่านไม่ทนญาติโยมเหมือนองค์หลวงปู่มั่น
องค์หลวงปู่ฝั้น และองค์หลวงปู่บ้านตาด
แต่ในความเป็นจริงแล้ว ไม่เคยมีผู้ตกทุกข์คนไหน
ที่ดั้นด้นไปกราบหลวงปู่ แล้วหลวงปู่จะไม่เมตตา
หลวงปู่จะให้ทั้งที่พัก ทั้งปัจจัย
และที่สำคัญ คือองค์ท่านที่เป็นเสมือนหิ้งพักใจ
และร่มไทรหนา ให้ผู้ทุกข์หนัก ได้พักอาศัย

แม้ในช่วงหลังมาที่องค์หลวงปู่ประสบอุบัติเหตุ
เป็ฯอัมพาตครึ่งองค์


ทุกๆเช้า ท่านจะเมตตาลงมาที่ศาลาโรงฉัน
และบิณฑบาตรในรถเข็น
เพื่อให้ญาติโยมได้สร้างบุญกุศลโดยทั่วหน้า



ก่อนฉัน หากสังขารท่านเอื้ออำนวย
หลวงปู่จะเมตตาแสดงธรรมสั้น โปรดญาติโยมอย่างสม่ำเสมอ
หลวงปู่มักจะเน้นให้เราหมั่นอนุโมทนาบุญ
เพื่อสร้างเสริมกุศลจิตในใจ
และอานิสงค์ของการแผ่เมตตา
หลวงปู่จะเน้นเราให้สร้างสมความดี ละชั่ว
หมั่นตรวจสอบตนเอง และปฏิบัติภาวนาอย่างสม่ำเสมอ
ท่านเคยเมตตาสอนว่า"การปฏิบัติภาวนานั้น
เราจะเลือกปฏิบัติ เฉพาะเวลาสุขนั้นไม่ได้
เราต้องปฏิบัติภาวนาให้ได้ ทั้งในเวลาสุข และทุกข์"
หลวงปู่ท่านจะเมตตาทั้งพระทั้งโยมที่ปฏิบัติภาวนายิ่งนัก
เมื่อไหร่ที่ติดขัดในการภาวนา
เพียงแต่โผล่หน้าไปให้ท่านเห็น
ท่านก็จะเมตตาแก้ไขข้อข้องจิต ข้องใจให้
โดยที่เราไม่เคยต้องออกปาก
โดยที่บางครั้ง เราเองไม่ทราบด้วยซ้ำว่าเรากำลังติดขัดอยู่
องค์หลวงปู่เป็นร่มโพธิ์ ร่มไทรที่ร่มเย็นเป็นนักหนา

นอกจากมนุษย์แล้ว องค์หลวงปู่ยังมีเมตตาต่อสัตว์ชนิดต่างๆมากมาย
ท่านมีทั้งปลา นกกะทา ไก่ป่า นกกาเหว่า และอื่นๆ
ท่านรักต้นไม้มาก
มักจะหาพันธุ์ไม้แปลกๆต่างๆ
มาปลูกที่เขาน้อยอย่างสม่ำเสมอ

บรรยากาศงาน

สำหรับท่านที่เคยไปวัดป่าเขาน้อยแล้ว
คงจำศาลาเมตตาสุวโจ ศาลาใหญ่ที่ใช้สวดมนต์ได้
ทางวัดได้นำสังขารขององค์หลวงปู่ท่านมาตั้ง
ให้ทั้งพระทั้งโยมได้เข้าไปเคารพ รดน้ำ
และขมาท่านเป็นครั้งสุดท้าย
องค์หลวงปู่นอนบนที่นอนของท่าน ปูผ้าสีกลัก
ห่มผ้าห่มสลัก อยู่ในกลดผ้าชีฟองสีครีมนวล
มองดูคล้ายกับองค์ท่านหลับอยู่ ไม่ได้จากเราไปไหน
สีหน้าท่านสงบ และผาสุขอย่างไม่มีใดเทียบ
ไม่เคยได้เห็นสังขารใดๆ ที่ถูกทิ้งไปแล้ว จะงามพร้อมขนาดนี้
องค์หลวงปู่หลับไหล ราวกับบอกว่า "เราไม่มีทุกข์ใดๆแล้วจากนี้ไปตลอดอนันตกาล"

ทั้งพระ ทั้งญาติโยมทยอยกันมาจากทุกสารทิศ
ไม่ได้ขาดตลอดทั้งวัน

งานการเตรียมพร้อมเพื่อพิธีพระราชทานเพลิงศพดำเนินไปอย่างเร่งด่วน
แต่สุขุม และละเอียดลออ เพื่อถวายแด่องค์หลวงปู่
ให้สมกับที่ท่านเมตตา ให้สมกับพระคุณของท่าน
แม้งานจะหนัก และเหนื่อย ก็ไม่มีใครย่อท้อ
คณะทำงานที่ประกอบทั้งพระ ทั้งฆราวาส
พร้อมใจกันทำถวายหลวงปู่ ไม่มีการเกี่ยงงอนใดๆ
แบ่งงานกันทำตามความถนัดของแต่ละบุคคล

แม้เมื่อเสร็จสิ้นจากงานนี้
เหล่าศิษยานุศิษย์ทุกองค์ และทุกคน
สำนึกดีอยู่ว่า งานที่เราสมควรทำถวายองค์หลวงปู่ยังไม่เสร็จสิ้น
ยังคงเหลืองานชิ้นสุดท้าย แต่คงความสำคัญที่สุด
เป็นงานที่องค์หลวงปู่ยกย่องว่าเลิศกว่างานใดๆ
คือการปฏิบัติภาวนา ทำตนให้ถึงหร้อม
ให้ถึงที่สุดแห่งทุกข์
หลายๆคน พี่ๆ น้องๆที่ได้สนทนากัน
ล้วนแล้วแต่ได้ตั้งจิตอธิษฐานต่อหน้าองค์หลวงปู่
ให้สัจจะว่าจะดำเนินรอยตามองค์ท่าน
ให้สมกับที่ท่านได้เมตตาสั่งสอนมา

_/|\_ _/|\_ _/|\_
ขอน้อมกราบองค์หลวงปู่ด้วยเศียรเกล้าค่ะ

บทความของคุณ..ไก่แก้ว
กราบๆๆ หลวงปู่สุวัจน์ เป็นผู้มีคุณประการแก่พระศาสนา ในต่างแดนเป็นอย่างยิ่งวัดป่าภูริทัตตวนาราม ที่LA  USA  เป็นที่ๆรวมเอาคนไทยไกลบ้านได้ไปพบพระดี อยู่เสมอ ลูกศิษย์หลวงปู่เองก็ไม่ธรรมดา  พระครูวิทูรธรรมวิเทศ (สำารวย ตายโน) ล้วนแต่กราบไหว้ได้อย่างสนิทใจ เพราะวัตรปฏิบัติที่งดงามตามแบบครูบาอาจารย์สายพระป่า ในวัด มีพระพุทธรัตนเจดีย์ศรีบุรพาจารย์ เจดีย์บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ พระธาตุพระปัจเจกพุทธเ้จ้า พระธาตุพระอรหันตสาวก พระธาตุพระอรหันต์แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ และบรรจุอัฐิธา่ตุ อัฐบริขาร พระโพธิธรรมมาจารย์เถร (หลวงปู่สุวัจน์ สุวโจ) อดีตเจ้าอาวาส/ผู้ก่อตั้งวัดภูริทัตตวนาราม... น่าจะมีมากที่สุดในต่างแดนครับ   http://www.watpu.org/index.php?o ... d=10&Itemid=102
5#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-11-14 09:08 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
wind ตอบกลับเมื่อ 2013-11-14 08:43
กราบๆๆ หลวงปู่สุวัจน์ เป็นผู้มีคุณประการแก่พระศาสนา ...

นอกจากหลวงปู่สุวัจน์ท่านจะเป็นศิษย์พระอาจารย์มั่นแล้ว
ท่านยังเป็นศิษย์เอกของพระอาจารย์ฝั้น

ครอบครัว ตายาย พ่อแม่ พี่น้องของผม
ได้ไปกราบหลวงปู่ฝั้นแบบใกล้ชิด
ก็เป็นเพราะหลวงปู่สุวัจน์ท่านนำพา ครับ

Sornpraram ตอบกลับเมื่อ 2013-11-14 09:08
นอกจากหลวงปู่สุวัจน์ท่านจะเป็นศิษย์พระอาจารย์มั่น ...

เป็นบุญแท้ๆครับพี่ศรพระรามได้กราบบูชาพระอรหัน ถึง2รูป  หลวงปู่สุวัจน์ท่านยังเป็นอาจารย์ของ หลวงพ่อปราโมทย์ ปราโมทโชด้วยนะครับ ท่านถูกกล่าวถึงในการสอนแนวปฏิบัติการดูจิตอยู่เสมอๆ
กราบครับ

ขอบคุณครับ
10#
 เจ้าของ| โพสต์ 2015-2-12 07:21 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ลงชื่อเข้าใช้ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้