ตั้งให้เราเป็นเว็บแรกที่คุณเลือก เก็บเราไว้เป็นเว็บโปรด
สมัครสมาชิก ได้มากกว่าที่คุณคิด เข้าสู่ระบบ
ดู: 8915
ตอบกลับ: 14
สั่งพิมพ์ ก่อนหน้า ถัดไป

เมื่อเขาทักว่าคุณมีองค์ ???

[คัดลอกลิงก์]
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย Sornpraram เมื่อ 2013-10-13 08:45

ร่างทรง"คนทรงเจ้า"หรือ"คนทรงผี"      





คำนี้ดูศักดิ์สิทธิ์อยู่ไม่น้อย ถ้าเราไม่สังเกตุ จะเห็นว่าคล้ายกันมาก แต่จริงๆแล้วมันแตกต่างกันมาก เรามาพิจารณากัน

-คนทรงเจ้า ไม่ต้องมีเจ้าหรือองค์อะไรมาประทับทั้งนั้น คนจะทำเองได้ โดยที่คนๆนั้นอาจจะมีความรู้เรื่อง วิชาอาคม วิทยากล สมุนไพร ดูดวงเป็น(เดาส่งเดช)หรืออาจมีเดรัจฉานวิชา เช่น การทำเสน่ห์ เล่นของ เป็นต้น สังคมไทยกำลังวิ่งเข้าหาสิ่งเหล่านี้ ตำหนัก สำนักต่างๆในประเทศไทยร้อยละ80-90ทีเดียวที่ผู้คนลุ่มหลงคิดว่าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ หารู้ไม่คนเหล่านี้ทำเพื่อจะกอบโกยเอาเงินเข้ากระเป๋า อ้างชื่อเทพองค์ต่างๆ โดยมากจะเป็นองค์ใหญ่ๆ ร่างทรงประเภทนี้เข้าพวก เทพกึ่งเปรตหรือเปรตเดรัจฉาน อาศัยการพูดจาและการแสดง ที่จะหลอกให้คนอื่นเชื่อถือ

-เจ้าเข้าทรง จะตรงข้ามกับคนทรงเจ้า องค์เทพจะลงประทับทรงเพื่อสร้างบารมี ร่างทรงจะไม่รู้เรื่องอะไรเลย องค์เทพลงมาจริงๆ ตำหนักต่างๆในประเทศไทยคงจะมีไม่ถึงร้อยละ10 องค์เทพจะช่วยบำบัดทุกข์ให้มนุษย์ ไม่กินไม่ขอ ไม่แบ่งชั้นวรรณะ มีแต่จะช่วยเหลือ ร่างทรงจะได้บารมีที่ร่วมสะสมกับองค์เทพ ร่างทรงจะได้ความช่วยเหลือจากองค์เทพโดยมากจะพอกินพอใช้ ไม่ร่ำรวยมากนัก

ฉะนั้น เราอยากจะถามท่านว่า ทุกวันนี้ที่ท่านไปตำหนักต่างๆ ท่านเจอ "คนทรงเจ้า" หรือ "เจ้าเข้าทรง" กันแน่!!

ทำไมต้องมีร่างทรง ???

เขาว่ากันว่า(อาจจริงหรือเท็จ)ก่อนพระพุทธศักราช พระศาสนาของตถาคต องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก่อนที่ท่านจะเสด็จดับขันธ์เข้านสู่พระปรินิพพาน ท่านจึงได้ตรัสถามกับพระอานนท์ว่าในศาสนาของตถาคต รวมทั้งหมด 5 ,000ปี ใครจะมาทำหน้าที่อะไรบ้าง พระอานนท์กราบทูลว่า ขอให้พระภิกษุสงฆ์ สามเณร ภิกษุณี นางชีพราหมณ์ อุบาสก อุบาสิกา เป็นผู้ดูแลและบำรุงพระศาสนา กึ่งหนึ่งเป็นเวลา 2,500ปี พระพุทธเจ้าท่านก็ทรงอนุญาต แล้วก็ทรงถามต่อไปอีกว่า ใครจะขออะไรบ้าง ปวงเทพทั้งหลาย มี พระอินทร์ พระพรหม พระยม พระกาฬ และเหล่าเทวดาอารักษ์ทั้งหลาย จึงพร้อมใจกันกราบทูลขอให้ปวงเทพได้ดูแล และบำรุงพระพุทธศาสนาต่อไปอีกครึ่งหนึ่งของพระอานนท์ คือเป็นเวลาอีก 1,250ปี ให้พวกเราดูแลจนเสื่อมลงไปจนหมดพอดี 5,000ปี ตามที่พระพุทธฎีกาได้กำหนดไว้ พอปี 2,500เป็นต้นไปจึงเป็นหน้าที่ของปวงทพทั้งหลายที่จะดูแลบำรุงศาสนาต่อไปจึงเป็นที่มาว่า ร่างทรงในปัจจุบันจึงมีมากมาย องค์เทพเป็นเพียงอากาศธาตุ มีเพียงธาตุลม ดังนั้นจึงต้องอาศัยมนุษย์ซึ่งมีธาตุทั้ง4คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ มาประทับร่างเพื่อติดต่อกับมนุษย์ได้จุดประสงค์เพื่อจะดูแลและบำรุงพุทธศาสนาเท่านั้น

ถ้าเป็นจริงอย่างที่เขาว่ากันตามที่กล่าวมานี้ เราอยากจะถามท่านว่า ร่างทรงที่เราพบเห็นกันในปัจจุบัน ได้ทำหน้าที่ ดูแล บำรุงพระศาสนา หรือ ดูแลทรัพย์สินกระเป๋าตัวเอง กันแน่!!



มีองค์...มีองค์???



ตามที่บอกกล่าวไว้ว่า องค์เทพเป็นเพียงอากาศธาตุ องค์เทพแต่ละองค์ ท่านมีความประสงค์จะลงมาสร้างบารมี ช่วยมนุษย์ บำรุงพระศาสนา ท่านจึงต้องเลือกร่างทรงที่มีคุณสมบัติและความดีงาม มีจิตใจเป็นกุศล เพื่อท่านจะได้ลงมาโปรดมนุษย์ได้ ท่านจะเลือกคนดี มีบารมีเท่านั้น องค์เทพชั้นสูงจะไม่มองคนไม่ดี นอกจาก องค์เทพที่ต่ำชั้นจะเลือกคนไม่ดีเพื่อทำเรื่องไม่ดี

ฉะนั้น จะเห็นว่า เวลาไปตำหนักหรือ สำนักต่างๆ มักจะถูกทักว่า"มีองค์"ท่านอย่าได้หลงดีใจไป เพราะ นี่คือก้าวแรกที่จะทำให้ท่านต้องเสียเงินให้ตำหนักนี้อีก ไม่ว่าจะเป็น การรับขันธ์ 5 การไหว้ครูประจำปี เป็นต้น ทางเราเชื่อว่า ประสบการณ์การถูกทักว่า"มีองค์"ท่านคงได้เจอมาแล้ว แล้วหลังจากนั้น ท่านไปตำหนักนี้อีกกี่ครั้งล่ะ!

เสียเงินไปเท่าไหร่แล้วหล่ะ!

แล้วคำถามสุดท้าย ท่านมีองค์จริงหรือ!.....หรือว่า ถูกหลอก

2#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-10-13 08:35 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย Sornpraram เมื่อ 2013-10-13 08:45




ประเภทขององค์

มี 5 ประเภทด้วยกัน

1.องค์เทพ ท่านจะเลือกคนดีเป็นร่างทรง เพื่อช่วยเหลือมนุษย์ จรรโลงศาสนา รายชื่อองค์เทพ เช่น พระศิวะ พระแม่อุมา พระนารายณ์ พระฤาษีในชั้นเทพ เป็นต้น

2.องค์พรหม ท่าจะเลือกร่างทรงที่ปฏิบัติ เคร่งในศีล มีบารมีมากๆ ยึดมั่นในคุณธรรม เช่น พรหมวิหาร4 มี เมตตา กรุณา มุฑิตา อุเบกขา พระพรหมจะช่วยมนุษย์ในการประทานพร รักษาโรค

3.องค์เจ้า เจ้าต่างๆบางองค์มาแสดงอภินิหาร อวดอิทธิฤทธิ์ ลงมาสร้างบารมี รักษาโรคให้มนุษย์

4.ผี เป็นวิญญาณที่ไม่ยอมไปผุดไปเกิด คอยช่วยดูแล คุ้มครองป้องกันมิให้เกิดสิ่งที่ไม่ดีไม่งาม บางครั้ง เข้าสิงคนเพื่อบอกกล่าวให้รู้ล่วงหน้าในสิ่งที่จะเกิดขึ้น

5.วิญญาณพเนจร ไม่ดี รังแก รบกวน ให้ร้าย สร้างความเดือดร้อน

เราอยากถามท่านว่า ท่านไปหาร่างทรงตามสำนักต่างๆ ท่านรู้ไหมว่า องค์ประเภทที่ 4 และ 5 มีมากกว่าร้อยละ 80 ท่านรู้ไหมว่า ท่านไปเจอร่างทรงแบบไหนกันล่ะ!เทพ พรหม เจ้า หรือผี วิญญาณ





ขันธ์ 5

เมื่อ เราคนธรรมดา ถูกทักว่า"มีองค์"ก็มักจะได้ยินคำว่า"รับขันธ์" เพราะร่างทรงหรือลูกศิษย์ในตำหนัก จะบอกว่า ให้รับขันธ์ เพื่อเป็นสิริมงคลแก่ตัวเองและครอบครัว บางคนก็รับขันธ์เพื่อรักษาโรคให้ตัวคนได้รับ บางคนก็ถูกอ้างว่า จะได้รับครูบาอาจารย์อย่างถูกต้อง เป็นทางสว่าง โดยแต่ละราย ก็ต้องจ่ายค่ารับขันธ์ (อย่างต่ำเท่าที่รู้หรือสัมผัสมา 500บาทขึ้นไป)บางตำหนักแบ่งเป็นรับขันธ์ 5 รับขันธ์8,9,10ขันธ์16 จ่ายเงินตามเกรด โดยถูกหลอกมาเป็นทอดๆ และจริงๆคืออะไรกันแน่

ขันธ์ 5 จริงๆแล้วคือ ศีล 5 นั้นเอง เพราะเราไปยึดติดกับพิธีกรรมการรับขันธ์ มากเกินไป จึงหลงจ่ายเงินให้ตำหนักได้สร้างความร่ำรวยจากการทำขันธ์ไปหลายรายแล้ว ทางเราของย้ำว่า ไม่จำเป็นต้องรับขันธ์ 5 เลย ถ้าท่านใจสะอาด รักษาศีล 5 มีสัจจะ สวดมนต์ไหว้พระเป็นประจำ ทำจิตใจให้เป็นสมาธิ หมั่นทำบุญทำทานเป็นประจำ ปฏิบัติให้ถูกต้อง รับรองว่า จะเป็นมงคลชีวิตมากกว่าการรับขันธ์จากร่างทรงซึ่งไม่รู้ว่า ร่างทรงปฏิบัติธรรม ถือศีล5อย่างเคร่งครัดหรือเปล่า

ดังนั้น การไปรับขันธ์ เพื่อจะเปผ็นร่างทรง หรือจะรับสักการะบูชา หัวใจไม่ได้อยู่ที่การรับขันธ์ ความสำคัญอยู่ที่ศีล 5 ที่เราปฏิบัติต่างหาก แล้วท่านล่ะ! รับมากี่ขันธ์แล้วล่ะ
(  )



3#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-10-13 08:38 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย Sornpraram เมื่อ 2013-10-13 08:48





พวกทรงเจ้า เข้าผี ปลอมเป็นร่างทรง มี 5 จำพวก




1.พวกเป็นโรคจิต ตื่นตามข่าวรือหรือเหตุการณ์ พวกนี้ไม่มีเทพเจ้ามาเข้า เช่น มีข่าวลือว่ามีต้นไผ่ออกมาเป็นรูปของสมเด็จย่า ก็มีพวกไปทำทีว่า สมเด็จย่าเข้าทรง เป็นต้น

2.พวกโรคจิตอยากดัง อยากให้คนห้อมล้อมกราบไหว้ เพื่อเรียกร้องความสนใจ ก็ทำเป็นเจ้าเข้าทรง

3.พวกจิตอ่อน ถูกทักว่ามีองค์ ก็ทำเป็นเวียนหัว คลื่นไส้ ทั้งที่ไม่มีอะไร

4.พวกจิตมีความโลภ สร้างตำหนักหลอกคน โดยแสดงเก่งทั้งนั้น

5.พวกจิตมีกรรมติดตัวมา จำใจรับเพราะคนอื่นมอบให้ เช่นถูกหลอกว่ามีองค์ ถ้าไม่รับเป็นร่างแล้วจะเป็นบ้า เมื่อรับแล้วก็เป็นวิญญาณของผีปอบ แทนวิญญาณขององค์เทพ

ฉะนั้นเราช่วยกันประณาม หรือลบหลู่ได้เลยถ้าพิสูจน์แล้วว่าเป็นของปลอม!

พิสูจน์ร่างทรงกันไหม???





ทางเราไปจับผิดมาหลายตำหนัก หลายสำนัก ขอยืนยันว่า โดยมากจะมีพิรุธ บางทีอาจเป็นร่างทรงเอง บางทีก็ลูกศิษย์เอง พอประมวลได้ดังนี้

1.ก่อนทรง-หลังทรง รู้เรื่องหมดเลยว่า เราคุยอะไรกับองค์เทพบ้าง ระหว่างทรงก็แกล้งปิดตาตลอด

2.เรียกเงินเราระหว่างทรง บางทีก็เรียกเป็นทอง แหม่...เทพใช้เงินทอง น่าแปลกใจจัง!

3.ทักจังว่า “มีองค์”เพื่อให้รับขันธ์เสียเงินเพิ่ม

4.แกล้งขู่ว่า “ไม่เชื่อแล้วมาทำไม”ให้เราฝ่อ และอีกหลายคนในตำหนักเชื่อ ยอมเสียเรา 1 คนเพื่อที่จะได้ลูกค้าอีกเป็น 10

5.บางทีเราแกล้งบอกว่า“ดวงไม่ดี”(ทั้งที่เราไปลองของ)เรียก “สะเดาะเคราะห์”ทันทีเลยแฮะ!

6.อวดจังว่าช่วยมาหลายคนแล้ว ช่วยได้ ช่วยได้ ช่วยไม่ได้ไม่เห็นเล่าให้เราฟังบ้างเลย!

7.อ้าง ตำรวจ ทหารผู้ใหญ่ มาเฝ้าเทพที่ตำหนักนี้ แต่ไปทีไรหน้าเดิมทุกที

8.พูดคำ ด่าคำ เทพหยาบคายจัง ทำไมเทพอยู่สูงแต่พูดจาต่ำจังเลยนะ!

9.บอกชีวิตเราว่า “มืดตลอด”ต้องทำพิธีถวายเทียน สารพัดรูปแบบที่ต้องจ่าย



ถ้าท่านเจอแบบ 9 ข้อแรก เชื่อเถอะ...ว่า“เทียม”   

การมีองค์เป็นนิมิตหมายที่ดี ต่อมนุษยชาติ
ขอบคุณคร้าบ
7#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-12-17 07:24 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
8#
 เจ้าของ| โพสต์ 2015-9-24 14:54 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้

เจาะลึกแนวคิด"ร่างทรง"ในสังคมไทย! กับ"เชฟหมี"คมกฤช อุ่ยเต็กเค่ง




ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมามีข่าวเกี่ยวกับเรื่อง "ร่างทรง" หรือ "คนทรงเจ้า" ออกมาเรียกเสียงฮือฮากับคนในสังคม  มีทั้งที่เปิดเวทีนำคนที่คิดเห็นสองฝ่ายมาถกเถียงกันในรายการ มีทั้งข่าวผีร่างทรงจากตัวละครดังอย่าง "อีแพง" หรือว่าจะเป็นคลิปร่างทรงที่มีท่าทีเปลี่ยนไป เมื่อมีคนบอกว่าจะแจ้งตำรวจ

"มติชนออนไลน์" พูดคุยกับ "เชฟหมี" หรือนายคมกฤช อุ่ยเต็กเค่ง  อาจารย์ประจำภาควิชาปรัชญา คณะอักษรศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร



"ร่างทรง" หรือ "การทรงเจ้าเข้าผี" เกิดขึ้นในสังคมไทยได้อย่างไร?
อันดับแรก ต้องทำความเข้าใจก่อนว่า สังคมวัฒนธรรมไทยโบราณ  เรานับถือผีมาก่อน คือในความหมายที่ว่า เรานับถือพลังที่นอกเหนือตัวเรา เป็นพลังจากธรรมชาติ  เป็นบรรพบุรุษ หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์อื่นๆ ซึ่งความเชื่อแบบนี้อยู่ในสังคมไทยมาอย่างยาวนาน  จนกระทั่งวันหนึ่ง มีศาสนาจากอินเดียเข้ามา คือพุทธศาสนา และศาสนาพราหมณ์  แต่วิธีคิดแบบศาสนาผีก็ไม่ได้หายไปไหน เพราะวิธีคิดแบบศาสนาผีได้แฝงฝังในสังคมไทย ดังที่ อ.นิธิ  กล่าวไว้ว่า ที่จริงแล้วเรานับถือผี แต่เราเพียงเลือกรับพราหมณ์และพุทธที่ไม่ขัดกับผี จุดนี้จึงเป็น  การผสมผสานของศาสนาในสังคมไทย

เพราะฉะนั้น การที่ไทยเรานับถือผี เราก็มีผีอยู่แล้ว แต่เป็น "ผีท้องถิ่น" ทีนี้พอศาสนาพุทธ-พราหมณ์เข้ามา ซึ่งมันมากับวิธีคิดเรื่องเทวดา  ช่วงหลังเราจึงเห็นการประดับประดาผีให้มีความอลังการมากขึ้น ยกตัวอย่างเช่น พระภูมิเจ้าที่  ซึ่งแต่เดิมเป็นสิ่งศักดิ์ของศาสนาผี ไม่ใช่ศาสนาพราหมณ์ แต่วันหนึ่งพอศาสนาพราหมณ์เข้ามา  แล้วผนวกเข้ากับตำนานเทพเจ้าต่างๆ ด้วยวิธีคิดนี้เราจึงสร้างให้พระภูมิกลายเป็นเทพในระบบคิดแบบพราหมณ์  ทั้งที่จริงแล้ว พระภูมิคือผี ดังนั้นจากปรากฏการณ์ "การทรงเจ้าเข้าผี" จึงเป็นเรื่องปกติธรรมดาในสังคมไทยหรือสังคมที่นับถือศาสนาแบบผี

ในที่อื่นๆ มีเรื่องพวกนี้บ้างไหม?
เอาเข้าจริงแนวคิด "ศาสนาผี" ในภูมิภาคอื่นทั่วโลกก็มี คือมันมีระบบการติดต่อสื่อสารกับผี โดยอาจใช้ดนตรี เพลง การขับร้อง พิธีกรรม  หรือกระทั่งการทรงเจ้าเข้าผี  ซึ่งเป็นเรื่องปกติเพื่อติดต่อสื่อสารกับรรพบุรุษและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เขาเชื่อถือ  โดยในทางวิทยาศาสตร์จะว่าอย่างไรไม่รู้  แต่คือในระบบศาสนามันเป็นอย่างนั้น

คือในโลกตะวันตกก็มีความเชื่อเรื่องผีอยู่แล้ว  แต่พอวิธีคิดแบบศาสนาคริสต์เข้ามา ก็มีการประณามสิ่งเหล่านี้ว่าเป็นสิ่งนอกรีต นอกรอย  คือสิ่งเหล่านี้ก็ยังดำรงอยู่ แต่ศาสนาคริสต์ไม่ได้สนับสนุน  ฉะนั้นวิธีคิดแบบนี้มันจึงทำได้เพียงกระจายอยู่ในกลุ่มเล็กๆ

ในสังคมไทย  ทำไมจึงดูเหมือนมีมาก?
เพราะเรื่องผีมันเป็นวิธีคิดดั้งเดิม  แล้วพอวิธีคิดแบบพราหมณ์-ฮินดูเข้ามา ซึ่งมากับความอลังการ คือมีทั้งเรื่องเล่า มีเสื้อผ้า  มีของประดับประดาชัดเจน คือมีมากกว่า ผีพื้นเมือง  จริงๆก็คือเป็นการแปลงของแขกให้เป็นของพื้นเมืองซึ่งใช้วิธีการทรงเจ้าเข้าผีแบบเดิม

แต่ผมเข้าใจว่าการเปลี่ยนแปลงจาก"ผีพื้นเมือง"ไปสู่"เจ้าทรงเทพแบบฮินดูหรือเทพแบบแขก"นี่เป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อไม่กี่10ปีมานี้เองนะ ซึ่งมันเป็นเพราะว่าองค์ความรู้แบบฮินดูมันเปิดกว้างมาขึ้น  และอย่างที่บอกเทพเจ้าแบบฮินดูมีมูลค่าในแง่ของความอลังการ มันจึงทำให้ไปหยิบยืมมาใช้ได้ง่าย  คือการที่จะไปหาคนเข้าทรง คุณจะไปหาแบบไหน ระหว่างพวกผีพื้นบ้าน เจ้าพ่อ เจ้าแม่ กับ พระศิวะ พระแม่อุมา  พระพิฆเนศ ก็อาจจะเลือกแบบหลังใช่ไหมครับ เพราะว่ามันดูดีกว่า

การเลือกไปหา "ร่างทรง" ในแบบต่างๆ  สะท้อนอะไรไหม?
ผมว่าในแง่หนึ่งสะท้อนสังคมชนชั้น เพราะว่าสุดท้ายแล้วเนี่ย  เทพเจ้าฮินดูกับเทพเจ้าพื้นเมือง มันเกิดช่วงชั้นหรือการจัดลำดับชั้นขึ้นมา กลายเป็นว่า  เทพองค์นี้ใหญ่กว่าเทพองค์นั้นโดยอาศัยตำนาน  คือวิธีคิดแบบเทพฮินดูมันเกี่ยวพันกับวิธีคิดเรื่องศูนย์กลางหรือราชสำนักด้วย  เพราะเอาจริงราชสำนักก็เป็นส่วนผสมของพุทธ พราหมณ์ ผี แต่พราหมณ์เยอะที่สุด ก็ดูได้จากพระราชพิธีต่างๆ  และอาจเป็นเพราะว่าวิธีคิดแบบพราหมณ์ส่งเสริมพระราชอำนาจ  เพราะฉะนั้นวิธีคิดแบบพราหมณ์มันจึงอยู่ตรงศูนย์กลางความเชื่อหรือจักรวาลวิทยาแบบไทย

ดังนั้น  คนที่อยู่รอบๆก็สามารถที่จะดึงเอาความเป็นเทพฮินดูเข้ามาสู่ระบบของเขาเอง  มันจึงเป็นการกระจายอำนาจออกจากศูนย์กลางออกไปข้างนอก เพราะฉะนั้นในอีกแง่หนึ่ง การเปลี่ยนมาสู่เทพฮินดู  มันก็สะท้อนความเปลี่ยนแปลงของสังคมไทยในเรื่องขององค์ความรู้ การมีลำดับช่วงชั้นและอำนาจ

มองอย่างไรกับการนำเอา "ตัวละครในวรรณคดีหรือในละคร" มาใช้ในการทรงเจ้า?
ในมุมหนึ่ง อยากให้มองมองคนทรงเจ้าในมุมเศรษฐกิจ  คือที่จริงบางสำนักเจ้าทรงเขาก็ชัดเจนว่าเป็นองค์กรธุรกิจแบบหนึ่ง แน่นอนว่า  การเป็นธุรกิจมันต้องมีจุดขาย การเอาเกร็ดเล็กเกร็ดน้อย  หรือสิ่งที่แปลกใหม่เข้ามามันก็เป็นลักษณะหนึ่งของการสร้างจุดขาย เพราะฉะนั้น เอาถึงที่สุด  สิ่งที่เจ้าทรงจะดึงมาใช้จะเป็นอะไรก็ได้ในจักรวาลนี้ ผมอาจจะเข้าทรงคาร์ล มาร์กซ หรือเลนินก็ได้  คือมันเป็นวิธีการที่อาจจะไปเหมาะสมกับสิ่งที่เขาต้องการหรือกลุ่มเป้าหมายของเขาพอดี


9#
 เจ้าของ| โพสต์ 2015-9-24 14:55 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ทีนี้ถ้าไม่พูดถึงเรื่องจุดขายเลยก็ได้เพราะตัวละครบางตัวเช่นถ้าผมไปเข้าทรงพระอภัยมณีคุณก็อาจจะรู้ว่านี่เป็นตัวละครในวรรณคดีเพราะหลักฐานมันชัดเจนแต่ถ้ามันเป็นความเชื่อที่มาจากตำนานเราจะบอกได้อย่างไรว่ามันจริงไม่จริงเช่น หนุมาน เพราะคนฮินดูกว่าร้อยละ90 หรือมากกว่านั้นก็ถือหนุมาน คือถ้ามองจากมุมในวรรณคดี  หนุมานคือตัวละครหนึ่ง แต่ถ้ามองจากมุมความเชื่อ หนุมานคือพระเจ้าองค์หนึ่ง หนุมานคือ GOD ที่คนให้ความเคารพนับถือ และถึงที่สุด เพราะความคลุมเครือแบบนี้แหละ ที่คือจุดขายสำคัญ

บางคนบอกว่าการทรงเจ้าเข้าผี เป็นสิ่งผิด จริงไหม?
เอาอย่างนี้  คือถ้ายึดตามองค์ความรู้แบบคัมภีร์ก็ผิดอยู่แล้ว แต่คือถ้าเขาไม่ได้ทำผิดกฎหมายในแง่การหลอกลวง  มันก็เป็นสิทธิของเขาในการเลือกตีความ และเลือกที่จะเชื่อ คือถ้าเราต้องการเส้นแบ่งความถูกต้องของศาสนา  ก็ตอบได้ชัดเจนว่า คนทรงเจ้านั้นผิด และผิดเต็มประตูด้วย  เพราะมันผิดแกนหลักความเชื่อและความถูกต้องตามคัมภีร์

แต่ถ้ามองจากมุมของโลกสมัยใหม่  คือมุมของเสรีนิยมประชาธิปไตย มันเป็นสิทธิที่จะเชื่อ มันเป็นเสรีภาพในการนับถือศาสนา  แต่ก็ต้องถูกตรวจสอบและวิพากษ์วิจารณ์ได้ เพราะการทรงเจ้าเข้าทรง มันไม่ได้เกิดขึ้นมาใหม่แบบโดดๆ  เพราะเขายังใช้สัญลักษณ์ พิธีกรรม หรือรูปแบบเทวตำนานจากของเดิม  ก็ต้องยอมรับการวิพากษ์วิจารณ์และตรวจสอบในส่วนนี้ให้ได้ แต่เขาก็มีสิทธิที่จะตีความและเชื่อ  แล้วถึงที่สุด คุณจะเชื่อไอโฟนยังได้เลย ตราบใดที่ไม่ละเมิดสิทธิของคนอื่น

ที่บอกว่าต้องตรวจสอบและวิจารณ์ ขอบเขตแค่ไหน อย่างไร?
ทุกฝ่ายครับ  คือฝ่ายที่เป็นเจ้าทรงเอง แม้จะบอกว่าเป็นสิทธิเสรีภาพที่จะนับถือ แต่ในระบบสังคมที่เจริญแล้ว  ต่อให้อ้างแบบนั้น ก็ต้องได้รับการตรวจสอบกันเองในระบบ แต่อาจจะไม่ใช่อำนาจการตรวจสอบจากรัฐนะครับ  ประเด็นอยู่ตรงนี้คือ ถ้ามันมีองค์กรที่เป็นองค์กรใหญ่ตั้งอยู่ตรงกลาง  แล้วมีอำนาจสิทธิ์ขาดในการบอกว่าสิ่งใดผิด สิงใดถูก อันนี้เป็นวิธีคิดแบบรัฐรวมศูนย์ แต่ในโลกสมัยใหม่  ไม่ใช่ว่าจะต้องไม่ถูกตรวจสอบ เพียงแต่การตรวจสอบนี้เป็นการตรวจสอบในระนาบเดียวกัน  คือมีทั้งสำนักที่ตีความต่างกัน

สำหรับคนที่ไม่เชื่อ ยิ่งคุณไม่เชื่อ  คุณยิ่งต้องยืนอยู่บนฐานของเสรีภาพในการนับถือศาสนา มิฉะนั้นแล้วคุณก็จะทำตัวเป็นรัฐในรัฐ  คือคุณจะทำตัวเป็นองค์กรศาสนาเสียเอง ปัญหาของสังคมปัจจุบันมันเป็นอย่างนี้  เพราะคนที่อ้างตนว่าไม่มีความเชื่อ อ้างสิทธิ์ราวกับว่า  คนที่ไม่มีความเชื่อมีสิทธิอำนาจเหนือกว่าคนที่มีความเชื่อ  สุดท้ายคุณจะกลายเป็นองค์กรของศาสนาอีกแบบหนึ่งไปเสียเอง  เพราะฉะนั้นหากจะยืนอยู่บนฐานของเสรีนิยมประชาธิปไตย วิธีการแบบนี้มันไม่แฟร์  เพราะคุณก็ต้องถูกตั้งคำถามได้ด้วย และถึงที่สุด คุณก็ไม่มีสิทธิ์ขาดในการไปชี้หน้าใครว่าเขาผิด  เพราะการทำแบบนั้นมันหมายความว่า คุณมีหลักการที่ถูกต้องหนึ่งเดียวของคุณอยู่  การทำแบบนี้จึงเป็นการไม่เคารพความใจกว้าง  ซึ่งมันไม่ใช่วิธีคิดของเสรีนิยมประชาธิปไตยอย่างแน่นอน

มองอย่างไรกับ "คนทรงเจ้า" ในอนาคต?
ผมว่าตอนนี้สำนักทรงเจ้ากำลังปรับตัวเข้าสู่องค์ความรู้ใหม่ๆ  โดยไปศึกษาหาความรู้จากในคัมภีร์ เช่น แต่เดิมพิธีกรรมอาจจะทำแบบมั่วๆซั่วๆตามที่คิดกันเอง  แต่ในขณะนี้การปรับตัวคือ เจ้าทรงบางคนไปเรียนประวัติศาสตร์ บางคนไปเรียนจากพราหมณ์อินเดียเลย  ไปเรียนภาษาแขก ไปเรียนสันสกฤต ไปเรียนฮินดี แล้วสมัยนี้ปรับตัวจากสำนักเล็กๆ ไปสู่เทวสถานด้วยซ้ำ  มีพราหมณ์ประจำอยู่ด้วยเลย คือเขาพยายามปรับตัวไปสู่องค์กรทางศานา  และผมคิดว่านี่เป็นแนวโน้มของเจ้าทรงในสังคมไทย

จะไปสู่ความยุ่งยากวุ่นวายหรือไม่?
แน่นอน  แต่ผมว่ามันจะถกเถียงกันในออนไลน์มากขึ้น คือมันมีแง่ดี  เพราะในโลกออนไลน์มันไม่มีใครสามารถถือสิทธิ์ขาดหรืออำนาจสูงสุดในการตัดสินว่าอะไรผิด อะไรถูก  และอีกอย่างวิธีคิดแบบวิทยาศาสตร์ในสังคมไทยมันมีอำนาจพิเศษบางอย่าง  แต่การเข้าไปสู่พื้นที่การถกเถียงเชิงเหตุผล มันไม่ได้แปลว่าวิทยาศาสตร์จะยิ่งใหญ่กว่าคนอื่น  นี่เป็นโอกาสที่ดีในการถกเถียงอย่างมีเหตุมีผล

จะมอง "คนทรงเจ้า" แบบวิธีคิดสมัยใหม่ ได้อย่างไร?

ผมมีหลักการง่ายๆ ประจำตัวเลยคือ คุณจะเชื่ออะไรเชื่อไป  แต่คุณต้องศึกษาสิ่งที่คุณเชื่อ แล้วสุดท้าย หากคุณพิจารณาอย่างแยบคายและรอบด้าน  ทีนี้คุณจะเชื่อก็เชื่อไป ตราบเท่าที่ไม่ละเมิดกฏหมายและสิทธิของคนอื่น  ตราบนั้นความเชื่ออะไรก็ตามย่อมต้องได้รับความเคารพ

เรามักจะมีความกังวลเกินจริงกับความวุ่นวาย  ไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็ตาม ทั้งศาสนา สังคม การเมือง  ทั้งๆที่จริงความวุ่นวายเป็นโอกาสที่ก่อให้เกิดอะไรใหม่ๆเสมอ แล้วการถกเถียงอย่างมีเหตุมีผล  และมีขันติธรรมในภาวะแบบนี้ จะนำไปสู่สังคมที่มีสติปัญญาขึ้นมาได้ คือขอให้เถียงกันแล้วไม่ฆ่ากัน  แค่นั้นแหละครับ
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1442927761
บางแห่ง ลงน่ะลงจริง แต่จะแน่ใจได้ไงว่าเป็นเทพจริง ไม่ใช่สัมพเวสีชั้นต่ำ

ทรงเทพนู่นนี่นั่น พองานพิธี กินเหล้ากัน เต้นแร้งเต้นกากันอย่างกับอยู่กระแผ่นเหล็กเผาไฟก็ไม่ปาน
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ลงชื่อเข้าใช้ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้