*◎เสือพันขุนเเผน◎* ก่อนขุนพันธรักษ์ราชเดชจะมารับราชการอยู่ที่เมืองพิจิตร ก็เคยอ่านวรรณคดีเรื่องขุนช้าง-ขุนแผนมาพอสมควร เมื่อมีโอกาสร่ำเรียนด้านวิชาคาถาอาคมจากครูบาอาจารย์หลายท่านต่างๆเฉกเช่นเดียวขุนแผนตัวเอกในวรรณคดีเรื่องนี้ ทำให้ขุนพันธ์ฯมีความประทับใจในความเก่งของขุนแผนยิ่งขึ้น ถึงกับใฝ่ฝันที่จะไปเที่ยวเมืองสุพรรณบุรีในวันหนึ่งข้างหน้า และในวันที่ขุนพันธ์ฯมีโอกาสได้เดินทางไปสู่เมืองสุพรรณบุรีจริงๆครั้งนั้น ทำให้ขุนพันธ์ฯต้องเผชิญศึกหนักกับเสือฝ้าย ผู้ยิ่งใหญ่แห่งสุพรรณบุรี ดังจะกล่าวต่อไปในโอกาสข้างหน้า สมัยที่ พ.ต.ต.บุตร เข้ามารับหน้าที่อยู่จังหวัดพิจิตรนั้น โจรผู้ร้ายที่ชาวบ้านต่างกลัวกันนักหนาได้ถูกขุนพันธ์ฯพิชิตไปเกือบหมด ที่เหลือก็ได้แยกย้ายหลบหนีไปหากินในถิ่นอื่นที่ไกลออกไป ทำให้ขุนพันธ์มีโอกาสไปทำความรู้จักกับบุคคลสำคัญๆหลายท่าน ได้ทั้งของขลังก็มี เรียนวิชาความรู้ก็มาก ในช่วงเวลาดังกล่าวนั้นเอง เสือหนุ่มใจกล้าลงมือทำงานเพียงคนเดียว เที่ยวไปขโมยทรัพย์สินชาวบ้านเป็นว่าเล่นนับครั้งไม่ถ้วน แม้จะมีการป้องกันใส่กุญแจล่ามโซ่แข็งแรงอย่างใด หากว่าเสือหนุ่มผู้นี้ได้ย่างกายเข้าไปถึง อุปกรณ์ป้องกันการโจรกรรมเหล่านั้นหมดความหมาย เพราะเล่ากันว่ามันมีคาถาสะเดาะโซ่กุญแจได้ชะงักนัก ด้วยเหตุนี้ผู้คนต่างขนานนามให้มันว่า *อ้ายพัน ขุนแผน* เสือพันไม่เคยฆ่าเจ้าทรัพย์ ไม่ทิ้งร่องรอยให้เจ้าหน้าที่ จึงไม่มีตำรวจคนใดที่สามารถตามจับมันมาให้โฉมหน้าสักครั้ง ประกอบมันมีวิชาอยู่ยงคงกระพันอาวุธใดๆไม่เคยระคายผิดหนัง ยิ่งทำให้เสือพันกระทำการอย่างใจเย็นทุกครั้ง และดำรงตนเป็นโจรอยู่นาน จนในที่สุดโฉมหน้าของเสือพันได้ถูกเปิดเผยเป็นครั้งแรก คราวที่ไปปล้นแพของนายฉายเลี่ยน ต.ไผ่ท่าโพ อ.โพธิ์ประทับช้าง จ.พิจิตร ท้องที่ปกครองของกำนันสุก *ส.ต.ต.สนิท แห่ง สภ.อ.บางมูลนาค จ.พิจิตร*ได้มาเยี่ยมญาติที่ตำบลไผ่ท่าโพ จึงมาขอพักอยู่ที่บ้านของกำนันสุก ช่วงที่เสือพันเข้าปล้นเป็นเวลากลางวัน ชาวบ้านหลายคนสังเกตเห็นก็รีบมาแจ้งแก่กำนันสุก กำนันสุกรีบขึ้นหอไปตีกลองสัญญาณเตือนภัย พอชาวบ้านได้ยินเสียงกลองเตือนภัยต่างพากันวิ่งมาชุมนุมกัน แล้วพากันยกพวกมาที่แพของนายฉายเลี่ยน เสือพันถือดีว่ามีของดีอยู่ในตัว จึงไม่สนใจและยังคงค้นข้าวของทรัพย์สินมีค่าอยู่ในแพอย่างใจเย็น ส.ต.ต.สนิทเป็นตำรวจผู้มีประสบการณ์มากกว่าคนอื่น จึงเข้าไปดึงไม้ที่ทอดเป็นสะพานข้ามระหว่างพื้นดินกับแพออก รอจนกว่าชาวบ้านทราบข่าวต่างทยอยมากันมากขึ้นทุกปี แม้แต่พวกที่อยู่ฝั่งตรงข้ามแม่น้ำยมก็ยังมาร่วมชุมนุมด้วย เรือแพมาจากทางเหนือและทางใต้มากันมากมาย จนเสือพันเห็นทีจะอยู่ต่อไปไม่ได้จึงได้กระโดดลงน้ำหนีพอชาวบ้านรู้ว่ามีโจรกระโดดน้ำหนี ต่างก็เอาหอกและแหลนไปปักบ้างก็เอาแหไปทอดจับตัวมา แต่เสือพันว่ายน้ำเก่ง ทำให้ชาวบ้านต่างหาไม่พบ ส.ต.ต.สนิท ก็ลงเรือไปกับชาวบ้านเที่ยวค้นดูตามกอหญ้าในบึง บังเอิญไปพบสันจมูกเสือพันโผล่พ้นผิวน้ำเพื่อหายใจ จึงเอาพานท้ายปืนกระแทกลงที่หน้าจมน้ำหายไป ชาวบ้านที่เหลือต่างช่วยกันเอาหอกแหลนหลาวปักกันให้ทั่วทุกแห่งที่คิดว่าเสือพันพอหลบซ่อนตัวได้ ในที่สุดก็คว้าน้ำเหลวไม่พบตัวเสือพันกันสักคน แต่มีกอหญ้าอันหนึ่งลอยห่างออกไปผิดสังเกตไปติดอยู่ริมตลิ่ง บริเวณนั้นเป็นน้ำตื้นชาวบ้านที่ใจกล้าได้ตัดสินใจกระโดดลงไปควานหา พบตัวเสือพันหลบซ่อนอยู่ จึงช่วยกันลากขึ้นมาจากตลิ่ง แล้วขึงพืดยืดมือและเท้าออก ต่อจากนั้นได้ช่วยกันรุมสะกรัมด้วยเท้า บ้างก็เอาไม้กระบอง บ้างก็ใช้หอกแหลนหลาวแทงที่ร่างกายของเสือพัน จนกระทั่งเสือพันนอนสลบเหมือด แต่ก็ไม่มีใครสามารถเปิดปากแผลหรือเรียกเลือดออกจากร่างกายเสือพันได้ นับเป็นเรื่องที่น่าประหลาด จนชาวบ้านบางคนนึกเอะใจในตัวเสือพันคงต้องมีเครื่องรางของขลังติดตัว จึงช่วยกันคืนตามร่างกายได้แกะเอาพระเครื่องต่างๆรวมทั้งลูกปะคำออกหมด ต่อจากนั้นได้ช่วยกันสำเร็จโทษเสือพันอีก
|