ตั้งให้เราเป็นเว็บแรกที่คุณเลือก เก็บเราไว้เป็นเว็บโปรด
สมัครสมาชิก ได้มากกว่าที่คุณคิด เข้าสู่ระบบ
สั่งพิมพ์ ก่อนหน้า ถัดไป

~ หลวงปู่คำคะนิง จุลมณี วัดถ้ำคูหาสวรรค์ ~

[คัดลอกลิงก์]
11#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-10-19 08:55 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
หลวงปู่ถอดจิตไปเยือนจักรวาลแห่งอะโมล็อกโคยาทีป

                   พระอาจารย์ทองสาและพระอาจารย์สุธีได้เป็นผู้ที่เล่าเรื่องของหลวงปู่คำคนิง  ให้ผู้เขียนฟังดังต่อไปนี้
          ในช่วงปี  พ.ศ.2527 ในเดือนมีนาคม  ได้จัดงานครบรอบอายุ 90 ปีให้หลวงปู่  หลวงปู่เกิดอาพาธเจ็บป่วยลง  ท่านไม่ได้บอกกล่าวแก่ผู้ใดโดยปรกติ  ท่านชอบถอดจิตอยู่ข้างนอกเสมอ  เข้าออกภายในถ้ำที่อยู่ปัจจุบันนี้
                          ในตอนเช้าวันหนึ่งหลวงปู่พูดว่า
            “ ฉันเถอะ...อาจารย์จะพักผ่อน ”
                   พอวันที่ 2 ไม่ยอมฉันน้ำเลย  เข้าไปถามไถ่  รู้สึกท่านเปลี่ยนเป็นคนละคน  ดูอารมณ์ไม่ดีเลย  เมื่อใคร ๆ เข้าไปก็โดนไล่ออกมา  พวกเรากำลังจะจัดเตรียมงาน  จะปรึกษาท่านบ้างบางอย่างก็เลยปรึกษาไม่ได้  เพราะท่านไล่ออกมาทุกที
                   อาตมาเลยตัดสินใจเข้าไปสอบถามหลวงปู่ว่า
     “ หลวงปู่เป็นอะไรครับอีกไม่กี่วันก็ถึงวันงานแล้วผมจะมาปรึกษาหลวงปู่เรื่องงาน ”
                    ท่านเลยเล่าความจริงให้ฟังว่า
“ อาจารย์ไม่สบายอยากอยู่เงียบ ๆ เจ้าก็รู้ถ้าอาจารย์ป่วยก็จะไม่หาหมอหรือ  ไปฉีดยาเป็นอันขาด  อาจารย์ถ้าป่วยต้องเอาธรรมรักษาเท่านั้น ”

        นี่เป็นเหตุผลของท่านอย่างหนึ่ง  ถ้าแม้ตัวของอาตมาเองหรืออาจารย์หรือญาติโยมคนไหนก็ตาม  เข้าไปหาหลวงปู่ท่านจะบอกว่า  พวกเทพเทวดานี้จะผละออกห่างจากใจของท่านทำให้ท่านรู้สึกเหนื่อยเหมือนใจจะขาด  แต่ถ้าหลวงปู่อยู่เงียบ ๆ เพียงองค์เดียว  ท่านบอกว่าจะไม่เหนื่อยเลยเพวกเราก็เลยเข้าใจและรู้จุดประสงค์ของท่าน  จึงปล่อยให้อยู่ตามลำพังเพียงองค์เดียวเป็นเวลา 3 วัน  ก็เข้าไปดูท่าน  เห็นว่ายังเป็นปกติดี  ก็ปล่อยให้ท่านนั่งปฏิบัติกรรมฐานต่อไป  เป็นเวลา 10 วัน  ท่านได้เรียกอาตมาให้ไปหาน้ำมาให้ท่านฉัน  แต่ส่วนอาหารนั้นท่านไม่ยอมฉัน

           ต่อมา  ท่านบอกว่าได้ถอดจิตไปไกลเกินไปแล้ว  ตอนกลับมันเลยช้า  ตอนนี้อาจารย์ยังเหนื่อยและ เพลียอยู่มาก  ขอให้อาจารย์พักผ่อนจนแข็งแรง  แล้วจะเล่าอะไรให้พวกเจ้าฟัง  พวกเราได้รอท่านเป็นอาทิตย์แล้วจนใกล้ ๆ มาถึงวันงาน  ท่านก็ยังไม่แข็งแรง  จนงานพุทธาภิเษกปี 27 ไปแล้ว  ท่านจึงเล่าเรื่องนี้ให้ฟังว่า
“ ตอนที่อาจารย์ป่วย  ถ้าพวกเจ้าเข้าไปอาจารย์จะรู้สึกเหนื่อยเพลียจะขาดใจให้ได้  แต่เวลาอยู่องค์เดียวกลับไม่เป็นอะไรเลย ”

         ท่านได้เล่าอีกว่า...มีอยู่วันหนึ่งพญาหงส์ดำตนนี้  เป็นคนที่เกิดก่อนพุทธเจ้าเสียอีก  แต่ว่านับถือพระพุทธเจ้า  เมื่อพระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้วก็ให้รับหน้าที่ว่า  พระองค์ใดที่ปฏิบัติดี  ปฏิบัติชอบ  พระพุทธเจ้าจะให้มาเป็นคนรับหน้าที่  พระอรหันต์องค์ใดเมื่อสิ้นบุญแล้ว  ต้องผ่านพญาหงส์ดำตนนี้เสียก่อน  พอหลวงปู่เกิดอาพาธล้มป่วยลงก็มาชวนหลวงปู่
       “ นี่ท่านอย่ามาทนทุกข์ทรมานอยู่กับร่างกายสังขารนี้เลย  จะพาไปเที่ยว ”

หลวงปู่ก็ไปพญาหงส์ดำบอกว่าต้องไปรายงานบอกพระพุทธเจ้าก่อน  จึงจะออกนอกโลกได้  หลวงปู่ได้เล่าถึงลักษณะที่ไปให้ฟังและเปรียบเทียบว่า  แผ่นดินเรานี้เปรียบเหมือนส่วนหนึ่งของโลก  พอพ้นจากดินไป  ท่านลำดับให้ฟังว่าเป็นน้ำ  น้ำนี้มากกว่าดิน 10 ส่วน  พอพ้นจากน้ำก็เป็นลม 10 ส่วน  ที่เล่ามานี้หมายถึงระยะทางที่ไปกับพญาหงส์ดำนอกโลก  ส่วนลักษณะของลมนั้นท่านบอกว่า  เครื่องบินหรือ  เครื่องยนต์กลไกที่มนุษย์ทำกันเก่ง ๆ ทุกวันนี้ไม่สามารถที่จะไปถึงได้  แต่จะไปได้เพราะธรรมของพระพุทธเจ้าเท่านั้น

            ท่านไปตรงลมแล้วมองลงไป  เห็นไฟอยู่ไกลลิบ ๆ แต่ลุกแดงฉานลักษณะคล้าย ๆ ภูเขา  แต่มากกว่าลมเป็น 10 เท่า  ที่ว่าเป็นไฟลุกแดงฉานนั้นแหละ  หลวงปู่เปรียบเทียบให้ฟังอย่างนั้น  ลักษณะเดียวกันท่านก็มองออกไปอีกด้านหนึ่ง  เห็นเหมือนแก้วจะเป็นเพชรก็ไม่ใช่  เป็นแก้วก็ไม่เชิงท่านว่าอย่างนั้น  อยู่อีกมุมหนึ่ง แต่สูงพอ ๆกับไฟที่ลุกแดงฉานคล้ายภูเขาที่ว่านี่แหละ  ทีนี้แสงไฟได้ไปกระทบกับแก้วหรือเพชรที่ท่านเห็น  มันสว่างไปหมด  แล้วพอหลวงปู่มองลงมาที่โลกมนุษย์เรานี้  ท่านบอกว่าโลกเรานั้นสูงไกล  แล้วทีนี้พอท่านไปถึง  ก็เห็นมีคนเยอะแยะ  คล้าย ๆ กับคนในบ้านเราหรือในประเทศไทยของเราเอง  พวกคนเหล่านั้นเห็นและก็ได้ถามหลวงปู่ว่า  ท่านมาได้ยังไง  ทุกคนยังแปลกใจท่านอยู่
12#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-10-19 08:55 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ครั้งหนึ่งมีพระภิกษุองค์หนึ่ง ไม่ทราบชื่ออะไร  ข้าพเจ้าก็ลืมมีญาติพี่น้องอยู่ที่อำเภอโขงเจียมนี้เอง  พระภิกษุรูปนี้ได้มาอยู่กับหลวงปู่ครั้งหนึ่ง  แล้วท่านก็ไปจำพรรษาอีกที

      หลวงปู่ท่านมีอุปนิสัยอย่างหนึ่ง  คือ  พระภิกษุที่ได้มาอยู่ร่วมกับท่านแล้ว  ในเมื่อออกจากท่านไป  ท่านจะไม่รับให้กลับเข้ามาอยู่อีก  ไม่ว่าจะมาขออ้อนวอนใด ๆ ก็ตาม

      ต่อมาไม่นานนักพระภิกษุรูปนั้น  ก็เกิดป่วยสุขภาพไม่ค่อยจะดี  จึงได้กลับมาขออยู่กับหลวงปู่อีก  หลวงปู่ท่านให้การปฏิเสธไม่ให้อยู่แต่ถ้าจะมาตายก็อยู่ได้  ก็เป็นอันว่าพระภิกษุรูปนั้นก็ได้กลับเข้ามาอยู่  และได้รักษาตัวไปด้วย

        หลวงปู่ท่านเคยทำสมาธิแล้วตายไปถึงสองครั้ง  ข้าพเจ้าจำไม่ได้ว่าครั้งไหน  หลวงปู่ท่านได้ตายไปสามวัน  พวกชาวบ้านต่างก็มาทำโลงศพให้ท่าน โดยมีพระภิกษุรูปที่ข้าพเจ้ากำลังกล่าวถึง  วันนี้เป็นหัวหน้าทำโลงศพให้หลวงปู่ท่าน  ประดับด้วยลวดลายวิจิตรตระการตา  หลังจากทำโลงศพเสร็จเรียบร้อยแล้ว  พวกชาวบ้านต่างก็จะจัดเตรียมงานเผาศพให้ท่านก็พอดีร่างกายของท่านเริ่มกลับคืนสู่สภาพ  อบอุ่นขึ้นทีละน้อย  จนเข้าสู่สภาวะปกติ  หลวงปู่ท่านก็ได้เล่าการตายของท่านในครั้งนี้  ได้ไปเที่ยวชมเมืองนรก  ซึ่งท่านเรียกว่า “ ศาลาพันห้อง ”

         หลังจากหลวงปู่ได้ยินยอมให้พระภิกษุผู้ที่ได้เคยทำโลงศพให้ท่านเมื่อครั้งก่อน  กลับเข้ามาอยู่ด้วยอีกครั้ง  ด้วยว่าเพื่อที่จะขอมาตายที่นี่ต่อมาในกลางฤดูเข้าพรรษา  พระภิกษุรูปนี้  ได้ถึงแก่มรณภาพตามสัจจะวาจาของหลวงปู่ที่ได้พูดเอาไว้  โลงศพซึ่งผู้ตายได้เคยทำขึ้น  หวังจะใส่ร่างของหลวงปู่ก็ต้องกลับมาใส่ร่างของตัวเอง
         
       หีบโลงศพใบที่สาม  เมื่อข้าพเจ้ากับพระอาจารย์ทองสาได้เข้ามาอยู่กับหลวงปู่ท่าน  ข้าพเจ้าเคยพูดกับหลวงปู่เสมอ  จะไปซื้อโลงศพลงรักปิดทองที่สวยที่สุดมาให้  และต่อมาไม่นานข้าพเจ้าได้สั่งซื้อมาในราคาหมื่นกว่าบาท  เมื่อนำมาถึงที่วัด  ข้าพเจ้าได้นำไปติดตั้งในห้องจำวัดของท่าน  ข้าพเจ้าและพระอาจารย์ทองสาเห็นหลวงปู่ท่านมีความปิติปลื้มใจในศิษย์ทั้งสองมาก  หลวงปู่ท่านจึงได้สั่งเสียไว้กับข้าพเจ้าและท่านอาจารย์ทองสา

“ โลงทองใบนี้อย่าได้ทำลายหรือเผานะหลังจากอาจารย์ตายและได้ใส่โลงทองใบนี้แล้ว  ขอให้เจ้าทั้งสองเก็บรักษาไว้  เมื่อถึงคราวสุธีตายก็เอาโลงทองใบนี้ใส่  เราสามคนได้ไปอยู่ที่เดียวกันนี้ ”

นี่คือคำสั่งเสียของหลวงปู่ท่าน

                  ข้าพเจ้าก็พูดเป็นเชิงเล่นกับหลวงปู่ท่านว่า  ไม่เอา...ข้าพเจ้าจะหาใบใหม่  เพราะไม่รู้เหมือนกันว่าตัวเองจะไปตายที่ไหน
13#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-10-19 08:56 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
หลวงปู่แสดงฤทธิ์ให้ข้าพเจ้าเห็น

      ผม  อาจารย์สุธี  จะขอเล่าเรื่องปาฏิหาริย์เล็ก ๆ น้อย ๆที่ประสบมากับตัวเองให้ฟังว่า  เมื่อช่วงเดือนมีนาคม ใกล้ ๆ วันที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2528 นี้เอง  ทางผมกับอาจารย์ทองสาและญาติโยมได้ร่วมกันจัดงานฉลองอายุหลวงปู่ซึ่งปีนี้อาตมาได้จัดเสียใหญ่โต  แล้วก็ปรากฏว่าช่วงนั้นภูมิอากาศก็ไม่ค่อยจะดีนัก
           
         ทีนี้  พอเหลืออีกสามวัน  อาตมาก็ได้ตกแต่งสถานที่  เรียกว่าลงทุนกันซื้อผ้าใหม่ ๆ มาทำม่าน  และอะไรต่าง ๆ อีกหลายอย่างก็ปรากฏว่าฝนตั้งเค้ามาอย่างขนาดหนัก  อาตมาเห็นเข้าก็ใจไม่ดีวิ่งไปบอกกับหลวงปู่ว่าจะทำยังไงกันดี  ปะรำเวทีที่จะทำพิธีต่าง ๆ ซึ่งมุงหลังคาด้วยหญ้าคาธรรมดาไม่สามารถจะกันฝนได้  และจะทำให้ข้าวของเสียหายหมด  และขอร้องหลวงปู่  ให้ช่วยบอกเทวดาขออย่าให้ตกที่นี่เลย  ให้ไปตกที่อื่นก่อน
                             
        รู้สึกว่าท่านจะนิ่งไปสักพักหนึ่ง  แล้วก็ถามอาตมาว่าเหลืออีก 2 วันท่านก็บอกว่าอย่างนั้นไม่เป็นไร  อาจารย์ขอเขาแล้ว  และทางเขาก็ตกลงแต่มีข้อแม้อยู่ว่าฝนไม่ตกก็ได้  แต่ต้องมีลมนะ  อาตมาก็บอกกับท่านว่ายอมตกลงปรากฏว่าช่วงนั้นพายุได้กระหน่ำมาทั้งลมทั้งฝน  แต่เป็นฝนปรอย ๆ จะหนักไปทางด้านลมมากกว่า             และที่วัดซึ่งกำลังตกแต่งสถานที่อย่างสวยงาม  พอโดนลมพัดกระหน่ำ  ข้าวของนั้นได้กระจัดกระจายเสียหายหมดเลย  แต่พอมองไปทางฝั่งลาวนั้น  เห็นฝนตกเสียขาวโพลน  มองแทบไม่เห็นภูเขาแม้แต่โยมที่มาจากตระการหรือพิบูลก็ตาม  พอมาถึงที่วัดก็แปลกใจว่า เอ๊ะ...ทำไมที่วัดฝนตกปรอย ๆ แต่ทางรอบนอกกลับมีฝนลงกระหน่ำไปหมด  จนทางแทบจะเสียหายมาไม่ได้

          เรื่องนี้อาตมาก็แปลกใจอยู่เหมือนกันว่า  ทำไมท่านถึงมีบุญฤทธิ์และอิทธิฤทธิ์สามารถห้ามฝนได้  หรืออาจจะเรียกว่าขอกับเทพเทวดาได้ทีนี้พอถึงช่วงวันงาน  ท่านได้สั่งกับอาตมาว่า นับจากวันนี้ไป  ที่ได้ต่อรองขอฝนนั้น  พอวันงานให้ลั่นฆ้อง  ซึ่งฆ้องนี้ให้ตีไม่ให้ขาดระยะเลย  จนกว่าจะเสร็จสิ้นงาน  ถ้าหยุดตีเมื่อไหร่  หลวงปู่ท่านบอกว่าเทพเทวดาท่านจะไม่รับรอง  เพราะว่าได้ต่อรองขอเบื้องล่างเบื้องบนแล้วว่า  ให้ตีฆ้องนี้เป็นสัญญาณว่าที่ถ้ำคูหาสวรรค์นี้ได้จัดงานอย่าให้มีฝน  อย่าให้มีลมให้ตีทุกระยะจนกว่าจะสิ้นสุดงานเลย  ถ้าขาดเมื่อไรก็จะไม่รับรอบเรื่องฝนหรือลม  ปรากฏว่าในงานวันนั้น  ญาติโยมที่มาในงานบุญหลวงปู่นั้น  มีจิตศรัทธาตั้งใจตีกันจนสว่างไม่ได้หลับไม่ได้นอนกันเลย  นี่เป็นเรื่องแปลกอีกเรื่องหนึ่ง
14#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-10-19 08:56 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
คราวก่อนนั้นเมื่อปี 2527 ก็เหมือนกัน  ในวันที่ 16 มีนาคม  พวกเราได้จัดงานฉลองบุญอายุของหลวงปู่  นี่ก็เป็นเรื่องแปลก  วันนั้นฝนไม่ตก  แต่พอเสร็จงานปรากฏว่าได้มีพายุกระหน่ำขนาดหนัก  จนทำให้ปะรำพิธีล้มระเนระนาดไปหมด  พวกเราไม่ต้องเก็บเลย  ลมเก็บให้หมดแล้วเรียบร้อย  อันนี้เป็นที่แปลกที่ประสบกับอาตมา  ซึ่งเป็นพระอุปัฏฐากหลวงปู่  แล้วก็มีญาติโยมหลายคนที่จะมานมัสการหลวงปู่  มาจากทางไกลก็ดี  หรือจากบางจังหวัดที่อยู่ใกล้ ๆ พอมาถึง  หลวงปู่ก็มักจะทักทายทำนายจนเป็นที่พออกพอใจ  ของญาติโยมทุกคน  จนกระทั่งบางคนน้ำตาไหลก็ดี  เพราะว่าที่ท่านทักนั้น  ท่านใช้วิชาเกี่ยวกับหูทิพย์  ตาทิพย์  ใจทิพย์สามารถหยั่งรู้ถึงอนาคต  ปัจจุบันและอดีตได้ทั้งหมด  ซึ่งคนธรรมดาไม่สามารถที่จักมีคุณธรรมพิเศษนี้ได้  นอกจากว่าเป็นพระที่ต้องปฏิบัติกรรมฐานและต้องมีความชำนาญจนกระทั่งได้อภิญญาขึ้นไป  หรือไม่ต่ำกว่าอภิญญาก็ต้องได้วิชาสามคือเจโต  สามารถหยั่งรู้ใจทิพย์จักษุญาณ  คือตาทิพย์  อนาคตังสญาณ  แล้วก็ปัจจุบันนังสญาณคือตั้งแต่พระที่ระดับอนาคามี  ซึ่งรู้เกี่ยวกับพระที่มีการปฏิบัติเคร่งหรือพระที่มีคุณธรรมพิเศษขึ้นไป
                             
         อาตมานั้นได้มาอยู่กับหลวงปู่เข้าปีที่ 3 แล้ว  หลวงปู่มักจะแสดงธรรมเป็นประจำในเรื่องของญาณ 8 ซึ่งอาตมาได้ประสบมากับตัวเองและสามารถจะยืนยันได้ว่า  หลวงปู่นั้นท่านไม่ใช่พระธรรมดา  ต่อมาอาตมาก็เคยถามท่านเกี่ยวกับหูทิพย์ว่า  หลวงปู่เคยดักฟังคนที่กำลังพูดถึงท่าน  ซึ่งคนนั้นอยู่อีกที่หนึ่งและห่างจากวัดมาก  ถ้าคิดเป็นระยะทางก็ประมาณ 30 กว่ากิโลเมตร  ประมาณอำเภอพิบูลมังสาหาร  กับอำเภอโขงเจียม  ท่านบอกว่าสบายมากเลยในการที่จะดักฟังว่าคนนั้นเขาจะพูดดีหรือพูดร้ายสามารถฟังได้สบาย  และอาตมาก็ถามหลวงปู่อีกว่า  แล้วคนที่อยู่กรุงเทพฯ ล่ะ  หลวงปู่สามารถฟังได้สบายมั้ย  หลวงปู่ก็พูดว่าอาจจะใช้กำลังสูงหน่อยเพราะท่านก็อยู่ในวัยชรา  และถ้าใช้กำลังมากนั้นบางทีอาจจะทำให้ท่านถึงแก่ชีวิต  แต่ท่านบอกว่าถ้าท่านมีสุขภาพแข็งแรงอายุสัก 60-80 พรรษา  ก็จะทำได้ไม่ยาก  แต่นี่ท่านอายุ 90-91 พรรษาเข้าไปแล้ว  ท่านบอกว่ามันอันตราย  แต่สำหรับระยะทางเขตอำเภอโขงเจียมถึงอำเภอพิบูลฯ ไม่เกิน 90-100 กิโลเมตรนี้  ท่านบอกสบายมากในการที่จะใช้หูทิพย์
15#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-10-19 08:57 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
บ่อนํ้าเทวดา



          มีอยู่ตอนหนึ่งหลวงปู่เคยกล่าวถึงว่า  เมื่ออดีตกาลนั้นที่แห่งนี้ยังไม่มีมนุษย์หรือสัตว์ต่าง ๆ อยู่เป็นเมืองของราชสีห์ 7 ตัว  สมัยนั้นมีหน่อเงินทองคำมากมาย  ราชสีห์ทั้ง 7 นี้จะมากิน  หน่อเงินหน่อทองคำแทนอาหาร  แต่พอถึงหน้าแล้งน้ำจะกันดาร  อยู่นี่พระภูมิไม่ช่วยมันก็ลำบาก  จะย้ายไปอยู่ที่อื่นมันก็ไม่ได้  เพราะเมื่อตอนมาอยู่ใหม่ ๆ พระภูมิที่นี่ขอร้องหลวงปู่ว่าอย่าหนีเลยและนิมนต์จะช่วยเรื่องน้ำไม่ยากหรอก  พระภูมิพูดกับหลวงปู่  หลวงปู่ถามว่าจะช่วยจริงหรือ  แล้วท่านก็ทำสมาธิได้เห็น  คือ  ตรงหน้าถ้ำนั้นได้มีน้ำหยดลงมา  เมื่อท่านได้ยินเสียงน้ำหยดแหมะ ๆ ท่านก็ตื่นขึ้นจากการทำสมาธิ  และเพราะความอยากได้น้ำ  ท่านก็ออกไปล้างถังให้สะอาด  แล้วเอามารองตรงที่เห็น  รอยน้ำหยดออกมาอยู่  คิดว่าน้ำหยดทีละนิดอย่างนี้ถึงเช้าก็คงไม่เต็มถัง  จะได้ใช้ล้างหน้าตาให้สบาย  ท่านคิดอย่างนั้น  พอเอาถังมารองก็กลับเข้าไปในถ้ำทำสมาธิต่อ  พอถึงรุ่งเช้าท่านออกมาดูปรากฏว่าไม่มีน้ำเลยในถังนั้น  และไม่มีรอยน้ำเปียกให้เห็นเลย

          พอถึงกลางคืนหลวงปู่ก็มาดูว่าจะมีน้ำหรือเปล่า  แต่ปรากฏว่าไม่มีก็ได้ไปบอกกับภูมิว่าจะโกหกหลองลวงท่านหรือ  บอกว่าจะช่วยแต่ไม่ช่วยจริง  ภูมิได้ยินเช่นนั้นก็บอกกับหลวงปู่ว่า รับปากว่าจะช่วยจริง  แต่ท่านทำผิด  ท่านได้เอาถังมารอง  มันก็เลยไม่ไหล  ตอนนั้นหลวงปู่ยังไม่เชื่อ

        ในที่สุด  ภูมิบอกอีกว่า  พรุ่งนี้เช้าให้ท่านไปดูหลังถ้ำ  และขึ้นไปจะเห็นเป็นรอยขีดกากบาท  และมีวงกลมรอบอีกชั้นหนึ่ง  ในนิมิตภูมิบอกว่าอย่างนั้น  พอถึงตอนเช้าหลวงปู่ขึ้นไปดู  ไม่รู้เป็นรอยหินหรือรอยอะไร  เห็นไม่ถนัดนัก  หลวงปู่เลยเข้าใจว่าเป็นตรงนี้แหละ

       หลวงปู่บอกอีกว่าช่วงนั้นประเทศลาวแตกใหม่ ๆ พวกคนลาวได้อพยพมาอาศัยอยู่กับหลวงปู่  ท่านเกณฑ์คนพวกนั้นให้ไปช่วยขุด  มีหินอยู่เล็กน้อยและมีทราย  ก็ขุดลงไปเรื่อย ๆ จนกว้างออกเป็นสระ  ที่อาตมาได้ขนดินมาถม 50 กว่าคันรถ  เวลานี้หลังถ้ำก็เลยเรียบ  แต่ก่อนมันเป็นหนองน้ำต่อมา  หลวงปู่ก็ไม่เห็นมีอะไรเลยในบ่อที่ขุดนั้น  ท่านก็ว่าภูมิโกหกอีกแล้ว

    ท่านได้มานั่งสมาธิและต่อว่ากับภูมิว่า  ท่านโกหกอาตมาถึง 2 ครั้ง 2 คราแล้วนะ  ภูมิได้ยินดังนั้นก็บอกว่าไม่ได้โกหกท่านเป็นเช่นอย่างที่บอกจริง  แต่อยู่เหนือขึ้นไปอีก  ลองไปดูใหม่เถอะ  ต่อมาพอถึงรุ่งเช้า  หลวงปู่ได้ออกมาดูอีก  ก็เห็นเป็นเช่นนั้นจริง  เพราะมีรอยขีดอย่างที่ภูมิบอกไว้เลยว่าจ้างชาวบ้านแถวนั้นให้มาเจาะหิน  หลวงปู่จะให้ค่าจ้าง 1,500 บาททำอยู่ 3 วัน  เจาะลงไปได้ไม่เท่าไหร่  พวกชาวบ้านเหล่านั้นไม่ยอมทำต่อเพราะเหตุใดไม่รู้ได้  พวกเขาเหล่านั้นไม่ยอมเอาเงิน  และไม่ขอทำต่อด้วย  แม้แต่ชาวบ้านด่านก็หาว่าหลวงปู่สติไม่ดี  เพ้อเจ้อไปเองมากกว่า

ขออภัย! โพสต์นี้มีไฟล์แนบหรือรูปภาพที่ไม่ได้รับอนุญาตให้คุณเข้าถึง

คุณจำเป็นต้อง ลงชื่อเข้าใช้ เพื่อดาวน์โหลดหรือดูไฟล์แนบนี้ คุณยังไม่มีบัญชีใช่ไหม? ลงทะเบียน

x
16#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-10-19 08:57 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ตอนที่ขุดบ่อพระลานหินชาวบ้านก็บอกว่า  ไม่มีน้ำหรอกแต่ท่านไม่สนใจ  เพราะเชื่อมั่นว่าตรงนั้นต้องมีน้ำอยู่จริง  ต้องพยายามดูอีกสักครั้งต่อมาก็ได้ให้พวกกลุ่มคนลาวเหล่านั้นให้มาช่วยขุด  ตอนแรกพวกนั้นก็งงไปตาม ๆ กัน  คิดว่าหลวงปู่คิดยังไงขึ้นมาให้ไปขุดตรงพระลานหิน  หลวงปู่สั่งให้เอาชะแลงและสกัดไปกันหลายคน  จะได้ช่วยกัน  ท่านก็พาไปขุดที่เก่า  ที่เคยให้ชาวบ้านขุดก่อนนั้น  ทำเอาไว้หน่อยเดียว  พอมาถึงบ่อพระลานหินก็ลงมือช่วยกันขุดทันที  คนเหล่านั้นได้เอาชะแลงไปกระทุ้งรอบ ๆ บ่อ รู้สึกมีหินก้อนใหญ่ก้อนหนึ่งได้เขยื้อนไปมา  หลวงปู่  เห็นดังนั้นก็สั่งให้คนเหล่านั้นเอาชะแลงงัดก้อนหินก้อนนั้นออกมา  พองัดออกมาแล้ว  ดินบริเวณแถวนั้นได้ยุบลงไปทันที  ดินแถวนั้นเป็นทรายปนหินเล็กน้อย  ท่านสั่งให้ขุดกว้าง ๆ แล้วช่วยกันขนหินกับทรายไว้นอกบ่อ  ปรากฏว่าพอขนทรายและหินออกหมดแล้ว จะมีตาน้ำอยู่ที่หนึ่งได้มีน้ำไหลออกมา  แต่ไหลพักเดียวเท่านั้นพอปล่อยช่วงไว้สักพัก  น้ำไหลลงมาจนเต็มบ่อที่ขุดไว้  หลวงปู่ได้เล่าลักษณะของน้ำในบ่อให้ฟังว่า  ในบ่อน้ำนั้นเห็นมีคราบเหลือง ๆ ลอยอยู่เหนือน้ำเหมือนทองคำ  และน้ำใสสะอาดเวลาเอามาดื่มจะไม่มีรสเปรี้ยวเลย  และไม่ฝาดด้วย  เวลาท่านเอามือไปช้อนคราบนั้นขึ้นมากำไว้ จะได้ยินเสียงกร๊อบแกร๊บ ๆ พอหลายปีนานเข้าคราบเหล่านั้นก็หายไปเอง
                     
         ต่อมา  หลวงปู่ได้บอกแก่ญาติโยมทั้งหลาย  พวกเราเอาท่อต่อกันใช้ตามบ้านจากบ่อน้ำจนทุกวันนี้  แต่พอถึงหน้าแล้งเดือนเมษา  น้ำจะขาดประมาณเดือนเศษ  และพอหน้าฝนน้ำนั้นจะไหลอยู่ตลอดเวลา  ท่านบอกว่าถ้าสามารถมีแทงก์ก็เก็บน้ำไว้ก็ดี  จะได้ไว้ใช้ตอนหน้าแล้งของทุกปี  ก็จบเพียงแค่นี้
                     
         ข้าพเจ้าได้อยู่รับใช้หลวงปู่มาตลอด 4 พรรษา  หลวงปู่ท่านมักจะพูดเป็นนัยให้ข้าพเจ้าได้ยินอยู่เสมอว่า “อาจารย์นี้แหละลูกแข้งลำขาของพระพุทธเจ้าแหละ” หรือบางครั้งบางคราวข้าพเจ้าก็ได้ยินท่านพูดเป็นนัยว่า “อาจารย์นี้แหละเหมือนพระพุทธเจ้าทุกอย่าง  ตรัสรู้เห็นจริงในธรรมะ 84,000พระธรรมขันธ์เหมือนพระพุทธเจ้า แต่อาจารย์ไม่ใช่พระพุทธเจ้า” หลวงปู่ท่านพูดกับข้าพเจ้าเสมอเรื่องงานบุญธาตุพนม

     ทุกปีพระองค์ท่านจะเสด็จโปรดสัตว์  และจะมาหาหลวงปู่เสมอ  มีรับสั่งให้หลวงปู่กระทำภารกิจให้พระองค์ท่าน  เพื่อต่ออายุศาสนาอยู่เสมอหลวงปู่ท่านพูดเสมอว่า  ไม่อยากโปรดมนุษย์เท่าไหร่นัก  เพราะมนุษย์นี้สอนยาก  ส่วนมากแล้วจะโปรดแสดงธรรมแก่เหล่าเทพยดาพรหมเสียเป็นส่วนมาก  โดยเฉพาะที่บริเวณหน้าห้องของหลวงปู่  มีเทพยดาและพรหมมาฟังธรรมทุกวันอย่างละ 7 หมื่นองค์เป็นประจำ  หรือบางทีทุกวันพระ  หลวงปู่ท่านจะต้องเข้านอนครองผ้า  เพื่อถอดจิตขึ้นไปสู่เทวโลกและพรหมโลก  ตามคำทูลอาราธนาเพื่อไปแสดงธรรมโปรดเหล่าเทพ

ข้าพเจ้าผู้เขียนได้ยินหลวงปู่ท่านพูดให้ข้าพเจ้าฟังมา  และบางทีข้าพเจ้าก็ได้ถามท่านเอง
17#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-10-19 08:57 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ยืนเป็น.. นอนตาย..

         

          ภาพที่ปรากฏต่อหน้าชาวบ้านที่ออกหาของป่าไปขาย 2 คน  ยากอธิบายความรู้สึกได้ชัดเจน  นอกจากผู้ใดเห็นภาพเช่นนั้นแล้วจะบอกกับตัวเองได้ถูกเพราะต่างจิตต่างใจกันลองเทียบกับตัวท่านดู  หากไปพบภาพเช่นว่าอย่างไม่คาดคิดมาก่อน  ท่านจะรู้สึกอย่างไร  ร่างมนุษย์อย่างเรา ๆ นี้แหละผมเผ้าหนวดเครารุ่มร่าม  มองแทบไม่งเห็นผิวว่าขาวหรือดำ  เพราะแมลงวันตัวดำ ๆ รุมเกาะเต็มคล้ายผึ้งตอมรังจนไม่เห็นรวง  นอกจากนั้นยังมีปลวกรังใหญ่  ตั้งแต่พื้นหุ้มร่างขึ้นไปถึงหัวเข่า  ชาวบ้านทั้งกลุ่มจึงพากันเข้าไปดูใกล้ ๆ ให้แน่ชัดว่าอะไรกันแน่  แมลงที่เกาะร่างแตกฮือ  เห็นผิวหนังขาวซีดเมื่อจับต้อง  ปรากฏว่าแข็งเฉียบปานท่อนไม้  หุ้มร่างด้วยชุดชีปะขาวแต่ด่างดำด้วยขี้แมลงวันทั้งผ้าขาวกับผิวขาว
              “ คงยืนตายนานแล้วเนาะ ”   หนึ่งในหมู่ชาวบ้านออกความเห็น
            “ ช่วยเผาเอาบุญกันเถอะ ”    อีกคนเสนอแนะ
                    
      ไม่มีใครขัดจึงช่วยกันกระทุ้งจอมปลวกที่หุ้มขาร่างชีปะขาวตั้งแต่เดินถึงหัวเข่าออกอุ้มร่างที่แข็งเหมือนไม้นอนราบพื้น  หาน้ำมาชะล้างขี้แมลงวันตามเนื้อตัวจนสะอาด  เมื่อเข้าไปในถ้ำที่ชีปะขาวยืนแข็งตรงปากทางก็เห็นเครื่องใช้สอยจำเป็นอยู่ครบเอาผ้ามาคลุมร่างนั้นอย่างเรียบร้อย

                       “ ไปบอกพวกชาวบ้านมาช่วยกันเผาศพผ้าขาวคนนี้ดีกว่า ”
  
       หัวหน้าหมู่บ้านกล่าวเป็นเชิงให้พรรคพวก เข้าไปแจ้งข่าวกับเพื่อนว่าพบ “ ผ้าขาว ” หรือชีปะขาวยืนตายปากถ้ำ  มาช่วยกันคนละไม้คนละมือเผาท่านเอาบุญ

      เชื่อกันว่าเผาศพ “ นักบุญ ” จะได้บุญขึ้นสวรรค์  ชาวบ้านจึงพากันยกขบวนมามีหลายคนเห็นชีปะขาวผู้นำ  บำเพ็ญเพียรอยู่ในถ้ำภูอีด่างนี้มาหลายปีแล้ว  แต่ไม่ได้สนใจเพราะถ้ำนี้สงบวิเวก  บรรดานักพรต  ฤาษีชีไพรแม้พระธุดงค์ชอบบำเพ็ญเพียรภาวนาบ่อย ๆ ผลัดเปลี่ยนเวียนเสมอไม่ประจำ  จึงไม่ค่อยสังเกตกันว่าใครมา  ภูอีด่างอยู่ในเมืองปากเซ  แขวงนครจำปาศักดิ์  ของราชอาณาจักรลาว

      สมัยที่ยังไม่ถูกฝ่ายคอมมิวนิสต์เข้ายึดครองเช่นปัจจุบันการสัญจร  ไม่มาติดต่อระหว่างคนไทยและคนลาวสะดวกมากถือเป็นบ้านพี่เมืองน้องถ้อยทีถ้อยอาศัย  เหล่าครูบาอาจารย์ซึ่งเป็น “พระป่า” ธุดงค์  โดยเฉพาะระดับหลวงปู่ทุกวันนี้ สมัยท่านยังเป็นหนุ่มฉกรรจ์บุกป่าฝ่าหนามได้คล่องแคล่วล้วนนิยมข้ามแม่น้ำโขงไปทางฝั่งลาวแสวงหาครูบาอาจารย์เก่ง ๆ บ้าง  แสวงหาที่วิเวกบำเพ็ญธรรมให้บรรลุตามตั้งหวังบ้าง  ที่แสวงหาครูบาอาจารย์ทางเวทมนตร์คาถาอาคมมาก  เพราะฝั่งลาวและเขมรมีครูบาอาจารย์  เก่งทางไสยศาสตร์อาคมขลังและมนต์ดำมากมาย

      ดังเช่นชีปะขาวที่ยืนแข็งเป็นท่อนไม้ให้ปลวกทำรังหุ้มขาจนถึงหัวเข่าผู้นี้  เมื่อชาวบ้านนำร่างมานอนราบกับพื้น  ตามพรรคพวกในหมู่บ้านมาช่วยกันจัดการเผาศพ  ร่างที่เย็นเฉียบแต่แรกกลายเป็นอุ่นขึ้นทีละน้อยอย่างเด่นชัด  เมื่อสัมผัสในเวลาต่อมา “ยังไม่ตาย  ท่านยังไม่ตาย ตัวอุ่นขึ้นแล้ว” หัวหน้ากลุ่มตื่นเต้นมากอดทึ่งไม่ได้  ตอนแรกเห็นชัด ๆ ว่าตายจนตัวแข็งเป็นท่อนไม้  และทำไมพอจับนอนลงกลับฟื้นขึ้นชวนอัศจรรย์
18#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-10-19 08:57 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
“ เอาน้ำหยอดปากท่านซิ ”  ผู้รู้เรื่องด้านความเป็นความตายพอสมควรแนะนำ  พร้อมเหตุผลว่าคนที่ตายหรือสลบไปแล้วฟื้น  จะรู้สึกคอแห้ง  ถ้าหยอดน้ำจะช่วยให้ความรู้สึกคืนกลับเร็วขึ้น  ชาวบ้านส่วนใหญ่เห็นว่าไม่ตาย  ไม่จำเป็นต้องเผา  ต่างทยอยกันกลับ  แต่ก็จัดเวรยามช่วยดูแลชีปะขาวที่นอนตัวแข็งไม่กระดุกกระดิก  โดยอุ้มเข้าไปไว้ในถ้ำค่อนข้างอุ่นกว่าข้างนอกที่มีลมแรง  และน้ำค้างกลางคือ  เวลาผ่านไปจากวัน  เป็นสอง  เป็นสาม

      ชาวบ้านก็เปลี่ยนเวรกันหยอดน้ำใส่ปากชีปะขาว  ผมเผ้าหนวดเครารุงรังนั้นเป็นระยะ  กระทั่งย่างเข้าสัปดาห์ที่ 2 ทุกคนก็หายใจโล่ง  บรรลุความสมหวัง
                     
                           ท่านขยับตัวและลืมตาขึ้น  เหมือนคนที่พึ่งตื่นจากหลับ  แต่ที่จะได้รับการขอบอกขอบใจที่ช่วยชุบชีวิต  ชาวบ้านกลับหน้าเสียเมื่อท่านลุกขึ้นนั่งและพูดเสียงดุ ๆ
                    “ มายุ่งกับอาตมาทำไมกันนี่ ”

              “ เราออกหาของป่าเห็นท่านยืนตัวแข็ง  จอมปลวกสูงขึ้นถึงหัวเข่าคิดจะเผาท่านเอาบุญ  แต่สังเกตุเห็นท่านยังไม่มรณภาพเลยช่วยมาสิบกว่าวันแล้ว ”

“ เสียดาย...เสียดายจริง ๆ ”      ชีปะขาวส่ายหน้าเหมือนผิดหวัง

“ท่านเสียดายอะไร” ชาวบ้านพากันงง  และเมื่อเรียกมาฟังชีปะขาวทั้งหมู่บ้าน  แล้วท่านก็เล่าว่า
           
          “ อาตมาหลบมาบำเพ็ญเพียรด้วยการยืนทำสมาธิ  ปากถ้ำเร้นลับจากสายตาชาวบ้าน  เพื่อจะมุ่งให้บรรลุหลุดพ้นไปสู่พระนิพพานของพระพุทธเจ้าองค์ซึ่งไม่ยอมนั่ง  ไม่ยอมนอน  ไม่เคลื่อนไหว  ไม่กินอะไรทั้งสิ้นแม้แต่น้ำ ”
          ท่านกล่าวช้า ๆ  ชาวบ้านนั่งฟังอย่างสงบ
           
           “ ตั้งแต่ต้นจนบัดนี้เข้าสี่พรรษาแล้ว  ปลวกจะทำรังรอบขา ”
19#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-10-19 08:57 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
อิทธิฤิทธิ์พญานาค

          ในตำนานพระพุทธชัยมงคลคาถาบทที่ 7 มีเรื่องเกี่ยวกับพญานาคว่าสมัยหนึ่งสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประทับอยู่ในเพระเชตวันมหาวิหาร  วันหนึ่งทรงรับนิมนต์ที่จะเสด็จไปฉันภัตตาหารที่บ้านของอนาถบิณฑิกเศรษฐีในวันรุ่งขึ้น

               ครั้นเวลาใกล้รุ่ง  พระองค์ทรงพิจารณาดูหมู่เวไนยสัตว์ปรากฏว่าพญานันโทปะนันทะนาคราชเข้ามาปรากฏอยู่ในข่ายของพระญาณของพระองค์  พระพุทธองค์ทรงพระดำริว่า  พญานาคราชนี้เป็นสัตว์เดรัจฉาน  มีวาสนาเข้ามาข้องในข่ายพระญาณของเราตถาคต  ควรที่เราตถาคตจะเสด็จไปโปรด  แต่พญานันโทปะนันทะนาคราชนี้  ประกอบด้วยมหิทธิฤทธิ์ศักดานุภาพยิ่งนักและเป็นมิจฉาทิฏฐิ  ผู้ที่จะทรมานทำให้หมดพยศร้ายได้นั้นจะต้องประกอบไปด้วยมหิทธิฤทธิ์อันพิเศษ  พระโมคคัลลานะเถระมีความสามารถที่จะทรมานพญานันโทปะนันทะนาคราชให้หมดพยศร้ายได้  พอได้เวลาจึงเสด็จออกจากพระคันธกุฏี  แล้วมีพระดำรัสสั่งให้พระอานนท์นิมนต์พระภิกษุสงฆ์มาประชุมพร้อมกัน  แล้วทรงอธิษฐานว่า  ขอให้เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายมองเห็นพระตถาคตและพระอรหันต์ทั้งหลายในกาลบัดนี้
           
        ครั้งทรงอธิษฐานแล้ว  ก็ทรงพาหมู่ภิกษุสงฆ์ทั้งหลายเหาะมาโดยทางนภากาศมาสู่สวรรค์เทวโลก  เมื่อเสด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จพระพุทธดำเนินไปในอากาศนั้น  ประกอบด้วยพระรัศมีอันสว่างไสว  วันนั้น  พญานันโทปะนันทะนาคราชได้แลเห็นสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็บังเกิดความพิโรธยิ่งนัก  จึงคำรามว่า  สมณะโล้นเหล่านี้จะได้ยำเกรงเราสักนิดก็ไม่มี  พาพรรคพวกเหาะมาบัดนี้  ชะรอยว่าจะไปสู่ดาวดึงส์พิภพกระมัง  ถ้าเหาะไปทางอื่นก็ช่างเถิดแต่ถ้าเหาะข้ามเราไปเมื่อไรเป็นต้องผิดใจกัน  เพราะถ้าเหาะข้ามเราไปผงละอองธุลีในฝ่าเท้าก็จะต้องหล่นลงเหนือหัวของเราเป็นมั่นคง  ทางที่ดีเราควรจะไปสะกัดหน้าหมหู่สงฆ์เอาไว้ อย่าให้เหาะข้ามเราไปได้

             เมื่อคิดดังนั้นก็สำแดงมหิทธิฤทธิ์ศักดานุภาพ  เนรมิตตนให้มหึมาใช้ลำตัวรัดเขาพะ สุเมรุราชอันสูงประมาณได้สิบสองโยชน์ด้วยขนาดหาง 7 รอบแล้วแผ่พังพานปิดเมืองดาวดึงส์  กว้างประมาณได้สิบสองโยชน์ ปรากฏอยู่เหนือเขาพระสุเมรุราชนั้น  แล้วบันดาลให้บังเกิดเป็นควันและหมอกมัวมืดไปทั่ว  ฝ่ายพระรัฐบาลอรหันตเถระแด่องค์สมเด็จพระบรมศาสดาว่าเป็นเพราะเหตุไรจึงเป็นเช่นนั้น

          พระพุทธองค์ตรัสว่า  มีมืดมนอนธกาลเช่นนี้เป็นเพราะอานุภาพของพญานาคราชอันมีชื่อว่านันโทปะนันทะมีจิตกริ้วโกรธพยาบาทต่อเราผู้ตถาคตยิ่งนัก  จึงเอาร่างกระหวัดรัดเขาพระสุเมรุราชไว้ประมาณ 7 รอบแล้วแผ่พังพานปกคลุมไปในเขตเมืองดาวดึงส์สวรรค์แล้วบันดาลให้เกิดเป็นหมอกควันมืดมัวไปทั่วแดนดาวดึงส์สวรรค์  เมื่อพระรัฐบาลอรหันตเถระเจ้า ได้ฟังดำรัสของพระพุทธองค์เช่นนั้น  จึงกราบทูลอาสาที่จะทรมานพญานาคราชให้พ่ายแพ้สิ้นพยศร้าย  แต่พระพุทธองค์ไม่ทรงอนุญาต  ต่อจากนั้นพระอรหันตเถระเจ้าทั้งหลายได้กราบทูลขออาสาที่จะทรมานปราบพญานาคราชนั้นให้เสื่อมหายจากพยศร้าย  แต่พระพุทธองค์ก็ไม่ทรงอนุญาต
20#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-10-19 08:58 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
เมื่อเกิดเหตุเช่นนี้  อำมาตย์ผู้หนึ่งได้กราบทูลพระเจ้าลิจฉวี  ว่าสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นพระอรหันต์บริสุทธิ์จากกิเลสทั้งปวงมีพระหฤทัยประกอบด้วยพระมหากรุณาธิคุณไม่มีผู้เสมอเหมือนทรงตรัสรู้พระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  เสด็จประกาศพระธรรมอันบริสุทธิ์เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย   บัดนี้  พระองค์เสด็จประทับอยู่ ณ พระเวฬุวันมหาวิหารของเจ้าพิมพิสาร  บรมกษัตริย์กรุงราชคฤห์พระพุทธองค์ทรงมีอภินิหารบารมีคุณสูงยิ่งนัก  ถ้ากราบทูลอันเชิญขอให้พระพุทธองค์เสด็จมายังพระนครเวสาลีประสบอยู่นี้  จักต้องสงบราบคาบลง  เพราะอานุภาพของพระพุทธองค์
                     
            พระเจ้าลิจฉวีจึงทรงโปรดให้เจ้าชายมหาลี พร้อมด้วยบุตรชายของท่านปุโรหิตกับพลนิกรเป็นอันมาก  แล้วจึงแต่งให้ราชทูตเชิญเครื่องราชบรรณาการไปเฝ้าพระเจ้าพิมพิสาร  เพื่อกราบทูลขอประทานโอกาสให้พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จไปบำบัดภัยพิบัติให้พระนครเวสาลี พระเจ้าพิมพิสารทรงเห็นใจ ยินดีสนับสนุนในการที่ทูลเชิญสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า  แล้วกราบทูลอันเชิญแจ้งเหตุที่เกิดขึ้นให้พระพุทธองค์ทรงทราบทุกประการ

             สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงสดับคำทูลเชิญเด็จของคณะราชทูตชาวพระนครเวสาลี  ทรงใคร่ครวญดูด้วยพุทธญาณก็ทรงทราบว่า  เมื่อเราสวดรัตนสูตรในพระนครเวสาลี  อาชญาจักแผ่ไปตลอดแสนโกฏิจักราวาลเมื่อสวดรัตนสูตรจบลง  สัตว์ทั้งหลายแปดหมื่นสี่พันก็จักบรรลุมรรคผลภัยทุกอย่าจักสงบลงไป  เมื่อพระพุทธองค์ทรงทราบในพระหฤทัยดังนี้แล้ว  จึงทรงรับคำทูลเสด็จไปยังพระนครเวสาลีของเจ้าชายมหาลี  หัวหน้าคณะราชทูตแล้วพระพุทธองค์ก็เสด็จสู่พระนครเวสาลี  พร้อมด้วย  พระสาวกห้าร้อยรูป  พระเจ้าพิมพิสารพร้อมด้ยอำมาตย์ราชเสวกและพลนิการได้ตามเสด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าจนถึงฝั่งแม่น้ำคงคา  พระเจ้าพิมพิสารทรงลุยลงไปในแม่น้ำคงคาจนถึงพระศอเพื่อส่งเสด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า  พร้อมด้วยพระภิกษุสาวกที่ลงนาวาข้ามแม่น้ำคงคาไป  เหล่าอากาศเทวาเบื้องบนก็ชวนกันทำสักการะบูชาตราบเท่าถึงชั้นอกนิฏฐพรหมโลก  และพญานาคที่อยู่ในแม่น้ำคงคาพากันมาทำสักการะบูชาสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า
                     
                     จากข้อความในอรรถกถานี้  บอกกล่าวว่าพญานาคมีจริง

ที่มา http://www.phibun.com/wattumkuha ... asawan_005files.php
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ลงชื่อเข้าใช้ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้