ตั้งให้เราเป็นเว็บแรกที่คุณเลือก เก็บเราไว้เป็นเว็บโปรด
สมัครสมาชิก ได้มากกว่าที่คุณคิด เข้าสู่ระบบ
ดู: 10182
ตอบกลับ: 8
สั่งพิมพ์ ก่อนหน้า ถัดไป

โองการแช่งน้ำ

[คัดลอกลิงก์]
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย รามเทพ เมื่อ 2013-9-2 07:25

โองการแช่งน้ำ

ประวัติผู้แต่งโองการแช่งน้ำ
      ผู้แต่งวรรณกรรมฉบับนี้ ไม่ปรากฏตัวแน่ชัดว่าเป็นผู้ใด สันนิษฐานได้แต่เพียงว่า คงเป็นพราหมณ์ในราชสำนักซึ่งมีหน้าที่จัดเรื่องพระราชพิธีต่างๆ ในช่วงระยะเวลาที่สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 ครองราชย์นั่นเอง พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงสันนิษฐานว่าไทยเราคงได้เรื่องนี้มาจากเมืองที่ถือลัทธิไสยศาสตร์ (เขมร) ข้อสนับสนุนพระราชวิจารณ์คือ หลักฐานศิลาจารึกเสาหินแปดเหลี่ยมภายในปราสาทนครธม


ประวัติหนังสือโองการแช่งน้ำ


      ในประเทศไทยเริ่มใช้พระราชพิธีถือน้ำพิพัฒน์สัตยาอย่างเป็นทางการในสมัยสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 เมื่อทรงสร้างกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี และทรงกระทำพิธีราชาภิเษกเมื่อ พ.ศ.1893 พระราชพิธีได้ปฏิบัติสืบเนื่องมาจนถึงสมัยรัตนโกสินทร์ เพิ่งยกเลิกเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 ต่อมาใน พ.ศ.2512 ได้มีการรื้อฟื้นพระราชพิธีนี้ขึ้นอีกแต่ครั้งนี้ผู้เข้าร่วมพิธีมีจำนวนจำกัดเฉพาะผู้ที่ได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีศักดิ์รามาธิบดี


      วรรณกรรมโองการแช่งน้ำมีหลายฉบับ และเรียกแตกต่างกันหลายชื่อเช่น เรียกว่า โองการแช่งน้ำ โองการแช่งน้ำพระพัท ประกาศโองการแช่งน้ำ โองการถือน้ำพิพัฒน์ ฯลฯ แต่ในที่นี้ได้เลือกโองการแช่งน้ำฉบับที่เก่าที่สุดของไทยซึ่งเป็นกวีนิพนธ์ชิ้นแรกในประวัติวรรณคดีไทย ใช้ชื่อตามพระราชวินิจฉัยของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวว่า "โองการแช่งน้ำ"

คำนำโองการแช่งน้ำ


      โองการแช่งน้ำเป็นวรรณกรรมที่ใช้ในพระราชพิธีถือน้ำพิพัฒน์สัตยา ซึ่งเป็นพระราชพิธีที่ใช้แสดงความจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์โดยถ้อยคำในบทแช่งน้ำจะประกอบไปด้วยการอัญเชิญเทวดาและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ การสาปแช่งผู้ที่คิดคดทรยศต่อพระเจ้าแผ่นดิน และจบท้ายด้วยคำอวยพรสรรเสริญผู้ที่มีความจงรักภักดี







โองการ แปลว่า คำศักดิ์สิทธิ์ คำประกาศของกษัตริย์ สันนิษฐานว่ามาจากคำว่า โอมการ หมายถึง อักษรโอม โอม คือคำย่อ ที่ใช้กล่าวนำในการสวดของพราหมณ์ ย่อมาจาก อ. อุ. ม. (อ่านว่า อะ - อุ - มะ)
อ. หมายถึงพระศิวะหรือพระอิศวร
อุ. หมายถึงพระวิษณุหรือพระนารายณ์
ม. หมายถึงพระพรหม
ประกาศแช่งน้ำเป็นโองการที่พราหมณ์ใช้อ่านหรือสวดในพิธีศรีสัจจปานกาลหรือพิธีถือน้ำพระพิพัทธ์สัตยา คำว่า พัทธ น่าจะมาจากภาษาสันสกฤต แปลว่า ผูกมัด และคำว่า สัตยา น่าจะได้จากคำว่า สัตฺยปาน ในภาษาสันสกฤต แปลว่า น้ำสัตยสาบาน (สัจจปานเป็นรูปบาลี) ต่อมาคำว่า พิพัทธ์สัตยา เปลี่ยนไปเป็น พิพัฒน์สัตยา
พิธีดื่มน้ำหรือถือน้ำสาบานถือเป็นพิธีที่ศักดิ์สิทธิ์ กระทำต่อกษัตริย์ เพื่อแสดงความจงรักภักดี ไทยได้แบบอย่าง มาจากขอม ซึ่งรับมาจากอินเดียอีกต่อหนึ่ง พิธีกรรมที่ทำคือทำพิธีให้น้ำศักดิ์สิทธิ์ (น้ำพิพัฒน์สัตยา) แล้วนำน้ำศักดิ์สิทธิ์นี้มาตั้งในพิธี แทงอาวุธลงในน้ำ ให้บรรดาผู้ที่ทำพิธีดื่มน้ำสาบานตน
ผู้ที่ถือน้ำในพิธีดื่มน้ำสาบานได้แก่ข้าราชการประจำ ศัตรูที่เข้ามาขอพึ่งพระบรมโพธิสมภาร ทหารที่ถืออาวุธ การถือน้ำ ของข้าราชการประจำทำปีละ ๒ ครั้ง คือในเดือนห้า ขึ้น ๓ ค่ำ และในเดือนสิบ แรม ๑๓ ค่ำ พิธีนี้กระทำต่อกันมาจนถึงพ.ศ. ๒๔๗๕ ซึ่งเกิดการเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นระบอบประชาธิปไตย


โองการแช่งน้ำจัดได้ว่าเป็นวรรณคดีประเภทร้อยกรองที่เก่าแก่ที่สุด สันนิษฐานว่าแต่งในสมัย สมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑ (พระเจ้าอู่ทอง) โดยดูจากคำว่า "สมเด็จพระรามาธิบดีศรีสินทรบรมมหาจักรพรรดิศรราช" ที่ปรากฏในตอนท้ายเรื่อง ๒ แห่ง พระนามนี้คล้ายกับพระนามเต็มของ สมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑ ว่า "สมเด็จพระรามาธิบดีศรีสุนทรบรมบพิตรพระพุทธเจ้าอยู่หัว กรุงเทพมหานครบวรทวารวดีศรีอยุธยา มหาดิลกภพนพรัตนราชธานีบุรีรมย์" และยังคล้ายกับพระนามที่ปรากฏ ในกฎหมายตราสามดวง เมื่อกล่าวถึงกฎหมาย "พีสูทดำน้ำพีสูทลุยเพลิง" พ.ศ. ๑๘๙๙ ในสมัยสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑ ว่า "พระบาทสมเดจ์พระเจ้ารามาธิบดี ศรีสินทรบรมจักรพรรดิศรบวรธรรมิกมหาราชาธิราชเจ้า"


เนื้อเรื่องเริ่มด้วยการสรรเสริญเทพเจ้าทั้งสาม คือพระนารายณ์ พระอิศวร และพระพรหม กล่าวถึงเหตุการณ์ ไฟล้างโลก น้ำท่วมโลก การสร้างโลก การเลือกผู้มีอำนาจมากเป็นพระราชา เรียกว่าสมมติราชา กล่าวสาปแช่ง ผู้ทรยศพระเจ้าแผ่นดิน และสรรเสริญ ผู้ที่จงรักภักดี
คำประพันธ์ที่ใช้คือโคลงกับร่าย (ลิลิต) โคลงในวรรณคดีเรื่องนี้เป็น (กล)โคลงสี่ดั้น เวลาอ่านต้องถอดกลโคลง เพื่อให้ออกมาในรูปโคลงสี่ เช่น



นานาอเนกน้าว
เดิมกัลป์
จักร่ำจักราพาฬ เมื่อไหม้
กล่าวถึงตระวันเจ็ดอันพลุ่ง
อันพลุ่งน้ำแล้งไข้ขอดหาย
กล่าวถึงน้ำฟ้าฟาด
ฟองหาว
ฟองหาวดับเดโชฉ่ำหล้า
ฉ่ำหล้าปลาดินดาวเดือนแอ่น
เดือนแอ่นลมกล้าป่วนไปมา
2#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-9-2 07:13 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย รามเทพ เมื่อ 2013-9-2 07:14

สำนวนภาษาในโองการแช่งน้ำเก่ากว่าภาษาในวรรณคดีเรื่องอื่นๆ ในยุคเดียวกัน เช่นยวนพ่าย ส่วนใหญ่ใช้คำไทยโบราณ เช่นเรียกเขาพระสุเมรุว่า ผาหลวง เรียกเขาไกรลาสว่า ผาเผือก เรียกเขาคันธมาทน์ว่า ผาหอมหวาน มีข้อความสาปแช่งตามความเชื่อ แบบไทยเก่าๆ เช่น ให้ตายในสามวัน อย่าให้ทันในสามเดือน อย่าให้เคลื่อนในสามปี
โองการแช่งน้ำเป็นวรรณคดีที่นำไปใช้ประโยชน์ทางการเมืองการปกครอง ทำให้เห็นวิธีการประกาศฐานะ และอำนาจของกษัตริย์ สำนวนภาษาไทยที่เก่าแก่นั้น อาจเป็นเพราะ ได้นำโองการของเก่ามาปรับปรุงใช้ใหม่ เพราะพระเจ้าอู่ทอง ทรงปกครองสุพรรณภูมิ หรือสุพรรณบุรีมาก่อนที่จะทรงตั้งตนเป็นกษัตริย์องค์แรก แห่งกรุงศรีอยุธยา เรื่องนี้ยังชี้ให้เห็นถึง ความเชื่อเรื่องผีสางเทวดา และความเชื่อเรื่องความศักดิ์สิทธิ์ของคำสาปแช่ง ซึ่งฝังแน่นในจิตใจคนไทยมาช้านาน



ถอดคำประพันธ์


โอม ขอความสำเร็จจงมีด้วยอานุภาพของพระนารายณ์ ผู้ทรงสิริและแกล้วกล้า ซึ่งสถิตในสรวงสวรรค์ พระผู้พ้นจากความตาย ประทับเหนืออาสนะ คือ งู ทรงมีอำนาจครอบงำทั้งฟ้าทั้งดิน ทรงครุฑเป็นพาหนะ พระกรทั้งสี่ถืออาวุธสี่อย่าง คือ สังข์ จักร คทา และธรณี (คือดอกบัว) ทรงแบ่งภาคมาเกิดเป็นผู้ที่น่ากลัวเพื่อปราบอสูร และทรงใช้อคนิบาต (คือ สายฟ้า) ทำให้อสูรแหลกลาญ (ในพิธี พราหมณ์จะแทงพระแสงศรปลัยวาต)
โอม พระผู้เป็นใหญ่สูงสุด คือพระอิศวรหรือพระศิวะ พระผู้ประทับอยู่บนเขาใหญ่ คือเขาไกรลาส อย่างสง่างาม ประทับบนหลังวัวเผือก ทรงเอาพญานาค ทำเป็นสังวาลคล้องพระอังสา เอาพระจันทร์มาเสียบบนพระเมาลี(มวยผม)เป็นปิ่น ทรงมีพระเมาลีใหญ่ มีพระเนตรสามองค์ที่งดงาม ทรงกวัดแกว่งวชิราวุธที่มีฤทธิ์ ทรงกำจัดหรือทำลายอุปสรรคความไม่เป็นมงคล ให้หมดไป (ในพิธี พราหมณ์จะแทงพระแสงศรอคนิวาต)
(มีความสับสนในการบรรยายว่า สายฟ้า ซึ่งเป็นอาวุธของพระอินทร์ เป็นอาวุธของพระอิศวร พระอิศวรมีอาวุธเรียกว่า ตรีศูล คือสามง่าม หรือหอกสามแฉก)

โอม ขอชัยชนะจงมีแด่พระพรหม พระผู้เผยความรู้เรื่องพรหมสิบหกชั้นฟ้า ทรงมีพระเศียรแผ่ออกไปโดยรอบ ประทับเหนือดอกบัวทองอันบานแล้ว ทรงพญาหงส์เหาะไป ทรงสร้างดินและฟ้า คือโลก ทรงมีสี่พักตร์ที่ผินไปในแต่ละทิศ ทรงมีความเป็นเพื่อน ทรงกระทำงานอันยิ่งใหญ่ คือสร้างโลกทั้งสาม ทรงเป็นผู้ไม่ตาย และเป็นใหญ่ในโลกทั้งสาม ทรงมีศักดิ์ คืออำนาจในโลกทั้งสาม ทรงเป็นใหญ่สูงสุดและเป็นผู้มีญาณวิเศษ ทรงไว้ซึ่งความสำเร็จที่เกรียงไกร ทรงครองจักรวาลมาช้านาน ทรงมีภาระอันเป็นบุญยิ่งใหญ่เป็นองค์แรก ทรงสร้างโลกมาก่อนแล้วไม่รู้กี่ร้อยครั้ง (ในพิธี พราหมณ์จะแทงพระแสงศรพรหมาสตร์)

เท้าความย้อนไปถึงยุคเดิมที่ผ่านมามากมายหลายยุค จะกล่าวถึงเมื่อจักรวาลถูกไฟไหม้ กล่าวถึง ดวงอาทิตย์เจ็ดดวง ขึ้นมาในท้องฟ้า (หรือดวงอาทิตย์เจ็ดดวงทำให้น้ำเดือด) น้ำงวดแห้งหายไป
น้ำมันของปลาเจ็ดตัวพุ่งขึ้น ทำให้โลกลุกเป็นไฟ ไฟไหม้อบายภูมิทั้งสี่พินาศไป ทำให้สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ กลายเป็นเถ้าถ่าน แต่ไฟไม่ไหม้เลยไปถึงรูปพรหมชั้นที่สี่ (หรือไฟไหม้แผ่ไปทั้งสี่ทาง)

ผู้ที่ได้ฌานสามารถไปเกิดในพรหมโลก รวมทั้งเทพจำนวนมาก ขึ้นไปเบียดเสียดบนสวรรค์ ราวกับเม็ดแป้ง สลอนเต็มสวรรค์ชั้นสุทธาวาสนั้น ฟ้าสว่างอยู่จนกระทั่งไฟดับลง

กล่าวถึงน้ำฝนตกลงมาเป็นระลอกคลื่นเต็มท้องฟ้า ดับไฟจนชุ่มฉ่ำไปทั้งโลก ปลา ดิน ดาว และเดือน เคลื่อนหายไปอย่างรวดเร็ว ลมบรรลัยกัลป์พัดปั่นป่วนอย่างแรง


เมื่อพระพรหมทอดสายตามองไป ก็เกิดเป็นสวรรค์ชั้นดาวดึงส์อันเป็นที่อยู่ของพระอินทร์ขึ้น พระพรหม ได้สร้างสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ขึ้นก่อนที่จะเนรมิตสถานที่อื่นๆ พระพรหมได้พิจารณาดูสถานที่ต่างๆ ที่เคยมีสวรรค์ชั้นต่างๆ ตั้งอยู่ แล้วสร้างสวรรค์ทุกชั้นทุกแห่งให้กลับคืนมาดังเดิม
พระพรหมมองไปด้วยพระเดชานุภาพ เกิดเป็นทวีปทั้งสี่ขึ้น เกิดเป็นเขาพระสุเมรุ อันเป็นภูเขาใหญ่ที่สุดในจักรวาล และเป็นภูเขาสีทอง ซึ่งมีวิมานของพระอินทร์ อันสว่างสุกใสอยู่บนยอดเขา พระพรหมทรงสร้างเขาสัตบริภัณฑ์ ซึ่งงดงาม ประดุจสร้อยประดับท้องฟ้าขึ้น
พระพรหมทรงสร้างเขาไกรลาส เขาพระสุเมรุ และเขาคันธมาทน์ขึ้น กลิ่นง้วนดินหอม โชยขึ้นไปข้างบน จนถึงพรหมโลก ทำให้เหล่าพระพรหมใคร่จะได้ชิมง้วนดินนั้น จึงพากันเหาะลอยลงมายังโลกมนุษย์


ร่างพระพรหมที่พากันเหาะมานั้นส่องสว่าง เพราะมีรัศมีออกจากกาย ในเวลานั้น ยังไม่มีการแบ่งเวลา เป็นกลางวัน กลางคืน อาศัยแสงรัศมีที่ส่องจากกายพระพรหมเท่านั้น ที่ให้ความสว่างแก่โลก ครั้นพระพรหมพากันชิมง้วนดิน แสงสว่างจากกายก็หายไป ทั่วทั้งโลกมืดมิดราวกับดับไต้
เหล่าพระพรหมพยายามส่องตามองฝ่าความมืดไป แล้วอ้อนวอนขอแสงสว่างจากพระพรหมผู้สร้างโลก พระพรหมจึงประทานดวงอาทิตย์เพื่อให้แสงสว่างแก่โลก ทั้งยังประทานดวงจันทร์และดวงดาวด้วย ทำให้โลกสุกสว่าง เห็นฟ้าและแผ่นดิน


จากนั้นมาจึงเกิดมีเวลากลางวันกลางคืน พระพรหมที่มาอยู่ยังโลกมนุษย์กินข้าวสาลีที่ไม่มีเปลือกเป็นอาหาร และอยู่กันอย่างสงบสุข คือเสมอกัน ไม่มีทั้งฝ่ายที่รับบรรณาการและฝ่ายที่ต้องจัดส่งบรรณาการ


คนทั้งหลายพากันเลือกผู้มียศสูงสุดหรือมีอำนาจมากเป็นพระราชา เรียกว่า สมมติราชา แล้วพระสมมติราชา ก็แต่งตั้งพระราชาองค์อื่นๆ ให้ปกครองดินแดนทั้งหลาย


พระสมมติราชาผู้กล้าหาญได้รับการแต่งตั้งเป็นกษัตริย์พระองค์แรกตั้งแต่ตอนต้นกัลป์ และเชื้อสายของพระองค์ ก็ปกครองโลกสืบกันต่อมา ในคราวแต่งตั้งพระสมมติราชานั้นมีการเชิญผี คือเทพยดามาร่วมในพระราชพิธีแช่งน้ำที่จัดขึ้นในวันเสาร์ วันอังคาร หรือวันอาทิตย์ ซึ่งเป็นวันแข็ง
ในพิธีถือน้ำ ได้อัญเชิญพระกรรมบดีปู่เจ้าผู้เป็นเทพแห่งการคล้องช้างมาร่วมในพิธี พระกรรมบดีได้เหาะมาเป็นแขก ในพิธี ในการประกอบพิธีมีการนำเชือกบาศที่ใช้คล้องช้างมาวางไว้ในขันที่มีพานรอง และมีการตั้งขวัญข้าว และธูปเทียน


ในบาตรน้ำมนตร์มีการแทงเหล็กกล้า คืออาวุธ หญ้าแพรกที่แหลมคม และใบมะตูม ขอเชิญพระภูมิเจ้าที่ ผู้ปกครองโลกมานาน และมีความเที่ยงธรรม มาร่วมในพิธี แล้วพราหมณ์ย่ำฆ้องถี่ๆ



ผู้ที่เอาใจออกหาก คิดทรยศพระเจ้าแผ่นดิน ขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ บันดาลให้ผู้นั้นถูกเอาตัวไปยมโลกโดยเร็ว ให้เห็นทันตา เมื่อคนที่คิดทรยศถือขันน้ำสาบานที่มีใบพลูสดใส่อยู่ ขอให้แน่นท้องขึ้นมาทันที

ขอเชิญพระยามารที่ไม่พอใจให้พระพุทธเจ้าตรัสรู้มาร่วมในพิธี เพื่อสอดส่องหาคนที่คิดคดทรยศ ขอเชิญพระพุทธเจ้า ผู้มีกำลังทั้งสิบ พระปัจเจกพุทธเจ้า ผู้รู้ทางธรรมแต่เฉพาะพระองค์ มาช่วยสอดส่องดู ขอเชิญบรรดาพระสงฆ์ มาช่วยดู ขอเชิญพระผู้ทรงหงส์ทอง เป็นพาหนะ ผู้มีสี่เศียร คือพระพรหม มาช่วยดู ขอเชิญพระอินทร์ ผู้มีใจอันประเสริฐมาช่วยดู ขอเชิญท้าวจตุโลกบาล เทพเจ้าแห่งสวรรค์หกชั้น อากาศเทวดา ผู้นำไปอย่างรวดเร็ว และเทพเจ้าแห่งเสียงฟ้าร้องฟ้าผ่าจนเรือนปลิว มาช่วยดู
3#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-9-2 07:19 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ขอเชิญเทพยดาประจำเขาตรีกูฏ มาช่วยดู



ขอเชิญเทพยดาประจำเขากาฬกูฏ และพระอิศวรผู้เป็นใหญ่แห่งเขาไกรลาส มาช่วยดู
ขอเชิญพระอินทร์ผู้เป็นใหญ่แห่งเขาพระสุเมรุ และเทพยดาประจำเขาจิตรกูฏ มาช่วยดู ขอเชิญผีพราย ผีสูงใหญ่ดำมืด มาช่วยดู
ขอให้พญายมราชตวัดสายตาอันคมดุจดาบ มาช่วยดู ขอให้พระพาย เทพแห่งลม พระพิรุณ เทพแห่งฝน ผู้ทำเสียงกึกก้องทั่วฟ้า มาช่วยดู ขอให้เทพผู้แกล้วกล้าและทรงนกยูงเป็นพาหนะ คือ พระสกันทกุมาร มาช่วยดู



ขอให้อสูรผู้มีสิบหน้า คือทศกัณฐ์ มาช่วยดู ขอให้แผ่นดินที่รองรับเขาที่เอานาคชักให้ตั้งตรงขึ้น (หมายถึง เขาพระสุเมรุ) มาช่วยดู
สิ่งใดดี สิ่งใดร้าย ให้ผู้เข้าร่วมในพิธีจำไว้ น้ำสาบานที่ไหลกรูเป็นเปลวไฟ ตัดคอคนคิดไม่ซื่อให้ขาดทันที ขอให้น้ำสาบานที่ตกถึงท้องคนคิดทรยศ กลายเป็นเหยี่ยวขนาดใหญ่ เจาะกระเพาะและท้องแยกออกเป็นหลายส่วน ขอให้ถูกเขี้ยวอันคมกริบราวกับดาบทำร้าย ขอให้ถูกทุณพี (สันนิษฐานว่าหมายถึงควายที่ชื่อทรพี ในเรื่องรามเกียรติ์) ตัวเปลี่ยวขวิด ขอเชิญรามสูรผู้ถือขวานเป็นอาวุธและลิ่วโลดไปในท้องฟ้า มาร่วมในพิธีด้วย
ถ้าไม่ซื่อตรงต่อคำสาบาน ขอให้น้ำสาบานตัดคอ ให้เอาไปใส่คุก ขอให้แร้งกามารุมจิกตาให้แตก ขอให้หมา หมี เสือ กัดให้ตาย
ไฟลุกไหม้แผ่ขยายไปทั่วท้องฟ้า (เคลือก น่าจะเป็นคำคู่กับ เคล้า)



ขอเชิญพระรามและพระลักษมณ์ผู้ติดตามนางสีดา ผู้ปราบพญานาคมาช่วยดู (ชวัก แปลว่า ชัก ตาม)
ขอให้เทพยดาอารักษ์ที่อยู่ประจำป่า ประจำถ้ำ ประจำภูเขา ที่มีอยู่เป็นจำนวนมากนั้น เดินทางมาทั้งทางน้ำทางบก ขอเชิญเทวดาทั้งที่อยู่นอกเขตฟ้าเขตสวรรค์ และที่อยู่บริเวณฟ้าจรดดินมาร่วมในพิธี





ตกนอกขอกฟ้าแมนอยู่นอกขอบฟ้าและสวรรค์
แดนฟ้าตั้งฟ้าต่อแดนที่ฟ้าและดินมาเชื่อมต่อกัน บริเวณฟ้าจรดดิน
สวรรค์และโลกมนุษย์มาเชื่อมต่อกัน คนโบราณเชื่อว่า
แต่เดิมคนและเทวดาไปมาหาสู่กันได้
ชาวโลกสามารถสร้างบันไดทองพาดขึ้นไปเมืองฟ้าได้
หล่อ เคลื่อนลงจากที่สูง




ขอเชิญผีบรรพบุรุษ เจ้าป่า พระศรีพรหมรักษ์ยักษ์กุมาร ผีหลายบ้าน ผีหลายท่าน้ำ ผีห่า ผีเหวหรือผีทั้งหลายในป่าช้า ให้มาร่วมในพิธีนี้อย่างรวดเร็วยิ่งกว่าลมพายุ ขอเชิญผีที่มีหน้าใหญ่เท่าแผง มีอำนาจยิ่งใหญ่ และทำให้คนตกใจกลัว มาร่วมในพิธี





เหง้าภูติพนัสบดีผีบรรพบุรุษ เจ้าป่า
ศรีพรหมรักษ์ยักษ์กุมารบริวารของพระอิศวร
หน้าเท่าแผง หน้าใหญ่ (แผง เป็นเครื่องกำบังชนิดหนึ่ง สานเป็นแผ่นๆ อย่างเสื่อลำแพน)
แรงไกยเอาขวัญมีอำนาจมาก ทำให้คนตกใจกลัว
(ไกย น่าจะเป็นไกร แปลว่า ยิ่ง, เอาขวัญ แปลว่า ทำให้ตกใจ)
เยียทำชระแรงแรง กำลัง พลัง อำนาจ
แฝงข่าวแอบฟังความเป็นไปต่างๆชรรางไม่กระจ่าง
รางชางเห็นชัดสรคานสรคราญ งาม
อานกิน เซ่น ทำให้คมมลิ้นลิ้น
ละลายทำให้หายไปพะพลุ่ง พุ่งขึ้น
เกียจ โกงวายตี
กระทู้เสาควานกวาด
แควน ลำบาก




เมื่อผีมาถึงก็ทำเสียงดัง แอบฟังความเป็นไปอย่างลับๆ บางตนดูดปากเสียงอึกทึก อวดเขี้ยวงาม แลบลิ้นทำให้คนตกใจ ผีฟ้าผีดินมากันไม่ขาดสาย มาสูบเอาตัวผู้ทรยศลงดินไป เอาไม้ตีกระหน่ำ มัดศอกให้ลำบาก เอาหอกแทงเท้าให้ดิ้นเร่าๆ จนยืนไม่ติดพื้น ให้ถลกหนังเท้า แต่อย่าให้ถึงตาย จนล้มหงายร้องครวญคราง แล้วให้ยมบาล มาลากตัวไปนรกอเวจี ถูกไฟนรกไหม้ดิ้นไปมา ผู้คิดไม่ซื่อ ขบถต่อสมเด็จพระรามาธิบดีผู้ครองกรุงศรีอยุธยา ทั้งๆ ที่พระองค์ทรงมีอำนาจ บุญ คุณเป็นอันมาก เปรียบเหมือนคนที่มาอาศัยร่มเงาต้นไม้ แล้วยังบังอาจทำลายกิ่งไม้ ถอนต้นไม้นั้น ขอให้คนที่ทำบาปนี้ รวมทั้งญาติพวกพ้องต้องเดือดร้อน ใครชวนเพื่อนและคนทั้งหลายให้คิดขบถต่อพระเจ้าแผ่นดิน ขอให้เทวดา บันดาลให้คนเหล่านี้ตายในสามวัน อย่าให้พ้นในสามเดือน อย่าให้คลาดเคลื่อนในสามปี อย่าให้มีความสุข เมื่อกินข้าว ขอให้ข้าว กลายเป็นไฟเผาคนผู้นั้นจนตาย ไม่สามารถพึ่งน้ำจนตาย นอนในเรือนขอให้ร้องครวญครางจนตาย ให้นอนหงายตาค้างจนตาย นอนคว่ำจนตาย




ขอให้คนทรยศ ไปเกิดเป็นปล่องไฟที่ถูกไฟเผาตลอดเวลา ดื่มน้ำคลอง ให้น้ำกลายเป็นพิษ นอนในบ้าน ให้หญ้าคาที่มุงบ้าน เป็นดาบปลายงุ้มทำร้ายเอา ให้ฟ้าถล่มทับ แผ่นดินแยกสูบเอาชีวิตไป ให้อยากกินไฟเหมือนเมื่อพรหม อยากกินง้วนดิน (กลิ่นหอมของดินที่ถูกไฟเผา เรียกว่า ง้วนดิน, สี แปลว่า กิน, ลอง น่าจะเป็น ลลวง แปลว่า ซ้ำๆ)





กลอกกลับตาวงุ้ม ดาบปลายงุ้ม




ขอให้ผู้ทรยศถูกจรเข้คาบไป ถูกเสือกัดกิน ถูกเขี้ยวเล็บและนอของหมีแรดทำร้าย ถูกหอก ศร ปักทั่วร่าง ให้ตายด้วยคมจอบ พิษงู ตายในลักษณะหน้าทิ่มดิน ขอให้เจ้าเมืองขึ้นทั้งหลายที่ทรยศ ไปขึ้นแก่เมืองอื่นๆ จงตายดังที่แช่งไว้ ส่วนผู้ที่กล้าหาญ สัตย์ซื่อ พระเจ้าแผ่นดินจะทรงประกาศอวยพร





แสนงเสนง เสน่ง เขนง แปลว่า เขาสัตว์ ในที่นี้หมายถึง นอ
ขนาย เขี้ยวหมู
ปืน ศร
ลุ่มฟ้า โลกมนุษย์)
นรินทร ผู้เป็นใหญ่ ในที่นี้หมายถึง เจ้าเมืองขึ้น
กวิน แกว่น กล้า


พระเจ้าแผ่นดินทรงมีอำนาจเต็มถึงสวรรค์เท่าเทวดา พระยศแผ่ไปทั้งสามโลก พระองค์พระราชทานขวัญ และกำลังใจ ให้ผู้ที่ซื่อสัตย์ จงรักภักดี ด้วยการพระราชทานเมือง ยศถาบรรดาศักดิ์ ช้างม้าวัวควาย แก้วแหวนเงินทอง เพิ่มความเจริญรุ่งเรืองให้เขาเหล่านั้นอีกมากมาย



อำมร
อมร เทวดา


ขอให้ผู้ที่สัตย์ซื่ออย่าได้มีอันตราย ให้คุณความดีแผ่กระจายไป เป็นสิริมงคลแก่วงศ์ตระกูล ได้รับพระราชทานผู้หญิง ควายที่มีทองประดับ ให้เทวดาและพระเจ้าแผ่นดินทรงรับรู้โดยเร็ว ให้ได้รับพระราชทานเงินทองเต็มเรือ ยศ
ขอให้ผู้ที่ซื่อสัตย์ถูกฉกตัวไปสู่สวรรค์หลังจากตาย ให้โลกทั้งสามดำรงอยู่
ขอเทวดาบันดาลให้ผู้ที่สัตย์ซื่อมียศสูงๆ ขึ้น และมีใจกล้าแข็งดังเพชร
ขอให้สมเด็จพระรามาธิบดีผู้ทรงปกครองแผ่นดินสืบมาทรงมีความสุข ขอให้ทรงนำความสุขสมบูรณ์มาให้แก่ประเทศยิ่งๆ ขึ้นไป



4#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-9-2 07:25 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
เชื่อกันว่าลิลิตโองการแช่งน้ำแต่งขึ้นในสมัยอยุธยาตอนต้นคือรัชสมัยของพระรามาธิบดี ที่ ๑
เนื่องจากมีข้อความตอนหนึ่งว่า “ผู้บ่ดีบ่ซื่อใครใจคอใจคด ขบถเจ้าผู้ผ่านเกล้าอยุธยา
สมเด็จพระรามาธิบดีศรีสินทรมหาจักพรรดิศรราชาธิราช ท่านมีอำนาจ มีบุญ”

             เนื้อเรื่องของลิลิตโองการแช่งน้ำแบ่งเป็น ๕ ส่วนด้วยกัน กล่าวคือ
             ๑. คำสดุดีเทพเจ้าทั้ง ๓ องค์ ในศาสนาพราหมณ์หรือตรีมูรติ
ประกอบด้วยร่าย ๓ บท สรรเสริญพระนารายณ์ พระอิศรและพระพรหม
ต่อมาเป็นเรื่องไฟล้างโลก การ สร้างโลก และการอภิเษกพระเจ้าแผ่นดิน

             ๒. การอัญเชิญพระรัตนตรัยและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย มาเป็นพยานในพิธี
ซึ่งมีคติความเชื่อเรื่องผีบ้านผีเรือน เทวดาชั้นต่าง ๆ และเทวดาอารักษณ์ ที่ทำหน้าที่ปกปักษ์รักษา
จึงต้องเชิญมาเพื่อให้เป็นพยานและเป็นหูเป็นตามิให้ผู้คิดคดทรยศ ความเชื่อเรื่องเทวดา
หรือเทพเจ้าต่าง ๆ นี้ เป็นคติพราหมณ์แต่มีคติทางพุทธมาเจือปน
จากการอัญเชิญพระรัตนตรัยมาเป็นพยาน

             ๓. คำสาปแช่ง ผู้คิดคดทรยศต่อพระเจ้าแผ่นดิน ให้ประสบภัยพิบัติต่าง ๆ
ทั้งเมื่อยังมีชีวิตอยู่ ก็ให้ ประสบภัยพิบัติต่าง ๆ ทั้งจากสัตว์ร้ายจากคมหอกคมดาบ

             ๔.คำอวยพร ผู้ที่มีความจงรักภักดี คือเมื่อยังมีชีวิตอยู่ให้ได้รับความดีความชอบ
ปูนบำเหน็จจากพระเจ้าแผ่นดิน ให้เจริญด้วยพร ๔ ประการ เมื่อตายไปให้เทวดานำขึ้นไปสู่สวรรค์เป็นต้น
*
             ๕. คำถวายพระพรต่อพระเจ้าแผ่นดิน

5#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-9-2 07:26 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
โองการแช่งน้ำเป็นวรรณคดีที่เก่าแก่ของไทย
นักวิชาการส่วนใหญ่ลงความเห็นตรงกัน ว่าแต่งขึ้นในสมัยอยุธยาตอนต้น
แต่นักวิชาการบางคน เช่น จิตร ภูมิศักดิ์ เชื่อว่าวรรณคดีเรื่องนี้น่าจะแต่งขึ้น
อย่างน้อยก็ในสมัย พระเจ้าอู่ทอง ผู้ทรงสถาปนาเมืองอโยธยา (ภายหลังเปลี่ยนชื่อเป็นอยุธยา)

โองการแช่งน้ำเป็นวรรณคดีที่ใช้คำเก่า แต่เป็นคำไทยแท้เป็นส่วนมาก ทำให้อ่านเข้าใจยาก
นอกจากนี้มีการผสมผสานคำศัพท์ เริ่มตั้งแต่คำศัพท์บาลีและสันสกฤต
คำศัพท์ไทยโบราณ มีลักษณะของคำโดดพยางค์เดียวเป็นส่วนใหญ่
หลายคำปรากฏอยู่ในเอกสารภาษาไทย และจารึกภาษาไทยสมัยสุโขทัย และอยุธยา
นอกจากนี้ยังปรากฏคำในภาษาถิ่นของไทย
และมีคำเขมรปรากฏไม่มากนัก
ในส่วนของสำนวนภาษานั้นมีลักษณะการแช่งที่ปรากฏทั่วไปในสังคมไทย
เช่น "ขอให้ตายในสามวัน อย่าให้ทันในสามเดือน อย่าให้เคลื่อนในสามปี"

ส่วนลักษณะคำประพันธ์นั้น
เชื่อกันว่าโองการแช่งน้ำฉบับนี้ แต่งขึ้นด้วย โคลงห้า
ที่นิยมใช้กันในอาณาจักรล้านช้างในยุคเดียวกันนั้น
กล่าวคือ บาทหนึ่ง มี 5 คำ เป็นวรรคหน้า 3 คำ วรรคหลัง 2 คำ หนึ่งบทมี 4 บาท
นิยมใช้เอกโท (เอกสี่ โทสาม) แต่สามารถเพิ่มสร้อยหน้า และสร้อยหลังบาทได้
ทั้งนี้ยังมีร่ายสลับ จึงนิยมเรียกว่า ลิลิต

แม้จะไม่สอดคล้องกับธรรมเนียมการแต่งลิลิตทั่วไป
ที่มักจะแต่งร่ายสุภาพร้อยกับโคลงสุภาพ หรือร่ายดั้นร้อยกับโคลงดั้น ก็ตาม


โองการแช่งน้ำ (ประกาศแช่งน้ำโคลงห้า) ฉบับกรมศิลปากร ๒๕๒๙
(จาก โองการแช่งน้ำ ฉบับ ไมเคิล ไรท์ โดยมติชน)
บทประพันธ์


6#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-9-2 07:28 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้


ปัจจุบันพระราชพิธีถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยานี้ยังคงมีอยู่
เป็นพิธีสาบานตนในการรับราชการว่าจะซื่อตรงต่อแผ่นดิน
และปกป้องชาติบ้านเมืองให้เกิดความสงบสุข

โดยบรรดาข้าราชการจะต้องดื่มน้ำสาบานตน
จำเพาะพระพักตร์พระมหากษัตริย์ และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งปวง
ซึ่งพราหมณ์จะประกอบพิธีเสกน้ำสาบานด้วยการอ่านโองการแช่งน้ำ
แล้วนำพระแสงศาสตราวุธต่างๆ ของพระมหากษัตริย์ลงชุบในน้ำที่เสกนั้น
เพื่อหมายให้ผู้ที่ไม่ซื่อตรงต่อแผ่นดินและองค์พระมหากษัตริย์ได้รับโทษทัณฑ์ต่างๆนานา

พระราชพิธีนี้เป็นพระราชพิธีใหญ่สำหรับแผ่นดิน เป็นพระราชพิธีสำคัญตั้งแต่สมัยโบราณมา
จนถึงสมัยกรุงรัตนโกสินทร์โดยไม่มีเว้นว่าง
เพราะมีคำอ้างถึงว่าเป็นพิธีระงับยุคเข็ญของบ้านเมือง
ในสมัยกรุงศรีอยุธยานั้นปรากฏหลักฐานแน่ชัดว่ามีการถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยา
มาตั้งแต่ครั้งสมเด็จพระเจ้าอู่ทองเริ่มสร้างกรุงศรีอยุธยาทีเดียว
และก็ถือว่าการถือน้ำเป็นพิธีสำคัญซึ่งบรรดาข้าราชการผู้มีหน้าที่สำคัญ
เกี่ยวกับความยุติธรรมแห่งบ้านเมืองจะขาดเสียไม่ได้
ถึงกับตราเป็นตัวบทไว้ในกฎมณเฑียรบาล

จนสมัยเปลี่ยนแปลงการปกครอง 24 มิถุนายน พ.ศ.2475 พิธีก็หมดสิ้นไป
จนกระทั่งในรัชสมัยปัจจุบัน ทรงฟื้นฟูพระราชพิธีถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยา
ตามแบบโบราณราชประเพณี
โดยผนวกเป็นการเดียวกับพระราชพิธีพระราชทาน “เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีศักดิ์รามาธิบดี”
อันเป็นเครื่องราชอิสริยาภรณ์ที่มอบให้แก่ผู้ทำความดีในราชการทหาร
หรือพิธีมอบ “เหรียญกล้าหาญ” ของประเทศไทย จัดขึ้นเป็นครั้งแรกเมื่อปี 2512




พระราชพิธีถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยา เป็นพระราชพิธีที่รวมทั้ง พิธีทางพุทธศาสนา
และศาสนาพราหมณ์

พระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีศักดิ์รามาธิบดี
และพระราชพิธีถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยาในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชฯ นี้
กำหนดเป็น ๒ วัน
วันแรกเป็นการเสกน้ำพระพิพัฒน์สัตยา ณ พระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม
โดยใช้น้ำฝนต้มบรรจุขันพระสาคร (ขันเงินถมตะทองใหญ่)
พระสงฆ์ ๙ รูป เจริญพระพุทธมนต์ทวาทศปริตร พระครูพราหมณ์อ่านฉันท์สดุดี

... วันที่ ๒ เป็นการพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์
อันมีศักดิ์รามาธิบดี ณ ท้องพระโรงกลาง
พระที่นั่งจักรีมหาปราสาท
และการถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยา
ณ พระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม



พิธีพราหมณ์ อ่านโองการแช่งน้ำ
และเชิญพระแสงราชศัสตราแทงน้ำ
รวมทั้งหมด ๑๓ พระองค์
ได้แก่ พระแสงศร ๓ องค์ พระแสงขรรค์ชัยศรี
พระแสงดาบคาบค่าย และพระแสงราชศัสตรา
ประจำรัชกาลที่ ๑ - ๗


พระราชพิธีตรีสัจจปานกาลหรือพระราชพิธีถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยาเป็นพิธีพราหมณ์
เกิดจากความเชื่อเรื่องคำสัตย์สาบาน และความเชื่อเรื่องเทพเจ้า การล้างโลก การสร้างโลก
ตามคติทางศาสนาพราหมณ์ ประกอบกับความจำเป็นด้านการปกครองบ้านเมือง
เนื่องจากสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑ ทรงสถาปนากรุงศรีอยุธยาขึ้นเป็นครั้งแรก
ต้องการความซื่อสัตย์สามัคคีเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันของบรรดาข้าราชบริพารทั้งหลาย
ทำให้ต้องมีพระราชพิธีดื่มน้ำสาบานตน

7#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-9-2 07:28 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ลำดับการพระราชพิธีในรัชการปัจจุบันโดยย่อ เป็นดังนี้

... - ทำน้ำพระพุทธมนต์

- ทำน้ำพระพุทธมนต์ให้เป็นน้ำพระพิพัฒน์สัตยา
  (น้ำชำระพระแสง)

- ดื่มน้ำพระพิพัฒน์สัตยา และสาบานตน

ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
ประกอบการพระราชพิธีนี้
ในพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม
น้ำชำระพระแสงนี้แต่เดิม พระมหากษัตริย์มิได้ทรงเสวย
ต่อมาพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
โปรดเกล้า ฯ ให้เชิญขึ้นทูลเกล้า ฯ ถวายเพื่อเสวยก่อน
แล้วจึงได้แจกน้ำชำระพระแสงในหม้อเงินทั้งปวง
ถวายพระบรมวงศานุวงศ์ และข้าราชการดื่ม





ในปัจจุบันนี้คำสาบานต่างๆ เลือนความขลังลงไป
เพราะมีการตัดเอาคำแช่งต่างๆออกไปแล้ว
ใช้แต่เพียงคำกล่าวคำปฏิญาณว่าจะทำการด้วยความสุจริต
และเหลือเพียง "การให้สัญญา" ต่อกันอย่างที่นิยมกันทั่วโลก
ทั้งนี้อาจเนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์
มาเป็นระบอบประชาธิปไตย ที่ทุกคนต้องมีความเสมอภาค เท่าเทียมกัน
พระมหากษัตริย์มิได้มีอำนาจสูงสุดอย่างเช่นเดิม
8#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-9-2 07:30 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ในปัจจุบันนี้คำสาบานต่างๆ เลือนความขลังลงไป
เพราะมีการตัดเอาคำแช่งต่างๆออกไปแล้ว
ใช้แต่เพียงคำกล่าวคำปฏิญาณว่าจะทำการด้วยความสุจริต
และเหลือเพียง "การให้สัญญา" ต่อกันอย่างที่นิยมกันทั่วโลก
ทั้งนี้อาจเนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครอง
จากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์
มาเป็นระบอบประชาธิปไตย ที่ทุกคนต้องมีความเสมอภาค เท่าเทียมกัน
พระมหากษัตริย์มิได้มีอำนาจสูงสุดอย่างเช่นเดิม



คำปฏิญาณของผู้ถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยา ในสมัยปัจจุบันจึงมีความดังนี้

" ขอเดชะฝ่าละอองธุลีพระบาทปกเกล้าปกกระหม่อม
ข้าพระพุทธเจ้า (ออกชื่อผู้ถวายสัตย์สาบาน) ขอพระราชทานกระทำสัตย์ปฏิญาณตัว
ต่อประเทศชาติ และประชาชนชาวไทย เฉพาะพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
เฉพาะพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร ท่ามกลางมหาสันนิบาตนี้ว่า
ข้าพระพุทธเจ้า ผู้เป็นสมาชิกแห่งเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีศักดิ์รามาธิบดี
จะภักดีต่อชาติบ้านเมือง จะซื่อสัตย์ต่อประชาชนและต่อหน้าที่
จะปฏิบัติการทุกอย่างโดยเต็มกำลังสติปัญญาความสามารถ และโดยความเสียสละ
เพื่อความเจริญ ความสงบสุข และความมั่นคงไพบูลย์ของประเทศชาติไทย
จนตราบเท่าชีวิตร่างกายจะหาไม่

หากข้าพระพุทธเจ้าประพฤติปฏิบัติฝืนคำสัตย์ปฏิญาณนี้เมื่อใด
ขอความวิบัติจงบังเกิดแก่ข้าพระพุทธเจ้าเมื่อนั้นโดยฉับพลันทันที
อย่าให้มีความสุขความสวัสดีด้วยประการใดๆ
หากข้าพระพุทธเจ้าดำรงมั่นในสัตย์ปฏิญาณนี้ยั่งยืนไป
ขออานุภาพพระรัตนตรัยและเทพยดาอารักษ์ พระสยามเทวาธิราช เป็นต้น
จงบันดาลความสุขสวัสดีแก่ข้าพระพุทธเจ้าทุกเมื่อ
ให้ข้าพระพุทธเจ้ามีความเจริญในหน้าที่ราชการ เป็นกำลังทะนุบำรุงประเทศชาติสืบไป
ได้สมตามปณิธานปรารถนาจงทุกประการ
ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม ขอเดชะ"



เพราะเหตุนี้นักการเมือง ข้าราชบริพารที่คดโกงจึงไม่เกรงกลัวต่อความศักดิ์สิทธิ์ของพระราชพิธีนี้
ยังคงตั้งหน้าตั้งตากอบโกยผลประโยชน์กันต่อไป

อยากให้กลับมามีคำสาปแช่งเหมือนเดิม
อาจจะทำให้เกรงกลัวกันมากขึ้นก็ได้

เครดิต..http://www.arunsawat.com
ขอบคุณครับ
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ลงชื่อเข้าใช้ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้