ตั้งให้เราเป็นเว็บแรกที่คุณเลือก เก็บเราไว้เป็นเว็บโปรด
สมัครสมาชิก ได้มากกว่าที่คุณคิด เข้าสู่ระบบ
ดู: 6314
ตอบกลับ: 7
สั่งพิมพ์ ก่อนหน้า ถัดไป

วิเคราะห์ปริศนาธรรมจากมหากาพย์ไซอิ๋ว

[คัดลอกลิงก์]
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย รามเทพ เมื่อ 2013-8-28 08:21

หงอคง
(ความเป็นมา สมัยเป็นมิจฉาทิฏฐิ)


[size=+0]

ฟ้า-ดิน สร้างลิง(โพธิ)ขึ้นจากหิน ให้เป็นลิงสามัญ แล้วค่อยๆ เติบโตกล้าแข็งขึ้น จนลิงบริวารยกขึ้นเป็นไต้อ๋อง ชื่อมุ้ยเกาอ๋อง เป็นลิงเผือกขาวผ่องบริสุทธิ์ ซึ่งมีความหมายว่า โพธิจิตนั้นบริสุทธิ์อยู่ตามธรรมชาติแล้ว ทุกคนต้องอาศัยลิงตัวนี้ เพราะว่าโพธิจิตนี้เป็นต้นเหตุแห่งมรรคผล ดังโศลกที่ท่านกวีรจนาไว้

ต่อมาหงอคง(เห้งเจีย) ประสงค์จะพ้นจากเกิดแก่เจ็บตาย จึงได้สืบหาธรรมวิเศษ พญามุ้ยเกาอ๋องได้ไปถึงไซที(อินเดีย) กลับไม่พบผู้รู้ธรรมวิเศษเลย จึงได้ย้อนมาเกาะลังกา แลได้พบท่านผู้วิเศษคือ โผเถโจ๊ซือ (สังฆนายกสุภูติ) จึงได้เรียนปริยัติธรรม

ตอนขอเรียนปริยัติธรรมนั้น มุ้ยเกาอ๋องปฏิเสธที่จะเรียนเดียรัจฉานวิชาต่างๆ อันเป็นมิจฉาทิฏฐิ ต้องการแต่ความเป็นอมตะ
ในที่สุดจึงได้เรียนธรรมหฤทัย จนท่องได้ขึ้นใจ อาจแปลงกายได้ ๗๒ อย่าง ( เท่ากับสภาวธรรม ๗๒ โป๊ยก่ายแปลงกายได้ ๓๖ หงอคงมากกว่า ๒ เท่า กำลังของปัญญากับศีลนั้นแปลงได้ ๑๐๘ เท่ากับจำนวนตัณหา ๑๐๘ ส่วนซัวเจ๋ง (อนันตริกสมาธิ) นั้นแปลงไม่ได้เลย)

ต่อมา เมื่อหงอคงได้กลับมาถึงถ้ำจุ้ยเลี่ยมต๋อง(ถ้ำม่านน้ำ)เดิม จึงได้ทราบว่าระหว่างที่ตนแสวงหาความรู้อยู่นั้น ปีศาจหุนซีหม้อกุน(หุนซีหม้อกุน = ยุ่ง + โลก + สมัย) ได้มาแย่งชิงถ้ำและจับบริวารลิงไปกักไว้ที่ถ้ำผี และผี(อวิชชา) นี้มันมาเหมือนพายุ เมื่อมันไปก็เป็นหมอกมืดคลุ้ม ไม่รู้ว่าหนทางไปมาจะไกล้ไกลสักเท่าใด หงอคงตามไปฆ่าปีศาจตาย แล้วแย่งอาวุธมาได้ด้วยถอนขนเป็นลิงน้อยหลายร้อยตัวเข้ารุมจับ (หงอคงมีขนอยู่ ๘๔,๐๐๐ เส้น ทุกเส้นอาจแปลงเป็นลิงได้ นี่คือปริยัติใน ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์) โพธิใช้สุตพละ(กำลังที่เกิดจากการฟังการเรียน) ฆ่าปีศาจคือความไม่รู้(อวิชชา)ในปริยัติ และในที่สุดจึงได้เป็นใหญ่ในหมู่ปีศาจทั้งหลาย และได้เพื่อนผี รวมทั้งตัวเองเป็น ๗ พญาผี

เรื่องตอนได้อาวุธคือตะบองวิเศษนั้นเป็นดังนี้ ซึงหงอคงคิดตั้งตนเป็นใหญ่ ต้องการอาวุธคู่มือที่เป็นเหล็ก แต่เดิมเป็นง้าว ซึ่งเป็นอาวุธของปีศาจหุนซีหม้อกุน ต่อมาได้อาวุธ ๑๘ อย่าง ล้วนเป็นเหล็ก (อาวุธ ๑๘ อย่าง คือความเข้าใจชัดถึงมูลธาตุ ๑๘ คือ อินทรีย์ ๖ ตา หู จมูก ลิ้น กายใจ อารมณ์ ๖ คือ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ธรรมารมณ์ และ วิญญาณ ๖ คือ จักขุวิญญาณ โสตวิญญาณ ฆานวิญญาณ ชิวหาวิญญาณ กายวิญญาณ และ มโนวิญญาณ ซึ่งความเข้าใจเรื่องนี้เป็นดุจอาวุธเหล็ก มีกำลังมากกว่าอาวุธเดิม)

ซึงหงอคงดำริถึงอาวุธวิเศษกว่าเหล็กอีก จึงได้ดำลงในลำธาร ในถ้ำของตนที่ทะลุถึงบาดาล(เส้นล้ำลึกของใจ) ดำลงไปถึงทะเลแห่งทิศตะวันออก เขตแดนของพญาเล่งอ๋อง อาวุธ คือตะบองวิเศษนั้น จมอยู่ใต้บาดาลทางทะเลตะวันออก

หลังจากคัดเลือกอาวุธชั้นเยี่ยมใต้บาดาล จากการเสนอให้ของพญาเล่งอ๋องเจ้าแห่งทะเลตะวันออกแล้ว หงอคงมิได้พอใจเพราะน้ำหนักเบาไป จึงถูกแนะให้ไปหาตะบองกายสิทธิ์ ยืดหดได้ตามประสงค์ มีขื่อเป็นอักษร ๕ ตัวว่า ยู่อี่กิมซือเป๋ง (ตามใจ+ทอง+ปลอก = ตะบองปลอกทองได้ดังใจ) เมื่อจะให้ใหญ่ก็ได้ดังใจ จะให้เล็กเหน็บไว้ในรูหูก็ได้

นอกจากตะบองแล้ว ยังมีเครื่องแต่งกายวิเศษที่หงอคงบังคับขู่ตะคอกเอามาจากพญาเล่งอ๋องแห่งคาบสมุทรอื่น คือ เกือกวิเศษใส่แล้วเหาะได้ เกราะทองคำป้องกันอาวุธ หมวกทองคำทำด้วยปีกหงส์แคล้วคลาดจากอันตราย (ปริศนาธรรมเครื่องแต่งกายนี้ตรงกันกับสุวรรณสังข์ชาดก เกราะ คือ รูป เงาะ เกือกวิเศษ คือ เกือกใส่แล้วเหาะได้ ส่วนหมวกนั้น สุวรรณสังข์กลับเป็นไม้เท้า )

ซึงหงอคงได้อาวุธพิเศษ ก็เป็นเหตุให้ทั้งบนพื้นดินและสวรรค์ สั่นสะเทือนด้วยอัสมิมานะ หงอคง(โพธิจิตที่ยังเถื่อนอยู่) ได้ลงไปตีตะลุยนรก รุกรานเงี่ยมฬ่ออ๋องทั้ง๑๐ (มัจจุราช) และลบบัญชีตายแก่ตนและบริวารเสียสิ้น หมายถึงโพธินั้นไม่มีวันตาย หรือสภาวะที่อยู่เหนือความตาย

พญาเงี่ยมฬ่ออ๋อง(มัจจุราช) และพญาเล่งอ๋อง(ผู้เป็นใหญ่ในทะเล) ได้ยื่นฎีกาต่อเง็กเซียนฮ่องเต้ ในความเถื่อนของหงอคงที่ไม่ยอมอยู่ใต้บังคับของสิ่งไหน แม้ความเกิด -ตาย ไม่ยอมรับผลของกรรมใดๆ จนเง็กเซียนฮ่องเต้ต้องประชุมเทพยดาเพื่อปราบปรามหงอคง

อุบายในการปราบหงอคงนั้นก็คือ ทดใช้พลังเถื่อนของโพธิให้มาสู่ฝ่ายสวรรค์(บุญ) แทนการสมาคมกับภูตผี (ถึงตอนนี้ ท่านกวีได้ล้อเลียนว่า ปัญญาหรือโพธิ(ในระดับที่ยังเถื่อนอยู่) ที่เชี่ยวชาญแตกฉานเหนือสิ่งใดในโลกแล้วนั้น เหมาะสำหรับเป็นแม่กองเลี้ยงม้าบนสวรรค์เท่านั้น)
หงอคงถูกล่อด้วยตำแหน่งที่เป๊กเบ๊อุน(เลี้ยงม้า-กวาดขี้ม้า) ครั้นรู้ความที่ตนถูกลวงแล้ว อัสมิมานะก็พลุ่งขึ้น หงอคง(โพธิ) ได้อาละวาด ทำลายบัญชีข้าวของและเหาะกลับมาอยู่ถ้ำจุ้ยเลี่ยมต๋องตามเดิม โพธิที่ยังเถื่อนอยู่นั้น หายอมพอใจกับบุญที่ไร้เกียรติไม่

เมื่อกลับถึงถ้ำอันเป็นนิวาสถานของตัวแล้ว ปีศาจตระกูลต๋อกกั๊ก ๒ ตน (คือ มานะ และ อติมานะ) ได้มาสวามิภักดิ์พร้อมกับยุส่งว่า " ไต้อ๋องมีฤทธิ์อานุภาพไม่มีใครจะต่อต้าน ธุระอะไรจะมาเป็นนายกองเลี้ยงม้า ข้าพเจ้าเห็นว่าฤทธิ์เดชของไต้อ๋อง สมควรจะเป็นซีเทียนไต้เซี้ย คือเป็นใหญ่เสมอฟ้าจึงจะควร "

ตั้งแต่ปีศาจตระกูลต๋อกกั๊กเข้ามาสวามิภักดิ์ด้วยหงอคงแล้ว จึงได้เกิดเหตุโกลาหลทั้งฟ้า เง็กเซียนฮ่องเต้จอมสวรรค์จึงได้รับสั่งให้ถักทะลีทีอ๋องแม่ทัพสวรรค์ พร้อมกับโลเฉียยกทัพไปปราบหงอคง
ไม่ว่าโลเฉียจะแสดงอิทธิปาฏิหาริย์อย่างใด หงอคงแปลงกายสู้ได้ทั้งสิ้น กองทัพสวรรค์ก็ต้องพ่ายแพ้ไป อันเป็นเหตุให้อัสมิมานะลงรากมั่นคง และถึงกับแต่งตั้งเพื่อนปีศาจอีก ๖ ตนขึ้นเป็นไต้เซียนเหมือนตัว (มิจฉาทิฏฐิ คือ อุจเฉททิฏฐิเพิ่มกำลังยิ่งขึ้น) และได้เลี้ยงเฉลิมฉลองกันเป็นการใหญ่ ทั้งลิง(โพธิ) ทั้งผี(กิเลส) ก็รื่นเริงอยู่ในถ้ำจุ้ยเลี่ยมต๋อง

สวรรค์ต้องดำเนินนโยบายใหม่ ในการทดใช้พลังของโพธิให้ไปสู่หนทางบุญให้ได้ จึงยอมแต่งตั้งให้หงอคงเป็นซีเทียนไต้เซี่ยตามอัสมิมานะของหงอคง โดยเง็กเซียนฮ่องเต้รับสั่งให้เทพบุตรสร้างหอขึ้น ๒ หอ คือ หอเย็นระงับใจ และ หอเก็บรักษาอารมณ์ นี่คือเทคนิคของสวรรค์ในการปราบโพธิเถื่อน แล้วทรงประทานสุราที่พวกเซียน(ผู้สำเร็จ) ในสวรรค์นิยมดื่มให้ ๒ คนโท(คือปีติและสุขจากการระงับใจและเก็บรักษาอารมณ์) พร้อมกับดอกไม้ทองคำสิบกิ่ง(คือ กุศลกรรมบถ ๑๐) เพื่อระงับมิให้ทำการชั่ว

ซีเทียนไต้เซีย มีความปราโมทย์บันเทิงกับตำแหน่งในสวรรค์ทุกเช้าเย็น แต่หารู้ไม่ว่าตนเป็นขุนนางตำแหน่งไหน มีอยู่แต่ชื่อเท่านั้น(ความสุขจากการมีบุญนั้นมี แต่ชื่อไม่ใช่ทางแห่งมรรคผล) ไม่ช้าซีเทียนก็ก่อเหตุจลาจลในสวรรค์ขึ้นจนได้

เง็กเซียนฮ่องเต้ขอให้ซีเทียนใช้เวลาว่างในการตรวจตรารักษาสวนชมพู่ทั้ง ๓ สวน เพื่อใช้เวลาว่างในสวรรค์ให้มีค่า สวนชมพู่ ๓,๖๐๐ ต้น(พระสูตร) ซีเทียนแอบขโมยชมพู่ในสวนที่สามกินหมด และได้ร่ายเวทตรึงนางฟ้า ๗ องค์ที่เป็นพนักงานสอยชมพู่ ในงานกินเลี้ยงพวกเซียน ได้แอบเข้าไปกินอาหารทิพย์ สุราทิพย์(สุขในบุญอันชวนเมา) และได้เมาสุราจนเดินล่วงล้ำเข้าไปเขตท่านพรหมท้ายเสียงเล่ากุน และได้ขโมยกินยาวิเศษที่เป็นยาอายุวัฒนะของพรหมชั้นนั้นที่บรรจุอยู่ในคนโท ๕ ใบ (ยาวิเศษ ในคนโท ๕ ใบ คือองค์แห่งปฐมฌาน ได้ วิตก วิจาร ปีติ สุข เอกัคคตา) ในที่สุดซีเทียนจึงได้เหาะหนีลงสู่นิวาสถานเดิม คือถ้ำจุ้ยเลี่ยมต๋อง และยังติดรสของสุขในสวรรค์จนต้องหวนขึ้นไปขโมยสุราทิพย์ลงมากำนัลแก่ลิงบริวาร(เจตสิกได้ลิ้มรสสุขจากการระงับใจแล้ว)

เง็กเซียนฮ่องเต้รับสั่งให้จับตัวซีเทียนให้ได้ จึงกองทัพสวรรค์นำโดยถักทะลีทีอ๋องและโลเฉีย สมทบด้วยทัพดาวยี่สิบแปดดวง สิบสองง่วนสิน ดาวทั้งเก้า เจ้าฮวงเจี๊ยบ (เทพารักษ์) พร้อมทั้งท้าวกิมกัง(จตุโลกบาล) สมทบด้วยปุดเฉีย แม้กระนั้นแล้ว ทัพสวรรค์(กุศลเจตสิก) ก็ยังพ่ายแพ้แก่ซีเทียนไต้เซี้ย(โพธิ) ผู้มีต๋อกกั๊กกุยอ๋อง(มานะและอติมานะ) เป็นแม่ทัพหน้า

2#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-8-28 08:19 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
พระโพธิสัตว์กวนอิม(อวโลกิเตศวรโพธิสัตว์-เมตตาอันใหญ่หลวงในสรรพสัตว์) ได้แนะนำให้เชิญยี่หนึงจินกุน(สัมมาทิฏฐิ ๗) พระนัดดาของเง็กเซียนฮ่องเต้ ที่อยู่ในศาลลำน้ำก๊วนจิ๋วมาปราบซีเทียน ยี่หนึงจินกุนจึงพาพี่น้องอีก ๖ พร้อมด้วยเทพารักษ์ สบทบด้วยกองทัพของถักทะลีทีอ๋อง(พรหมวิหารสี่) และด้วยการช่วยขว้างอาวุธวิเศษของท้ายเสียงเล่ากุน(สมถะ) ลงบนหัวของซีเทียน ยี่หนึงจินกุนจึงจับตัวซีเทียนได้

ซีเทียน(โพธิเถื่อน) ครั้นถูกแผ่นทองคำวิเศษซ้ำจึงล้มลง ยี่หนึงจินกุน และพี่น้อง(สัมมาทิฏฐิ ๗) จึงตรงเข้าเอาอาวุธข่มไว้แล้วเอาเชือกวิเศษผูก แล้วเอามีดวิเศษเสียบย้ำเข้าที่กระดูกสันหลังของซีเทียน(ข่ม ผูก เสียบ ย้ำ นี่เป็นเคล็ดในการฝึกจิต)

เง็กเซียนฮ่องเต้ รับสั่งให้เอาซีเทียนไปประหารชีวิตเพราะชอบก่อการจลาจลบนสวรรค์(บุญนั้นไม่ชอบโพธิปัญญานัก) ฟันด้วยดาบ เผาด้วยไฟ ผ่าด้วยสายฟ้า ซีเทียนก็หาได้ระคายเคืองผิวไม่ เพราะโพธินั้นกายสิทธิ์ เหตุด้วยฟ้าดินสร้าง

ลบบัญชีตายออกจากพญาเงี่ยมฬ่ออ๋อง และยังได้พลังสวรรค์จากการได้กินชมพู่ทิพย์(พระสูตร) สุราทิพย์ และ ยาอายุวัฒนะวิเศษ

เง็กเซียนฮ่องเต๊จึงมอบซีเทียนไว้กับพรหมท้ายเสียงเล่ากุน เพื่อให้นำไปหลอมในเบ้าหลอมวิเศษชื่อ เบ้าโป๊ยก่วย ซีเทียนอาละวาดถีบเบ้าหลอมพังพินาศ ชักตะบองออกตีกราดจนหมู่เทพถอยร่น แม้พรหมท้ายเสียงเล่ากุนก็ไม่อาจต้านทานได้ ซีเทียนบุกเข้าไปจนถึงปราสาทที่ประทับของเง็กเซียนฮ่องเต้ สู้รบกับทหารรักษาพระองค์ของเง็กเซียนฮ่องเต้ จนทหารเทพต้องล้อมไว้ แต่ไม่อาจเข้าไกล้ซีเทียนได้ เง็กเซียนฮ่องเต้เห็นเหลือกำลังของสวรรค์ จึงให้เทพบุตรไปนิมนต์พระเซ็กเกียมองนี่ฮุดโจ๊วที่ประทับอยู่ที่วัดลุยอิมยี่ ภูเขาเล่งซัวเขตเมืองโซจอก(โลกุตตระ) ปราะเทศไซทีมา

พระยูไลพุทธะเสด็จมาห้ามศึกบนสวรรค์ ซีเทียนยังจ้วงจาบต่อพระยูไล โดยอ้างอิทธิปาฏิหารย์ของตัวเองว่า ตีลังกาทีหนึ่งไปได้ ๑๘,๐๐๐ โยชน์ (เท่ากับระยะทางจากเมืองไต้ถังถึงไซทีตามที่ระบุไว้ในไซอิ๋ว นั่นคือ โพธิจิตอาจไปถึงนิพพานได้ด้วยการตีลังกาทีเดียว คือขณะจิตเดียว) ดังนั้น ตำแหน่งจอมสวรรค์ควรยกให้ตน นี่แหละคืออหังการของโพธิ

พระยูไลจึงให้ซีเทียนลองแสดงฤทธิ์ให้ดู ซีเทียนจึงตีลังกาไปดุจลมพัดจนหมดเรี่ยวแรง ก็หาพ้นไปจากอุ้งพระหัตถ์ของพระพุทธะที่ซีเทียนเข้าใจเอาว่า นิ้วทั้ง ๕ (ข่ายพระญาณในขันธ์ ๕) เป็นรากของฟ้า คิดว่าตัวชนะพนันอันมีเดิมพันเป็นตำแหน่งจอมสวรรค์ ครั้นทราบว่าแพ้ก็ยังดันทุรังไม่ยอมรับ(ต่อความรู้เรื่องขันธ์ ๕) พระยูไลจึงได้คว่ำพระหัตถ์ครอบซีเทียน

พระยูไลได้สลัดซีเทียนตกลงมายังพื้นโลก และได้เกิดเป็นภูเขา ๕ ยอดติดกันครอบซีเทียนไว้ โพธิจึงเพิ่งได้มารู้ฤทธิ์ของปัญจุปาทานในขันธ์ว่าหนักดุจภูเขา ความเพียรพยายามของซีเทียนไม่อาจเคลื่อนไปสู่มรรคผลได้ ด้วยเหตุยังไม่พ้นอุปาทานในขันธ์ ๕ พอปัญญาเคลื่อนตัวขึ้นสู่สนามการงานที่ไหนก็เป็นทุกข์ที่นั่น เพราะอุปาทานครอบงำ จึงอุปมาได้ว่า ให้ซีเทียนไต้เซียกินน้ำเหล็กหลอมทุกครั้งที่มันหิว นั่นคือพอจิตกระทำงานตามหน้าที่ของมัน ก็ยึดมั่นว่าฉัน ว่าของฉัน จนเป็นทุกข์ดุจกินน้ำเหล็กหลอม

เรื่องราวความเป็นมาแต่ต้นจนติดอยู่ใต้ภูเขา โผล่ได้แต่หัวรอวันพระถังซัมจั๋ง(ขันติ)จะมาช่วย และสวมมงคลให้ เพื่อเดินทางไปไซที(นิพพาน)ของหงอคง(โพธิ) ก็จบเพียงนี้



3#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-8-28 08:27 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ในด้านการแต่งนั้น ท่านผู้รจนาก็สามารถสร้างและสื่อแสดงบุคลิกลักษณะเด่นของตัวละครเอก คือ เห้งเจีย โป๊ยก่าย และ ซัวเจ๋งซึ่งแตกต่างกันออกมาได้ดี

กล่าวคือ เห้งเจียมีลักษณะขี้โมโห และมีความเฉลียวฉลาด
หมูตือโป๊ยก่ายมีความโลภ และมักมากในการกิน
ซัวเจ๋งมีความโง่ซื่อเป็นเจ้าเรือน

แม้ชื่อก็ตั้งได้ตรงกับบุคลิกของตัวละคร
อย่างเช่นเห้งเจียนี้ แปลว่า นักปฏิบัติ คือถ้าโกรธมากก็ต้องปฏิบัติให้มาก เพื่อควบคุมความโกรธ
โป๊ยก่ายมีความโลภต้องเอาศีลแปดมาควบคุม ตา หู จมูก ลิ้น กายสัมผัสไว้
ส่วนซัวเจ๋งนี้โง่ก็ต้องเอาปัญญาเข้ามานำทาง

รวมศีล สมาธิ ปัญญา ของทั้งสามนี้เข้าก็เป็นทางไปสู่ความหลุดพ้นได้
ส่วนพวกปิศาจก็เป็นบุคลิกลักษณะจิตใจชนิดต่างๆ ของคนเช่นกัน

การตีความปริศนาธรรมใน ไซอิ๋ว เป็นสิ่งที่ทำได้ เพราะมีเค้าให้ทำได้อยู่เหมือนกัน แต่การตีความให้ได้ความหมายทุกจุด ตลอดทั้งเรื่องอาจจะเป็นสิ่งสุดวิสัย เชื่อว่าท่านผู้เขียนคงมีหลักในการแต่ง คือเป็นเรื่องของการจัดการกับความโลภ ความโกรธ ความหลง เมื่อได้ศึกษาพระธรรมมากเข้า กิเลสเหล่านี้ก็จะจางคลายหายไป กลายเป็นเรื่อง ศีล สมาธิ ปัญญา

แต่อย่างไรก็ดี คนที่อ่านไซอิ๋วโดยมาก มุ่งเอาความเพลิดเพลินสนุกสนานและเอาประโยชน์ทางภาษาบ้าง
ไม่ค่อยมีใครอ่านอย่างจริงจัง เพราะเป็นเรื่องที่เอาของใหม่ไปปนไว้ในของเก่า
คนอ่านโดยมากเป็นคนรุ่นเก่า เดี๋ยวนี้ก็คงหาคนอ่านยาก
เพราะการเดินทาง ไปเจอปิศาจแล้วๆ เล่าๆ บางทีก็รู้สึกซ้ำๆ ซากๆ
คนที่ไม่มองเห็นความลึกซึ้งเป็นปริศนาธรรม ก็อาจจะเบื่อ









ในการอ่านหนังสือชุดใหญ่ๆ เช่นนี้ ที่จริงตามตำราท่านให้อ่านโดยตลอดเที่ยวหนึ่งก่อน แล้วจึงค่อยเลือกอ่านเฉพาะตอนที่ดีอย่างพินิจพิเคราะห์
มันอาจจะไม่ดีวิเศษหมดทั้งเล่ม
แต่บางตอนก็อาจมีการเจรจาคมคาย และมีการบรรยายดีมาก
เป็นประโยชน์แก่การศึกษาในทางภาษามาก
บางตอนก็อ่านสนุก โดยเฉพาะตอนต้นของไซอิ๋ว
เมื่อพระถังซัมจั๋งพบกับเห้งเจีย โป๊ยก่าย และ ซัวเจ๋งนี้เขียนได้สมจริงดี
อย่างเช่นตอนออกเดินทาง พระถังซัมจั๋งไม่มีน้ำ
เห้งเจียก็อาสาไปขอน้ำให้ ต้องไปขอกับพวกเซียนในลัทธิเต๋า
เห้งเจียบอกว่าไม่เป็นไร ตนจะพูดจนให้พวกนั้นยกบ่อน้ำให้ตนใช้ไปตลอดทางจนถึงอินเดียเลยทีเดียว แต่พอเข้าไปขอจริงๆ ก็ถูกพวกนั้นเอาดาบไล่ออกมา เพราะเขาเห็นว่า แต่งตัวเป็นพระทางพุทธศาสนา

นี้ก็น่าหัวเราะ ที่เห้งเจียทำไม่สำเร็จอย่างที่คุยโม้ไว้
อย่างโป๊ยก่ายนั้นก็เอาแต่จะกินท่าเดียว เห็นบุคลิกเล็กๆ น้อยๆ ได้ชัดเจนดี




ความน่าสนใจอีกประการหนึ่งของ ไซอิ๋ว คือ สามารถเอาเรื่องที่มีเค้าความจริง แต่ไม่ค่อยมีใครคิดและมองมาเขียนได้เป็นเรื่องเป็นราว
อย่างเรื่องเดินทางไปอินเดียนั้น ที่จริงผู้แต่งเป็นผู้รู้ประวัติศาสตร์ดี และไม่ได้ตั้งใจเขียนเรื่องนี้ให้เป็นข้อมูลประวัติศาสตร์ มุ่งเขียนให้อ่านเพลิดเพลิน และก็เขียนได้ดีจริงๆ อุดมการณ์ และจินตนาการที่ท่านคิดขึ้นมานั้นก็นำเสนอได้ดี อย่างเช่นในเรื่องภูเขาที่มีไฟใหม้อยู่ตลอดเวลา ภูเขานี้เดี๋ยวนี้ก็ยังมีอยู่ ที่แถบภูเขาอัลไตตาด ทางตะวันตกจนสุดเขตของจีน เป็นภูเขาที่ร้อนจัดเดินผ่านเกือบไม่ได้

เรื่อง ไซอิ๋ว นี้คงได้รับอิทธิพลจากรามายณะของอินเดีย
เวลานั้นจีนได้รับพุทธศาสนาแล้ว และมีวรรณคดีต่างๆ เช่น ชาดก หรือ อื่นๆ เป็นต้น ซึ่งทำให้จีนมีความคิดในทางเอาอภินิหารมาใช้ด้วย เรื่องแปลงกายเป็นนั่นเป็นนี่ เช่น เห้งเจียแปลงเป็นแมลงวันนั้น จีนคงได้รับมาจากทางอินเดียแน่นอน เพราะจีนไม่เคยมีความคิดอย่างนี้ แต่อินเดียเก่งมาก
การรับอิทธิพลนี้เข้ามา ก็นับว่าเป็นประโยชน์คือทำให้วรรณคดีมีสีสันหลากหลายขึ้น การมีจินตนาการแทรกทำให้อ่านสนุก และต้องชมว่าผู้แต่งก็แทรกได้ดีมากด้วย น่าคิดน่าวิจารณ์

ในทางธรรมะ บางตอนก็มีประโยชน์มาก อย่างเช่นการเดินทางไปถึงไซที(อินเดีย) แล้วได้พระไตรปิฎกเปล่า ไม่มีตัวหนังสืออยู่เลย
นี้ก็หมายความว่าพระสัทธรรมที่แท้จริงนั้น ไม่ใช้คำพูด ต้องมาจากการปฏิบัติและเข้าถึงจิตใจจริง ๆ แต่ว่าคนยังต้องการคำพูดที่เข้าใจได้ ดังนั้น พระถังซำจั๋งจึงต้องขอเอาฉบับที่มีตัวหนังสือกลับไปเมืองจีน

ในประวัติศาสตร์นั้น พระถังซัมจั๋งนั้นได้แปลคัมภีร์มากมาย
เพราะภาษาอินเดียท่านก็รู้ดี ภาษาจีนท่านก็รู้ดี จึงอ่านเองแปลเอง ได้
แต่ก่อนหน้านี้มีการแปลเหมือนกัน แต่ต้องผ่านล่าม ๓ - ๔ คน ฉบับที่ท่านแปลจึงถือได้ว่าเป็นฉบับแปลใหม่ แต่ก็อ่านยาก บางทีอ่านไม่ค่อยรู้เรื่อง เพราะท่านใช้ไวยากรณ์สันสกฤต ไม่ใช้ไวยากรณ์จีน

เคยมีเรื่องปรากฎว่า มีประโยคหนึ่งมีอักษร ๗ ตัวเท่านั้น
แต่ท่านพิจารณาตั้งหลายปีกว่าจะลงเอยว่าจะแปลอย่างไรดี
เรียกว่าเป็นผู้ทำงานละเอียดมาก ยากจะหาคนเปรียบได้

มีเกร็ดที่ลูกศิษย์เขียนเล่าไว้ในประวัติของท่านว่า พระถังซัมจั๋งเคยบวชมาแล้ว ๗ ชาติ มีสมณสารูปดีมาก เวลานั่งก็นั่งตัวตรง ไม่เอียง ไม่พิงอะไร
แล้วที่แปลกที่สุดคือ ไม่มีใครเคยเห็นท่านหาวเลย อยู่ดึกเท่าไรก็ไม่หาว สมาธิดีมาก เมื่อยามท่านตาย เขาเล่าว่าท่านหกล้มและท่านมีโรคคล้ายรูมาติสซั่ม จากการตรากตรำเมื่อไปอินเดีย โรคก็ลุกลาม ท่านตายตั้งแต่อายุไม่มาก นัก สัก ๕๙ -๖๐ ปีเท่านั้นเอง
แต่ท่านได้ศึกษาเล่าเรียนและทำงานทางคัมภีร์ไว้มาก
ระหว่างผจญภัยไปอินเดียก็อดๆ อยากๆ ลำบากมาก ประวัติของท่านนับว่าน่าศีกษา แม้บางตอนจะดูมหัศจรรย์เกินไปสักหน่อยก็ตาม

รวมความว่าหนังสือ ไซอิ๋ว รวมทั้งเรื่อง พระถังซัมจั๋ง นี้เป็นหนังสือดี ที่จะชักจูงให้คนสนใจในพุทธศาสนาได้ ท่านผู้รจนาไซอิ๋ว ต้องเป็นผู้มีความรู้ทางพุทธศาสนาดีมาก และยังมีฝีมือในทางวรรณศิลป์ด้วย ท่านไม่ได้ตั้งใจเขียนให้เป็นตำราประวัติศาสตร์ หากเจตนาจะให้อ่านสนุกและมีความหมายในทางธรรมะบ้าง นับเป็นวรรณกรรมที่มีคุณค่าน่าอ่านเรื่องหนึ่ง ซึ่งทั้งปัญญาชน และ ปัญญาอ่อนสามารถอ่านได้ แต่ใครจะได้รับอะไร ก็ขึ้นอยู่กับวินิจฉัย เจตนาในการอ่าน และภูมิปัญญาของผู้อ่านนั้นเป็นสำคัญ
ใครอ่านอย่างไร ก็ย่อมได้อย่างนั้น


เครดิต..http://group.wunjun.com
ขอขอบพระคุณหลักธรรมคำสอนดีดีคะ
ในด้านการแต่งนั้น ท่านผู้รจนาก็สามารถสร้างและสื่อแสดงบุคลิกลักษณะเด่นของตัวละครเอก คือ เห้งเจีย โป๊ยก่าย และ ซัวเจ๋งซึ่งแตกต่างกันออกมาได้ดี

กล่าวคือ เห้งเจียมีลักษณะขี้โมโห และมีความเฉลียวฉลาด
หมูตือโป๊ยก่ายมีความโลภ และมักมากในการกิน
ซัวเจ๋งมีความโง่ซื่อเป็นเจ้าเรือน

แม้ชื่อก็ตั้งได้ตรงกับบุคลิกของตัวละคร
อย่างเช่นเห้งเจียนี้ แปลว่า นักปฏิบัติ คือถ้าโกรธมากก็ต้องปฏิบัติให้มาก เพื่อควบคุมความโกรธ
โป๊ยก่ายมีความโลภต้องเอาศีลแปดมาควบคุม ตา หู จมูก ลิ้น กายสัมผัสไว้
ส่วนซัวเจ๋งนี้โง่ก็ต้องเอาปัญญาเข้ามานำทาง

รวมศีล สมาธิ ปัญญา ของทั้งสามนี้เข้าก็เป็นทางไปสู่ความหลุดพ้นได้
ส่วนพวกปิศาจก็เป็นบุคลิกลักษณะจิตใจชนิดต่างๆ ของคนเช่นกัน

การตีความปริศนาธรรมใน ไซอิ๋ว เป็นสิ่งที่ทำได้ เพราะมีเค้าให้ทำได้อยู่เหมือนกัน แต่การตีความให้ได้ความหมายทุกจุด ตลอดทั้งเรื่องอาจจะเป็นสิ่งสุดวิสัย เชื่อว่าท่านผู้เขียนคงมีหลักในการแต่ง คือเป็นเรื่องของการจัดการกับความโลภ ความโกรธ ความหลง เมื่อได้ศึกษาพระธรรมมากเข้า กิเลสเหล่านี้ก็จะจางคลายหายไป กลายเป็นเรื่อง ศีล สมาธิ ปัญญา


ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ลงชื่อเข้าใช้ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้