แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย รามเทพ เมื่อ 2013-11-8 07:31
เมื่อท่านคูเชียงชุนเดินออกไปนอกอารามแปะฮุ้ง ก็ดึงเอาขนแส้ที่ถือประจำกายมาปอยหนึ่ง แล้วโยนขึ้นไปในอากาศ ทันใดนั้นขนแส้ก็กลับกลายเป็นเหล่านักพรตมากมาย มุ่งตรงมายังอารามนี้ที่สุดก็แลกเปลี่ยนกันหมด จนไม่มีพระเหลือแม้สักรูป แปะฮุ้งเซียงซือจำต้องยกอารามนี้ให้กับท่านคูเชียงชุนไป และยอมย้ายตัวเองกลับเข้าไปพำนักในเขตพระราชวังอันเป็นที่อยู่เดิมของท่านคูเชียงชุนแทน
มีเหตุผลใดหรือที่ท่านคูเชียงชุนต้องการใช้อารามหลวงนี้
นั่นเป็นเพราะแท้จริงแล้วแปะฮุ้งเซียงมีวาสนาทางธรรมอยู่ทางใต้แถบบริเวณแม่น้ำสามสาย ซึ่งเป็นหลักชัยภูมิจำเพาะของผู้ที่จะไปบำเพ็ญธรรมได้สำเร็จแต่ละราย ถ้าหากแปะฮุ้งเซียงซือยังขืนปักหลักอยู่แต่อารามในเมืองหลวง ก็จะทำให้หมดโอกาสในการเผยแพร่ธรรมของท่านต่อปวงชนทางใต้
เช่นนี้แล้ว....ก็ย่อมไร้บุญสัมพันธ์กับเวไนยสัตว์ที่ท่านต้องไปโปรด อีกเหตุผลหนึ่ง ก็คือเมืองหลวงเป็นนครที่มั่นคงเจริญรุ่งเรือง
ท่านคูเชียงชุนต้องการสถาปนาหลักสัจธรรมให้วัฒนาสถาพร ณ ที่นี้สืบต่อไป
เมื่อท่านคูเชียงชุน เข้าพำนักในอารามหลวงไม่ถึงเดือน ก็ได้ลูกศิษย์หลายสิบคน
วันหนึ่งได้บรรยายธรรมแก่บรรดาสานุศิษย์ว่า..
"พวกเราที่ออกบวช ก็หมายถึงว่า ตัดสิ้นแล้วจากครอบครัวทางโลก ไม่ยุ่งเกี่ยวไม่ผูกพันกัน
ต้องละวางให้ได้ในข้อนี้ ต้องฝึกจิตใจมุ่งทางธรรมอย่างแน่แน่ว จึงจะเรียกได้ว่า เป็นผู้ออกบวช
หากเป็นด้วยความคิดฟุ้งซ่าน ที่ต้องการบวชเพราะหวังอยากได้วิชาเป็นเทพเป็นเซียนหรือ..
ออกบวชเพราะอารมณ์โมโหชั่ววูบ หรือบวชเพราะอาศัยวัดบังหน้า เพื่อจะได้ลาภสักการะมีคนกราบไหว้ยกย่อง
หรือประเภทมาบวชเพราะชราภาพหวังวัดเลี้ยงไม่เคยคิดจะปฏิบัติธรรม หรือเป็นเด็กกำพร้าไร้ที่พึ่ง ก็เลยจำใจบวช
เพื่ออาศัยวัดเป็นบ้านอยู่ พวกเหล่านี้ไม่สามารถละวางทางโลกได้ การบวชด้วยเหตุดังกล่าวไม่จีรัง
แม้อยู่วัดครองจีวรก็เปล่าประโยชน์
แต่เอาเถอะ....ไหนๆ เราก็เข้ามาอยู่ร่วมกันแล้ว ข้าจะไม่คำนึงล่ะว่า พวกเจ้าจะละได้หรือไม่ ข้าฯ จะถือว่าเราต่างมีวาสนาบุพเพต่อกัน ถึงได้มาพบเจอกัน
เมื่อมาถึงนี่แล้ว แน่นอนย่อมไม่จน อีกทั้งจะออกไปก็ไม่รวย ฉะนั้นยามอยู่ก็ขอเพียงเห็นแก่ข้าฯ ก็แล้วกัน ต่อนี้ไปให้ตั้งใจฟัง..
ผู้ปฏิบัติชั้นสูงต้องเจริญสมาธิวิปัสสนา รองลงมาก็ต้องสวดมนต์บริกรรมภาวนาบูชากราบไหว้
พื้นฐานที่สุดก็ต้องทำงานดูแลรักษาความสะอาด ปฏิบัติได้ในทุกขั้นตอนเช่นนี้จึงจะถือได้ว่าเป็นผู้ออกบวช
อีกทั้งชีวิตการปฏิบัติธรรมก็ไม่น่าเบื่อระอา ฉะนั้นควรถือว่า..
สิ่งที่คนอื่นทำไม่ได้เราจะทำให้ได้ สิ่งที่คนอื่นทนไม่ได้ เราต้องทนได้
ผู้ฝึกจะต้องวางสิ้นในอารมณ์ฉันทาความรักความชอบ
ผู้อดทนต้องทนได้ต่อเคราะห์กรรมต่อสภาพภูมิอากาศทั้งร้อนทั้งหนาว จึงจะถือได้ว่าเป็นคนเหนือคน
ต้องฝึกปฏิบัติให้ได้ถึงขึ้น ละ วาง สิ้น ไม่ให้มีอะไรหลงเหลืออยู่เป็นอุปสรรคขวากหนาม อย่าให้เกิดความอยุติธรรมขึ้นในจิต
ไม่เพียงแต่เราจะคำนึงถึงความ "ไม่มีใคร" ต้องคำนึงถึงว่า "ไม่มีเรา" ด้วย
เช่นนี้จึงจะไม่มีมารผจญ และเราก็จะสามารถแสวงหาสัจจธรรมที่ล้ำลึกได้จากความไม่มีนั้น
ความลังเลสงสัยว่าสัจจธรรมจะมีหรือไม่มี ย่อมเป็นเครื่องกีดกันไม่ให้เข้าถึงแก่นแท้ของสัจจธรรม
ตราบใดที่เราเสแสร้งแกล้งทำแกล้งศรัทธาเราก็ย่อมไปไม่ถึงสัจจธรรม
อนึ่งทุกสิ่งต้องทำตามกำลังความสามารถของตนต้องไม่หักโหม และต้องไม่หย่อนยานเกินไป รู้แค่ไหนเอาแค่นั้น ได้แค่ไหนปฏิบัติแค่นั้น รู้น้อยปฏิบัติน้อย รู้มากปฏิบัติมาก เหมือนดังไม้วัดระดับพื้นและลูกดิ่งของช่าง ถือตรงไปตรงมา แค่ไหนก็แค่นั้น แม้ที่สุด เราจะไม่ได้เป็นเทพเป็นเซียน เป็นพระอรหันต์ แต่อย่างน้อยก็ไม่เสียทีที่เกิดมาเป็นมนุษย์ ไม่เสียทีที่ได้ออกบวช
หากเราจะมัวยึดว่า..
มวยผมเป็นพรต โกนผมเป็นพระ ก็แสดงว่า ยึดติดขันธ์ห้ายังละไม่หมดสิ้น
รูปลักษณ์ภายนอกยังตัดไม่ขาด ถ้าภายนอกแสดงตนเป็นนักบวช เป็นผู้ทรงศีล
แต่ภายในยังคงความเป็นโลกียชน หลงใหลในลาภยศสรรเสริญ หมกหมุ่นในโลกีย์
สุรุ่ยสุร่าย ฟุ้งเฟ้อ กลัวแต่จะไม่โก้หรูทัดเทียมคนอื่น มั่วสุมเสพสุรายาเมา
สุงสิงการพนัน หวังลมๆ แล้ง คนพวกนี้แม้จะได้ชื่อว่าออกบวช ก็เหมือนกับไม่ได้บวชอยู่ดี
เช่นนี้แล้วสึกออกไปเป็นฆราวาสดีกว่า บวชไปก็ป่วยการเสียเวลาเปล่า
สู้กลับไปเที่ยวหาความทุกข์สุขในโลกกันต่อไปเถอะ
หากจะยังอยู่อาศัยเพศแห่งบรรพชิตเป็นเครื่องหาเลี้ยงตัวเอง ก็รังแต่จะเป็นบาปเป็นกรรมต่อไป ในเมื่อชาตินี้ไม่สามารถจะปฏิบัติสะสมกุศลผลบุญ ชาติหน้าก็ย่อมต้องเวียนว่ายอยู่ในทะเลทุกข์ไม่รู้จบ เมื่อชาตินี้ไม่มีวาสนาชาติหน้าก็ย่อมประสบแต่บ่วงกรรมอยู่ร่ำไป เอาล่ะ!....ที่พูดมาทั้งหมดก็ให้แต่ละคนไปพิจารณาใคร่ครวญดูให้ดี ว่าจะจริงแท้แน่นอนเพียงใด"
ท่านคูเชียงชุนกล่าวถึงตอนนี้....ที่หน้าอารามก็มีคนมายืนรออยู่สิบกว่าคน แต่ละคนเป็นชายรูปร่างสูงใหญ่แข็งแรงบึกบึน ซึ่งที่แท้ก็คือเหล่าโจรภูเขา ที่เคยช่วยชีวิตท่านคูเชียงชุนในครั้งกระโน้น นับจากอดีตครั้งที่ท่านคูเชียงชุนอธิบายถึงกฎแห่งกรรม บรรดากลุ่มโจรภูเขาก็ตื่นตัวได้สติ ต่างกลับใจเลิกเป็นโจรและหันไปประกอบสัมมาอาชีพ ค้าขายเล็กน้อยๆ ซึ่งก็พอประทังชีวิตไปวันๆ บัดนี้เวลาก็ล่วงเลยมาถึงสิบกว่าปีแล้ว ทั้งเตียเปียะ เฮงเล้ง จูกิ้ว ต่างก็แก่ตัวลง
ความที่ได้ข่าวว่ามีนักพรตพำนักอยู่ที่อารามแปะฮุ้งเป็นผู้วิเศษไม่เพียงแต่จะขอให้ฝนตกได้ ยังสามารถทำนายว่าองค์รัชทายาทจะต้องเป็นพระโอรส จนชนะเดิมพันได้อารามนี้มา เตียเปียะสงสัยว่า จะเป็นคนเดียวกันกับนักพรตที่จะอดข้าวตายในครั้งนั้นหรือไม่ จึงชวนกันเดินทางมาดูให้แน่ใจ
เฮงเล้ง :
"โดยปกติแล้ว พวกเราก็พยายามแสวงหาอาจารย์เก่งๆ สงสัยวันนี้จะได้พบของจริงเข้าแล้วเป็นแม่นมั่น" จูกิ้ว : "ขอเพียงให้เป็นผู้มีคุณธรรมเท่านั้น พวกเราก็สามารถฝากตัวเป็นศิษย์ได้"
เตียเปียะ : "พูดได้เยี่ยม"
ขณะที่เหล่าพี่น้องอดีตโจรกำลังสนทนาปรึกษากัน ท่านคูเชียงชุน เห็นพวกเขาก็จำได้จึงลุกขึ้นเดินไปต้อนรับและทักทายว่า
"พวกท่านสบายดีหรือ?" แต่ทั้งหมดกลับจำท่านคูเชียงชุนไม่ได้ จึงตอบว่า
"ท่านอาจารย์ผู้วิเศษ เราเคยพบกันที่ไหนมาก่อนหรือ? พวกข้าฯ นึกไม่ออกจริงๆ" ท่านคูเชียงชุน จึงรื้อฟื้นความจำว่า
"ที่เขาไทซัน ในคราวนั้น มีนักพรตผู้หนึ่งต้องการอดข้าวตาย"
เตียเปียะ : "โอ้!......ท่านคือนักพรตผู้เมตตาชี้แนะพวกเรา ในครั้งนั้นรึนี่!"
ท่านคูเชียงชุน : "ถูกต้อง....เป็นข้าฯ เอง"
เหล่าพี่น้องอดีตโจรภูเขา รีบคุกเข่าลงคำนับ แล้วพูดว่า
"พวกข้าล้วนแก่ตัวลงมาก แต่ท่านกลับหนุ่มขึ้น แสดงว่าท่านต้องเป็นผู้วิเศษจริง ในครั้งนั้นพวกข้าฯ เคยลั่นวาจาไว้แล้ว่า ถ้าท่านสำเร็จวิชาเมื่อใด พวกข้าก็จะมาถวายตัวเป็นศิษย์ ไม่ทราบว่าท่านอาจารย์จะเมตตารับพวกข้าฯ หรือไม่?"
ท่านคูเชียงชุน :
"พวกท่านมีบุญคุณต่อข้า ได้เคยช่วยชีวิตข้าไว้ ข้ายังจำได้ไม่ลืม แต่ที่กล่าวว่าข้าได้วิชาเป็นผู้วิเศษ จริงๆ แล้วข้าไม่ได้อะไรเลยนอกเสียจากว่า ข้าเพียงแต่ช่วยชี้แนะมนุษย์ให้รู้จักหวนกลับตัวเป็นคนดี และกว่าสิบปีมานี้ พวกท่านก็สามารถละทิ้งการเบียดเบียนผู้อื่นได้อย่างเด็ดขาดแสดงว่า มีจิตใจแน่วแน่มั่นคง มาบัดนี้ยังรู้จักละทางโลกต้องการออกบวชอีก ก็นับเป็นนิมิตหมายอันดียิ่ง แสดงว่าชาติก่อนมีรากบุญวาสนาสะสมอยู่ จึงเกิดปณิธานเช่นนี้
แต่การจะเป็นพระหรือเป็นนักพรต ไม่ใช่อยู่ที่คำพูด จำต้องรู้จักระงับควบคุมอารมณ์ เคารพต่อทุกสิ่ง ไม่ใช้อารมณ์เป็นเครื่องตัดสิน ต้องขจัดความฟุ้งซ่านให้ได้ สละตัวเองเพื่อผู้อื่น ไม่เห็นแก่ตัว ไม่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ไม่อิจฉาริษยา ไม่ดูถูกว่าคนอื่นต่ำต้อยไม่ถือดียะโสชนะผู้อื่น ไม่ยกย่องตัวเองแล้วเหยียดหยามผู้อื่น
เมื่อไม่ได้รับความสำเร็จไม่ว่าด้านใด ต้องคิดว่าตัวเรายังมีกุศลไม่เพียงพอ จึงเทียบเขาไม่ได้ แต่หากเราประสบความสำเร็จ อยู่ในฐานะที่เหนือกว่า ก็ต้องคิดว่าบุญกุศลของเขายังไม่ส่งผลมาถึงสักวันเขาก็ต้องได้ดีเช่นกัน สัจจธรรมจะไม่แบ่งใหญ่หรือเล็ก สูงศักดิ์หรือต่ำต้อย จนหรือรวย สัจจธรรมจะไม่แบ่งระดับชั้น แต่จะสำแดงให้ปรากฎเห็นว่า ผู้เข้าถึงสัจจธรรมเป็นผู้ยิ่งใหญ่ ผู้มีคุณธรรมเป็นผู้ที่น่ายกย่องนับถือ และผู้ผ่านการขัดเกลาตนดุจหญ้าแพรกบนดิน สัจจธรรมไม่ได้เห็นแก่เงินทองเป็นที่ตั้ง แต่จะอาศัยคุณธรรมเป็นเครื่องวัด แม้กษัตริย์จะออกบวชก็ไม่ถือศักดิ์ศรี และขอทานออกบวชก็ไม่แบ่งชั้น จะเสมอภาคเท่าเทียมกัน
ที่ข้าฯ ออกบวชในครั้งนี้ก็เพราะพี่ชายและพี่สะใภ้จะให้แต่งงานมีครอบครัว แต่ข้ารู้ว่าตัวเองไม่มีบุพเพในเรื่องนี้ ต้องการอย่างเดียวคือ แสวงหาสัจจธรรม ต่อมาได้พบท่านอาจารย์ตงเอี๊ยงเป็นผู้ถ่ายทอดชี้ธรรมให้ อีกศิษย์พี่แบ้ตังเอี๊ยงช่วยส่งเสริมที่ซัวกก จากนั้นก็พากเพียรพยายามขัดเกลาตัวเองเรื่อยมาจนสำเร็จวิชา
ความทุกข์ยากลำบากที่ต้องดื่มกัน ไม่ต้องพูดถึง พอนับได้ก็มีอยู่ ๗๒ ครั้งที่อดเจียนตาย ที่อดเล็กอดน้อยก็นับครั้งไม่ถ้วน ความทุกข์ลำเค็ญนั้นสุดจะพรรณนา แต่จิตข้าแน่วแน่แข็งแกร่งเป็นหินเหล้กไม่ท้อถอยแม้ตายก็ย่อม ยิ่งประสบเคราะห์กรรมยิ่งเข้มแข็งมั่นคง จากนั้นมาบำเพ็ญทุกข์ที่พวงโคยอีก ๖ ปี จนสิ่นเคราะห์หมดกรรม จึงได้ดวงธรรมปัญญา บำเพ็ญกิจกุศลขอฝนช่วยผู้คน จึงร่ำลืไปไกล ทั้งที่มรรคผลยังไม่เต็มบริบูรณ์เสียทีเดียว
ฉะนั้นผู้ที่ออกบวชจึงต้องมีจิตที่แน่วแน่ ไม่เห็นแก่เกียรติยศเงินตรา ไม่กลัวต่อความยากจนแร้นแค้น ต้องคิดปลงเสียว่าอันกายนี้จะตายไปก็ช่าง ต่อตัวข้าเองต้องการตาย แต่บัดนี้กลับมีชีวิตอยู่และนี่ก็เป็นวิธีขอชีวิตทางหนึ่งตลอดระยะเวลาแห่งการปฏิบัติธรรม
หากไม่ถึงที่สุดแห่งความทุกข์ ปัญญาก็จะไม่บังเกิด
ฉะนั้นพวกท่านสมควรเจอะเจอความทุกข์บ้าง เพื่อให้เกิดปัญญา
การได้รับความทุกข์หนึ่งครั้ง เคราะห์กรรมก็หมดไปอย่างหนึ่ง
ถ้าชนะทุกข์สิบครั้งเคราะห์กรรมก็หมดไปสิบอย่าง....
ขอให้ทุกคนจงทำไปพิจารณาไตร่ตรองให้ดีนะ"
เมื่อท่านคูเชียงชุนพูดจบ เหล่าพี่น้องโจรในอดีต ต่างมิอาจกั้นน้ำตาไว้ได้ ด้วยว่าสงสารท่านอาจารย์ในความทุกข์มหันต์นั้น
ต่อมาท่านคูเชียงชุนก็ได้กำหนดวันและทำพิธีมุ่นผมบวชให้แก่เหล่าพี่น้องอดีตโจรภูเขาเข้าเป็นศิษย์นักพรตต่อไป
"อริยะมรรคสำเร็จแล้ว เสวยเทพแคล้วจากมนุษย์ หากไร้อุปสรรคตามฉุด ที่สุดไฉนชื่อจะลือเลื่อง"
|