ตั้งให้เราเป็นเว็บแรกที่คุณเลือก เก็บเราไว้เป็นเว็บโปรด
สมัครสมาชิก ได้มากกว่าที่คุณคิด เข้าสู่ระบบ
ดู: 4466
ตอบกลับ: 2
สั่งพิมพ์ ก่อนหน้า ถัดไป

อาจารย์ฟ้อน ดีสว่าง

[คัดลอกลิงก์]
ประวัติอาจารย์ฟ้อน ดีสว่าง


อ.ฟ้อน ดีสว่าง ถือกำเนิดที่เมืองอยุธยา อำเภอนครหลวง แล้วบิดามารดาได้อพยพครอบครัวไปอยู่เมืองลพบุรี ที่หมู่บ้านโพธิเก้าต้น ตัวท่านนั้นเป็นเด็กที่เกิดมาหน้าตาผิดปกติบนใบหน้า เมื่อย่างเข้าวัยศึกษาบิดามารดาจึงได้พาไปฝากกะ ผู้ที่เป็นน้องชายที่เป็นเจ้าอาวาสวัด กลาง อำเภอนครหลวง ที่มีชื่อเสียง โด่งดังในพระเวทย์คุณไสย คาถาอาคมโดยเฉพาะเรื่องสักยันต์ที่ไม่เหมือนใคร คือใช้เลือดของอาจารย์สักยันต์ให้กับผู้ที่มาฝากตัวเป็นศิษย์ ต่อไปนี้ผมจะเรียกว่า หลวงน้านะครับ ท่านชื่อ พระอาจารย์ ปลอด ซึ่งวัยเด็กที่คบหาอาจารย์ ฟ้อน นั้นมีพึงพาได้ไม่กี่คน 1 ในนั้นคือคนที่ชื่อ ตาบ เพราะด้วยความผิดปกติที่ใบหน้านี่เองท่านจึงไม่ยอมเข้าเรียน กะเพื่อน ๆ ทำให้อ่านไม่ออก เขียนก็ไม่ได้ หลวงน้าชายเห็นกลัวว่าหลานตัวเองจะเอาตัวไม่รอด จึงได้เฝ้าเพียรถ่ายทอดวิชาอาคมไว้ให้ทั้งหมด

ซึ่งอ. ฟ้อนท่านผิดปกติแต่หน้าตาเท่านั้น    ส่วนความจดจำนั้นเป็นเลิศได้อย่าง อัศจรรย์ สอนเพียงครั้งเดียวจดจำไว้ได้ทั้งหมดเด็กวัดต่อมาได้อุปสมบทเป็น เณรตาบ ครับ หลวงน้าท่านได้สอนวิชาพวกสาขาเวชกรรม ถอดถอนพิษร้ายจากคาถาอาคม ส่วนในหมวดมนต์ดำ วิชาอาถรรพณ์นั้นหลวงน้าได้ซุกซ่อนไว้ จนกระทั่งมรณะภาพลง อ.ฟ้อนจึงได้พบตำราสำคัญเล่มนั้นพอได้ตำรามา ก็ให้สามเณรตาบ อ่านให้ฟังและฝึกปรือจนชำนาญ พอร้อนวิชามากเข้าท่านได้หายเงียบไปจากอยุธยานานหลายปี ข่าวว่าได้กลับไปอยู่กะบิดามารดาที่หมู่บ้านโพธิเก้าต้น เปิดสำนักรักษาโรคด้วยสมุนไพร และวิชาพระเวทย์คุณไสยอาคมทางคงกะพัน เสน่ห์ มหานิยมจนเป็นที่โจษขานที่เมืองลพบุรีได้มีลูกศิษย์มาฝากตัวมากมายเมื่อท่าน ร้อนวิชาอีกก็ได้หายเงียบไปจากลพบุรีไปปรากฏตัวยัง วัดกลาง ที่อยุธยาที่เป็นวัดที่พระอาจารย์(หลวงน้าท่าน) ตัว อ.ฟ้อนได้บวชที่วัดกลางเป็น พระอาจารย์ฟ้อน ท่านได้ช่วยญาติโยมรักษาโรค สักยันต์จนในที่สุดได้หายเงียบไปอีก ไปปรากฏตัวที่ อ.บางประหัน อยุธยา




2#
 เจ้าของ| โพสต์ 2019-8-28 08:33 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ที่วัดไก่ฟ้านี่เองที่ท่านได้ปล่อยวิชาทางคุณไสยมนต์อาถรรพณ์ออกมาอย่างไม่ ออมฝีมือนอกจากรักษาผู้คนที่เจ็บป่วยได้หายดุจหมอเทวดา ในทางอาคมก็ได้ครอบให้กับวัยรุ่นในละแวะนั้นที่มาฝากตัวเป็นศิษย์ การสักยันต์(ปะสะเลือด)หรือการถ่ายเลือดนั้นเอง คือถ่ายเลือดจากตัว อาจารย์ฟ้อน พิธีครอบครูมี มีดซึ่งต่อไปจะเป็น มีดหมอประจำตัวผู้เป็นศิษย์ไปตลอดชีวิต ดอกไม้สีขาว 9 ดอก ธูป 9 ดอก เทียนขาว 9 เล่ม ผ้าขาวม้าขาว 3 เมตร 1ผืน ผ้าเช็ดหน้าสีขาว 1 ผืน(ซึ่งต่อมาคนจะเรียกกันว่าผ้ายันต์นั่นเอง) หัวหมู 1 คู่พิธีเริ่มผู้เป็นศิษย์อาบน้ำชำระร่างกาย นุ่งขาวห่มขาว เช่นเดียวกัยตัว อาจารย์ฟ้อน ภายในที่กำหนดแท่นตั้งเครื่องบูชาครู สิ่งที่ใช้สักยันต์ อ.ฟ้อนมิได้ใช้เข็มดังเช่น อาจารย์ท่านอื่น ๆ หรือสำนักอื่น ๆ แต่ท่านใช้มีดที่ศิษย์เตรียมมานั่นแหละกรีดบนศีรษะ และตามตัวของศิษย์ท่านก็ใช้มีด เล่มเดียวกันเชือดลิ้นตัวเองให้เลือดไหลลงแก้วที่รองไว้



                ขั้นตอนต่อไปท่านจะมีมีดดาบปลายปืนขนาดยาวเฟื้อย อีก 2 เล่มตอกสุดแรงเข้าไปในเพดานปากของท่าน เพื่อให้เลือดไหลลงมาตามด้ามมีดลงไปในแก้ว        จำนวนเลือดทั้งหมดอยู่ในแก้วจะถูก อาจารย์ฟ้อน ท่านเทกรอกใส่กลับในปากอีกครั้ง แล้วอมนั่งบริกรรมคาถา พ่นเลือดลงในผ้าเช็ดหน้าสีขาวนั้น นำไปทาลงตามรอยปลายมีดที่กรีดยันต์ไว้ทั่วทุกจุดบนร่างกายของผู้ครอบพิธี บาดแผลทั้งหมดที่ท่านได้เชือดปลายลิ้นและใช้มีดดาบตอกเพดาน ท่านอมน้ำบริกรรมคาถาครู่ใหญ่ ในปากกลืนหายไปในลำคอ แผลทั้งหมดก็สนิทและต่อไปท่านทำพิธีครอบครูครู่ใหญ่ และจะได้สอนวิชาที่ไว้ใช้ฉุกเฉินให้แก่ศิษย์     เช่น คาดพิษงู ประสานบาดแผล เมตตามหานิยม
                 ที่สถานีรถไฟปากช่อง ยามใดที่ อาจารย์ฟ้อนจะเดินทางจากโคราชไปเมืองนครนายก บรรดาลูกศิษย์ลูกหาจะพากันมายืนคอยรับส่งอยู่ที่สถานีเป็นจำนวนมาก บั้นปลายท่าได้ย้ายมาอยู่ที่ วัดบึง(ต่อมาเรียกว่า วัดบึงพระอาจารย์ และต่อมาเปลี่ยนเป็นวัดสุนทรพิชิตาราม) วาระสุดท้ายท่านก็เสียที่วัดบึงพระอาจารย์งานศพของท่านได้มีลูกศิษย์มากัน มากมาย มีทั้งข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ พ่อค้า ประชาชนจากกรุงเทพ อยุธยา ลพบุรี โคราช เดินทางไปร่วมงานกันมากมาย ลิเกคณะ ส. สำราณศิลป์ได้ แสดงในงานศพ ซึ่งโต้โผ(หัวหน้าคณะ) เป็นศิษย์ อ.ฟ้อน


                ต่อไปจะขอนำอภินิหารในบางส่วนมาเล่าให้กันฟังนะครับเริ่มจาก คณะลิเก



กันก่อน โต้โผลิเกแทบทุกคณะของเมืองลพบุรี โคกสำโรง สระบุรี อยุธยาล้วนได้ฝากตัวเป็นศิษย์อาจารย์ฟ้อน ดีสว่าง อย่างศิโรราบ เพราะปรากกว่า ลิกเกทุกคณะ นางเอกวัยรุ่นระดับดาวประจำโรง ได้ถูกอาจารย์ฟ้อนท่านเอาไปเป็นเมียจนหานางเอกมาทดแทนไม่หวาดไม่ไหว อาจารย์ฟ้อน ดีสว่างเมื่อใดที่ท่านอัปลักษณ์จมูกโหว่ได้ไปถูกอีสาวคราวลูกวัยเอ๊าะ ๆ กล่าวคำปรามาสใส่หน้าแล้วละก้อ ตอนนั้นแหละ อาจารย์ฟ้อน ท่านจึงจะได้ลั่นวาจาออกไป

***จะเอา***ไปเป็นเมียอยู่กินกับ***ที่ บ้าน ค่ำคืนนั้นตัว อาจารย์ฟ้อนท่านนอนรออยู่ที่บ้านเฉย ๆ

ไม่ได้ดิ้นรนอาทรร้อนใจอะไร อีสาวคราวลูก วัยเอ๊าะ ๆ มันแจ้นไปสู่อ้อมกอด อาจารย์ฟ้อน ด้วยตัวของมันเองและท่านก็หาได้เสียสัตย์

ที่ตรงไหนแม้แต่คนเดียว เมียของท่านล้วนเป็นแต่นางเอกลิเก แม่ค้าตาหวาน

ท่านรับเลี้ยงดูเป็น เมีย หมดทุกคนทั้งได้อยู่กินกับท่าน รวบได้ 10 กว่าคน

               สมัยที่ท่านอยู่วัดไก่ฟ้า ก้อนหินที่อาจารย์ใช้ให้พากันแบกขนมาเพื่อใช้ในงานก่อสร้างวัด บูรณะวัดนั้น ท่านได้เป่าคาถาไปพรวดเดียว หินก้อนนั้นได้กลายเป็นเต่า คลานเดิน สี่ขาทุกคนเห็นกันตาจนตะลึง หรือแม้แต่ ผีนางตะเคียนแถววัดไก่ฟ้า ท่านเรียก ผีนางตะเคียนมาให้คนทุกได้ชมกัน หรือแม้แต่คราวที่ท่านได้ทำนายว่าต่อไปบรรดาชายฉกรรจ์จะได้เป็นกำลังสำคัญ ของชาติก็เป็นจริงเมื่อครั้งญี่ปุ่นบุกประเทศไทย ท่านได้ทำการสักยันต์ อาบว่านให้บรรดาชายชาตรีที่อาสาเป็นเสรีไทยออกไปต่อสู้กะทหารญี่ปุ่น จึงขอจบอัตชีวประวัติของ อาจารย์ฟ้อน ดีสว่าง คร่าว ๆ เพียงแค่นี้ นะครับ (  ขอขอบคุณข้อมูลดีๆด้วยครับคุณสาลีโข )
3#
 เจ้าของ| โพสต์ 2019-8-28 08:37 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
“อ.ฟ้อน ดีสว่าง” เจอแม่ค้าสาวปากดี เลยสั่งสอนด้วยเสน่ห์อาคม



หากพูดถึง “อ.ฟ้อน ดีสว่าง” ท่านเป็นอีกหนึ่งอาจารย์สายฆราวาสจอมขมังเวทย์ที่มีชื่อเสียงไม่ว่าจะไปทางไหนใครต่างคนต่างรู้จักในแวดวงอาจารย์สายฆราวาส วันนี้ #พรานหญิงได้นำเรื่องราวของ อ.ฟ้อน ดีสว่าง ที่เจอแม่ค้าปากเสีย ก็เลยสั่งสอนด้วยด้วยเสน่ห์อาคม นำมาให้ทุกท่านได้อ่านได้ศึกษากัน ไปชมกันเลย
ครั้งหนึ่ง คุณพ่อ อ.ฟ้อน ท่านเดินทางทางเรือ โดยมีลูกศิษย์พายหัวเรือกับท้ายเรือ ส่วนท่านนั่งตอนกลางเรือ ซึ่งเป็นเรือมีประทุนหลังคา ระหว่างกำลังพายเรืออยู่กลางแม่น้ำ ได้ยินเสียงแม่ค้าร้องขายขนมหวาน ท่านเกิดอยากทานขนมหวาน ท่านจึงสั่งให้ลูกศิษย์เรียกแม่ค้าเพื่อเทียบเรือ ท่านจึงร้องถามอยู่ในประทุนเรือว่า “แม่ค้ามีขนมอะไรบ้างจ๊ะ” พูดพลางท่านก็ชะโงกหน้าออกมามอง แม่ค้าไม่ทันมองหน้าท่าน จึงตอบว่า “มีหลายอย่างจ๊ะ”




แต่พอแม่ค้าเห็นหน้าท่าน(เห็นจมูก) จึงพูดว่า “แหมหน้าตาช่างอัปลักษณ์ ทำพูดเพราะ ” ลูกศิษย์ท่านได้ยินได้ฟังก็ไม่ค่อยพอใจ เหมือนท่านรู้ท่านยกมือเชิงปราม แล้วหันไปพูดกับแม่ค้าด้วยน้ำเสียงเรียบๆว่า “เป็นแม่ค้าขายของอย่าปากไวกับลูกค้า วันนี้เอ็งไม่ต้องขายแล้ว ตามไปเป็นเมียข้าเถิด ข้าไม่กินแล้วขนมเอ็ง”
ท่านพูดเสร็จก็หันมาสั่งให้ออกเรือเดินทางกันต่อ พายกันสองฝีพายจนพลบค่ำ ท่านให้จอดเรือพักที่วัดๆหนึ่ง เพื่อขึ้นไปพักค้างแรมด้านบนวัด ส่วนลูกศิษย์นอนเฝ้าเรือคนหนึ่ง พอรุ่งสางลูกศิษย์ที่เฝ้าเรือวิ่งขึ้นไปหาท่านแล้วเรียนว่า “อาจารย์ครับแม่ค้าขนมหวานที่พบเมื่อสายวานนี้พายเรือตามมา แต่เมื่อไรไม่รู้ผูกเรือเทียบกับเรือเราอยู่ที่ท่าน้ำครับ” ละร่ำละลักเล่าต่ออีกว่า “ผมถามเขาว่าตามมาทำไมเขาก็ไม่ตอบ แต่ขนมบูดเต็มหม้อเลยคงไม่ได้ขายเลย คงพายตามหาเรามาทั้งวันคงมาถึงตอนดึก ผมเองคงเหนื่อยหลับไปก่อนแล้ว”

ท่านจึงหันหน้าไปหาศิษย์อีกคนที่อยู่ด้วย แล้วพูดว่า “อ้าวเราลืมไปเลย เองไปว่าบทถอนแล้ววักน้ำใส่หัวเรือ แล้วใสเรือเขาให้กลับไปซ๊ะ ป่านนี้คนที่บ้านคงห่วงกันแย่แล้ว” จากนั้นท่านก็พูดเชิงพรำบ่น “กะว่าจะแกล้งดัดนิสัยให้พายตามสักชั่วโมงสองชั่วโมงคงพายตามพวกเอ็งไม่ทัน เราเลยไม่เห็นทำให้พากันลืม น่าสงสาร”
คุณพ่อ อ.ฟ้อน ท่านเป็นคนมีเมตตากรุณาคนมากๆ แต่ที่ว่ากันว่าท่านมีเมียเยอะเพราะเหตุทำนองนี้ คือหากใครดูถูกท่าน มักจะถูกดัดนิสัยให้ได้อายจะได้เข็ดหลาบ ท่านไม่ได้เอามาเป็นภรรยาจริงๆ แต่ลูกศิษย์มักพูดเย้าเล่นกันว่า วันนี้ไปที่นั่นมาที่นี่มาอาจารย์ได้เมียมาอีกคนหนึ่งหรือสองคนแล้ว ลูกศิษย์มักมาคุยกันแล้วนำมานับรวมเล่นๆ พูดกันไปเรื่อยว่า ถ้าท่านจะเอาเป็นเมียก็คงเกินร้อยเยอะเลย จนกลายเป็นสมญานามของท่านแบบกลายๆ ไปโดยปริยาย

บทความที่กล่าวมาข้างต้น เป็นเตำนานเล่าขานสืบต่อกันมาและมีบันทึกไว้ นำมาเผยแพร่บารมีครูบาอาจารย์ เพื่อเป็นวิทยาทานแก่ทุกๆท่าน สาธุ สาธุ เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน

ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ลงชื่อเข้าใช้ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้