ตั้งให้เราเป็นเว็บแรกที่คุณเลือก เก็บเราไว้เป็นเว็บโปรด
สมัครสมาชิก ได้มากกว่าที่คุณคิด เข้าสู่ระบบ
ดู: 4611
ตอบกลับ: 8
สั่งพิมพ์ ก่อนหน้า ถัดไป

ประวัติพระยาพิชัยดาบหัก

[คัดลอกลิงก์]
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย Sornpraram เมื่อ 2018-5-20 05:34

ประวัติพระยาพิชัยดาบหัก                  






อนุสาวรีย์พระยาพิชัยดับหักบริเวณบ้านท่านพ่อ อ.พิชัย

                พระยาพิชัยเป็นเจ้าเมืองพิชัยในสมัยกรุงธนบุรี ได้สร้างวีรกรรมที่ลือเลื่องในปี พ.ศ.2316 เมื่อพม่ายกกองทัพมาตีเมืองพิชัย ซึ่งปรากฏข้อความในพระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขาตอนหนึ่งว่า


                “…ครั้นถึง ณ เดือนอ้ายข้างขึ้น โปสุพลายกองยกทัพมาตีเมืองพิชัยอีก พระยาพิชัยก็ยกพลทหารออกไปต่อรบแต่กลางทางยังมาไม่ถึงเมือง เจ้าพระยาสุรสีห์ก็ยกกองทัพเมืองพระพิษณุโลกขึ้นไปช่วย ได้รบกับพม่าเป็นสามารถ และพระยาพิชัยถือดาบสองมือคุมพลทหารออกไล่ฟันพม่าจนดาบหัก จึงลือชื่อปรากฏเรียกว่า พระยาพิชัยดาบหัก แต่นั้นมา...”
                จะเห็นได้ว่าชื่อ “พระยาพิชัยดาบหัก” ก็เรียกขานกันมานานถึง 200 กว่าปีแล้ว จนกระทั่งทางจังหวัดอุตรดิตถ์ได้สร้างอนุสาวรีย์ขึ้นที่หน้าศาลากลางจังหวัด และทางอำเภอพิชัยได้ปั้นรูปพระยาพิชัยดาบหักประดิษฐานอยู่ในศาลเจ้าพ่อพระยาพิชัยดาบหักอีกด้วย

                สำหรับประวัติพระยาพิชัยดาบหักนี้ พระยาศรีสัชนาลัยบดี (เลี้ยง ศิริปาละกะ) ได้รวบรวมเรียบเรียงขึ้น เมื่อ พ.ศ. 2466 และได้นำเผยแพร่ในหนังสือเสนาศึกษา เมื่อประมาณ พ.ศ. 2467 ผู้รวบรวมเรียบเรียงเป็นชาวพิชัยโดยกำเนิด จึงเชื่อว่าประวัติพระยาพิชัยดาบหักนี้คงจะบริบูรณ์ที่สุด ผู้เขียนจึงขอคัดตัดตอน และเรียบเรียงใหม่ดังต่อไปนี้


                   พระยาพิชัยดาบหักเดิมชื่อ “จ้อย”  เกิดที่บ้านห้วยคา หลังเมื่อพิชัยไปทางทิศตะวันออกประมาณ 100 เส้นเศษ บิดามารดาตั้งบ้านเรือนไถนาหาเลี้ยงชีพ มีบุตรด้วยกัน 4 คน แต่เป็นไข้ทรพิษตายคราวเดียวกัน 3 คน เหลือจ้อยคนเดียว เมื่อจ้อยอายุได้ 8 ขวบ บิดาให้เลี้ยงควาย และชอบชกมวยมาก บิดาจึงนำตัวไปฝากท่านพระครูวัดมหาธาตุในเมืองพิชัย เพื่อเรียนหนังสือจนอายุอย่างเข้า 14 ขวบ ก็อ่านออกเขียนได้ ในขณะที่อยู่ที่วัดมหาธาตุนั้น จ้อยชอบดูการชกมวยมาก และเมื่อมีเรื่องชกต่อยกับเด็กวัดด้วยกัน จ้อยก็สามารถเอาชนะได้ทุกคน ต่อมาเจ้าเมืองพิชัยได้นำบุตรชายชื่อ เจิด กับเด็กคนใช้อีก 3 คนมาฝากท่านพระครูเรียนหนังสือ ต่อมาเกิดวิวาทชกต่อยกัน จ้อยเกรงว่าจะไม่ได้รับความเป็นธรรมเพราะเจิดเป็นบุตรชายเจ้าเมืองพิชัย จึงหนีไปบ้านท่าเสาเพื่อไปหัดมวยที่นั่น ระหว่างทางที่เดินทางมาถึงวัดบ้านแก่ง เห็นครูเที่ยงกำลังสอนมวยอยู่จึงสมัครเป็นศิษย์ เนื่องจากเกรงว่าจะมีคนจำชื่อได้ จึงเปลี่ยนชื่อใหม่ว่า “ทองดี” เมื่อหัดมวยจนฝีมือเป็นเลิศกว่าคนอื่นแล้ว ครูเที่ยงจึงตั้งชื่อให้ใหม่ว่า “ทองดีฟังขาว” ต่อมาศิษย์ครูเที่ยงอีก 4 คน เกิดอิจฉาจนเกิดเรื่องชกต่อยกัน นายทองดีเห็นว่าอยู่ไปก็ไม่มีความสุข จึงขอลาครูเที่ยงเดินทางติดตามพระภิกษุรูปหนึ่งซึ่งจะไปนมัสการพระแท่นศิลาอาสน์ โดยไปพักอยู่ที่วัดบางเตาหม้อ อยู่ที่วัดบางเตาหม้อไม่นานนักก็ลาพระภิกษุไปหาครูมวยที่ท่าเสาชื่อครูเมฆ เพื่อขอเป็นศิษย์ฝึกหัดมวย จนสำเร็จการมวย ในระหว่างนี้นายทองดีอายุได้ 18 ปี ได้แสดงความสามารถติดตามผู้ร้ายที่เข้ามาลักความครูเมฆ โดยฆ่าคนร้ายตาย 1 คน และจับคนร้ายที่ยังไม่ตายได้อีก  คน โดยนำมามอบให้กรมการตำบลบางโพท่าอิฐ กรมการตำบลบางโพท่าอิฐชมเชยนายทองดีและให้บำเหน็จ 5 ตำลึง

                 นายทองดีได้มีโอกาสแสดงฝีมืออีกครั้งหนึ่ง ด้วยการชกมวยในงานมหรสพฉลองพระแท่นศิลอาสน์ โดยชกชนะนายถึก(ศิษย์ครูนิล) และยังชนะครูนิลอีกด้วย ตั้งแต่นั้นมาก็ไม่มีนักมวยคนใดในแขวงเมืองพิชัย เมืองทุ่งยั้ง เมืองลับแล และเมืองฝางมาขันสู้กับนายทองดีเลย ต่อมาอีก 3 เดือนพระสงฆ์เมืองสวรรคโลกชวนนายทองดีไปเมืองสวรรคโลก และได้ฝากนายทองดีกับครูฟันดาบผู้ฝึกบุตรเจ้าเมืองสวรรคโลก ได้ฝึกหัดอยู่ประมาณ 3 เดือน ก็ทำได้คล่องแคล่วทุกท่าทางจนจบหลักสูตร ทั้งยังได้ซ้อมฟันดาบกับบุตรชายเจ้าเมืองสวรรคโลกด้วย นายทองดีได้ลาครูฟันดาบเดินทางไปยังสุโขทัยขอสมัครเป็นศิษย์กับครูจีนแต้จิ๋วคนหนึ่งเพื่อฝึกมวยจีน และฝึกอยู่จนสำเร็จ ทั้งยังมีลูกศิษย์คนหนึ่งชื่อบุญเกิดด้วย ตอนนั้นนายทองดีและบุญเกิดอาศัยอยู่ที่วัดธานี อยู่วัดนี้ได้ประมาณ 6 เดือน ก็มีชาวจีนคนหนึ่งมาจากเมืองตาก เห็นฝีมือของนายทองดีจึงชวนไปเมืองตาก โดยเล่าว่าพระยาตากเจ้าเมืองมีความสนใจและชอบคนมีฝีมือ แต่ความจรงิต้องการชวนนายทองดีไปเป็นเพื่อน เพราะกลางกทางมีเสือดุ นายทองดีตกลงไปเมืองตาก โดยชวนบุญเกิดไปด้วย ระหว่างทางตอนกลางคืน เสือได้เข้ามาคาบบุญเกิดไป นายทองดีเข้าช่วยโดยต่อสู้กับเสือจนบาดเจ็บหนีไป และได้บุญเกิดคืนมาแต่บาดเจ็บมาก ต้องไปรักษาที่วัดใหญ่เมืองตากอยู่ถึง 2 เดือนจึงหาย




               



2#
 เจ้าของ| โพสต์ 2018-5-19 05:44 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย Sornpraram เมื่อ 2018-5-20 05:39

วันหนึ่งพระเจ้าตากมาถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยาที่วัดใหญ่ และมีมวยฉลองด้วย นายทองดีได้ชกกับครูมวยชื่อห้าว และสามารถเอาชนะได้ พระเจ้าตากอยากดูฝีมือนายทองดีอีก จะให้ชกกับครูมวยของท่านชื่อห้าว และสามารถเอาชนะได้ พระเจ้าตากจึงชอบใจฝีมือนายทองดีมาก ได้มอบรางวัลให้ 5 ตำลึง และรับตัวเข้าทำงานด้วย พระเจ้าตากโปรดปรานนายทองดีมาก





                พอนายทองดีอายุ 21 ปี พระเจ้าตากก็จัดบวชให้เป็นพระภิกษุสงฆ์ บวชอยู่ 1 พรรษาก็สึกออกมาอยู่กับพระเจ้าตากต่อไป พระเจ้าตากตั้งให้เป็น หลวงพิชัยอาสา และยังได้นางสาวรำยง สาวใช้ของคุณหญิงเป็นภริยาด้วย เมื่อพระเจ้าตากจะไปไหนมาไหนก็ให้หลวงพิชัยอาสาติดตามไปด้วยทุกครั้ง ต่อมาพระเจ้าตากได้รับท้องตรากระแสร์พระบรมราชโองการโปรดเกล้าให้พระเจ้าตากไปเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท ณ กรุงศรีอยุธยา จะโปรดเกล้าให้เป็นพระยาวชิรปราการครองเมืองกำแพงเพชร หลวงพิชัยอาสาตามพระเจ้าตากไปด้วยก็พอมีพม่าข้าศึกยกกองทัพมาล้อมกรุงศรีอยุธยา พระยาวชิรปราการและหลวงพิชัยอาสาก็อาสาเข้าช่วยรบพม่าภายในกรุงศรีอยุธยา แต่เนื่องด้วยมิได้รับความยุติธรรมและขาดความอิสระในการรบพุ่งพระยาวชิรปราการพร้อมด้วยหลวงพิชัยอาสาและพรรคพวก ซึ่งมีพระเชียงเงิน หลวงพรหมเสนาหลวงราชเสน่หา ขุนอภัยภักดี หมื่นราชเสน่หา และพลทหารตีฝ่าพม่าออกจากกรุงศรีอยุธยาเดินทางผ่านเมืองปราจีนบุรี ระยอง จนถึงเมืองจันทบุรี รวบรวมผู้คน เสบียงอาหารและอาวุธยุทธภัณฑ์ไว้พร้อมแล้ว จึงยกทัพเรืองลงมาตีเมืองธนบุรี ได้รบกับนายทองอิน ซึ่งพม่าตั้งให้รักษามเอง จับนายทองอินประหารชีวิตเสีย สุกี้พระนายกองพม่าผู้รักษากรุงศรีอยุธยา ซึ่งตั้งค่ายอยู่ที่โพธิ์สามต้นได้ทราบข่าวจึงให้มองหย่าเป็นนายทัพคุมทหารมอญและทหารไทยมาตั้งรับอยู่บ้านเพนียด พระเจ้าตากจึงสั่งให้หลวงพิชัยอาสา เป็นนายทัพหน้ายกเข้าตี มองหย่ามีความเกรงกลัวฝีมือหลวงพิชัยอาสา จึงถอยทัพหนีไปมิได้ต่อสู้ พระเจ้าตากจึงสั่งให้หลวงพิชัยอาสาบุกเลยเข้าตีค่ายโพธิ์สามต้น ล้อมค่ายสุกี้พระนายกอง และรบกันอยู่ถึง 2 วัน ก็ตีค่ายโพธิ์สามต้นแตก ตัวสุกี้พระนายกองตายในที่รบ เมื่อพระเจ้าตากได้ชัยชนะแล้ว ได้เข้าไปตั้งพลับพลาประทับอยู่ในพระนคร และได้เห็นปราสาทรวมทั้งตำหนักถูกเพลิงไหม้เสียมากต่อมาก จะซ่อมแซมใหม่ก็ยาก จึงชวนกันไปสร้างเมืองธนบุรี เป็นราชธานี และทำพิธีปราบดาภิเษก เมื่อ พ.ศ.2311 ทรงพระนามว่า “พระบรมราชาธิราชที่ 4” แต่มักเรียกกันว่า “สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี” บ้าง “พระเจ้าตากสิน” บ้าง และโปรดฯ ให้หลวงพิชัยอาสาเป็นเจ้าหมื่นไวยวรนารถ มีตำแหน่งเป็นนายทหารเอกองครักษ์ในพระองค์








               เมื่อพระเจ้ากรุงธนบุรีสร้างเมืองธนุบรีเป็นราชธานีแล้ว จึงทรงดำเนินการปราบก๊กต่างๆ ที่ตั้งตัวเป็นใหญ่ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ปราบได้ก๊กของกรมหมื่นเทพพิพิธซึ่งตั้งตัวเป็นใหญ่ที่พิมาย และโปรดฯ แต่งตั้งให้เจ้าหมื่นไวยวรนารถเป็นพระยาสีหราชเดโช แล้วจึงเสด็จยกทัพไปปราบปรามก๊กฝ่ายเหนือ ปราบได้ก๊กเจ้าพระฝาง เมื่อ พ.ศ. 2313 แล้วโปรดฯ แต่งตั้งให้พระยาสีหราชเดโชเป็นพระยาพิชัย ให้ครองเมืองพิชัยต่างพระเนตร พระกรรณให้มีไพร่พล 9,000 คน ทั้งทรงกรุณาโปรดฯ พระราชทานเครื่องยศ ให้เสมอด้วยเจ้าพระยาสุรสีห์ และทรงแต่งตั้งนายบุญเกิดคนสนิทคนเดิมของพระยาพิชัยเป็นหมื่นหาญณรงค์เป็นนายทหารคนสนิทของพระยาพิชัยอีกด้วย เมื่อพระยาพิชัยครองเมืองพิชัยนั้นได้ทราบว่าบิดาถึงแก่กรรมเสียแล้ว ยังอยู่แต่มารดา จึงใช้ให้นายไปตามตัวมาหา พอมารดามาถึงก็หมอบกราบไม่เงยหน้าดูเพราะความกลัวด้วยยังไม่ทราบว่าเป็นบุตรของตัว พระยาพิชัยรีบลุกไปจับมือมารดาไว้ห้ามไม่ให้กราบไหว้ พลางกราบลงกับเท้ามารดา แล้วเล่าเหตุการณ์ที่ได้ซัดเซพเนจรให้มารดาฟังตั้งแต่ต้นจนได้มาครองเมืองพิชัย เมื่อมารดาทราบว่าท่านเป็นบุตรก็ร้องไห้ด้วยความดีใจอย่างสุดปลื้ม แต่ก่อนชาวบ้านเรียกมารดาท่านว่านางนั่นยายนี่ ต้องกลับเรียกว่าคุณแม่ใหญ่ในจวนไปตามกัน ส่วนครูเที่ยงที่บ้านแก่งและครูเมฆที่บ้านท่าเสาพระยาพิชัยก็ตั้งให้เป็ฯกำนันทั้งสองคน เพื่อสนองคุณคนทั้งสองนั่นเอง
              ในปลายปี พ.ศ.2313 นี้เอง โปมะยุง่วน ซึ่งพม่าตั้งให้รักษาเมืองเชียงใหม่ได้ยกทัพชาวพม่าและชาวลานนาลงมาตีเมืองสวรรคโลก พระยาพิชัยก็ยกทัพเมืองพิชัยไปช่วยรบร่วมกับกองทัพเมืองพิษณุโลก ตีทัพพม่าแตกพ่ายหนีไป ต่อมาในปี พ.ศ.2315 โบสุพลาซึ่งมาอยู่ช่วยราชการรักษาเมืองเชียงใหม่นั้น ยกกองทัพมาตีเมืองลับแลแตก แล้วยกลงมาตีเมืองพิชัย ตั้งค่ายอยู่ ณ วัดเอกา พระยาพิชัยก็จัดแจงการป้องกันเมืองเป็นสามารถ จึงเจ้าพระยาสุรสีห์ก็ยกกองทัพเมืองพิษณุโลกขึ้นไปช่วยเมืองพิชัย และเจ้าพระยาสุรสีห์กับพระยาพิชัยยกพลทหารเข้าตีค่ายพม่า พม่าออกต่อรบ รบกันถึงอาวุธสั้น พลทัพไทยไล่ตะลุมบอนฟันแทงพลพม่าล้มตายเป็นอันมาก พม่าต้านทานมิได้ก็แตกพ่ายหนีกลับไปเมืองเชียงใหม่ รุ่งขึ้นอีกปีหนึ่ง โปสุพลายกกองทัพมาตีเมืองพิชัยอีก พระยาพิชัยก็ยกพลทหารออกไปต่อรบ แต่กลางทางยังไม่มาถึงเมือง เจ้าพระยาสุรสีห์ก็ยกเมืองพิษณุโลกขึ้นไปช่วย ได้รบกับพม่าเป็นสามารถ และพระยาพิชัยถือดาบสองมือคุมทหารออกไล่ฟันพม่าจนดาบหัก จึงลือชื่อปรากฏเรียกว่า “พระยาพิชัยดาบหัก” แต่นั้นมา ตอนที่พระยาพิชัยคุมพลทหารออกไล่ฟันแทงพม่านั้น




3#
 เจ้าของ| โพสต์ 2018-5-19 05:52 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้


เนื่องจากกำลังชุลมุนฟันแทงกันอยู่ เท้าพระยาพิชัยเหยียบดินลื่นเซ


จะล้มจึงเอาดาบยันดินไว้เพื่อมิให้ล้ม ดาบจึงหักไป 1 เล่ม







พม่าเห็นพระยาพิชัยเสียเชิงเช่นนั้น จึงกลับหน้าปราดเข้ามาจะฟัน หมื่นหาญณรงค์นายทหารคู่ชีพของพระยาพิชัย ก็ทะลึ่งเข้ารับพม่าผู้นั้นมิทันทำร้ายพระยาพิชัยได้ พม่าผู้นั้นเสียท่าหมื่นหาญณรงค์ฟันตาย ก็พอกระสุนปืนพม่ายิงมาถูกหมื่นหาญณรงค์ตรงอกทะลุหลัง ล้มพับลงขาดใจตายในขณะนั้น พระยาพิชัยเห็นหมื่นหาญณรงค์ถูกระสุนปืนข้าศึกตายดังนั้นก็ตกใจอาลัยหมื่นหาญณรงค์ผู้เพื่อนยากยิ่งนัก เลยบันดาลโทษะเข้าไล่ตลุมบอนฟันแทงพม่ามิได้คิดแก่ชีวิต พม่าต้านทานไม่ไหวก็แตกพ่ายไป



              พระยาพิชัยดาบหักได้ร่วมรบกับพม่าอีกหลายครั้ง จนกระทั่งสิ้นแผ่นดินพระเจ้ากรุงธนบุรี พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก เสด็จขึ้นเถลิงถวัลยราชสมบัติ ณ กรุงเทพมหานคร โปรดเกล้าให้เสนาบดีเรียกตัวพระยาพิชัยดาบหักลงไปถามว่า จะยอมอยู่ทำราชการต่อไปหรือไม่ ถ้ายอมอยู่จะเลี้ยงเพราะหาความผิดมิได้ พระยาพิชัยดาบหักตรองเห็นว่าขืออยู่ไปคงได้รับภัยมิวันใดก็วันหนึ่ง เพราะตัวท่านเป็นข้าหลวงเดิมอันสนิทของพระเจ้าตากย่อมเป็นที่ระแวงแก่ท่านผู้จะเป็นประมุขแผ่นดินต่อไป ทั้งประกอบด้วยความเศร้าโศกอาลัยในพระเจ้ากรุงธนบุรีเข้ากลัดกลุ้มในหทัย สิ้นความอาลัยในชีวิตของตน จึงตอบไม่ยอมอยู่จะขอตายตามเสด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีขอฝากแต่บุตรชายให้ได้ทำราชการสนองพระเดชพระคุณสืบสกุลต่อไปภายหน้า ฉะนั้นจึงโปรดเกล้าฯ ให้ประหารชีวิตเสีย เมื่อพระยาพิชัยดาบหักสิ้นอายุได้ 41ปี จึงโปรดเกล้าฯ ให้เสนาบดีมีท้องตราถึงผู้ครองเมืองพิชัยใหม่ให้รับบุตรชายพระยาพิชัยดาบหักเข้าเป็นข้าราชการต่อไปตามควรแก่ความสามารถ ฉะนี้บุตรหลายพระยาพิชัยดาบหักจึงเป็นข้าราชการลำดับลงมาจนทุกวันนี้ และในสมัยรัชกาลที่ 6 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ผู้สืบตระกูลได้รับพระราชทานนามสกุลว่า “วิชัยขัทคะ” นามนี้ถ้าแปลอนุโลมตามความเข้าใจ คือ ดาบวิเศษของพระยาพิชัยดาบหักนั่นเอง






ที่มา: หนังสือ อุตรดิตถ์ของเรา หวน พินธุพันธ์
แหล่งข้อมูลเพิ่มเติม:
ประวัติพระยาพิชัยดาบหัก Wikipedia
4#
 เจ้าของ| โพสต์ 2018-5-22 16:24 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย Sornpraram เมื่อ 2018-5-22 16:27




@..ตำนานวิชาดาบพ่อพระยาพิชัยดาบหัก..@

(ไพฑูรย์ พันธุ์เชื้องาม)


ไพฑูรย์ มักพูดถึงดาบไทยอยู่เสมอเพราะไพฑูรย์นั้นคุ้นกับดาบมาแต่จำความได้ เพราะที่บ้านเป็นสำนักดาบที่ฝึกดาบชั้นต้นให้กับผู้ที่สนใจ ตั้งแต่เป็นเด็กตัวเล็กๆจนถึงผู้ใหญ่ที่สนใจ พ่อให้ไพฑูรย์ถือดาบไม้ที่เหลาเป็นพิเศษที่ด้ามฝังลูกเหล็กให้รู้สึกมีน้ำหนักถือจนติดเป็นนิสัย
ต่อจากนั้นคือการฝึกการต่อสู้ด้วยดาบหวายแบบที่เรียกว่ากระบี่กระบอง จนมาถึง ดาบไร้คม ครูเติมผู้ฝึกสอนดาบได้รับฉายาว่า “ ครูเติมสามเพลงตาย” ผู้เขียนทำหน้าสงสัย ไพฑูรย์หัวเราะบอกกับผู้เขียนว่า

“ผมเล่าไปเรื่อยๆ แล้วจะรู้เหตุผลที่มาของฉายา”

ดาบโบราณนั้นเขาสู้กันเป็น “เพลง” มีอยู่สองแบบคือ เพลงรุก” กับ “เพลงรับ”แต่ละสำนักมีเพลงดาบของตัวเอง ดังนั้นเมื่อมีการแข่งขันประลองฝีมือก็จะได้เห็นแม่ไม้เพลงดาบของแต่ละสำนัก ทั้งยังจะได้เห็นการแก้เพลงดาบอย่างทัดเทียมกัน
ไพฑูรย์เล่าว่าเมื่อฝึกดาบใหม่ๆการฝึกขั้นแรกคือให้นักเรียนยืนเรียงหน้ากระดานห่างกันพอสมควร  จากนั้นแบ่งออกเป็นสองข้างยืนหันหน้าเข้าหากันถือดาบซ้อมกระชับมือ ครูเติมพูดด้วยเสียงอันดังว่า

“ที่เรียนนี้เรียกว่าการหลบหลีกเพราะก่อนที่จะเรียนการใช้ดาบต้องรู้จักการหลบหลีกฝ่ายหนึ่งเป็นฝ่ายแทงอีกฝ่ายหนึ่งเป็นฝ่ายหลบหลีก ดูที่ครูทำให้ดูก่อนที่จะฝึกด้วยตัวเอง”
ครูเติมให้พ่อของไพฑูรย์เป็นคนฟันและแทงด้วยดาบจริง พ่อเคยบอกกับไพฑูรย์ว่า

“นักดาบที่ดีต้องจ้องดูคู่ต่อสู้ไม่วางตา เพราะคนที่มีอาวุธอยู่ในมือเพื่อคุกคามเรามันไม่ใช่เพื่อนแต่เป็นศัตรูที่จ้องทำร้ายเราอย่าได้ไว้ใจ”
ไพฑูรย์ว่าการฝึกรับคือการใช้เท้าวาดร่างกาย ศัตรูฟันตรงทางขวาให้ลากขาดึงตัวเองออกไปด้านข้างทางซ้าย ศัตรูฟันทางซ้ายให้ลากขาดึงตัวเองไปทางขวา หรือไม่ก็วาดเท้าถอยหลังแต่การถอยหลังนั้นต้องอ่านความยาวของใบดาบให้ขาดก่อนจะวาดเท้าถอยไปด้านหลังเพราะหากอ่านผิดพลาดถอยหลัง ไปไม่พ้นจะถูกปลายดาบทำให้เกิดบาดเจ็บได้ง่ายๆ ฝึกหลบอย่างนี้เดือนเต็มๆ จึงเริ่มการเรียนรำไหว้ครู

  ครูเติมบอกว่าพวกเองนับว่ามีบุญ สมัยเมื่อครูฝึกดาบนั้นครูฝึกเป็นพระที่เป็นอดีตขุนสึกพ่ออยู่หัวแผ่นดินเดิม ครั้นเมื่อผลัดแผ่นดินเกรงราชภัยจึงออกบวชเพื่อเอาตัวรอดจากการที่จะต้องถูกประหาร เมื่อบวชแล้วมีเวลาว่างในตอนบ่ายจึงเปิดการสอนวิชาดาบให้กับผู้สนใจเพื่อไว้ใช้ในการทำสงครามกับอริราชศัตรูแห่งแผ่นดินเป็นกำลังสำรองเพื่อลุยพม่าข้าศึกต่อไป ไพฑูรย์จึงคุ้นกับดาบด้วยเหตุนี้

  ครูเติมแต่ก่อนเป็นนักเลงผู้ไม่เคยก้มหัวให้ใครยกเว้นพ่อบังเกิดเกล้า มีวิชาเพลงดาบที่ไปเรียนมาจากครูดาบเมืองศรีสัชนาลัย ที่เรียกกันว่า สำนักดาบพระร่วงเจ้า จนสำเร็จมีฝีไม้ลายมือเป็นที่รู้จักของคนทั่วไปจนกระทั่งในที่สุดกลายเป็นนักเลงระดับเจ้าพ่อที่ดังระดับจังหวัด  
จนในที่สุดวันหนึ่งได้เกิดปะทะกับนักเลงดาบพเนจรที่ไม่มีใครรู้จักว่าเป็นใครมาจากไหนแต่ได้ท้าประลองกับนักดาบผู้มีฝีมือไปทั่วสารทิศ ครูเติมผู้ไม่เคยรู้จักคำว่าแพ้ต้องแพ้เป็นครั้งแรกแบบเหนือชั้น (เหนือฟ้าย่อมมีฟ้าเสมอ)

ครั้งแรกที่ต้องพบความพ่ายแพ้จนหมดรูป นักดาบพเนจรคนนั้นบอกว่าชื่อ “เข้ม” มีฉายาว่า “ดาบเหนือนรก” หากผ่านไปเมืองพิชัย (อุตรดิตถ์ในปัจจุบัน)ให้ไปถามหา (ถามคนยุคเก่านะครับส่วนมากคนยุคนี้ไม่ค่อยมีใครรู้จักเพราะการเรียนวิชาเพลงดาบสมัยนี้ได้เสื่อมไปมาก)

ครูเติมหมดความทระนงออกเดินทางไปเมืองพิชัยติดตามหาเข้มดาบเหนือนรก จนได้พบว่านายเข้มคือครูเข้มแห่งสำนักดาบพิชัยดาบหัก เป็นเชื้อสายผู้สืบทอดวิชาดาบมาจากพระยาพิชัยอาสา หรือ “” ได้มอบตัวเป็นศิษย์เรียนดาบเพิ่มเติม จนได้รับการถ่ายทอดวิชาดาบโดยก่อนเรียนได้สาบานตนว่าจะไม่ได้เที่ยวไปโอ้อวดศักดากับผู้อื่น ขอให้เปรียบเสมือนดาบคมกล้าที่เก็บความคมไว้ในฝัก หากเปลือยคมออกมาจากฝักนั่นหมายถึงการบาดเจ็บล้มตายแบบที่เรียกว่า “ดาบออกจากฝักต้องมีเลือดชโลมใบดาบ”   

กลับมาจากการเรียนดาบครูเติมเปลี่ยนเป็นคนละคน สุขุมและเก็บตัวเหมือนดาบคมถูกเก็บในฝัก นำวิชาดาบมาเผยแพร่กับชาวบ้านดอนแก้วให้ได้รู้จักใช้ดาบและสืบทอดการใช้ดาบอย่างถูกต้อง ได้รับตำแหน่งเป็นกำนันแห่งบ้านดอนแก้ว ทำการกวาดล้างพวกโจรห้าร้อยทั้งปวงมาเป็นอันมาก ทางการได้มอบหน้าที่ให้กำนันเติมออกจับเสือแมน ฉายาขุนโจร 100 ศพ ร่วมกับขุนราญอริราชนายอำเภอหนวดเขี้ยวจอมอาคม

  ดวลกับเสือแมนที่ท้าสู้กันถึงตายให้รู้ว่าใครเหนือกว่าใครโดยท่านขุนราญอริราชเป็นพยานในการต่อสู้ การดวลกันเป็นที่เล่าลือกันมากในหมู่บริวารของขุนราญอริราช


5#
 เจ้าของ| โพสต์ 2018-5-22 16:25 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย Sornpraram เมื่อ 2018-5-22 16:28

พ่อเล่าให้ไพฑูรย์ฟังว่า
  การดวลดาบกันครั้งนั้นกินกันไม่ลง ในที่สุดครูเติมได้ร้องประกาศว่าต่อจากนี้ไปอีก 3 เพลงจะตัดหัวเสือแมนลงกลิ้งกับดินและเป็นดังที่ได้ประกาศไว้ทุกประการ เพียงการรุก 3 ครั้ง เสือแมนก็กลายเป็นผีหัวขาดภายใต้คมดาบครูเติม
  ท่านขุนราญอริราชชักชวนให้เข้ารับราชการในสังกัดของท่าน ท่านย้ายไปไหนให้ย้ายตามท่านไป ต่อไปจะได้ดิบได้ดีเป็นขุนเป็นหลวงกับเขาบ้าง แต่ครูเติมปฏิเสธด้วยว่าแม้ไม่มีลูกเมียแต่ก็มีพ่อแม่ที่แก่เฒ่าต้องคอยดูแล ทุกวันนี้มีรายได้จากการเป็นครูดาบและทำนาอันเป็นมรดกตกทอดจากบรรพบุรุษเพียงพอต่อการเลี้ยงชีพ
  ท่านขุนถึงกับออกปากว่าเสียดายนักที่ทางราชการต้องขาดคนดีมีฝีมือไปอย่างน่าเสียดายเป็นที่สุด ฉายาของครูเติมมาจากคำประกาศล้มเสือแมนในสามเพลง
  ครูเติมอยู่ในวัยสูงอายุ เมื่อไพฑูรย์ได้เป็นศิษย์ แต่เรื่องร่างกายแล้วแกร่ง หนุ่มๆกินท่านไม่ลง
  ไพฑูรย์เป็นศิษย์คนโปรดของครูเติมเพราะไพฑูรย์เรียนเก่งและหมั่นฝึกซ้อมจนเหนือกว่าเด็กที่เข้ามาเรียนรุ่นเดียวกัน เมื่อรู้ข่าวว่าท่านผู้มีพระคุณสูงสุดในชีวิตมาขอไพฑูรย์ไปเป็นบุตรบุญธรรมจึงเรียกไพฑูรย์ไปพบเป็นการส่วนตัว
“ได้ข่าวว่าเปียจะไปบางกอก ไปเป็นบุตรบุญธรรมของเจ้านายในบางกอกหรือ”
  “ขอรับครูเติม แล้งหน้าท่านจะให้ทนายมารับไปบางกอกเพราะปีนี้ไม่สะดวก ท่านอยู่ในระหว่างตรวจราชการ”
  “ถึงเวลาแล้วที่ครูจะสอนเพลงดาบที่ครูได้เรียนมาจากสำนักดาบพิชัยดาบหักที่เรียกว่า สามเพลงตาย แต่ก่อนเรียนต้องดื่มน้ำสาบานก่อนว่าจะไม่นำวิชานี้ไปข่มเหงรังแกผู้อื่น ไม่นำไปก่อความเดือดร้อนให้แก่สังคมด้วยการปล้นฆ่าข่มขืน คิดคดเป็นขบถต่อแผ่นดิน”
เมื่อไพฑูรย์ดื่มน้ำสาบานแล้ววันเสาร์ต่อมาหลังจากดื่มน้ำสาบานแล้วครูเติมจึงสอนวิชาเพลงดาบสามเพลงตายนี้ประกอบด้วยเพลง เสือทลายห้าง ช้างประสานงา กาล้วงไส้ ไพฑูรย์อธิบายให้ผู้เขียนฟังดังนี้

6#
 เจ้าของ| โพสต์ 2018-5-22 16:28 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
“เสือทลายห้างเป็นเพลงดาบนำโดยใช้ข้อเท้าทั้งสองข้างดีดตัวขึ้นในอากาศพร้อมดาบสองมือที่ฟันประสานกันลงมาจากอากาศ แรงกระหน่ำฟันจะทำให้เกิดแรงปะทะอันรุนแรงรับได้ลำบาก จะเกิดพลังรุนแรงเพียงใดแล้วแต่การฝึกซ้อมให้ชำนาญเป็นหลัก

“ช้างประสานงา ถ้าคู่ต่อสู้รับมือได้เมื่อสองเท้าลงเหยียบดิน ดาบสองมือให้ฟันตวัดบนลงล่างมือหนึ่ง ฟันขนานพื้นมือหนึ่ง หากอันเป็นการจู่โจมจากบนลงล่างและจากล่างสู่บน ผู้ที่ไม่ได้เตรียมตัวแก้เพลงจะตายหรือบาดเจ็บสาหัสจากเพลงช้างประสานงา

“กาล้วงไส้ เป็นเพลงจบเมื่อใช้เพลงดาบช้างประสานงาแล้วแม้คู่ต่อสู้จะรับได้แต่ทางดาบจะเสียไปทันที  เท้าสองข้างไม่อาจทรงตัวได้มั่นคง
7#
 เจ้าของ| โพสต์ 2018-5-22 16:29 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ดาบในมือซ้ายพึงใช้ลวงให้คู่ต่อสู้ดึงดาบในมือขวามาป้องกันเกิดช่องว่างด้านล่างดาบในมือขวาให้ฟันเข้าช่องว่างเป้าหมายคือเนื้อที่ใต้ชายโครงอันเป็นจุดอ่อน ปลายดาบเสยขึ้นจะเปิดแผลฉกรรจ์จนตับไตไส้พุงทะลักออกมากองด้านนอกเป็นพวง ผู้ถูกฟันจะถึงแก่ความตายด้วยความทรมานในเวลาไม่นาน”
ไพฑูรย์ย้ำว่าเพลงดาบสามเพลงตายนี้ใช้ดับมือสังหารและขุนพลของอั้งยี่ที่เป็นศัตรูของคณะของแม่ดอกเหมยที่รักจนสามารถดำรงความแข็งแกร่งของแม่ดอกเหมยที่รักไว้ได้จนเธอพ้นไปจากผืนแผ่นดินไทยหลังจากกรณีเลียะพะ อันเป็นการจากเป็นระหว่างไพฑูรย์กับแม่ดอกเหมยที่รักดังที่เคยได้เขียนถึงมาแล้วในจอมอาชญากรหมายเลข 1 ทั้ง 6 เล่มกับเล่มพิเศษอีกหนึ่งเล่ม



8#
 เจ้าของ| โพสต์ 2018-5-22 16:29 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
คำว่า “เลียะพะ” มาจากสองคำคือ เลียะ (掠)-คว้าแย่ง และ พะ (打)-ตี
ไพฑูรย์บอกว่าดาบไทยไม่ว่าจะเป็นดาบเดี่ยวดาบสองมือ ดาบดั้ง ดาบโล่ ล้วนเป็นสมบัติทางวัฒนธรรมของบรรพบุรุษไทยที่ใช้ปกป้องแผ่นดินให้ลูกหลานได้ซุกหัวนอนร่มเย็นเป็นสุขจนทุกวันนี้ดังคำที่ว่า

“ด้วยดาบคมถมทับศพ ทบทวีไทยจึงมีเอกราชทุกชาติไป”

การที่ผู้เขียนได้คุยได้สนทนากับไพฑูรย์ พันธุ์เชื้องาม ทุกครั้งทำให้ผู้เขียนได้ความรู้อันไม่เคยได้รู้มาก่อน ได้เรียนรู้ถึงปรัชญาชีวิตของไพฑูรย์ที่คนทั่วไปมักมองเห็นว่าต้อยต่ำ แต่สำหรับผู้เขียนนั้นเรียกไพฑูรย์ พันธุ์เชื้องามว่า “พี่ไพฑูรย์” ได้อย่างเต็มปากและเต็มใจที่ได้มีโอกาสได้คลุกคลีกับผู้ที่เรียกตัวเองว่า “จอมอาชญากรหมายเลขหนึ่งในสองฐานะ”

ฐานะแรกในฐานะผู้อาวุโสที่เป็นนักเขียนรุ่นพี่ ฐานะที่สองในฐานะศิษย์หลวงพ่อเดิม ท่านพระครูนิวาสธรรมขันธ์ พุทธสโร วัดหนองโพ รุ่นพี่มีโอกาสได้พบกับหลวงพ่อเดิมเมื่อท่านมีสังขารอยู่ ส่วนผู้เขียนนั้นเป็นศิษย์ต่อหน้ารูปหล่อของท่านที่วัดหนองโพ ในฐานะผู้เข้าไปร่วมเป็นลูกหลานหลวงพ่อด้วยการแต่งงานกับลูกหลานหว่านเครือของท่านที่เป็นชาวหนองโพหรืออาจพูดได้ว่าเป็นศิษย์รุ่นหลานของไพฑูรย์ พันธุ์เชื้องามก็ว่าได้
(ความรู้เพิ่มเติมครับว่ากันว่าดาบแดงที่ขุนพันธุ์ใช้ปราบเสือร้ายต่างๆในอดีตเป็นดาบของพระยาพิชัยดาบหักที่สืบทอดกันมารุ่นต่อรุ่น)
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ลงชื่อเข้าใช้ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้