ตั้งให้เราเป็นเว็บแรกที่คุณเลือก เก็บเราไว้เป็นเว็บโปรด
สมัครสมาชิก ได้มากกว่าที่คุณคิด เข้าสู่ระบบ
ดู: 12645
ตอบกลับ: 10
สั่งพิมพ์ ก่อนหน้า ถัดไป

วัวธนู–ควายธนู สัตว์ภูติ ไสยศาสตร์ ของขลังเฝ้าบ้าน เฝ้าเรือน

[คัดลอกลิงก์]
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย AUD เมื่อ 2013-9-7 21:30

ตำนานการสร้างวัวธนู

   

ตำรับการสร้างวัวธนูนั้น…จากคัมภีร์ใบลานที่เป็นแบบแผนการสร้างในยุคปัจจุบันได้จารึกไว้ว่า เป็นตำรับที่สืบทอดมาแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา ตามหลักฐานทางประวัติศาสตร์ คัมภีร์ใบลานเกี่ยวกับการสร้างวัวธนูนี้ มีข้อน่าสังเกตอยู่ว่า จารไว้ด้วยภาษาขอม ลาวอันปรากฏว่าครั้งหนึ่งเคยตกไปอยู่ที่เมืองเวียงจันทน์ ซึ่งต่อมาพระเถราจารย์ฝ่ายไทยได้ไปค้นพบแล้วนำกลับมาฟื้นฟูกันอีกครั้งหนึ่ง

จากสาระในคัมภีร์มีการอ้างชื่อของ สมเด็จพระพนรัต วัดป่าแก้ว ซึ่งเป็นพระมหาเถระในฐานะสังฆราชฝ่ายอรัญวาสีแห่งกรุงศรีอยุธยาเอาไว้ด้วยอนึ่ง วัดป่าแก้วที่ว่านี้ ตามตำนานดั้งเดิมกล่าวไว้ว่าเป็นวัดที่ สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ทรงเป็นผู้อุปถัมภ์ ทั้งสมเด็จพระพนรัตก็เป็นพระอาจารย์ของพระองค์ท่านด้วย ข้อสันนิษฐานถึงสมเด็จพระพนรัต จึงมีว่า ท่านคงเป็นพระมหาเถระ ที่แก่กล้าเวทย์วิชาคาถามหาอาคม เป็นครูอาจารย์ที่แตกฉานชำนาญในไตรเพทและด้านกรรมฐานอย่างแน่นอน

คัมภีร์ใบลานเกี่ยวกับตำราการสร้างวัวธนูได้ระบุชื่อ สมเด็จพระพนรัต วัดป่าแก้ว ไว้เช่นนี้ ก็น่าจะเป็นหลักฐานยืนยันได้ว่าสมเด็จพระพนรัต รูปนี้เป็นองค์ปฐม เป็นปรมาจารย์ผู้สร้าง "วัวธนู" ขึ้นเป็นลำดับแรกในแผ่นดินสยาม

ข้อความจากใบลานคัมภีร์ดังกล่าวที่พอจะยืนยันถึงเรื่องนี้ อีกประการหนึ่งก็คือ ส่วนท้ายของใบลานผูกนี้ ได้จารคาถาของสมเด็จพระพนรัตเอาไว้ด้วย คาถามีชื่อว่า "คาถายาจินดามณี" ซึ่งตรงกับการสร้าง ยาจินดามณี หรือสมเด็จพระนเรศวรเม็ดดำอันลือชื่อของพระพุทธวิถีนายก หลวงปู่บุญ ขันธโชติ และ หลวงปู่เพิ่ม วัดกลางบางแก้ว ซึ่งระบุไว้ว่าเป็นยาอาคมใช้ได้สารพัดประโยชน์

ยานี้เป็นตำรับเดียวกับที่สมเด็จพระพนรัต ปรุงถวายสมเด็จพระนเรศวรมหาราช จากตำราเรื่องเดียวกันได้ปรากฏมีเคล็ดวิชาอันศักดิ์สิทธิ์อีกบทหนึ่งคือ ตำรับการสร้างลูกประคำ ซึ่งระบุว่าสมเด็จพระพนรัต วัดป่าแก้ว เคยสร้างลูกประคำถวายสมเด็จพระนเรศวรมหาราชคราวออกศึก ประคำนี้มีชื่อเรียกเป็นที่รู้จักกันทั่วไปในหมู่ผู้เฒ่าผู้แก่ แห่งลุ่มน้ำนครชัยศรี ว่า "ประคำนเรศวรปราบหงสาวดี"ซึ่งพระพุทธวิถีนายก หลวงปู่บุญ ได้นำมาสร้างขึ้นในเวลาต่อมานั่นเอง

   

จากหลักฐานดังกล่าวก็พอจะเชื่อถือได้เป็นแน่แท้ว่า วัวธนูในแผ่นดินสยามนี้ คงจะมีต้นกำเนิดมาแต่สมเด็จพระพนรัต วัดป่าแก้ว สมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นแน่นอน

วิธีการสร้างวัวธนู

"วัวธนู" ที่ปรากฏอยู่ในคัมภีร์ใบลานเก่าแก่นั้น ระบุถึงวัสดุที่ใช้สร้างมีอยู่เพียง 2 ชนิด คือสร้างจากเขากระทิงอย่างหนึ่งกับสร้างจากครั่งอีกอย่างหนึ่ง ที่ทำจากเขากระทิงนั้นจะต้องเอาเฉพาะแต่ส่วนปลายยอดเขาส่วนเดียวเท่านั้น มาแกะเป็นรูปวัวธนูและเขาหนึ่งเขาก็สามารถนำมาแกะวัวธนูได้เพียงหนึ่งตัวเท่านั้น การแกะต้องตามเวลาฤกษ์ที่กำหนดเท่านั้น และจะต้องแกะคราวเดียวให้เสร็จทันเวลาด้วยมิฉะนั้นใช้ไม่ได้

สำหรับที่ทำจากครั่ง ต้องใช้ครั่งที่เกาะติดอยู่บนกิ่งพุทราเท่านั้นและกิ่งพุทรานั้นปลายจะต้องชี้ไปทางทิศตะวันออกด้วย วัวธนูหนึ่งตัวต้องนำครั่งจากกิ่งพุทรา 3 กิ่งขึ้นไปมารวมกันสร้าง แต่การสร้างนี้มีกรณีพิเศษอยู่ว่า ถ้าครั่งนี้อยู่กับกิ่งพุทราตายพราย ท่านให้ใช้เพียงกิ่งเดียวก็เพียงพอเพราะจะมีอานุภาพสูงส่งอยู่แล้ว

สิ่งที่จะต้องเตรียมไว้ก่อนทำพิธีก็คือลวดทองแดงและแผ่นทองแดง ลวดนั้นนำไปใช้ในการตัดทำเป็นโครงร่างของตัววัว ซึ่งเป็นโครงชั้นในที่พอดูเป็นรูปเป็นร่างเท่านั้น วิธีการทำก็โดยดัดให้เป็นแกนตัว ขา คอ หาง และเขา แต่สำหรับส่วนเขาในขั้นต้นนั้นยังไม่ต้องดัดโค้งเป็นรูปเขา แต่เผื่อลวดเอาไว้ ดังนั้นจากโครงตัวต่อไปยังช่วงคอก็จะเป็นเส้นยาวเป็นโครงร่างเอาไว้เท่านั้น ที่ต้องทำเช่นนั้นก็เพื่อไว้สำหรับบรรจุตะกรุด ที่สร้างขึ้นเฉพาะในพิธีนี้ไว้ตรงช่วงคอก่อนที่จะดัดต่อเป็นเขา และก่อนนำเอาครั่งหุ้มนั่นเอง.


ที่มา http://dhammarakkoe.blogspot.com/2011/09/blog-post_158.html


ขออภัย! โพสต์นี้มีไฟล์แนบหรือรูปภาพที่ไม่ได้รับอนุญาตให้คุณเข้าถึง

คุณจำเป็นต้อง ลงชื่อเข้าใช้ เพื่อดาวน์โหลดหรือดูไฟล์แนบนี้ คุณยังไม่มีบัญชีใช่ไหม? ลงทะเบียน

x
2#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-9-7 21:36 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
มีผู้เฒ่าผู้แก่เล่ากันว่า  มีพระธุดงค์รูปหนึ่งได้จาริกแสวงบุญไปตามสถานที่ทุรกันดาร  วันหนึ่งได้สัญจร  (เดินทาง)  เข้าไปในราวป่าปราศจากบ้านผู้คน  ขณะนั้นดวงตะวันคล้อยต่ำลงจะลาลับขอบฟ้าอยู่แล้ว  ได้มีสิ่งหนึ่งปรากฏขึ้นอยู่เบื้องหน้าท่าน  จึงมุ่งหน้าเดินตรงไปหาปรากฏเป็นภาพของพระอุโบสถกลางป่าแห่งหนึ่งแต่อยู่ไกลลิบ  ซึ่งในระหว่างทางได้พบชายนุ่งขาวห่มขาวอยู่ผู้หนึ่งเดินสวนมา  และขอติดตามท่านไปด้วยในลักษณะความเป็นห่วงเป็นใย  และเมื่อเดินไปได้สักพัก  เห็นต้นไผ่ป่าโน้มลำต้นขวางทาง  ชายแก่ผู้ที่ได้ร่วมเดินทางมากับพระธุดงค์นั้นได้ใช้มือล้วงลงไปในย่ามหยิบมีดหมอออกมาเล่มหนึ่งแล้วลงมือตัดฉับเดียวต้นไผ่ก็ขาดออกจากกัน

        จากนั้นก็รีบขมีขมันจัดการแยกชิ้นส่วนเป็นไม้ตอกได้กำใหญ่  พลางเดินไปสานไปเมื่อสานเสร็จก็บรรจุในย่ามที่ใช้สะพายอยู่ติดตัว  พอไปถึงจุดหมายปลายทางเห็นเป็นพระอุโบสถที่ทรุดโทรมลักษณะคล้ายจะรกร้างมานานปี  ส่วนด้านหลังพระอุโบสถเป็นศาลาหลังเล็กค่อนข้างผุหลังคาโหว่และเห็นพระภิกษุชุมนุมกันอยู่ด้วยกันสี่รูป  โดยไม่ยอมให้การต้อนรับทักทายและไม่ยอมสบตากับผู้ใดด้วย  แววตานั้นมีลักษณะไม่คล้ายกับผู้คนทั่ว ๆ ไป  แต่มันคล้ายกับดวงตาของสัตว์ดุร้าย  ชายแก่ในชุดขาวรีบพาพระธุดงค์เข้าไปในพระอุโบสถ  และทำการปิดประตูหน้าต่างลงกลอนอย่างรีบเร่ง  แล้วจึงปัดกวาดฝุ่นละอองพอใช้พักอาศัยได้  จากนั้นได้ล้วงเอาเทียนขี้ผึ้งในย่ามออกมาสองเล่มพร้อมธูปสามดอกมาบูชาพระรัตนตรัยและบอกให้พระธุดงค์ทำวัตรเย็น

        ส่วนชายแก่ได้ยึดที่มุมหนึ่งของพระอุโบสถตั้งหน้าตั้งตาสานตอกอะไรของแกไปโดยไม่พูดจากับใคร  จนเดือนโผล่พ้นยอดไม้สู่ท้องฟ้าทำให้มองเห็นจากรอยแผ่นกระเบื้องหลังคาพระอุโบสถที่หลุดหาย  สุนัขก็เริ่มส่งเสียงเห่าหอนรับกันเป็นระยะ ๆ เสียงโหยหวนน่าสะพรึงกลัวในบรรยากาศอันเงียบสงัดวังเวง  ทันใดนั้นได้ยินเสียงหวีดหวิวคำรามของเสือร้าย  สายลมโชยพัดพากลิ่นสาบใกล้เข้ามา  จึงกระซิบพระธุดงค์ให้ตั้งสมาธิจิตบริกรรมพระพุทธคุณ  มีอะไรผิดปกติอย่าได้สนใจเป็นอันขาด  และเสียงนั้นก็ใกล้เข้ามาทุกที ๆ  จนได้ยินเสียงหายใจครืดคราด  และเสียงตะกุยตะกายที่ประตูพระอุโบสถ

     
3#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-9-7 21:40 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
   ซึ่งเสียงนั้นกะประมาณอย่างน้อยมีจำนวนไม่ต่ำว่า  3-4 ตัว  ถ้าพูดกันแล้วมันเป็นลีลาของเสือโคร่งชัด  ๆ ทันใดนั้นท่านผู้ชราได้ผลุดลุกจากที่นั่ง  ซึ่งสงบมานานได้เดินตรงไปสู่ประตูพระอุโบสถทำการสอดไม้ไผ่ที่สานออกตามรูช่องดาลอันแล้วอันเล่าไม่ทราบจำนวนเท่าใด  ในบัดดลก็ได้ยินเสียงการต่อสู้ของสัตว์ใหญ่  พร้อมเสียงคำรนคำรามกึกก้องฉาด ๆ ซัดกันนัวไปหมด  ปานแผ่นดินจะถล่มทลาย  ประมาณชั่วหม้อข้าวเดือด  ผลของเสียงการรณรงค์ต่อสู้ได้เงียบหายไป  ทุกสิ่งตกอยู่ในความเงียบสงัดราตรีอันวอมแวมของแสงเทียน

        ต่อจากนั้นก็พากันพักผ่อนโดยอาการสงบ  ครั้นพอรุ่งเช้าก็ถอดกลอนผลักบานประตูพระอุโบสถเผยกว้างออก  สิ่งที่ปรากฏแก่สายตาก็คือ  ภาพของเสือโคร่งขนาดวัดได้จากหัวถึงหางประมาณหกศอกจำนวน 4 ตัว  นอนตายอยู่ในที่ต่าง ๆ ในลักษณะลำตัวไส้ทะลักเรี่ยราด  ชายแก่ในชุดขาวจึงอธิบายให้พระธุดงค์ทราบว่าพระสี่รูปที่เห็น เมื่อเย็นวานนั้นก็คือเสือสมิงร้าย  4  ตัว  และให้สังเกตดูจะเห็นว่าที่คอยังมีผ้าเหลืองพันอยู่ทุกตัว  และถ้ามาช่วยไม่ทันละก็อาจตกเป็นเหยื่อของเสือสมิงร้ายพวกนี้ก็ได้


4#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-9-7 21:41 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
วัตถุที่ใช้สร้างวัวธนู – ความธนู  แต่ละชนิดออกไปดังนี้

        1. วัวทอง  (ไม่ใช่ทองคำ  ทองผสม  เช่น  ทองเหลือง  ทองแดง  ที่ภาคอีสานนิยมเรียกว่า  ทอง  ส่วนทองเรียกว่า  คำ)  เป็นวัวธนูชั้นหนึ่ง  สร้างขึ้นด้วยโลหะอาถรรพณ์  มีตะปูตรึงโลงศพ  เหล็กขนัน  ผีตายท้องกลม  งั่ง (ตัวยาซัดทองชนิดหนึ่ง)  ทองแดงเถื่อน  ดีบุก  ทองขวานฟ้า  เงินปากผี  ทองยอดนพศูนย์  นำมาหล่อหลอมเข้าด้วยกัน  แล้วลงอักขระตามตำราที่ใช้บังคับ  หรือหล่อเป็นโคถึกหรือกระทิงโทน

        2.วัวขี้ผึ้ง  เป็นวัวธนูชั้นสอง  ท่านให้ใช้ขี้ผึ้งปิดหน้าผีตายโหง  ผีตายท้องกลม  ผสมด้วยผมผีตายพราย ผมผีตายลอยน้ำ  ตานกกรด  ตาแร้ง  ตาชะมด  กำลังวัวเถลิง  เผาไฟให้ไหม้บดเป็นผง  ผสมกับเถ้ากองฟอนเจ็ดป่าช้าแล้วนำไปคลุกกับขี้ผึ้งปั้นเป็นรูปวัวหรือความก็ได้ เสกด้วยอาการ  32  บางตำราเพิ่มคนเลี้ยงอีก 1 คน

        3. วัวไม้ไผ่  เป็นวัวธนูชั้นสาม  ใช้ชั่วคราวในเวลาฉุกเฉิน  ให้ใช้ไม้ไผ่ที่ขึ้นคร่อมทาง  กลั้นหายใจตัดด้วย นะโมตัสสะ  กะทีเดียวให้ขาดจากกัน  นำมาสานเป็นรูปหัววัว  คล้ายเฉลวปักหม้อยาแผนโบราณ


5#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-9-7 21:41 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้

กรรมวิธีการสร้าง

       วัวกำหนดสร้างตามตำราที่ระบุไว้ให้เลือกเอา  วันมาฆบูชาหรือวันวิสาขบูชาและวันอาสาฬหบูชาและใน แต่ละวันให้กำหนดฤกษ์แตกต่างกันออกไปดังนี้

วันมาฆบูชา

        อันเป็นวันเพ็ญเดือนสามให้กำหนดฤกษ์ในช่วงระยะเวลาตั้งแต่พระอาทิตย์ลับขอบฟ้าจนถึง เที่ยงคืนเป็นหมดฤกษ์  แต่จะต้องเลือกตัดช่วงใดช่วงหนึ่งที่ดีที่สุดอาจจะ  1 – 3 ชั่วโมง  ตามแต่ความสั้น – ยาวของช่วงฤกษ์ที่อยู่ภายในระยะเวลาเที่ยงคืน

วันวิสาขบูชา

        กำหนดเวลาฤกษ์ตั้งแต่พระอาทิตย์พ้นขอบฟ้าตอนเช้าจนถึงเที่ยง  และต้องเลือกติดฤกษ์เหมือนวันมาฆบูชาเช่นกัน วันอาสาฬหบูชากำหนดเวลาฤกษ์ตั้งแต่บ่ายคะเนอาทิตย์อยู่เหนือยอดไม้ใกล้ลับฟ้าจนถึงอาทิตย์ลับของฟ้าวันนี้ไม่ต้องตัดฤกษ์ถือเป็นฤกษ์ดีโดยเวลากำหนดอยู่แล้ว

        อนึ่ง  การใช้ดอกไม้ในพิธีกำหนดตามวันคือ  วันมาฆบูชา  ใช้ดอกไม้  4  สี  เข้าใจว่าคงจะมีความหมายถึง “จาตุรงคสันนิบาต”  อันเป็นองค์ประกอบแห่งความหมายของวันมาฆบูชาก็เป็นได้ซึ่งเป็นวันที่ครบองค์  4  คือ  มีพระสงฆ์ที่เป็นอรหันต์มาชุมนุมกัน  1,250  องค์  1. พระสงฆ์เหล่านั้นล้วนเป็นเอหิภิกษุ  2. พระสงฆ์เหล่านั้นมากันเอง โดยมิได้นัดหมาย  3. เป็นวันเพ็ญเดือนสามที่พระพุทธองค์แสดงโอวาทปาติโมกข์  และเข้าใจว่าดอกไม้  4  สีคงมีความหมายดังกล่าวมา

       สำหรับวันอาสาฬหบูชาท่านให้ใช้ดอกไม้  8  สี  อันนี้ก็เข้าใจว่าคงจะมีความหมายว่าในวันอาสาฬหบูชาซึ่งเป็นวันที่พระพุทธองค์ทรงแสดงเทศนา  โปรดปัญจวัคคีย์นั้นทรงแสดงมัชฌิมาปฏิปทา  อันหมายถึงอริยมรรค  8  ประการก็น่าเป็นไปได้  ส่วนวันวิสาขบูชานั้นท่านให้ใช้ดอกไม้  3  สีก็น่าจะหมายถึงการเกิดอัศจรรย์จากนิมิตทั้งสามมาตรงกันนั่นเอง

        วัตถุในการใช้เป็นส่วนประกอบในการสร้างที่สำคัญ  คือ  ครั่งที่เกาะบนกิ่งพุทธาซึ่งชี้ไปทางทิศตะวันออกอย่างน้อยจาก  3  ต้นขึ้นไป  ตามตำรับระบุไว้อย่างแน่ชัดว่าต้องเลือกเอาครั่งในกิ่งที่ชี้ไปทางทิศตะวันออกเท่านั้นและถ้าเป็นกิ่งตายพรายท่านให้ใช้เพียงกิ่งเดียวเป็นพอ  จะเพิ่มอานุภาพมากขึ้น

ขออภัย! โพสต์นี้มีไฟล์แนบหรือรูปภาพที่ไม่ได้รับอนุญาตให้คุณเข้าถึง

คุณจำเป็นต้อง ลงชื่อเข้าใช้ เพื่อดาวน์โหลดหรือดูไฟล์แนบนี้ คุณยังไม่มีบัญชีใช่ไหม? ลงทะเบียน

x

ขออภัย! โพสต์นี้มีไฟล์แนบหรือรูปภาพที่ไม่ได้รับอนุญาตให้คุณเข้าถึง

คุณจำเป็นต้อง ลงชื่อเข้าใช้ เพื่อดาวน์โหลดหรือดูไฟล์แนบนี้ คุณยังไม่มีบัญชีใช่ไหม? ลงทะเบียน

x
ควายธนู อาวุธคู่กายของผู้เรืองเวทย์

เมื่อสมัยที่ผู้เขียนยังเป็นเด็กอยู่นั้น ในยามค่ำคืนคุณพ่อก็จะนั่งเล่าเรื่องราวต่างๆให้พวกเราฟัง ในบางครั้ง
ก็จะมีคนเฒ่าคนแก่อื่นๆในหมู่บ้านมาร่วมสานเสวนาด้วยจนดึกดื่นค่อนคืน

เรื่องเล่าส่วนใหญ่ ถ้าหากไม่ใช่เป็นตำนานโบราณ หรือเป็นเรื่องที่เล่าสืบกันมาในหมู่บ้านก็จะเป็นเรื่องของคนโน้นบ้าง
คนนี้บ้าง

คุณพ่อของผู้เขียนถือได้ว่าเป็นนักเลงเก่ามาแต่รุ่นโบราณ แม้ว่าวันเวลาจะผ่านไป แต่ท่านก็ยังไม่เคยทิ้งลายเสือเก่า
ไม่ว่าจะเป็นท่วงท่า ลักษณะที่เพียงมีใครมองดูก็จะระย่อทันทีอย่างไม่มีเหตุผล ซึ่งสิ่งเหล่านี้คุณพ่อบอกว่า มาจาก
"คาถาหัวใจราชสีห์" ที่คุณพ่อจะท่องทุกครั้ง เมื่อยามที่พบปะกับใคร จึงทำให้คนอื่นเกรงขามในบารมี

เรื่องนี้เป็นที่กังขากันต่อมา ว่าถ้าหากคนเราได้ท่องคาถานี้แล้ว จะทำให้ผู้คนเกรงอก เกรงใจ หรือว่ามีหัวใจราชสีห์
จริงหรือ คำตอบนี้ ขึ้นอยู่ที่ว่า บุคคลนั้นมีความเป็นมาอย่างไรด้วย

อย่างคุณพ่อของผู้เขียนเองนั้น มีหลายคนเคยเล่าให้ฟังว่า ท่านเป็นนักเลงเก่าที่สมัยหนุ่มก็ไม่ค่อยยอมลงให้ใครเหมือนกัน
นักเลงสมัยเก่า มักจะร่ำเรียนศึกษาวิทยาคมควบคู่กันไปด้วย เพื่อที่จะได้อยู่ยงคงกระพันชาตรี เรียกว่า ถ้าหากฟันแทงไม่เข้าก็จะทำให้
กลายเป็นที่เกรงขามของคนทั่วไป ว่างั้นเถอะ

แต่สำหรับคุณพ่อ ท่านไม่ได้ไปเรียนวิชามาจากที่ไหน ไม่สักยันต์ให้ตัวลาย แต่ท่านก็มีของดีอยู่หลายอย่าง ซึ่งในตอนหลังนั้น
ของขลังของท่านหลายสิ่งนี้ ก็มีบ้างที่สูญหายไปหลังจากที่ท่านเสียชีวิต แต่สิ่งหนึ่งซึ่งผมยังจำได้จนบัดนี้ ถึงของเก่าที่วางอยู่บนหิ้ง
ของคุณพ่อ นั่นก็คือวัวธนูหรือควายธนูสีทองอมดำซึ่งมองดูน่าเกรงขาม

และคุณพ่อจะสั่งห้ามอย่างจริงจังว่า ห้ามใครจับหรือว่าแตะโดยเด็ดขาด วัวธนูตัวนี้ของคุณพ่อ ท่านเล่าว่าเป็นของเก่าแกที่มีมาตั้งแต่สมัยคุณทวด ไม่ทราบเหมือนกันว่าได้มาอย่างไร จากไหน แต่นับจากที่คุณพ่อเติบโตขึ้นมา หลังจากที่คุณปู่เสียชีวิตไป ท่านก็มอบให้สืบทอดกันมา พร้อมทั้งตำรับตำราที่เกี่ยวกับวัวธนูด้วย

ยังจำได้ว่า คุณพ่อเคยเล่าถึงเรื่องราวของวัวธนูตัวนี้ ที่มีประสบการณ์หลายด้าน ซึ่งเรื่องราวเหล่านั้น คล้ายกับตำนานของ
หมู่บ้าน เพราะว่าสถานที่เราอยู่นั้น เป็นบ้านป่าชนบท ห่างไกลตัวเมือง ผู้คนมีอาชีพหาของป่าออกมาขาย ซึ่งแน่นอนว่า จะต้องเข้าป่าล่าสัตว์ หรือไม่ก็ต้องเข้าป่าไปลึกๆ เพื่อเก็บของป่าอย่างรังผึ้งออกมาขาย ป่าเมื่อหลายสิบปีก่อนนั้น ไม่เหมือนกับป่าเดี๋ยวนี้ที่มองดูโปร่ง สวยงาม น่าเที่ยว แต่ป่าเมื่อครั้งกระโน้น รกทึบ เต็มไปด้วยแมกไม้และเถาวัลย์ หรือลึกเข้าไปนั้นก็เป็นป่าดิบที่เต็มไปด้วยอันตราย

คุณพ่อเคยเล่าให้ฟังว่า ครั้งหนึ่งท่านเคยออกไปนั่งห้าง เพื่อยิงเก้ง ยิงกวาง ไม่ใช่เอาออกมาขาย แต่จะเอามากินกัน
ในหมู่บ้าน ซึ่งก็มีเพื่อนบ้านติดตามเข้าไปด้วยสองคน เพื่อให้ต้องตามตำราที่ว่าคนเดียวหัวหาย สองคนเพื่อนตาย แต่สามคนไปสบายอะไรทำนองนี้ หลังจากที่เดินเข้าป่าไปลึกกว่าค่อนวัน ก็ถึงหนองน้ำที่มีโป่งดินเกลือ ซึ่งคุณพ่อบอกว่าโป่งดินเกลือเหล่านี้สัตว์ป่าชอบมากินอยู่เสมอ เพราะจะทำให้มันได้รับธาตุไอโอดีนเข้าไป ทำให้ร่างกายไม่อ่อนแอ และท่านก็บอกว่า ถ้าหากจะล่าสัตว์ให้ได้ ก็ต้องไปดักที่ริมหนองน้ำ หรือไม่ก็แถวโป่งนี่แหละ วันนั้นทั้งสามคนช่วยกันสร้างห้างสำหรับพักค้างคืนที่บนต้นไม้ ที่ต้องสร้างแบบนี้ก็ด้วยเหตุที่ว่า ห้างอยู่ที่สูง สามารถมองเห็นสภาพป่าทั่วไปได้ในระยะไกลหนึ่งล่ะ สองก็คือช่วยป้องกันภัยจากสัตว์ร้ายที่อาจจะลอบเข้ามาทำร้าย
โดยที่ไม่ทันระวังตัว สามก็คือช่วยกำบังตัวเองไม่ให้สัตว์ที่มากินน้ำรู้ตัวว่าถูกซุ่มล่า

คืนนั้น หลังจากที่รับประทานอาหารกันเรียบร้อย และสร้างห้างพอที่จะนอนพักได้แล้ว ทั้งสามคนก็ผลัดกันอยู่เวรเพื่อฝ้าดูว่าจะมีสัตว์ตัวไหนลงมากินโป่งหรือกินน้ำบ้าง ล่วงเข้าสองยามกว่า ๆ คุณพ่อบอกว่าขณะที่นอนหลับอยู่นั้น ท่านก็สะดุ้งตื่นขึ้นมากลางดึก เมื่อปรากฏว่าย่ามที่ท่านชอบสะพายติดตัวและวางอยู่ที่บนหัวนอนนั้นเคลื่อนไหวขยุกขยิ
กจนมาชนเข้ากับใบหน้าของท่าน ทำให้ต้องลืมตาขึ้นมาทันทีที่ตื่นขึ้น ท่านก็ผงกหัวขึ้นมาดูว่า เพื่อนร่วมทีมที่ติดตามมาด้วยนั้นเป็นอย่างไรบ้างแล้ว คนหนึ่งนอนหลับคุดคู้อยู่ข้าง ๆ เพราะเพิ่งจะเปลี่ยนเวรกัน แต่คนที่อยู่เวรนั้นกลับหายไปไหนไม่มีใครรู้ ปกติเมื่อขึ้นไปอยู่บนห้างแล้ว ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น สิ่งที่พรานทุกคนจะต้องจดจำเอาไว้ก็คืออย่าลงจากห้างในยามค่ำคืนเด็ดขาด เพราะอาจจะมีอะไรซุ่มเล่นงานเอาได้ง่ายๆ
เห็นเพื่อนร่วมทางหายไป คุณพ่อก็ให้รู้สึกกังวลขึ้นมาทันใด แต่จากการสั่นไหวของต้นไม้ ทำให้ท่านต้องชะโงกหน้าลงไปมองดูก็เห็น
ว่า เพื่อนคนนั้นกำลังไต่พะองที่พาดเอาไว้ลงไปข้างล่างอย่างช้า เมื่อแลไปสัก ๑๕ หลาก็เห็นว่า มีแสงไฟวับ ๆ แวมส่องสว่างอยู่
ผมยังจำถึงคำบอกเล่าเรื่องราวในตอนนี้ได้ดี จากปากของลุงชม เพื่อนคนหนึ่งของพ่อซึ่งเกือบจะตายเพราะเสือสมิงในคราวนั้นว่า

" ถ้าหากพ่อของหนูไม่ช่วยเอาไว้ ลุงก็คงจะกลายเป็นเหยื่อของมันไปแล้ว "

ลุงชมเล่าว่า ขณะที่ท่านกำลังนั่งเฝ้ายามอยู่เวรนั่นเอง สายตาก็มองไปเห็นแสงไฟวับๆแวมๆออกมาจากพุ่มไม้ ในตอนแรกก็ให้สงสัยว่า
มีใครมาทำอะไรแถวนี้ แต่พอดูอีกที คนที่มานั้นก็คือเมียของแกนั่นเอง ที่ถือคบไต้มาจากบ้าน เมื่อมาถึงก็มายืนกวักมือเรียกแกอยู่
ไหว ๆ ให้ลงไปรับเอาห่อข้าวที่หิ้วมาด้วย

" ในตอนแรกลุงเองก็สงสัยอยู่เหมือนกันว่า เมียมาทำไม เพราะเข้าป่ามานี่ก็ไม่ใช่ใกล้ๆ เดินกันเป็นวันครึ่งวัน แต่พอเห็นแกหิ้วของมาให้
ก็คิดว่าน่ากลัวจะเอาข้าวมาส่ง เพราะเราไม่ได้เอาอะไรติดตัวมานอกจากเกลือกับไม้ขีดไป แล้วตอนบ่ายก็ยิงนกได้ เอามาย่างกินกันไป
แล้วเป็นอาหารเย็นกับข้าวเหนียวที่ใสกระติ๊บมาด้วย "
คุณพ่อเล่าว่า ลุงชมลงไปเกือบจะถึงพื้นอยู่แล้ว เมื่อท่านปลุกให้เพื่อนอีกคนตื่นขึ้นมาดูว่าเกิดอะไรขึ้น ในสายตาของท่านเห็นว่า
ผู้ที่มานั้นไม่น่าจะเป็นเมียลุงชม เพราะว่าหนทางระหว่างหมู่บ้านกับกลางป่านี้ก็ไกลโขอยู่ เมียแกจะเดินมาถึงได้อย่างไร ที่สำคัญ
ถ้าหากจะเอากับข้าวมาส่งทำไมถึงมาเอาดึกดื่นป่านนี้ ทำไมไม่มาตั้งแต่หัวค่ำ ผู้หญิงกลัวกลางคืนจะตายไป ไม่มีใครกล้าเข้ามาแน่
แต่ท่านก็ยังไม่มั่นใจนัก จึงเลยปลุกเพื่อนขึ้นมาเพื่อดูให้แน่ชัดว่า สิ่งที่ท่านคิดนั้นตรงกับความคิดของเพื่อนหรือไม่
เพื่อนร่วมทางผู้ตื่นขึ้นมาจากกการหลับไหลมองลงไป แล้วก็ตัดสินใจในนาทีนั้นว่า " เสือสมิง !"

ไม่มีทางเลือกอื่นใด คุณพ่อหยิบเอาปืนที่บรรจุกระสุนเรียบร้อยแล้วขึ้นมาประทับบ่า ในขณะที่สองคนข้างล่างกำลังเคลื่อนไหวเข้าหา
กันอย่างช้า ๆ จู่ ๆ ฟ้าก็ผ่าขึ้นมาอย่างกะทันหัน เมื่อปืนยาวกระบอกนั้น คำรามก้อง เปรี้ยง !
คบไฟจากไต้ที่ยายเมียของลุงชมถืออยู่ปลิวกระจาย ไฟดับวูบพร้อมกับเสียงกรีดร้องดังขึ้นโหยหวน แต่มันไม่ใช่เสียงคน หากแต่ดังโฮกฮาก เป็นเสียงเสือคำราม พร้อมกับราวป่าแถวนั้นสั่นไหวไปเป็นแถบๆ

" ตอนนั้นลุงเดินเข้าไปจะถึงเขาอยู่แล้ว ตอนที่เสียงปืนดังขึ้น ตอนแรกลุงเองก็ตกใจจนทำอะไรไม่ถูกเหมือนกัน เพราะไม่รู้ว่าข้างบน
ยิงทำไม แต่พอได้ยินเสียงร้องดังโฮกเท่านั้น ลุงก็เผ่นแน่บขึ้นมาข้างบนทันที ตอนที่ลงนี่ใช้เวลานานกว่า สิบนาททีนะ แต่ว่าตอนที่
ตกใจปีนขึ้นมานี่ไม่รู้เหมือนกันว่ามันขึ้นมาได้อย่างไร ไม่ถึงสองนาทีด้วยซ้ำมั้ง " ลุงชมหัวเราะชอบใจ

คุณพ่อเล่าให้ฟังว่า สาเหตุที่เลือกยิงคบไต้ที่คุณยายคนนั้นถือมาก็ด้วยเหตุที่ว่า มีเคล็ดลับสำหรับคนที่จะจับเสือสมิงให้ได้ นั่นก็คือว่า
ถ้าหากจะยิงเสือสมิงให้ตายก็ให้ยิงตรงสิ่งที่มันถือมา เพราะว่านั่นคือหัวใจ ส่วนที่เราเห็นทั้งหมดนั้น คือภาพลวงตาที่มันบันดาลให้เกิด
ขึ้นเท่านั้น ซึ่งในจุดนี้คุณพ่อบอกว่า อาจจะเป็นเคล็ดลับจริงข้อหนึ่ง แต่อีกข้อหนึ่งก็คือว่า ไม่มีใครแน่ใจได้ว่าผู้ที่มาหาในยามค่ำคืนนั้น
เป็นเสือสมิงจริงไปหมดหรือไม่ ดังนั้นการที่บอกให้ยิงตรงสิ่งของที่เขาถือว่า เพื่อที่จะทดสอบว่าผลจะออกมาอย่างไร

อย่างน้อย ถ้าหากว่าคนที่มาหาไม่ใช่เสือสมิงก็จะไม่ได้รับอันตราย เพราะคนยิงเล็งไปที่ของไม่ใช่คน แต่ถ้าหากว่า สิ่งที่เชื่อกันนั้นเป็น
ความจริงเสือสมิงก็จะถูกยิงเข้าหัวใจพอดี แต่เสือสมิงตัวนี้ไม่ตาย มันหนีไปได้ พร้อมกับเสียงร้องคำรามลั่นไปทั้งป่า และดูเหมือนว่ามัน
เฝ้าวนเวียนอยู่อย่างนั้นทั้งคืน เพื่อที่จะหาทางขึ้นมางาบเอาพรานป่าเหล่านี้ไปเป็นอาหารให้ได้ ไม่รู้จะทำอย่างไรดี เพราะถ้าขืนเป็น
แบบนี้มีหวังไม่ต้องได้หลับได้นอนกันแน่ ในที่สุดคุณพ่อก็ล้วงเอาของสิ่งหนึ่งออกมาจากย่ามของท่าน และของสิ่งนั้นก็คือสิ่งที่ทำให้
ย่ามสั่นพั่บๆเมื่อก่อนหน้านี้นั่นเอง คุณพ่อหยิบเอาวัวธนูสีทองแดงอมดำออกมา ลุงชมเล่าว่าท่านถึงกับขนลุกซู่เมื่อมองเห็น คุณพ่อ
ยกวัวธนูขึ้นจบบนศีรษะ พึมพำคาถาตามที่ได้รับการสอนมาจากคุณปู่ขมุบขมิบ ก่อนที่จะค่อยๆไต่ลงไปตามพะองจนได้ระยะ แล้วก็
ปล่อยออกไป พร้อมกับบอกว่า " เอามันเลยลูก ! "

พริบตานั้นเอง วัวธนูทองแดงก้ขยายตัวขึ้นมาใหญ่ยักษ์ พุ่งปราดออกากโคนไม้ ถาโถมเข้าใส่เสือสมิงที่ซุ่มตัวอยู่ในพุ่มไม้ เสียงกู่ร้อง
ก้องไปทั้งราวป่า ราวกับว่าโกรธแค้นมาไม่รู้กี่ชาติ

" ตอนนั้นมืดมาก มองไม่เห็นอะไร รู้แต่ว่ามีเงาใหญ่คล้ายควาย คล้ายวัวพุ่งออกไปแล้วสู้กันนัวเนียไปหมด ทุกคนที่อยู่บนห้างหายใจ
กันแทบไม่ทั่วท้อง จนกระทั่งได้ยินเสียงเสือร้องบาดเจ็บโหยหวนนั่นแหละ พ่อของหนูถึงได้บอกว่า นอนกันได้แล้ว ทีนี้ไม่ต้องกลัว
ไอ้โทนมันจะเฝ้าให้เราที่ข้างล่างเอง "

ลุงชมเล่าต่อว่า เช้าตรู่ของวันนั้น เมื่อตื่นขึ้นมาก็พบว่าราวป่าแถบหนึ่งแหลกละเอียด ต้นไม้หักโค่นเป็นแนวเพราะร่องรอยของการต่อสู้
เมื่อคืนนี้ และไม่ไกลออกไปจากต้นไม้ที่ตั้งห้างเท่าไหร่นัก เสือโคร่งตัวใหญ่มหึมาตัวหนึ่งนอนไส้ทะลักตายเพราะถูกแทงเข้าที่
ท้องอย่างจัง ไม่ไกลจากที่ตรงนั้นมากนัก วัวธนูสีทองแดงของคุณพ่อยืนอยู่ตัวเท่ากำปั้นเท่านั้นไม่ใช่ใหญ่ยักษ์อย่างที่มองเห็นเมื่อคืนนี้

นั่นคือเรื่องราวเกี่ยวกับประสบการณ์เสือสมิง ที่เรามักจะได้ยินผู้หลักผู้ใหญ่เล่าให้ฟังอยู่เสมอในยามค่ำคืนที่มีการ
นั่งผิงกองไฟ ล้อมวงคุยกัน
วัวธนูของหลวงปู่สร้างขึันในปี43 วัวธนูของหลวงปู่ชื่น เรียกว่า "วัวธนู สำเร็จ" คือ ไม่ต้องเลี้ยงเป็นประจำ เหมือนวัวธนูทั่วไป นอกจากนั้นยังไม่มีโทษแก่ผู้เลี้ยงอีกด้วย แต่อานุภาพความศักดิ์สิทธิ์นั้นยังมีอยู่ครบถ้วน อุดด้วยครั่งพุทราอาถรรพณ์ซึ่งเป็นครั่งพุทราที่หายาก เอาแต่ครั่งพุทราที่ชี้ไปทางทิศตะวันออกเท่านั้น ซึ่งนับว่าถูกต้องตามตำรา เป็นวัวธนูมีตัวตนนะคับ อิทธิคุณ ใช้เฝ้าบ้าน เป็นที่นิยมกันมาก และแทบทุกรายมักมีประสบการณ์หรือรู้ถึงอานุภาพ วัวธนู ใช้เฝ้าบ้าน เฝ้าเรือน ทรัพย์สิน ได้ขลังยิ่งนักขโมยไม่มีทางเอาอะไรได้เลย วัวธนูจะมีอานุภาพในทางป้องกันอาถรรพณ์ต่าง ๆ ได้อีกด้วย และป้องกันอัคคีภัย ดังนั้นการบูชาวัวธนูไว้กับบ้านจึงนับว่าอนันตคุณ ไม่มีภัยอันตรายใดจะกล้ำกรายได้เลย ถ้าพกติดตัว ยังป้องกันเสนียดจัญไร ป้องกันภูตผีปีศาจ ป้องกันคุณไสย ป้องกันผีปอบ วัวธนูหลวงปู่ชื่นจึงขอให้หมั่นบูชาไว้ให้ดี จะเกิดผลอย่างชนิดที่เรียกว่า สารพัดนึก และเป็นผลดีไม่รู้จักจบสิ้น  และยังป้องกันไฟไหม้ด้วย  สร้างน้อยหายากที่จะเจอแท้ๆ  รุ่นนี้เป็นของศูนย์พระจัดสร้างและมาให้หลวงปู่ปลุกเสกให้  ไม่น่าจะเกิน 150 ตน แล้วก็ช่วงหลังทำเสริมออกมามาก  รุ่นนี้ก็ไม่อยากแนะนำให้เล่นหากัน ตั้งเกือบ 10 ปีแล้ว  กระจายไปถึงไหนแล้วก้ไม่รู้  ดูก็ยากขึ้นมากคับ  พอบอกวิธีดูไป  เขาก็ไปแก้ไขได้อีก เป็นดาบสองคมเปล่าๆ  บล็อกทำก็ยังอยู่เดี่ยวนี้แก้ไขได้สบาย  ใครอยากเล่นหาก็วัดดวงเอาเองนะคับ
**คาถา นะโม 3 จบ**
กอนอ มหากอ นอ โอมสวาหะ
ขอบคุณคร้าบ
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ลงชื่อเข้าใช้ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้