ตั้งให้เราเป็นเว็บแรกที่คุณเลือก เก็บเราไว้เป็นเว็บโปรด
สมัครสมาชิก ได้มากกว่าที่คุณคิด เข้าสู่ระบบ
ดู: 20908
ตอบกลับ: 15
สั่งพิมพ์ ก่อนหน้า ถัดไป

ประสบการณ์กุมารทอง หลวงปู่ชื่น โดย โหราปริทรรศน์

[คัดลอกลิงก์]
เป็นกระทู้ที่คุณโอทำไว้ให้ครับ น่าจะมีประโยชน์ต่อผู้ที่คิดจะเลี้ยงกุมารครับ

เป็นบทความที่ลงหนังสือพิมพ์ " เสรีชัย " โดย อาจารย์เล็ก พลูโต ได้เขียนถึงกุมารทองของหลวงปู่ชื่นเอาไว้ทั้งหมด 4 ตอน ( ขณะนี้ )

ดังนั้นผมขออนุญาต Copy มาลงไว้ให้ชาว คศช. ได้อ่านกันนะครับว่า กุมารทองของหลวงปู่ชื่นนั้นอีกหน่อย ชื่อเสียงมากกว่านี้แน่นอน ( ซึ่งตอนนี้ก็ดังพอควรแล้ว ) เพราะผู้ที่บูชาไปมีประสบการณ์กันทุกคนครับ

.......................................................................

กุมารทอง หลวงปู่ชื่น วัดตาอี (๑) โดย อ.เล็ก พลูโต

เอ่ยชื่อ “กุมารทอง” เชื่อว่าผู้อ่านน้อยรายนักที่จะไม่รู้จัก เพราะกุมารทองนั้นเป็น ๑ ใน ๓ ของวิเศษที่ “ขุนแผนแสนสะท้าน” นักรักนักรบในวรรณคดีไทยเรื่อง “ขุนช้างขุนแผน” ต้องเสาะแสวงหาเพื่อเพิ่มอิทธิฤทธิ์ให้กับตนเอง หลังจากศึกษาเวทมนตร์คาถาจนเจนจบ เสกเป่าร่างกายให้อยู่ยงคงกระพันฟันแทงไม่เข้า หรือ “หนังเหนียว” มีมนต์สะกดหญิงสาวทั้งหลายให้เข้ามาอยู่ในอ้อมอกได้ในพริบตาเดียว, ล่องหนหายตัวได้, เสกหุ่นพยนต์ เสกใบไม้ให้เป็นต่อแตน ทำร้ายข้าศึกได้ ฯลฯ แต่สิ่งที่ขุนแผนทำไม่ได้ก็คือ เหาะเหินเดินอากาศ หรือ ดำดิน แถมยังมีฝีมือการสู้รบทุกรูปแบบอย่างชำนิชำนาญอีกด้วย ด้วยคุณสมบัติดังกล่าว ทำให้ชายไทยหลายต่อหลายคน เคลิบเคลิ้ม เป็นปลื้มในตัวขุนแผน อยากเป็นขุนแผน หรือประพฤติตัวเลียนแบบขุนแผนไปตามกัน



ในวรรณคดีเรื่องขุนช้างขุนแผนนั้นได้กล่าวถึง กำเนิดของกุมารทอง ไว้ดังนี้คือ ขุนแผนจับได้ว่านางบัวคลี่เมียของตน คิดวางยาพิษเพื่อจะฆ่าตน จึงได้ลงมือฆ่านางบัวคลี่ แล้วผ่าท้องของนางเพื่อเอาบุตรชายภายในท้องนั้นมาทำเป็นกุมารทอง โดยทำพิธีสุมไฟย่างศพเด็กในป่าช้า และปิดทองคำเปลวทั่วตัวจนเหลืองอร่ามดังทอง ใช้อาคมปลุกเสกวิญญาณให้มีอิทธิฤทธิ์เหนือภูติผีปีศาจทั้งปวงจนกระทั่งกลายเป็น “กุมารทอง” แล้วใส่ห่อผ้าไว้ กุมารทองจัดได้ว่าสำคัญกับขุนแผนมาก เพราะกุมารทองนั้นก็เป็นบุตรคนหนึ่งของขุนแผนเช่นเดียวกัน เมื่อประกอบพิธีกรรมสำเร็จแล้ว ได้แสดงปาฏิหาริย์พาขุนแผนขี่คอ เหาะเหิน หายตัว ตีฝ่าวงล้อมกลุ่มโจรที่มีหมื่นหาญพ่อตา หรือบิดานางบัวคลี่เป็นหัวหน้าออกมาได้

เหตุที่กุมารทองนั้นถูกจัดให้เป็นของวิเศษอย่างหนึ่งนั้น สันนิษฐานได้ว่าได้รับความนิยมมาตั้งแต่สมัยขุนแผน อันเป็นเรื่องแต่งมีเค้าโครงเรื่องจริงซึ่งอยู่ในยุคกรุงศรีอยุธยา และได้รับการสืบทอดวิชามาจนถึงยุคปัจจุบันนี้ แต่การสร้างกุมารทองนั้นไม่สามารถทำแบบขุนแผนได้เนื่องจากผิดทั้งกฎหมาย และศีลธรรม

เมื่อไม่สามารถผ่าศพเด็กจากท้องแม่มาเป็นกุมารทองได้ ดังนั้น ครูอาจารย์ที่สิบทอดวิชา จึงกำหนดให้สร้างกุมารทองโดยอาศัยรูปปั้นเป็น รูปกุมารไว้ผมจุกปักปิ่น นุ่งโจงกระเบน ไม่สวมเสื้อ มีสร้อยสังวาลย์ และกำไลข้อมือข้อเท้า ทั้งในอิริยาบถท่านั่งสมาธิพนมมือ และท่ายืนพนมมือ นั่งกวักมือ ถือพานเงินพานทอง ฯลฯ จากวัสดุอาถรรพณ์ต่างๆ เช่น ดินเจ็ดป่าช้า  เถ้ากระดูกเจ็ดเมรุ  ดินเจ็ดโป่ง ดินเจ็ดถ้ำ ดินเจ็ดท่าน้ำ  ดินเจ็ดนา ดินเจ็ดสวน  เถ้ากระดูกเด็กเจ็ดคน โกศเด็ก ๙ โกศ ตะปูตอกโลงผี ๑๐๐ ป่าช้า ไคลเสมาเจ็ดวัด ฯลฯ  โดยเผาดิน หรือหล่อหลอมโลหะ และมวลสารตามฤกษ์โบราณ

กุมารทองเป็นวัตถุบูชาที่รู้จักกันดีมาอย่างช้านานมาแล้วว่า มีอิทธิฤทธิ์มากมายหลายด้าน ใช้เพื่อปกป้องคุ้มครอง และให้โชคลาภแก่เจ้าของ เช่น ทำมาค้าขายดีขึ้น เรียกลูกค้า ดลจิตดลใจ เฝ้าสวนเฝ้าบ้าน เตือนภัย กันขโมย กันภูตผีปีศาจ เป็นต้น ซึ่งถือเป็นไสยศาสตร์ในสายวิชาวิญญาณศาสตร์ ผู้สร้างต้องสำเร็จนิพพานสูตร สามารถควบคุมอำนาจจิตใจของดวงวิญญาณ หรือผีได้ มีการถ่ายทอดสืบต่อกันมาจากครูบาอาจารย์อย่างถูกต้อง ตามหลักของวิชานั้นๆ ไม่สามารถเรียน หรือสำเร็จได้ทุกคน

ดังนั้นกุมารทองจึงถือเป็นวัตถุมงคลที่มีอิทธิฤทธิ์ และความศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งได้รับความนิยมมากที่สุด และเป็นที่ต้องการของพ่อค้านักธุรกิจ ข้าราชการ วงการศิลปิน ดารา นักแสดง ตลอดจนอีกหลากหลายอาชีพ ด้วยประสบการณ์ความศักดิ์สิทธิ์ ที่แสดงฤทธิ์เดช ปาฏิหาริย์ เรียกทรัพย์ เฝ้าบ้าน ค้าขาย ป้องกันภัย ฯลฯ ให้ปรากฎเล่าขานกัน จนเป็นที่ปรารถนาของคนทั่วไป ซึ่งถ้าไม่ดีจริงเป็นที่ประจักษ์แล้วนั้นคงจะไม่รุ่งเรือง และเป็นที่นิยมแสวงหากันมาสะสมบูชากัน จนทำให้มีมูลค่าที่สูงมากในยุคปัจจุบัน (กุมารทองหลวงพ่อเต๋ รุ่นแรก สวยสมบูรณ์ ราคาห้าหมื่นบาทขึ้นไป)

กุมารทอง เป็นความเชื่อทางไสยศาสตร์เกี่ยวกับจิตวิญญาณ ไม่เฉพาะของไทยเท่านั้น พวกเขมร แขก ลาว พม่า ก็มีความเชื่อเช่นเดียวกัน และเชื่อกันมานานหลายร้อยปี หรือนับเป็นพันปีก็ได้ (มีการพบรูปปั้นกุมารทองในกรุต่างๆ หลายกรุ นัยว่าสร้างเอาไว้เพื่อเฝ้าทรัพย์สมบัติ) ที่มาของกุมารทองมาจากการเลี้ยงภูติผีปีศาจไว้ใช้งาน โดยกุมารทองจะเป็นวิญญาณของเด็กผู้ชาย หากเป็นวิญญาณผู้หญิงที่คนเลี้ยงไว้จะเรียกว่า "โหงพราย"

กุมารทองนั้นแรกเริ่มเดิมทีมาจากวิญญาณของเด็กที่ตายในท้องแม่ หรือที่เรียกว่า ตายทั้งกลม ผู้มีวิชาอาคมจะไปนำพาวิญญาณเด็กนั้นมาเลี้ยงไว้เป็นลูก จากหลักฐานที่พบในเอกสารโบราณระบุถึงการทำกุมารทองสรุปว่า ต้องหาศพที่ตายทั้งกลม (ขุนแผนฆ่านางบัวคลี่ที่ท้องแก่จวนคลอดจนเป็นผีตายทั้งกลม) แล้วประกอบพิธีกรรมเผา ไม้ที่นำมาเป็นเชื้อเพลิงต้องเป็นไม้มงคล ถูกต้องตามตำรา เช่น ไม้กันเครา ไม้เถากันภัย ไม้ชัยพฤกษ์ ฯลฯ เป็นต้น และต้องเอาศพทารกในท้องนั้นมาย่างไฟให้แห้งสนิทก่อนรุ่งอรุณ แล้วจึงลงรักปิดทองให้ทั่ว ด้วยเหตุนี้จึงเรียกว่ากุมารทอง

ต่อมาสภาพสังคม และวัฒนธรรมพัฒนาไปมากขึ้น ทำให้ไม่สามารถสร้างกุมารทองจากศพทารกจริงๆ ได้ จึงได้มีการดัดแปลงกรรมวิธีการสร้างกุมารทองขึ้น โดยใช้ดินเจ็ดป่าช้าบ้าง ไม้รักซ้อน หรือไม้มะยมบ้าง ไปจนถึงโลหะ มาสร้างเป็นรูปกุมาร แล้วปลุกเสกตั้งจิต ตั้งธาตุทั้ง ๔ และเรียกอาการสามสิบสอง ให้บังเกิดเป็นจิตวิญญาณของเด็กขึ้นมา



แนะนำ
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-3-28 15:53 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย Nujeab เมื่อ 2013-3-28 15:54

กุมารทองหลวงปู่ชื่น ( ๔ ) โดย อ.เล็ก พลูโต

ขั้นตอนเมื่อท่านได้กุมารมาแล้ว

๑. เมื่อท่านได้กุมารมาแล้วให้ท่านจัดการตั้งชื่อให้กับเขา โดยแบ่งได้ดังนี้

๑.๑ ชื่อที่เน้นโชคลาภ เช่น ทองมา เรียกทรัพย์ พูลเงิน พูลทอง ทองไหลมา เป็นต้น

๑.๒ ชื่อที่เน้นทางดุดัน เฝ้าบ้าน แคล้วคลาด เช่น ชัย เพชรมั่น คง กล้า แกร่ง เป็นต้น

๒. ก่อนนำเข้าบ้านให้ทำตามนี้

๒.๑ หาที่ตั้งให้เหมาะสม โดย ไม่อยู่สูงกว่าพระ หรือ ต่ำติดพื้น และไม่ควรหันหน้าไปทาง ทิศตะวันตก (หากไม่มีที่ทาง ให้ตั้งไว้บนพาน บนหิ้งพระ คือ อยู่รวมกับพระได้ เพราะไม่ใช่ผี ปีศาจ สิ่งเลวร้ายอัปมงคล แต่เป็นของกายสิทธิ์ มีอำนาจพุทธคุณในตัว)

๒.๒ จุดธูปกลางแจ้ง ๑๖ ดอก บอกกล่าวเจ้าที่เจ้าทางดังนี้

ข้าพเจ้าขอตั้งจิตอธิฐานบอกกล่าวแด่ พระภูมิ เจ้าที่ ผีปู่ ผีย่า ผีตา ผียาย ผีเหย้า ผีเรือน และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายที่ อยู่ภายในสถานที่ แห่งนี้ วันนี้ข้าพเจ้าได้นำ เจ้า......(ชื่อลูกที่ตั้งแล้ว) เข้ามาเลี้ยงภายในบ้าน เพื่อให้เจ้า..... เฝ้าทรัพย์สิน ให้โชคให้ลาภ

ขอให้ พระภูมิเจ้าที่ ผีปู่ ผีย่า ผีตา ผียาย และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายเปิดทางให้เจ้า.... เข้ามาอยู่อาศัยในบ้านได้สะดวกด้วยเถิด (ขั้นตอนนี้ หากไม่สะดวก จะข้ามไปก็ได้ เพราะกุมารทองของหลวงปู่นั้น เข้าออกได้ทุกสถานที่ คือ หลวงปู่ท่านลงเอาไว้ให้ผ่านเข้าออกได้ทุกสถานที่อยู่แล้ว มีพรของหลวงปู่คุ้มครองทุกองค์)

๒.๓ เมื่อทำการเปิดทางให้กับเจ้ากุมารลูกของคุณแล้ว ให้นำกุมารมาตั้ง ณ ที่ที่เตรียมไว้แล้วจุดธูปบอกกุมาร ๓ ดอก  ดังนี้

เจ้ากุมารทองของพ่อเอ๋ย ต่อไปนี้เจ้าชื่อ ..... และต่อไปนี้คนนี้คือพ่อของเจ้า พ่อจะเรียกเจ้าว่า ..... มาอยู่ที่บ้าน

ให้ช่วยกันดูแลบ้านเฝ้าบ้านให้ดี ช่วยกันทำมาหากินนะ แล้วพ่อจะซื้อของเล่นให้ เวลาพ่อไปไหนก็ไปกัน เวลาพ่อกินอะไรก็กินกันนะ ไม่ต้องรอให้พ่ออนุญาต อยากได้อะไรอยากกินอะไรมาบอกพ่อนะ (ส่วนมากเขาจะมาเข้าฝันบอก ไม่ปรากฎกายให้เห็น เพราะบางคนขวัญอ่อน อาจตกใจกลัวได้ หลวงปู่ชื่นท่านกำชับกุมารของท่านทุกองค์)

(หากมีกุมารอยู่แล้วให้กล่าวเพิ่มว่า เจ้า...(ชื่อกุมารองค์เดิม).... วันนี้พ่อนำ น้องเค้ามาอยู่ด้วยนะ อยู่ด้วยกันก็รักกันนะช่วยกันดูแลบ้าน หาเงินหาทองอย่าทะเลาะกันนะ)

ทุก ๆวันพระให้เรานำข้าวปลาอาหาร หรือ ขนม หรือ ผลไม้ ดอกไม้ มาบูชาเค้าแล้วบอกกล่าวเค้าว่าให้ช่วยกันหาเงินหาทอง เฝ้าบ้านดูแลคนในบ้าน ขาดเหลืออะไรบอกพ่อนะ

ข้อเสนอแนะดังกล่าวข้างต้นนี้ ไม่จำเป็นต้องทำจนเกิดเป็น “ภาระ” ขัดต่อการงานอาชีพ ให้ทำเท่าที่สามารถทำได้ การเซ่นไหว้ก็เช่นกัน หากไม่สะดวก จะบอกเขาให้มาทาน หรือ เรียกเขามาทานอาหารพร้อมคุณก็ได้ หรือหากคุณหลงลืมบ่อย ๆ ก็บอกเขาล่วงหน้าไปเลยว่า ให้มากินพร้อมกันทุกครั้ง โดยไม่ต้องเรียก

สำนึกของผู้ที่เลี้ยงกุมารทอง

๑. ท่านต้องระลึกไว้เสมอว่ากุมารนั้น คือ ลูกของท่าน เสมือนคนจริง ๆ ๒. หมั่นหาของเล่นขนมมาให้เค้า ๓. หมั่นคุยกับเค้า

๔.หากเบื่อแล้วคิดจะเลิกเลี้ยง นั้นควรนำเค้าไปปล่อย โดยให้ผู้ที่มีพลังจิต หรือ พระปลดปล่อยเค้าไป (หากติดต่อผมได้ จะส่งคืนผมก็ได้ ผมยินดีรับคืนทุกเวลา เพื่อเป็นสื่อกลางหาพ่อแม่คนใหม่ให้เขาต่อไป แต่ส่วนมากที่นำไปเลี้ยงมักจะมีความรักความผูกพัน เลี้ยงกันจนกว่าจะตายจากกันไปข้างทีเดียว)

พระคาถาบูชากุมารทองรับทรัพย์

                สุวัณโณ ปิยะกุมาโร มหาภูโต มหิทธิโก สัพพะทิเสสุ วัตติโก สัพพะคาเมสะ โคจะโร สัพพะชนานัง หะเทเย มหาเตโช ประวัตติโก รัตนะตะยานุภาเวนะ รัตนะตะยะเตสะสา เทวานัง อิทธิพะเลนะ กุมาโร จะมหิทธิโก แล้วพูดว่า

                “พ่อกุมารทองที่รัก เจ้าเป็นหนึ่งแห่งผู้มีอิทธิฤทธิ์ยิ่งใหญ่ จงช่วยคุ้มครองบ้านเรือนให้อยู่เย็นเป็นสุข ให้ช่วยค้าขายดีมีกำไร มีโชคลาภด้วยเทอญฯ (หมั่นสวดบูชา เพื่อเพิ่มพลังอำนาจให้กุมารทองทุกคืน ก่อนนอน จะบังเกิดผลดี มีความสุข ความเจริญ)

คาถาเรียกจิตกุมารทอง ให้ติดตามไปไหนมาไหนด้วยกัน

                จิเจรุนิ จิตตัง เจตะสิ กังรูปัง กุมาโรวา นะมามามา นะมะพะทะ นะมะอะอุ กุมารัง  ปิยังมะมะ ปุตตัง วะชะยาติ เจ้า....... (เอ่ยชื่อกุมารทอง) จงมา หรือ จงไป (อธิษฐานเชิญชวนให้เขาไปไหนมาไหน ไปทำอะไร) จิตติ จิตตัง จิตติพันธะนัง ปิยังมะมะ อาคัจฉายะ อาคัจฉาหิ

คาถาเรียกกุมารรับประทานอาหาร

                "โอม สุวัณณะปิยะกุมารา มหาภูตา มารับโภชนา อาคัจฉายะ ติวัปตับโพ อาคัจฉาหิ มาลูกมา" จงมารับโภชนาหารพร้อมกันกับพ่อ (แม่) หรือ จงมารับโภชนาหารที่พ่อ (แม่) นำมาเซ่นสังเวย ณ กาลบัดนี้ด้วยเทอญฯ


2#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-3-28 15:48 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
กุมารทองนั้น แบ่งออกเป็น ๒ ประเภท ตามลักษณะการใช้งาน คือ

๑. กุมารทองเพชรฆาต หรือพิฆาต มีอิทธิฤทธิ์ในด้านทำร้ายศัตรูโดยตรง ผู้ที่สร้าง และปลุกเสกกุมารทองประเภทนี้ไว้ใช้ จะต้องมีคาถาอาคมคอยกำกับ ส่วนมากมักเป็นนักเลงไสยศาสตร์ หรือ หมอผี หมออาคมต่างๆ จัดอยู่ในพวกมนต์ดำ หรือเดรัจฉานวิชา เนื่องจากกุมารทองประเภทนี้ จะมีความดุร้ายอย่างมาก ถ้าพระอาจารย์ผู้สร้างไม่เก่งจริง ไม่สามารถกำกับให้อยู่ในบังคับได้ ก็อาจเป็นภัยเข้าหาตัว และลูกศิษย์ที่นำไปบูชา เสมือนดาบสองคม จึงไม่มีพระอาจารย์ในยุคปัจจุบันนิยมสร้างมากนัก ที่สร้าง และอ้างว่าเป็นกุมารทองพิฆาต ส่วนมากมักทำไม่ได้จริง มุ่งหวังหลอกลวงลูกศิษย์เสียล่ะมาก

กุมารทองเพชรฆาต แบ่งออกเป็น ๔ ชนิด คือ ๑. เพชรมั่น ๒. เพชรดับ ๓. เพชรคง ๔.เพชรสูญ โดยเรียกรวมกันว่า เพชรภูติงาน หรือ เพชรปราบ มีไว้สังหารหรือทำร้ายศัตรูโดยเฉพาะ ตามตำรากล่าวไว้ว่า การสร้างกุมารทองชนิดนี้ จะใช้การอัญเชิญวิญญาณของพวกผีตายโหง หรือปีศาจให้มาสถิตอยู่ในหุ่นกุมารทอง ซึ่งแต่ละชนิดนั้นจะมีวิธีการทำร้ายศัตรูที่ต่างกันไป กุมารทองเพชรสูญ จะมีฤทธิ์ในการทำให้คนกลายเป็นบ้า กุมารทองเพชรคง และ เพชรมั่น นั้นจะดีในทางด้านเฝ้าบ้านเรือน ด้วยการฆ่าคนแปลกหน้าที่มาบุกรุกบ้าน สิ่งที่ปราบกุมารทองเพชรมั่น ได้นั้น ได้แก่ วัวธนูที่ทำจากไม้ไผ่หามผี แต่ กุมารทองเพชรคง จะมีฤทธิ์สูงกว่ากุมารทองเพชรมั่น เพราะสามารถเอาชนะได้ หรือ แม้กระทั่งวัวธนูที่ทำจากครั่ง สิ่งที่เดียวที่จะหยุดได้ คือ วัวธนูทองแดง

ยิ่งไปกว่านั้น กุมารทองเพชรคง ยังมีอำนาจในการไล่ตามศัตรูได้ ในขณะที่กุมารทองเพชรมั่น จะอยู่แต่ภายในอาณาเขตบ้านเท่านั้น กุมารทองเพชรดับ เป็นเพชรฆาตเลือดเย็น ที่สามารถหักคอศัตรูอย่างรวดเร็วฉับพลัน เหมือนนักฆ่ามืออาชีพ มีไว้สำหรับปลิดชีวิตศัตรูโดยเฉพาะ

อย่างที่กล่าวเอาไว้แต่ต้น กุมารทองจำพวกนี้ยังคงนิยมอยู่ในเฉพาะนักไสยเวทย์มนต์ดำที่เก่งกล้า หรือ แถบเขมร และ อิสลาม ไม่ได้นิยมในหมู่นักสะสมเครื่องรางทั่วไป

๒. กุมารทองเมตตามหาลาภ กุมารทองประเภทนี้มีไว้ เฝ้าบ้าน เรียกลูกค้า เป็นเมตตามหานิยม ไม่มีชื่อเรียกโดยเฉพาะ โดยทั่วไปนั้น ผู้บูชาจะตั้งชื่อเอง โดยจะตั้งชื่อที่เป็นมงคล เรียกทรัพย์ต่างๆ กุมารทองชนิดนี้ จะไม่มีความดุร้าย สามารถเลี้ยงกันได้ทุกคน ไม่มีอันตรายเหมือนอย่างกุมารทองทองชนิดข้างต้น

กุมารทองด้านเมตตา ที่สร้างโดยอาจารย์รุ่นเก่าที่ขึ้นชื่อว่าขลังได้แก่ หลวงพ่อเต๋ วัดสามง่าม จะสร้างด้วยดินเจ็ดป่าช้า ผสมวัสดุมวลสารต่างๆ ตามตำราอย่างเคร่งครัด ค่านิยมในวงการพระเครื่องในยุคปัจจุบันอยู่ในหลักหมื่นต้นๆ ถึง หลักหมี่นกลางๆ แม้ในปัจจุบันนี้ก็ยังมีศิษย์สืบทอดวิชา คือ หลวงพ่อแย้ม ท่านทำได้เข้มขลังไม่แพ้อาจารย์ จึงได้รับความนิยมต่อเนื่องกันมานานกว่า ๓๐ ปี กุมารทองทางเมตตานี้จะมีความศักดิ์สิทธิ์ในด้านของการเฝ้าบ้าน เรียกลูกค้า ปกป้องภัย เตือนภัย ให้ลาภผลแก่ผู้สักการบูชา

กุมารทอง แบ่งเป็น ๔ ลักษณะ ตามชนิดวิญญาณที่สิงสถิต คือ

๑. กุมารภูติผี มักจะสร้างด้วยดิน ๗ ป่าช้า ผสมผงพรายกุมาร ซึ่งผงพรายกุมารนั้น คือ ผงที่ได้จากการเอากระดูกเด็กมาป่นละเอียด ผสมกับผงอิทธิเจ ปถมัง และวัสดุอาถรรพณ์ต่างๆ ดังได้กล่าวมาแล้ว สมัยโบราณมักจะสร้างไว้บูชา กุมารประเภทนี้จะมีความเฮี้ยน และแรงที่สุด มีทั้งคุณ และโทษพร้อมกัน วิญญาณที่เชิญลงมานั้นมักเป็นวิญญาณเด็กตายทั้งกลมในป่าช้า วิญญาณที่ร่อนเร่ ตายเพราะการทำแท้ง หรือเป็นวิญญาณเด็กที่ติดอยู่กับผงพรายกุมาร กุมารประเภทนี้ต้องเซ่นไหว้ บูชาให้ดี ก็จะให้คุณแก่ผู้เลี้ยงอย่างมหาศาลชนิดทันตาเห็น บนบานอะไรหากสำเร็จต้องแก้บนตามที่ตกลงกันไว้ อย่าผิดคำพูดเป็นอันขาด กุมารอาจโกรธ สำแดงเดชหลอกหลอนให้โทษแก่ผู้เลี้ยงได้ เมื่อวันเวลาผ่านไป วิญญาณเด็กในกุมารอาจโตขึ้นได้

กุมารทองของขุนแผน จัดอยู่ในประเภทกุมารทองภูติผี, กุมารทองของหมอเขมรต่างๆ ที่มักทำคุณไสย์ใส่ผู้คน เพื่อเรียกร้องค่าแก้คุณไสย์ พวกเดรัจฉานวิชาที่เลี้ยงกุมารทองพิฆาตทั้งหลาย ล้วนจัดอยู่ในประเภทนี้ ปัจจุบันคงไม่มีพระเกจิอาจารย์องค์ใดสร้างกุมารทองภูติผีให้ลูกศิษย์บูชา เพราะเป็นการผิดศีลธรรม เนื่องจากเบียดเบียน และทำร้ายผู้อื่น กุมารทองชนิดนี้ ถ้าไม่เลี้ยง ไม่เซ่นไหว้ เขาก็จะไม่อยู่ หรืออยู่เพราะถูกอาคมบังคับ ก็จะทนทุกข์ทรมานด้วยความหิวโหย กลายเป็นกุมารที่ดุร้าย หรือบางที หมออาคมที่สร้างกุมารชนิดนี้ หาวิญญาณเด็กไม่ได้ หรือวิญญาณเด็กอาจจะเฮี้ยนไม่พอ ก็จะหาวิญญาณผีตายโหง ชาย หรือ หญิง เข้ามาอยู่ในร่างกุมารแทน นับเป็นสิ่งที่น่ากลัวมาก หากใครได้กุมารชนิดนี้ไว้ในครอบครองโดยไม่รู้ตัว

๒. กุมารพราย หรือ พรายกุมาร กุมารชนิดนี้ มักจะสร้างด้วย ไม้ตายพราย ซึ่งคือไม้ที่แห้งเหี่ยวอับเฉาตายไปเองในขณะยืนต้น ต้นไม้ล้มลงดิน ที่นิยมนั้นมักจะสร้างด้วยเนื้อไม้รักซ้อนตายพราย และไม้มะยมตายพราย เพราะถือว่าไม้ตายพรายนั้นเป็นไม้เทพสถิต มีความขลังอยู่ในตัวโดยไม่ต้องปลุกเสก นำมาแกะเป็นรูปกุมาร อาจารย์ผู้เสกจะประจุอาคมพระเวทย์ จิต ตั้งธาตุ หนุนธาตุ เรียกอาการ ๓๒ เรียกนาม จนเกิดเป็นวิญญานเด็กอุบัติขึ้นมา วิญญานที่เกิดขึ้นมานั้นจะเรียกว่า พราย คือ ไม่รู้จักโต พรายพวกนี้จะไม่ทำร้ายผู้ใด แต่ถ้าขาดการดูแลจะอ่อนกำลัง และสลายไปในที่สุด (ดังนั้น คำว่า พราย จึงไม่ได้แปลว่า ภูติผีปีศาจ อย่างที่หลายท่านเข้าใจผิด และสามารถอยู่รวมกับพระเครื่องรางของขลังอื่นๆ ได้)

เมื่อสมัย ๒๐ – ๓๐ ปีก่อน ยังพอมีพระอาจารย์หลายรูปสร้าง และปลุกเสกพรายกุมาร ซึ่งมีลักษณะแกะจากไม้ เป็นรูปเด็กหัวจุกยืนพนมมือ บรรจุอยู่ในขวดเล็กๆ เท่าขวดยานัตถุ์ แล้วมีน้ำมันจันทน์หอมหล่อเลี้ยงเอาไว้ประมาณครึ่งขวด ซึ่งบางสำนักมีข้อพึงระวังมิให้น้ำมันแห้งจากขวด อาจทำให้วิญญาณกุมารพรายอ่อนกำลัง หรือสูญสลายไปได้

พระอาจารย์สาคร วัดหนองกรับ ระยอง ศิษย์ผู้สืบทอดพุทธาคมจากหลวงปู่ทิม วัดละหารไร่ ท่านสร้าง “พรายกุมาร” ขึ้นมาเหมือนกัน โดยนำผงพรายกุมารมาผสมกับผงพุทธคุณ ปั้นเป็นรูปกุมารทอง และได้รับความนิยมอย่างกว้างขวาง ส่วนพระอาจารย์อื่นๆ ที่สร้างกุมารพรายใส่ขวด ไม่ค่อยพบเห็นมากนัก เนื่องจากหาไม้ตายพรายยาก และรูปลักษณ์การแกะสลักไม่ค่อยงดงาม ขาดความนิยมในหมู่นักเลี้ยงกุมารทองนั่นเอง
3#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-3-28 15:49 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
กุมารทอง หลวงปู่ชื่น วัดตาอี (๒) โดย อ.เล็ก พลูโต

๓. กุมารเทพ กุมารชนิดนี้สามารถใช้วัสดุต่างๆ สร้างได้ทุกชนิด ไม่ว่าจะปั้นด้วยดิน, แกะด้วยไม้, หล่อด้วยโลหะชนิดต่างๆ หรือกดพิมพ์ลอยองค์เป็นรูปกุมารด้วยผงพุทธคุณ ซึ่งพระเกจิอาจารย์ที่สร้างอาจผสมผงพรายกุมาร หรือบรรจุวัสดุอาถรรพณ์ลงในวัสดุที่สร้างด้วยก็ได้ หรือ ไม่บรรจุก็ได้ แต่องค์อาจารย์ผู้ปลุกเสก จะต้องเป็นผู้ที่ได้ญาณสมาบัติชั้นสูง ส่วนมากมักจะเป็นพระสุปฏิปันโน หรือพระฤาษีที่มีตบะเดชะแก่กล้า การปลุกเสกคล้ายๆ กับ กุมารพราย คือ อาจารย์ผู้เสกจะประจุอาคมพระเวทย์ จิต ตั้งธาตุ หนุนธาตุ เรียกอาการ ๓๒ เรียกนาม จนเกิดเป็นวิญญานเด็กอุบัติขึ้นมา

ซึ่งวิญญาณดังกล่าว ไม่ใช่วิญญาณธรรมดา แต่เป็นวิญญาณเทพ ชั้นจาตุมหาราชิกา ที่ต้องการสร้างบุญบารมี เพื่อที่จะได้บรรลุความเป็นเทพชั้นสูงขึ้นไป หรือเป็นวิญญาณเทพที่รอการจุติ แต่ยังไม่ทันปฏิสนธิวิญญาณในครรภ์มารดา ตัวอ่อนที่อยู่ในครรภ์ก็แท้งเสียก่อน เลยไม่ได้จุติตามกำหนด จึงถูกอัญเชิญให้มาจุติในหุ่นกุมารทองเพื่อสร้างบุญบารมีในโลกมนุษย์

กุมารเทพจะเป็นกุมารที่ให้คุณอย่างเดียว ไม่ให้โทษ ไม่โต และไม่สูญสลายไปตามกาลเวลา นอกเสียจากกุมารเทพองค์นั้น จะหมดอายุขัยในภพภูมิเทพชั้นจาตุมหาราชิกา (๙ ล้านปี มนุษย์) หรือบรรลุความเป็นเทพชั้นสูงขึ้นไปเท่านั้น

สำนักที่สร้างกุมารเทพ และมีชื่อเสียงโด่งดังมาแต่อดีต ได้แก่ หลวงพ่อแช่ม วัดตาก้อง จ.นครปฐม ซึ่งเป็นพระอาจารย์ของหลวงพ่อเต๋ ส่วนมากจะสร้างด้วยโลหะผสม เป็นรูปกุมารดูดรก มีพุทธคุณโดดเด่น ในเรื่องการดลบันดาลให้เกิดลาภผลแก่ผู้สักการะบูชา มีขนาดเล็กพกพาติดตัว กุมารดูดรกของหลวงพ่อแช่ม เป็นวิญญาณเทพ จึงไม่ต้องมีการเซ่นไหว้ใดๆ ทั้งสิ้น และไม่มีวันเสื่อม ไม่ให้โทษแก่ผู้สักการะบูชา แต่ไม่ค่อยเฮี้ยน หรือมาปรากฎตัวให้เห็น ผู้สักการะบูชาพกพา จะไม่มีความรู้สึกสัมผัสกับวิญญาณโดยตรง เว้นแต่บางครั้งจะมาเข้าฝันให้ลาภ หรือเตือนภัยเท่านั้น

ปัจจุบันการสร้างกุมารเทพ มีมากมายหลายสำนัก เช่น หลวงพ่อพูล วัดไผ่ล้อม จ.นครปฐม, หลวงพ่อโป่ย วัดป่าดงศิลาราม จ.นครราชสีมา, หลวงปู่ครูบาดวงดี วัดท่าจำปี เชียงใหม่ ฯลฯ และที่สร้างเป็นพระขุนแผน ด้านหลังกุมารทอง เช่น หลวงปู่ทิม วัดพระขาว อยุธยา กุมารทองหลังองค์พระ หรืออยู่ใต้องค์พระนี้ ถือว่าเป็น “กุมารเทพ” จึงอยู่กับพระได้อย่างสบาย

๔. กุมารเทพกึ่งพราย หรือพรายเทพกุมาร กุมารชนิดนี้สามารถสร้างด้วยวัสดุต่างๆ เหมือนกับกุมารเทพ แต่พระอาจารย์ผู้สร้างจะเชิญวิญญาณของเด็กที่เร่ร่อน (สัมภเวสี) ที่ตายก่อนกำหนด (ตายโดยไม่ทันโต หรือตายในขณะเป็นทารก) หรือ วิญญาณของเด็กที่เกิดจากการทำแท้งของพ่อแม่, วิญญาณเด็กที่ถูกพ่อแม่ฆ่า หรือนำไปทิ้ง ปล่อยให้ตาย ฯลฯ ซึ่งมีเป็นจำนวนมากในสังคมที่ฟอนเฟะในปัจจุบัน ให้มาสิงสถิตอยู่ในรูปกุมาร โดยไม่มีการบังคับ หรือสะกดวิญญาณ โดยมักจะมีวัสดุอาถรรพณ์ เช่น โลหะที่หลอมมาจากโกศใส่กระดูกเด็ก ดินเจ็ดป่าช้า หรือผงพรายกุมาร ผสม หรือบรรจุอยู่ในรูปกุมาร เพื่อเป็นสื่อสถิตวิญญาณ (จะไม่เชิญวิญญาณเทพ เหมือนประเภทที่ ๓)

จากนั้นก็ใช้พระเวทอาคมปลุกเสก หรือแผ่บุญบารมีให้แก่วิญญาณเด็กดังกล่าวจน วิญญาณธรรมดาที่บริสุทธิ์ของเด็ก (ยังไม่ได้เกิดมาก่อกรรมทำชั่วอะไรในภพภูมิมนุษย์ ก็ต้องมาตายเพราะกรรมเก่าก่อนเกิด หรือ เกิดได้ไม่นาน ไม่ทันเติบโต) ยกระดับฐานะเป็นวิญญาณเทพชั้นจาตุมหาชิกา ไม่โต และไม่สูญสลายไปตามกาลเวลา นอกจากหมดอายุขัยในภพภูมิเทพชั้นที่ ๑ หรือ บรรลุความเป็นเทพชั้นสูง จากนั้นให้รับศีลห้า และตั้งสัจจะว่าจะบำเพ็ญบุญบารมีร่วมกับผู้ที่นำไปสักการบูชา หรือพ่อแม่ที่จะนำไปเลี้ยง และจะไม่สร้างความเดือดร้อนใดๆ แก่ผู้เลี้ยงดูในทุกกรณี พระอาจารย์ที่จะสร้าง และปลุกเสกพรายเทพกุมารได้ มักจะเป็นพระอริยสงฆ์ทรงสมาบัติชั้นสูง มีบุญบารมีแก่กล้าเพียงพอ ที่จะแผ่กุศลผลบุญของตนให้วิญญาณเด็กที่บริสุทธิ์เหล่านั้น กลายเป็นวิญญาณเทพได้

กุมารทองของสำนักวัดสามง่าม อ.ดอนตูม จ.นครปฐม โดย หลวงพ่อเต๋ คงทอง และ หลวงพ่อแย้ม ผู้เป็นศิษย์สืบทอดตำราการสร้าง จัดอยู่ในกุมารเทพกึ่งพราย หรือ พรายเทพกุมาร มีชื่อเรียกอย่างเป็นทางการว่า “ตุ๊กตาทอง” โดยทางพระอาจารย์ผู้ปลุกเสก จะตั้งชื่อไว้ให้ (ยุคปัจจุบัน หลวงพ่อแย้มลูกศิษย์สร้างปลุกเสก กำหนดให้ตั้งชื่อเอง)

ปัจจุบันพระอาจารย์ที่สร้างพรายเทพกุมารที่มีชื่อเสียง และได้รับความนิยมอย่างสูง คือ พระอาจารย์ปุ้ม วัดศาลาแดง กรุงเทพฯ , หลวงปู่ชวน วัดเขาแก้ว จ.อ่างทอง (ลูกศิษย์อีกองค์หนึ่งของหลวงพ่อเต๋) , หลวงพ่อมัก วัดเขาเล็กรางสะเดา จ.กาญจนบุรี, หลวงพ่อกอย วัดเขาดินใต้ จ.บุรีรัมย์, หลวงปู่ผาด วัดบ้านกรวด จ.บุรีรัมย์ ฯลฯ


4#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-3-28 15:50 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
หลวงปู่ชื่น  ติคญาโณ แห่งวัดตาอี อำเภอบ้านกรวด จังหวัดบุรีรัมย์ เป็นพระอาจารย์ในยุคปัจจุบัน (มรณภาพไปแล้ว เมื่อปี ๒๕๔๗) ที่ทำการปลุกเสกพรายเทพกุมาร เป็นที่ยอมรับนับถือของสาธุชนทั่วไปมากมายหลายรุ่น ในช่วงปลายอายุขัยของท่าน ที่ได้รับความนิยมสูงสุดก็คือ กุมาร ๙ โกศ ซึ่งสร้าง และปลุกเสกยากมาก ปัจจุบันเป็นที่เสาะแสวงหาของสานุศิษย์ในอัตราค่าบูชาที่สูงมาก ชนิดที่เรียกเท่าไรก็จะสู้ แต่ไม่มีใครยอมปล่อยออกแม้แต่รายเดียว

“หลวงปู่ชื่น นามเดิมชื่อ ชื่น นามสกุล ศรีโสด เกิดเมื่อวันศุกร์ เดือน ๑๑ ปีมะเมีย  ตรงกับปี พ.ศ. ๒๔๖๑  เกิดที่บ้านหินกอง อำเภอหินกอง จังหวัดสวายศรีโสพล  ประเทศกัมพูชา  โยมบิดาชื่อ นายชุบ โยมมารดาชื่อ พิม ศรีโสด  มีพี่น้องร่วมท้องเดียวกัน ๗ คน คือ นายเรียว, นายโพธิ์, นายบุญ, นายเกิด, หลวงปู่ชื่น, นางยอด และนางยาว ครอบครัวมีอาชีพทำนาทำไร่ตามประสาชาวบ้านในชนบททั่วไปของชาวเขมร                  

ชีวิตในวัยเยาว์ของหลวงปู่ชื่น นิสัยท่านเป็นคนใจบุญ มีความสุขุมลุ่มลึก  และมีใจโอบอ้อมอารี ชอบเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อเพื่อนฝูง ญาติพี่น้อง  ทั้งยังมีจิตใจเลื่อมใสในพระพุทธศาสนามาตั้งแต่เด็กๆ  พออายุได้ ๑๕ ปี ได้ขอบิดามารดาบรรพชาเป็นสามเณร ซึ่งพ่อแม่ไม่ขัดข้อง ท่านจึงได้บวชเป็นสามเณร ณ วัดในหมู่บ้านเกิดของท่าน                  

หลังจากบวชเณรได้ระยะหนึ่งพอถึงอายุ ๒๐ ปี หลวงปู่ชื่นก็ได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุในพระพุทธศาสนาโดยได้รับฉายาว่า “ติคญาโณ” เมื่ออุปสมบทเป็นพระภิกษุโดยสมบูรณ์แล้ว หลวงปู่ชื่นได้ศึกษาบทสวดมนต์ และบทสวดปาติโมกข์ ซึ่งใช้เวลาเพียงหนึ่งพรรษาก็สวดพระปาติโมกข์ได้แล้ว นับว่าหาพระที่เก่งเช่นนี้น้อยมาก เพราะการท่องบทพระปาติโมกข์ พระบางรูปต้องใช้เวลานานนับ ๕ ปี ๑๐ ปี เนื่องจากเป็นบทสวดที่ยาว และยากที่สุดนั่นเอง                  

“หลวงปู่ชื่นสอบนักธรรมชั้นตรีได้ในพรรษาที่ ๓ หลังจากนั้นท่านจึงออกเดินธุดงค์ปลงสังขาร ลัดเลาะไปตามป่าดงพงพี ข้ามเขาลงห้วยในดินแดนประเทศกัมพูชา ทำให้ท่านได้พบกับครูบาอาจารย์ที่เก่งๆ อยู่หลายรูป ซึ่งแต่ละอาจารย์ก็ได้ถ่ายทอดวิชาอาคมที่ตนมีอยู่ให้หลวงปู่ชื่นจนหมดสิ้น โดยเฉพาะฤๅษีที่บำเพ็ญพรตอยู่กลางป่าดงดิบ ได้ถ่ายทอดวิชาขั้นสุดยอดให้หลวงปู่ชื่น เพื่อให้นำไปช่วยเหลือศิษย์ต่อไปอีก”                  

หลวงปู่ชื่นเป็นพระเถระที่มีความเป็นอยู่อย่างเรียบง่าย  มีศีลจารวัตรที่งดงาม  ชอบบำเพ็ญกุศลเพื่อเสริมสร้างบารมีให้แก่กล้าขึ้น ท่านจะตื่นตั้งแต่ตีสามทำวัตรสวดมนต์  และช่วงค่ำก็เช่นกันท่านจะสวดมนต์มิได้ขาด (นอกจากจะมีกิจนิมนต์ และป่วยเท่านั้น)                  

“หลวงปู่ชื่นชอบทำประโยชน์ให้แก่ส่วนรวมเป็นที่สุด และให้ความเป็นธรรมแก่ศิษยานุศิษย์เพื่อเป็นแบบอย่างที่ดีของศิษย์ทั้งหลายอีกด้วย ท่านจึงเป็นที่รักเคารพของศิษย์ และประชาชนทั่วไปเป็นจำนวนมาก”               

หลวงปู่ชื่น ติคญาโณ เป็นศิษย์สาย “เขากุเลน” ซึ่งเป็นศูนย์รวมเวทวิทยาอาคมชั้นสูง ที่เป็นฉบับแท้ดั้งเดิมของเขมรโบราณ อาจารย์องค์แรกของท่านคือ “หลวงปู่เอื้อย และ หลวงปู่ดี สุวรรณดี” สองปรมาจารย์ผู้มีพลังจิตอันลึกล้ำ ทั้งยังมีอิทธิฤทธิ์-ปาฏิหาริย์มากมาย เป็นที่เลื่องลือกันมากในประเทศกัมพูชา            

หลวงปู่ชื่นได้มองเห็นกาลไกลไปข้างหน้าว่า “พระเวทวิทยาคม” ที่ท่านกำลังศึกษาอยู่นี้ จะเป็นประโยชน์มากแก่การทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา ทั้งยังได้ช่วยเหลือสงเคราะห์ญาติโยม และผู้เดือดร้อนต่างๆ ในอนาคตภายหน้าแน่นอน ท่านจึงมุมานะพยายามขยันศึกษาเล่าเรียนวิชาอาคมจนสุดความสามารถ ตลอดจนศึกษาการเจริญวิปัสสนากรรมฐานนั่งสมาธิควบคู่ไปด้วย เพื่อเพิ่มพูนพลังจิตให้แก่กล้าขึ้น                  

“หลวงปู่ชื่นท่านเรียนกรรมฐานควบคู่ไปกับวิชาอาคม จนท่านเรียนรู้ได้อย่างแม่นยำ และรวดเร็ว โดยมีการทดสอบจากผู้เป็นอาจารย์จนเป็นที่พอใจ โดยเฉพาะหลวงปู่เอื้อย ท่านมีเมตตาถ่ายทอดวิชา และเคล็ดลับต่างๆ ให้หลวงปู่ชื่นจนหมดสิ้น หลวงปู่เอื้อยท่านเป็นพระที่มีชื่อเสียงโด่งดังมากในเขมร ดังชนิดผู้หลักผู้ใหญ่ในเขมรขณะนั้นยังมอบตัวเป็นศิษย์หลายคน”

ในเวลาต่อมาเมื่อหลวงปู่เอื้อยมรณภาพลง หลวงปู่ชื่นจึงออกเดินธุดงค์บุกป่าฝ่าดงดิบในดินแดนเขมร เพื่อแสวงหาครูบาอาจารย์อีกมากมาย  จนกระทั่งท่านได้พบกับ หลวงปู่ดี  สุวรรณดี  บน “เขากุเลน” ซึ่งท่านเป็นพระผู้มากด้วยอภิญญาญาณชั้นสูง และเป็นผู้มีพลังจิตอันลึกล้ำมหัศจรรย์เหนือโลกโดยแท้ ด้วยบุญญาบารมีของหลวงปู่ชื่น ติคญาโณ ทำให้หลวงปู่ดีรับหลวงปู่ชื่นเป็นศิษย์ แล้วจึงพากันออกเดินธุดงค์ไปด้วยกันตามสถานที่ต่างๆ

“หลวงปู่ชื่นได้ศึกษากรรมฐาน และเวทวิทยาคมกับธาตุทั้ง ๔ ตลอดจนเกร็ดเคล็ดลับการสร้าง-การปลุกเสกวัตถุมงคล เครื่องรางต่างๆ มากมายจากหลวงปู่ดี ทำให้ท่านแก่กล้าในพระเวทวิทยาคมเป็นอย่างมาก จึงไม่แปลกใจว่าทำไมวัตถุมงคลทุกรูปแบบทุกรุ่น จึงได้รับความนิยมจากศิษยานุศิษย์อย่างรวดเร็ว และมั่นคงมาจนถึงทุกวันนี้ แม้ท่านจะมรณภาพแล้วก็ตาม”                  

หลวงปู่ชื่นได้เมตตาเล่าเรื่องราว และประสบการณ์ในการเดินธุดงค์ของท่านให้ฟังว่า

“หลวงปู่ดีท่านนี้เก่งมาก ท่านเชี่ยวชาญพระเวทแทบทุกชนิด ท่านเคยเสกผ้าให้เป็นนกกระยางได้ และ เสกใบไม้ให้เป็นต่อเป็นแตนได้ ทั้งยังรู้ภาษาสัตว์แทบทุกชนิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งท่านสามารถล่องหนหายตัว และย่นระยะทางได้ ตลอดจนท่านเดินบนผิวน้ำได้อย่างน่าอัศจรรย์อีกด้วย”

หลวงปู่ชื่นเล่าว่า หลวงปู่ดีท่านเคยแสดงให้ดูมาแล้ว  ท่านเห็นกับตามาแล้ว จึงกล้ามาเล่าให้ฟัง  ท่านแสดงให้ดูก็เพื่อให้เป็นขวัญกำลังใจในการปฏิบัติธรรมสืบต่อกันไปนั่นเอง

“การเรียนวิชาอาคม จะมีฤทธิ์เข้มขลังได้ ต้องประกอบไปด้วยพลังจิตอันเป็นสมาธิแก่กล้าควบคู่กันไปด้วย” หลวงปู่ชื่นกล่าว                  

หลวงปู่ชื่นเป็นพระที่คงแก่เรียน คือ ท่านชอบศึกษาค้นคว้าตำรับตำรา และวิชาการต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นอักขระเลขยันต์  หรือวิชาอาคมอะไร ท่านจะทดลองสร้างทดลองปลุกเสกอยู่เสมอ  เมื่อท่านลองแล้วเห็นว่าดีจริง และใช้ได้ผลดีจริงตามตำรา ท่านก็คัดวิชาวิเศษเหล่านั้นมาสร้างมาปลุกวัตถุมงคลให้บรรดาลูกศิษย์ และลูกหลานท่าน ให้ได้รับแต่สิ่งที่เป็นมงคลเป็นของวิเศษไว้บูชากัน  จากการคัดเลือกพิจารณาตรวจจากหลวงปู่ชื่นแล้วว่า “ดีจริง-เห็นผลจริง” จึงไม่น่าแปลกใจเลยที่วัตถุมงคลของท่านมีประสบการณ์ต่อเนื่องเรื่อยมา จนเป็นที่กล่าวขานร่ำลือจากปากของผู้ที่บูชาวัตถุมงคลของหลวงปู่ชื่นว่ายอดเยี่ยมอยู่ในขณะนี้
5#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-3-28 15:52 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
กุมารทอง หลวงปู่ชื่น วัดตาอี (๓) โดย อ.เล็ก พลูโต

พบสหธรรมิกเก่า หลังจากหลวงปู่ชื่นธุดงค์ไปในที่ต่างๆ มากมาย จนกระทั่งท่านเดินทางไปจำพรรษาอยู่ที่วัดนาราก อำเภอครบุรี จังหวัดนครราชสีมา ท่านอยู่ได้ ๕ พรรษาจึงได้เดินธุดงค์ต่อเรื่อยไปจวบจนอายุท่านมากขึ้น กำลังวังชาถดถอย ท่านจึงอยู่กับที่ระยะหนึ่ง ต่อมาประมาณปี พ.ศ. ๒๕๒๔ หลวงปู่ชื่นได้รับนิมนต์เดินทางไปปลุกเสกวัตถุมงคล ที่วัดแห่งหนึ่งในเขตจังหวัดบุรีรัมย์ งานนั้นหลวงปู่นิล อนุตโร เจ้าอาวาสวัดตาอี ในขณะนั้น ซึ่งเคยเป็น “สหธรรมิก” (เพื่อน) เก่าก่อนกันมาก็ได้รับนิมนต์จากทางเจ้าภาพให้เป็นพระคู่สวดเช่นกัน



หลังจากพระทุกองค์เสร็จจากกิจนิมนต์แล้ว ทางเจ้าภาพได้จัดถวายอาหารเพลให้ฉัน  หลวงปู่นิลกับหลวงปู่ชื่นนั่งฉันในวงเดียวกัน  หลวงปู่นิลหันมองพระที่นั่งอยู่ข้างตัว  ท่านคิดในใจว่าคล้ายเคยเห็นกันมาก่อน  แต่ท่านยังจำไม่ได้ว่าเคยเห็นกันที่ไหน เพราะความที่จากกันมานานหลายสิบปีทำให้ท่านทั้งสองแทบจำกันไม่ได้  หลวงปู่นิลได้แต่คิดในใจว่า พระองค์นี้ทำไมช่างเหมือนหลวงปู่ชื่นเสียเหลือเกิน  จนอดใจไม่ไหวจึงเอ่ยถามไปว่า            

“หลวงพ่อท่านอยู่วัดไหน ชื่ออะไร”                  

หลวงปู่ชื่นตอบกลับไปทันที            

“อาตมาชื่อชื่น เป็นพระธุดงค์ยังไม่มีวัดจำพรรษา”                  

หลวงปู่นิลนั่งคิดตั้งนานที่แท้ก็ใช่หลวงปู่ชื่นจริงๆ ด้วย  เมื่อท่านทั้งสองได้นั่งสนทนากันแล้ว หลวงปู่นิลจึงได้ออกปากนิมนต์หลวงปู่ชื่นให้มาจำพรรษาอยู่ด้วยกันที่วัดตาอี  ประกอบกับช่วงนั้นหลวงปู่ชื่นมีอายุมากแล้ว และชาวบ้านตาอีก็ได้นิมนต์ท่านไว้ไม่ให้เดินธุดงค์อีก  นับตั้งแต่นั้นมาหลวงปู่ชื่นจึงได้อยู่จำพรรษาที่วัดตาอีเรื่อยมาจนกระทั่งมรณภาพ

เพชรเริ่มทอแสง                  

หลังจากหลวงปู่ชื่นมาอยู่วัดตาอีแล้ว ท่านได้เก็บตัวเงียบอยู่แต่ภายในกุฏิหลังเล็กๆ เหมือนพระหลวงตาแก่ๆ ธรรมดา  แทบไม่มีใครรู้เลยว่าท่านเป็นพระที่มี “พลังจิต” และมีอาคมเข้มขลังมาก จนกระทั่งกลางปี พ.ศ. ๒๕๔๒ หลวงปู่ชื่นได้สร้างวัตถุมงคลออกมา ๒-๓ รุ่น  ผลปรากฏว่าผู้ที่นำวัตถุมงคลของท่านไปบูชาต่างมีประสบการณ์ต่างๆ นานามากมาย  จากปากต่อปากทำให้วัตถุมงคลที่ท่านบรรจุพลังจิตเวทวิทยาคมที่มี “พลังมหัศจรรย์” ความวิเศษขลัง ยับยั้งภัยพาล  อาถรรพณ์จัญไร ขจัดสรรพทุกข์ สรรพโรค สรรพภัยที่มีอานุภาพ  ทั้งเมตตามหานิยม มหาโชค มหาลาภ ค้าขายดีเยี่ยม คุ้มครองป้องกัน ทำให้ชื่อเสียงหลวงปู่ชื่นดังขึ้นมาเป็นที่รู้จักของผู้คนทั่วไปมากขึ้นเป็นลำดับ  จากปากผู้ที่ได้บูชาวัตถุมงคลของท่านไปบูชา ส่วนใหญ่ยอมรับว่าวัตถุมงคลของท่านดีเยี่ยมจริงๆ ใช้แล้วได้ผลดีเกินคาด  ส่วนสาเหตุที่ท่านยอมเปิดตัว และจัดสร้างวัตถุมงคลออกมาเป็นทางการเนื่องจากขณะนั้น ท่านกำลังก่อสร้างอุโบสถซึ่งขาดปัจจัยอยู่อีกมาก  อีกประการหนึ่งหลวงปู่เคยบอกไว้ว่า            

“ถึงเวลาที่ครูบาอาจารย์ท่านให้เปิดตัวแล้ว เพื่อนำความรู้เวทวิทยาคมที่ได้ร่ำเรียนมาสงเคราะห์พุทธศาสนิกชน และจัดสร้างถาวรวัตถุเพื่อการพระพุทธศาสนา ให้เจริญรุ่งเรืองสืบต่อไป”           

เมื่อครั้งที่หลวงปู่ชื่นมาอยู่ที่วัดตาอีใหม่ๆ นั้น ท่านได้เร่งทำความเพียรปฏิบัติธรรมจนพลังจิตแก่กล้า ด้วยท่านเป็นพระที่รักสันโดษชอบเก็บตัวเงียบๆ อยู่แต่ภายในกุฏิ  ชาวบ้านจึงคิดว่าท่านเป็นหลวงตาแก่ๆ ไม่มีอะไร  เป็นพระธรรมดาไม่มีวิชาอาคมอันใด                  

ต่อมาทางวัดได้ขุดสระใหม่ ทางเจ้าอาวาสจึงประกาศบอกชาวบ้านว่า “ห้ามลงอาบน้ำในสระ” เพราะสระน้ำแห่งนี้พระเณรต้องใช้ดื่มกิน แต่ชาวบ้านขาดความเกรงใจท่าน ตกเย็นทั้งหนุ่มสาวพากันลงว่ายน้ำเล่นในสระอย่างสนุกสนาน บ้างก็นำผ้ามาซักทำให้ฟองแฟ๊บที่ซักลอยเต็มคุ้งสระ บอกแล้วก็เฉย เตือนแล้วก็ไม่หยุด                  

หลวงปู่ชื่นจึงใช้ไม้ตายเพื่อให้รู้จักที่ต่ำที่สูง  และที่ควรมิควรกันบ้าง ท่านจึงนำก้อนหินมาสองก้อน แล้วเสกด้วยคาถาอาคมจากนั้นท่านโยนลงไปในสระน้ำ                  

“สามวันต่อมาพวกที่ชอบลงเล่นน้ำในสระภายในวัด ต่างก็ตกใจแตกตื่นขึ้นตลิ่งกันแทบไม่ทัน เพราะเห็นพญางูยักษ์สองตัวว่ายน้ำไปมาในสระให้เห็นกับตากันจะจะ   ชาวบ้านตาอี เห็นกันทั้งหมู่บ้าน”            

เรื่องนี้เป็นที่เลื่องลือกันมากในอำเภอบ้านกรวด  ถ้าหากใครมีโอกาสได้ไปที่วัดตาอี ลองสอบถามชาวบ้านดูก็ได้  และจากวันนั้นเป็นต้นมาจนกระทั่งถึงวันนี้ ก็ไม่มีใครกล้าลงไปเล่นน้ำในสระที่วัดตาอีกันอีกเลย


6#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-3-28 15:52 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
มีกลุ่มคณะลูกศิษย์ในองค์พระเดชพระคุณหลวงปู่ชื่น ติคญาโณ ที่นับถือ และศรัทธาในองค์พระคุณท่านทราบว่า ของดีอีกอย่างที่หลวงปู่จัดสร้างขึ้นมาเพื่อให้ลูกศิษย์ลูกหานั้นได้ติดตัวไปอาราธนาสีปาก ค้าขาย เจรจาติดต่อธุรกิจ ได้ดีและเห็นผลกันนักต่อนักก็คือ "สีผึ้ง" ซึ่งผู้ที่เคยได้ไปต่างประจักษ์ในพุทธคุณของสีผึ้งนี้ดี เป็นผลทางด้านเมตตา และมหาเสน่ห์ดีมากๆ ซึ่งมีเหตุการณ์มหัศจรรย์เกิดขึ้นเรื่องหนึ่ง คือ มีกลุ่มลูกศิษย์ของท่านได้ซื้อสีผึ้งมาให้ท่านได้ทำการปลุกเศกประจุพุทธาคม ซึ่งสีผึ้งนี้เป็นสีผึ้งที่ทำการขายกันตามท้องตลาด ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นสีผึ้งธรรมดาที่ไม่ได้ผ่านการหุง และผสมมารสาร และน้ำมันว่านอาถรรพณ์ต่างๆ ตามสูตรของท่าน

เมื่อหลวงปู่ท่านพิจารณา และท่านก็รับสีผึ้งไว้ และจะการประจุพลังพุทธาคมให้ โดยถือดิถีฤกษ์ คือ ปลุกเสกตามสายเขากุเลน "วันเพ็ญเดือนสิบสอง" ซึ่งหลวงปู่ท่านได้ทำการประจุอัดพลังพุทธาคมอย่างเชื่อมั่นในสายวิชาที่ท่านได้ร่ำเรียนมา ซึ่งขณะท่านทำการเสกนั้นท่านได้เมตตาเล่าให้ฟังว่าเกิดเสียงประหลาดดัง "เปรี๊ยะ.!!! เปรี๊ยะ.!!!" อยู่ตลอดเวลาขณะที่ท่านกำลังเสก เมื่อท่านเสกอัดพลังในสีผึ้งชุดนี้จนมั่นใจแล้ว ท่านจึงเรียกลูกศิษย์ให้ยกกล่องซึ่งบรรจุสีผึ้งชุดนี้ออกมาดูว่าเป็นอย่างไรบ้าง ทำไมเวลาปลุกเสกจึงเกิดเสียงประหลาดเกิดขึ้นดัง "เปรี๊ย.!!! เปรี๊ย.!!!" ตลอดเวลา

พอลูกศิษย์ท่านได้เปิดกล่องลังออกมาปรากฎว่า ทันใดนั้นเอง "สีผึ้งที่อยู่ในตลับพลาสติกใสนั้นฝาตลับแตกร้าวเกือบจะทุกตลับ.!!!" ลูกศิษย์จึงนำความไปบอกท่าน พร้อมนำสีผึ้งที่ฝาตลับร้าวไปให้ท่านดู ท่านจึงเอ่ยปากว่า "เราไม่รู้เสกอยู่ดี ๆ ๆ ก็มีเสียงดัง เปรี๊ยะๆๆ พร้อมทั้งหัวเราะ.!!!" ซึ่งสีผึ้งชุดนี้ลูกศิษญ์ลูกหาท่านที่ได้ไปต่างไปเจอประการณ์ต่างๆ มากมาย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการติดต่อเจรจาธุรกิจ และการค้าขาย มาเล่าสู่กันฟังเสมอๆ เรื่องทั้งหมดที่เล่าให้ฟังนี้เป็นประสบการณ์จริงๆ ที่เกิดขึ้นมาแล้ว ถ้าท่านใดได้เคยไปสัมผัสจะรู้ได้เลยว่าท่านเป็นพระที่มีเมตตา และอยู่ในใจของลูกศิษย์เสมอมา แม้ท่านจะมรณภาพมานานร่วม ๑๐ ปี แล้วก็ตาม

กุมารรับทรัพย์ รุ่นรับทรัพย์ เนื้อโลหะ เป็นหนึ่งในวัตถุมงคลรุ่นรับทรัพย์ สร้างปี พ.ศ.๒๕๔๕ วัตถุมงคลรุ่นรับทรัพย์นี้ ทำพิธีพุทธาภิเศกเดี่ยวโดยพระเดชพระคุณหลวงปู่ชื่น อย่างสุดศักดิ์สิทธิ์ และเข้มขลังที่ ปราสาทเขาพนมรุ้ง โดยหลังพิธีหลวงปู่บอกว่าเห็นนางฟ้านางอัปสร มาโปรยดอกไม้ทิพย์ไปยังวัตถุมงคลที่หลวงปู่ปลุกเสกด้วย จึงไม่เป็นที่สงสัยเลยว่าทำไมวัตถุมงคลรุ่นนี้จึงได้รับความนิยมมาก และมีผู้นำไปใช้แล้วดีมีประสบการณ์สูง เพราะแม้นแต่เทพเทวดาก็ยังลงมาอวยพรให้

กุมารรุ่นนี้เป็นกุมารอีกรุ่นหนึ่งที่หลวงปู่ชื่นท่านได้ปลุกเสก เนื่องจากกุมารของหลวงปู่ในแต่ละรุ่น เช่น กุมารดูดรก (พรายขอดทรัพย์) , กุมาร ๙ โกศ, กุมารในน้ำมัน ...ฯลฯ แต่ละรุ่นล้วนได้รับความนิยมสูงมากในบรรดาผู้ที่ชื่นชอบกุมารทอง

กุมารรับทรัพย์ มีลักษณะเป็นกุมารทองกวัก ถือพานเงิน ด้านล่างตอกโค๊ด อุดผงพรายกุมาร ฝังตะกรุดเงิน หลวงปู่ได้ทำการอธิษฐานจิตปลุกเสก เรียกจิตเรียกตน หนุนธาตุ ๔ เรียกอาการ ๓๒ ให้มีจิตมีตนอย่างสุดเข้มขลัง หลวงปู่ปลุกเสกให้แรงไม่แพ้กุมารรุ่นอื่นๆ ของหลวงปู่ (ไม่เชื่อก็ลองเอาไปให้ผู้ที่จับพลัง ได้ลองจับพลังดูก็แล้วกัน) ถือเป็นกุมารอีกรุ่นหนึ่งที่น่าบูชา สำหรับท่านที่ชอบกุมารทอง บูชาพร้อมกล่องเดิม มีคาถาบูชาให้ ประสบการณ์ด้านโชคลาภ ค้าขาย ป้องกันภัยดีมาก

กุมารทองของหลวงปู่ชื่น เป็น พรายเทพกุมาร

หลวงปู่ใช้วิธีอัญเชิญ หรือ เชิญชวนวิญญาณเด็ก (สัมภเวสี) ที่ตายเพราะจากการทำแท้ง ซึ่งมีอยู่เต็มไปหมด แล้วมีเยอะขึ้นเรื่อยๆ เป็นการลดปริมาณวิญญาณที่โกรธแค้น ที่วนเวียนอยู่ในโลก เข้ามาอยู่ในรูปลักษณ์ของกุมารทอง ซึ่งการมาอยู่ หลวงปู่ไม่ได้บังคับ แต่อัญเชิญ หรือเชิญชวนให้มาสิงสถิตอยู่ด้วยความสมัครใจที่จะสร้างบุญบารมี เพื่อไปสู่ภพภูมิที่ดีกว่า โดยที่หลวงปู่ให้วิญญาณเด็กเหล่านั้นรับศีล ๕ (ไม่สามารถทำอะไรที่ผิดศีลได้) และปลุกเสกวิญญาณนั้น หรือแผ่บุญบารมีให้วิญญาณเด็กที่บริสุทธิ์เหล่านั้น มีฤทธิ์อำนาจ มีกายสิทธิ์ ประดุจกุมารเทพ (กึ่งเทพกึ่งพราย) ให้พรแก่กุมารในอันที่จะไปไหนมาไหน เข้านอกออกในได้ทุกสถานที่

ในทัศนะของผม และผู้ที่เคยเลี้ยงมาก่อน มีความรู้สึกว่าวิญญาณเด็กเหล่านี้เหมือน “เด็กกำพร้า” ซึ่งถูกพ่อแม่ที่แท้จริงทำร้าย ไม่ได้มาเกิดเป็นมนุษย์เหมือนวิญญาณที่จะปฏิสนธิทั่วไป จะไปเกิดใหม่ก็ไม่ได้ เพราะไม่มีบุญบารมีมากพอที่จะไปยังภพภูมิอื่นที่เหนือมนุษย์ ด้วยกรรมกำหนดให้มาเกิดในมนุสภูมิ เมื่อไม่มีธาตุขันธ์ห้าที่จะดำรงความเป็นมนุษย์ จึงต้องเร่ร่อนอยู่ในสภาพของจิตวิญญาณที่เร่ร่อน (สัมภเวสี) รอการจุติ หรือไปเกิดใหม่ ซึ่งเป็นเวลานานมากน้อยเพียงใดขึ้นอยู่กับอายุขัยที่เขากำหนดให้มาอยู่ในภพภูมิมนุษย์ (ซึ่งถัวเฉลี่ยทั่วไปไม่เกิน ๑๐๐ ปี)

หลวงปู่ชื่นท่านเมตตาวิญญาณเด็กเร่ร่อนเหล่านี้ จึงอัญเชิญมาสถิตในรูปกุมารทอง เพื่อบำเพ็ญบารมีร่วมกับผู้ที่มีจิตศรัทธา ให้ความรักความเมตตาแก่วิญญาณเด็กเหล่านี้ อยากนำวิญญาณเด็กเหล่านี้ไปเลี้ยงเป็นลูกบุญธรรม ทั้งนี้ทั้งนั้นการที่รูปกุมารทองของหลวงปู่จะไปอยู่กับผู้ใด คงขึ้นอยู่กับบุญบารมี หรือการทำบุญร่วมกัน การเคยอยู่ร่วมกันแต่ปางก่อน ระหว่างผู้ที่นำไปบูชา และกุมารทองตนนั้นด้วย ซึ่งอายุของกุมารทองในภพภูมิมนุษย์ในรูปจิตวิญญาณนี้ อาจมีอายุขัยถึง ๙ล้านปีมนุษย์ (ตามเวลาของเทวดาในชั้นจาตุมหาราชิกา)

ดังนั้น หากผู้ใดได้รับกุมารทองจากผมไปเลี้ยง ก็ขอให้เลี้ยงให้ดี รักเขาเหมือนลูกในไส้ โดยไม่หวังผลตอบแทนใดๆ ด้วยกรรมดีของท่าน ประกอบกับความรักความเมตตาที่มีให้แก่วิญญาณเด็กในรูปกุมารทอง ท่านจะได้ผลานิสงส์จากการเลี้ยงดู เพราะเด็กเหล่านี้ย่อมสำนึกในบุญคุณของท่านที่เป็นพ่อเป็นแม่ ก็ย่อมจะตอบแทนบุญคุณของท่านที่เลี้ยงดูเท่าที่สามารถจะทำได้ และไม่ขัดกับกฎแห่งกรรม เช่น ดูแลบ้านเรือน คุ้มภัยการเดินทาง อำนวยลาภผล ช่วยทำมาค้าขาย ฯลฯ หรือ หากท่านมีปัญหาทุกข์ร้อนอะไร ก็สามารถปรับทุกข์กับเขาได้ บนบานได้ ถ้าเขาช่วยได้ ก็ได้โปรดตอบแทนเขาบ้าง เซ่นไหว้เขาบ้างตามโอกาสอันควร หรือทำบุญกรวดน้ำอุทิศกุศลผลบุญให้แก่เขาทุกครั้ง เพื่อที่เขาจะได้ยกระดับจิตวิญญาณให้สูงขึ้น มีอิทธิฤทธิ์ เทพฤทธิ์มากขึ้นไป
8#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-3-28 15:55 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ประสบการณ์จากผู้เลี้ยงกุมารทองหลวงปู่ชื่น

เรื่องที่ ๑ เป็นข่าวเกรียวกราวในหน้าหนังสือพิมพ์ ดังเช่นข่าวที่คุณศุภชัย นามแก้ว ผู้สื่อข่าวเมืองอุบลฯ ได้รายงานไว้ ข่าวโดยสรุปมีดังนี้  เมื่อเวลาประมาณ ๐๔.๐๐ น. วันศุกร์ที่ ๗ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๔๘ นายอนุชิต ทุมวงศ์ หัวหน้ากำลังพลหน่วยกู้ภัยอุบลราชธานี รับแจ้งจากทางโทรศัพท์ว่า เกิดเหตุคนร้ายใช้เท้าถีบรถจักรยานยนต์ ทำให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บ เป็นหญิงจำนวน ๑ ราย เหตุเกิดบริเวณหอพักแห่งหนึ่งในเขตซอยแจ้งสนิท ๖ อำเภอเมือง จ.อุบลราชธานี จึงได้รุดไปที่เกิดเหตุ พบนางสาวจอย อายุ ๑๖ ปี เป็นนักศึกษาอยู่วิทยาลัยแห่งหนึ่งในตัวเมืองอุบลราชธานี กำลังยืนร้องไห้ที่บริเวณใกล้หอพักนามปัญญา โดยมีประชาชนมุงอยู่จำนวนหนึ่ง

สอบถามนางสาวจอย ทราบว่าก่อนเกิดเหตุ ได้ขับรถจักรยานยนต์จะเดินทางกลับที่พัก เมื่อรถออกจากซอยหนองบัว ได้มีรถจักรยานยนต์ประมาณ ๓ คัน วิ่งตามหลัง เมื่อถึงบริเวณหน้าหอพักดังกล่าว คนร้ายใช้เท้าถีบเข้าที่รถจักรยานยนต์ที่ตนเองกำลังขับขี่ ทำให้รถจักรยานยนต์ล้มลง จากนั้นคนร้ายได้กรูกันเข้าทำร้ายร่างกาย หมายจะฉุดเธอขึ้นรถเพื่อนำไปข่มขืน เธอดิ้นรนขัดขืนสุดกำลัง ขณะกำลังถูกลากถูลูถูกังไปขึ้นรถของคนร้ายนั้น ได้มีเด็กชายอายุประมาณ ๕ ขวบ วิ่งมาจากที่ใดไม่ทราบ ได้ทำการต่อสู้กับคนร้ายที่มาด้วยกันถึง ๔-๕ คน กลุ่มคนร้ายร้องเอะอะโวยวาย แต่ก็ได้ชิงรถจักรยานยนต์หลบหนีไป

ทางด้านเจ้าหน้าที่กู้ภัยอุบลราชธานี และเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.อ.เมืองอุบลราชธานี ชุดสายฟ้า ได้ติดตามเส้นทางหลบหนีของคนร้าย พบรถจักรยานยนต์ของนางสาวจอยจอดอยู่ที่บริเวณซอยแจ้งสนิท ๑๗ ในสภาพปกติ หลังจากได้รถคืนมา ผู้สื่อข่าวได้สอบถามนางสาวจอยถึงเด็กที่ต่อสู้กับคนร้าย นางสาวจอยตอบว่าเป็น “วิญญาณกุมารทอง” ของหลวงปู่ชื่น วัดตาอี รุ่นรับทรัพย์ ปี ๒๕๔๕ ที่เธอเลี้ยงอยู่นั่นเอง

เรื่องที่ ๒ เป็นประสบการณ์ที่เกิดกับผู้เขียนโดยตรง กล่าวคือ ภรรยาผมได้ส่งกุมารทองรุ่นรับทรัพย์ (หัวจุก) และ กุมารดูดรก (พรายขอดทรัพย์) ของ หลวงปู่ชื่น วัดตาอี มาให้ ๒ องค์ (ผมใช้สรรพนามว่าองค์ เพราะเป็นเทพกึ่งหนึ่ง) บอกให้เลี้ยงลูกให้ดี ลูกทั้งสองช่วยหาเงินเก่ง จะได้มีเงินส่งไปเมืองไทยมาก ๆ ผมก็พกพาติดตัวไปทำงานด้วยกันเสมอ แรก ๆ ก็เซ่นไหว้ด้วยผลไม้ ข้าวสุก น้ำหวาน อาทิตย์ละหน ต่อมาระยะหลังไม่ค่อยได้เซ่นไหว้ ผมเองก็ไม่ค่อยสบายใจนัก กลัวลูกๆอด ๆ อยากๆ จึงบอกกับลูก ๆ ว่า เวลากินอาหารอะไร ก็มากินด้วยกันนะ ไม่ต้องเรียก หรือ ลืมเรียกก็มากินด้วยกันได้ ต่อมาคืนหนึ่ง ผมฝันเห็นเด็กสองคน อายุประมาณ ๗ – ๙ ขวบ ตามลำดับ (ไม่ได้ไว้จุก แต่งตัวแบบเด็กธรรมดาทั่วไป) คนหนึ่งบอกผมในความฝันว่า “พ่อไม่ต้องเป็นห่วงหนู และน้องนะ พวกหนูเป็นกุมารเทพ อิ่มทิพย์ ไม่ต้องเซ่นไหว้ก็ได้ ไม่อดอยากหรอก”

ผมมีอาชีพขับรถส่งเอกสาร สิ่งที่ผมเบื่อที่สุดก็คือ รถติด เวลาเจอรถติด ผมมักจะบอกลูก ๆ ว่า ช่วยเปิดทางให้พ่อหน่อย เชื่อไหมก็ตาม ทุกครั้งที่ขอ รถที่ติดกันอย่างหนักชนิดไม่ขยับเขยื้อน ก็มีช่องทางให้ผมวิ่งไปได้ หรือจะเรียกว่า เข้าถูกเลนก็ได้ ทุกครั้งไป

ในวันเสาร์ ผมไม่ต้องขับรถเอง แต่ต้องนั่งไปเป็นเพื่อนกับพนักงานอีกคน ช่วยกันเก็บเอกสารส่งธนาคาร ซึ่งเกือบทุกเสาร์ก็ว่าได้ เพื่อนมักจะพาลูกชาย ๒ คน นั่งมาในเบาะหลังด้วย เพราะแม่เด็กไปทำงาน ไม่มีคนดูลูก คนหนึ่งโตแล้ว อายุประมาณ ๗ ขวบ ส่วนอีกคนอายุแค่ ๒ ขวบ ยังพูดไม่เก่งนัก ต้องนั่งคาร์ซีท เมื่อผมได้รับลูกจากภรรยาและพาติดตัวไปด้วย เจอเด็กทั้งสองในวันแรก ปรากฎว่าวันนั้น เด็กคนเล็กส่งเสียงพูดคุยโดยหันหน้าส่งสายตามายังผมที่นั่งเบาะหน้า ส่งเสียงพูดแบบเด็กๆ ฟังไม่รู้เรื่อง หัวเราะเอิ๊กอ๊ากตลอดเวลา ขนาดกินขนมยังยื่นแบ่งให้ผมกินเลย ซึ่งปกติไม่เคยเป็นอย่างนี้มาก่อน เพราะผมเองก็ไม่ได้หันไปพูดไปคุย หรือเล่นด้วย เวลาจากกันเมื่อเสร็จงาน ยังส่งเสียงบ๊าย บาย ยกมือบายผมอีกด้วย ผมเชื่อว่าเด็กเล็กลูกของเขาเขาคงเห็นลูกคนเล็กซึ่งเป็นกุมารดูดรก คงปรากฎกายให้เห็น และอยู่ในวัยเดียวกับเขา จึงพูดคุยและเล่นกันรู้เรื่อง

มีวันหนึ่ง ผมทำกระเป๋าสตางค์หาย หาเท่าไรก็ไม่เจอ หัวเสียมาก ๆ บ่นกับลูก ๆ ว่า ทำยังไง ถึงปล่อยให้พ่อทำกระเป๋าสตางค์หายได้ เดือดร้อนแน่ ๆ เพราะมีบัตรเครดิต และยังมีคีย์คาร์ดของธนาคารอีกด้วย ตายกับตายแหง ๆ ถ้าหาไม่เจอ ธนาคารเอาตายแน่ เข้าไปหาในรถตั้งนานสองนานก็หาไม่เจอ เกือบจะโทร.แจ้งอายัดบัตรอยู่แล้ว นึกยังไงก็นึกไม่ออกว่าไปลืมไว้ที่ไหน หรือทำตกไว้ที่ไหน เพราะปกติออกจากบ้านก็ถึงรถ ออกจากรถก็ถึงบ้าน ครั้งหลังตอนเติมน้ำมัน กระเป๋าก็ยังอยู่นี่นา หาไปบ่นไป บอกให้ลูก ๆ ช่วยกันหาหน่อย แล้วถึงคราวที่จะเจอ มันก็เจอง่าย ๆ คือ เหมือนมีใครดลใจให้กลับไปหาที่รถอีกครั้งหนึ่ง คราวนี้หาแบบทุกซอกทุกมุม ใต้เบาะที่นั่งก็หา ปรากฎว่า เจอครับ อยู่ใต้ที่นั่งเบาะคนขับ ซึ่งผมเองก็นึกไม่ออกเหมือนกัน มันตกไปอยู่ใต้เบาะคนขับได้อย่างไร แปลกแต่จริง

ยังมีประสบการณ์อีกหลายเรื่อง ที่แสดงว่ากุมารของหลวงปู่ชื่น มีจิตวิญญาณสิงสถิตอยู่จริง เลี้ยงง่าย และให้คุณแก่ผู้เลี้ยง ไม่ให้โทษใดๆ ทั้งสิ้น เช่น ไปเข้าฝันเด็กนักเรียนที่มาแบ่งห้องเช่า, ไปเข้าฝันแนะนำตัวเองกับหลานสาวของผมบ้าง ฯลฯ เป็นต้น

อย่างที่เกริ่นกล่าวเอาไว้ ผมไปได้กุมารทองของหลวงปู่ชื่น วัดตาอี รุ่น รับทรัพย์ ที่สร้างมาตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๔๕ (หลวงปู่มรณภาพปี ๒๕๔๗) ตกค้างอยู่ที่วัดแจ้งสิริสัมพันธ์ จ.นนทบุรี จำนวนหนึ่ง จึงเหมามาทั้งหมด เพื่อนำมาเผยแพร่แก่แฟนคอลัมน์ในอเมริกา มีด้วยกัน ๒ แบบ คือ หัวจุก (กุมารทอง) และ หัวแกละ (กุมารเพชร) ๒ เนื้อ คือ นวโลหะ และ กาหลั่ยเงิน (พกพาไปไหนมาไหนได้)

ดังนั้น หากผู้อ่านท่านใดสนใจที่จะนำไปเลี้ยง ลองศึกษาดูนะคับ  แต่อยากให้ถามตัวเองก่อนว่าพร้อมที่จะเลี้ยงเขาไหม  กุมาร ทุกตนก็ต้องการความรักเอาใจใส่  ตลอดจนบุญกุศลที่เราต้องแผ่ให้เขา บ่อยๆ  อย่าคิดจะเลี้ยงเพื่อตามกระแสหรือหวังผลประโยชน์จากเขาฝ่ายเดียวนะ คับ หากมีข้อสงสัยอะไรลองปรึกษาพี่ๆที่เลี้ยงกุมารหลวงปู่กันมาก่อนก็ได้ เช่น พี่โอ Assava พี่นก bigbird สองคนนี้ เป็นสายกุมารของหลวงปู่เลยนะคับ

เครดิต  :  http://www.sereechai.com/demo/
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย kruangbin เมื่อ 2013-4-26 16:24

ชอบโค้กนะครับ

ขออภัย! โพสต์นี้มีไฟล์แนบหรือรูปภาพที่ไม่ได้รับอนุญาตให้คุณเข้าถึง

คุณจำเป็นต้อง ลงชื่อเข้าใช้ เพื่อดาวน์โหลดหรือดูไฟล์แนบนี้ คุณยังไม่มีบัญชีใช่ไหม? ลงทะเบียน

x
ใครมีประสบการณ์แสบๆ มาเล่าให้ฟังกันอีกครับ
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ลงชื่อเข้าใช้ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้