ตั้งให้เราเป็นเว็บแรกที่คุณเลือก เก็บเราไว้เป็นเว็บโปรด
สมัครสมาชิก ได้มากกว่าที่คุณคิด เข้าสู่ระบบ
ดู: 8458
ตอบกลับ: 9
สั่งพิมพ์ ก่อนหน้า ถัดไป

ล่วงรู้วาระจิต (เจโตปริยญาณ)

[คัดลอกลิงก์]

  




ล่วงรู้วาระจิต (เจโตปริยญาณ)







พระบางรูปสามารถรู้วาระจิต หลวงปู่หลวงตาบางท่านก็สามารถรู้ว่าคนที่มาหาคิดอะไรอยู่ในใจ มีความทุกข์อะไรมา

            อยากจะถามว่าในเมื่อความคิดอยู่ในสมองของเรา แล้วทำไมพระท่านรู้ความคิดเราได้อย่างไร???


          การรู้ความคิดคนอื่นนั้นข้าพเจ้าก็ไม่ทราบว่าเขาทำกันได้กี่แบบ ไม่รู้ว่าอาศัยฌานระดับใด แต่จะขอกล่าวถึงวิธีที่พระอริยะเจ้าท่านทำกัน

   ก่อนอื่นเราควรจะมีความรู้ก่อนว่าความคิดนั้นคืออะไร?  และอยู่ที่ใด?

   ตามที่เราเรียนทางโลก ความคิดของเรามันก็คือการทำงานของระบบประสาททางสมอง และก็อยู่ในสมอง ในทางโลกมีความรู้เพียงแค่นี้ จึงคิดว่า ความคิดของคนคนหนึ่งน่าจะอยู่ในสมองของคนคนนั้นเท่านั้น ความคิดของคนคนนั้นนอกจากคนผู้นั้นแล้วย่อมไม่มีใครไปรู้ได้ว่าเขาคิดอะไร นี้ละคือความรู้ทางโลกที่ยังไม่รู้ถึงที่สุด

     แล้วความรู้เรื่องความคิดนั้นเป็นเช่นไร  ทางธรรมนั้นสามารถเข้าถึงที่สุดนั้นแล้ว จึงสามารถไปรู้ความคิดผู้อื่นได้

     ในทางธรรมสามารถอธิบายเรื่องความคิดให้เราเข้าใจดังนี้

      เมื่อเราคิด ความคิดไม่ได้อยู่แค่ในสมองเท่านั้น พลังงานความคิดไหลวนอยู่รอบกายเรา  เป็นพลังงานที่เรามองด้วยตาไม่เห็น  พลังงานความคิดของเรานี้ไม่ได้อยู่แต่ในสมองหรือในร่างกายเราเท่านั้น มันยังไหลวนอยู่นอกกายเป็นพลังงานอยู่รอบตัวเรา พลังงานความคิดเหล่านี้ที่พระอริยะเจ้าท่านสามารถรับรู้ได้  ยิ่งอริยะเจ้าระดับครูอาจารย์นั้นท่านสามารถรับรู้ทุกอย่างในความคิดของเรา ครูอาจารย์ระดับนี้สามารถรู้ความคิดเราแม้เราจะอยู่ห่างไกลเป็นพันเป็นหมื่นกิโลเมตร ท่านก็สามารถทำได้ แล้วนับประสาอะไรกับระยะแค่ไม่กี่เมตร ในห้องศาลาวัดท่านทำไมจะไม่รู้

    ยกตัวอย่างง่ายๆ  ขอถามท่านว่า ท่านเคยรู้สึกอึดอัดเมื่ออยู่ใกล้ใครบ้างคนที่เราไม่เคยรู้จัก และท่านเคยรู้สึกดีเมื่ออยู่ใกล้คนบางคนที่เราไม่รู้จักบ้างไหม   แม้เราพบคนคนนั้นครั้งแรกก็ทำให้เกิดความรู้สึกเช่นนั้นได้ สิ่งเหล่านี้ละคือการเปลี่ยนถ่ายพลังงานจากจุดหนึ่งไปสู่อีกจุดหนึ่ง โดยที่มีใจเป็นตัวรับรู้

    มีผู้มีดวงตาเห็นธรรมท่านหนึ่งท่านเดินทางด้วยเครื่องบิน ก่อนขึ้นเครื่องบินท่านก็เป็นปรกติดี แต่พอขึ้นเครื่องท่านก็รู้สึกปวดหัว ท่านจึงถามคนข้างๆที่นั่งใกล้ๆท่าน โดยที่ท่านไม่เคยรู้จักกับคนคนนั้นมาก่อนเลย ท่านถามเขาว่า “น้อง  นี้น้องเป็นมายเกรนใช้ไหม”    น้องคนนั้นตอบว่าใช้  และท่านจึงถามต่อว่า “แล้วตอนนี้น้องหายปวดแล้วใช้ไหม”  น้องคนนั้นตอบว่าใช้ แล้วถามว่า พี่รู้ได้อย่างไรว่าเป็นมายเกรน และตอนนี้ก็ดีขึ้นแล้ว  ท่านผู้นั้นจึงตอบว่า เพราะตอนนี้มายเกรนของน้องมาอยู่ที่พี่แล้วพี่ก็เลยรู้และน้องก็เคยดีขึ้น

    ตัวอย่างที่ยกมานี้คือพลังงานของอารมณ์   เราจะรู้สึกดีถ้าอยู่ใกล้คนที่ดี เราจะสึกอีดอัดเมื่ออยู่ใกล้คนที่มีอารมณ์อึดอัน

    อีกตัวอย่างหนึ่งไม่ทราบว่าท่านผู้อ่านเคยเป็นหรือเคยได้ยินมาหรือเปล่าว่าเมื่อผู้เป็นภรรยาตั้งท้อง และเกิดอาการแพ้ท้อง  จะมีสามีบางคนเกิดอาการแพ้ท้องแทนเมีย   เรื่องนี้แถวบ้านข้าพเจ้ามีคุณน้าอยู่ท่านหนึ่ง ในช่วงที่เมียแกท้อง เมียแกจะไม่รู้สึกแพ้ท้อง แต่ตัวสามี มีอาการอาเจียน เหมือนคนท้องทุกอย่าง  ถามผู้เฒ่า ผู้แก่ แกบอกว่าน้าคนนั้นแกแพ้ท้องแทนเมีย  นี้ก็เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างที่ยกมาให้เห็น นี้เป็นแค่เรื่องการถ่ายเทพลังงานทางอารมณ์เท่านั้น

    แต่ถ้าหากอยากจะรู้ความคิดของคนอื่นละก็ อริยะเจ้าท่านจะทำจิตนิ่งๆ ให้พลังงานความคิดของคนอื่นไหลเขาหาท่าน และท่านก็จะรู้ได้เลยว่าคนคนนั้นคิดอะไรอยู่  อริยะเจ้าบางท่านก็ใช้ใจของท่านทาบทับไปบนใจของผู้อื่น เท่านี้ท่านก็จะรู้ความคิดของผู้อื่น การรู้ความคิดนี้ท่านก็รู้เหมือนกับคนคนนั้น ไม่ว่าเขาคิดอะไร เห็นภาพอะไรท่านก็เห็นด้วย และท่านยังสามารถรู้ลึกได้ยิ่งกว่าความคิดของคนคนนั้นลงอีก ท่านสามารถรู้ได้ว่าเหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น มันมีที่มาที่ไปอย่างไร เป็นมาด้วยกรรมอันใดจึงเป็นเช่นนั้น

พลังงานอารมณ์และความคิดนี้คนธรรมดานั้นไม่สามารถทำได้ ยิ่งละเอียดลงไปมากๆ แม้แต่อริยะเบื้องต้นก็ไม่สามารถรับรู้ได้ จะต้องเป็นอริยะเบื้องสูงอย่างพระอรหันต์เท่านั้นจึงจะสามารถรับรู้ได้

      ดังตัวอย่างสมัยพุทธการ เมื่อพุทธเจ้าทรงปรารถนาจะแสดงโอวาทปาฏิโมกข์  ความละเอียดของพลังงานของพระพุทธเจ้านั้นละเอียดมาก บุคคลธรรมดาหรืออริยะขั้นต้นนั้นไม่สามารถรับรู้ได้  ผู้ที่สามารถรับรู้ได้ก็มีแต่พระอรหันต์   แม้จะอยู่ไกลพระอรหันต์เหล่านั้นก็สามารถรับรู้พลังงานนี้ได้ พระอรหันต์เจ้าจึงเดินทางมาประชุมพร้อมกันโดยมิได้นัดหมายในคืนวันเพ็ญเดือนสาม ซึ่งมีพระอรหันต์ที่เป็นเอหิภิกขุ(พระที่พระพุทธเจ้าทรงปวชให้ด้วยพระองค์เอง) และเป็นผู้ได้อภิญญา6    มาประชุมพร้อมกัน 1,250 รูป ในคืนวันเพ็ญเดือนสาม (วันมาฆบูชา)

     เรื่องพลังงานอารมณ์และความคิดเป็นเช่นนี้  สิ่งนี้เองที่กล่าวได้ว่า  “ความลับไม่มีในโลก” คนเราทำความชั่วอะไรไว้อย่าคิดว่าคนอื่นไม่รู้

      ขอให้เราทำดีทั้ง กาย วาจา และใจ

       อย่าดีแต่พูด ใจ การกระทำต้องดีด้วย

       ธรรมนั้นโกหกกันไม่ได้  คนที่ไม่ได้ธรรมแล้วบอกว่าตนได้ธรรม วันใดที่พบกับอริยะบางท่าน อริยะบางท่าน ท่านสามารถรู้ได้ว่าเราเห็นธรรมจริงหรือเปล่า ได้โดยไม่ต้องใช้ฌาน ท่านเพียงดูจากพลังงานที่กระทบกับจิตของเราท่านก็รู้ว่าเราเห็นธรรมหรือยัง และรู้ด้วยว่าเราติดอะไร และจะแก้ได้อย่างไร อริยะเจ้าระดับสูงท่านรู้ได้ถึงขนาดนี้  

        มีครั้งหนึ่งผู้มีดวงตาเห็นธรรม ท่านหนึ่ง ได้ไปวัดแห่งหนึ่ง ซึ่งเจ้าสำนักนั้นมีชื่อเสียงมาก คนบางคนบอกว่าเจ้าสำนักนั้นเป็นอรหันต์แล้วก็มี บางก็ว่าท่านเป็นโพธิสัตว์  ท่านผู้มีดวงตาเห็นธรรมท่านนั้นท่านก็แต่งตัวเหมือนชาวบ้านทั่วไป ท่านก็เข้าไปนั่งฟังธรรมรวมกับคนอื่น ท่านก็เห็นเจ้าสำนักและลูกศิษย์ออกมาด้วยอาการสำรวม นั่งเป็นระเบียบดูงดมาก ท่านผู้มีดวงตาเห็นธรรมท่านนั้นก็มองไปที่ใจของพระแต่ละรูปในสำนักนั้น ท่านก็รู้ว่า สำนักนี้ดูภายนอกงดงาม แต่ภายในยังไม่ถึงธรรม ยังต้องปฏิบัติอีก สำนักนี้ยังไม่เห็นทางสายกลาง  ยังไม่เห็นมรรคผลนิพพาน ท่านเห็นดังนั้นท่านก็ไม่ได้ว่าอะไร ท่านก็ยังฟังธรรมของท่านไปตามสมมุตติ เพราะสมมุตติของท่าน ท่านเป็นแค่นักศึกษาที่มาฟังธรรมกับหมู่คณะเท่านั้น สำนักนี้ปัจจุบันก็ยังคงอยู่และก็มีคนนับถืออยู่มาก สำนักนี้เป็นวัดอยู่ในจังหวัดใกล้กับกรุงเทพ ท่านเจ้าอาวาสมีชื่อเสียงจากการฝึกสติแม้ขณะนอนหลับในถังอุจจาระ ท่านยังดูไม่แก่ แต่เป็นหลวงปู่แล้ว

       นี้ความจริงแห่งธรรมโกหกกันไม่ได้  เราจะบอกว่าคนนั้นเป็นอรหันต์ คนนี้ไม่ใช้อรหันต์ เราจะมายกย่องกันเองไม่ได้ อรหันต์ไม่ใช่ยศศักดิ์ที่จะแต่งตั้งกันได้ อรหันต์เป็นสภาวะที่เข้าถึงธรรมและพ้นโลกไปแล้ว

       เราคนธรรมดาไม่ควรจะไปวิพากวิจารย์ว่าคนนั้นเป็นอรหันต์ หรือว่าคนนั้นไม่ใช่อรหันต์ เพราะถ้าหากท่านเป็นอรหันต์หรืออริยะเจ้าจริงแล้ว หากเราไปวิจารย์ กรรมนั้นจะมีแก่เราได้  แม้แต่ข้าพเจ้าก็ยังไม่อยากจะพูดถึง หากไม่แน่ใจ แต่ที่พูดถึงก็แน่ใจว่าไม่ใช่อรหันต์จึงกล้าที่จะพูดแต่ก็ไม่เอ่ยนามให้ท่านเสียหายถึงท่านเหล่านั้นจะไม่ใช่อรหันต์ก็ตาม  อริยะเจ้าท่านไม่อยากจะพูดอะไรที่มันขัดกับโลกมากนักถ้ามันไม่จำเป็น แต่หากท่านจะพูดก็เพื่อทางธรรมเท่านั้น ท่านไม่ได้พูดวิพากวิจารย์ด้วยอารมณ์เมามัน

      “ความลับไม่มีในโลก”  แม้แต่ความคิดเราก็ยังไม่เป็นความลับ   ฉะนั้นหากไปกราบพระ นอกจากสำรวมกายวาจาแล้วละก็ เราต้องสำรวมความคิดด้วย เพราะความคิดเราพระท่านรู้นะ แต่อยู่ที่ว่าท่านจะพูดหรือเปล่า
2#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-8-19 09:00 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
การรู้วาระจิตจะพบได้ในผู้ที่เจริญสติ สภาวะรู้วาระจิตนี้ไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาดหรือวิเศษวิโสใดๆเลย เหตุที่เป็นเช่นนี้ได้ เกิดเนื่องจาก

ผู้ที่เจริญสติ ไม่ได้มีความแตกต่างจากผู้อื่นเลย มีกิเลสเหมือนคนอื่นๆทุกๆอย่าง เพียงแต่ สภาวะของแต่ละคนที่ได้พบเจอนั้น แตกต่างในรูปแบบที่กิเลสมาแสดงให้เห็น ล้วนแตกต่างไปตามเหตุของแต่ละคนที่กระทำมา

ส่วนกิเลสนั้นทุกคนมีเหมือนๆกันหมด เพียงแต่ว่า ใครจะมีสติรู้เท่าทันต่อกิเลสที่เกิดขึ้นในใจของตัวเองมากน้อยแค่ไหนเท่านั้นแล้ว

และเหตุที่สำคัญที่สุดคือ เห็นและรู้จักกิเลสของตัวเองได้ชัดมากน้อยแค่ไหน เพราะกิเลสมีตั้งแต่สภาวะหยาบๆจนกระทั่งละเอียด เห็นแล้ว ยอมรับตามความเป็นจริงได้ไหม

หากยอมรับได้จริง ย่อมยอมรับในสิ่งที่เกิดขึ้นได้ โดยไม่มีข้อโต้แย้งหรือคิดจะแก้ตัวหรือไปแก้ไขอะไรเลย มีหน้าที่เพียงเจริญสติ ทำให้ต่อเนื่อง แล้วแผ่เมตตาให้กับทุกรูปทุกนามเท่านั้นเอง

ผลของการเจริญสติ จะทำให้รู้ชัดทุกๆสภาวะที่เกิดขึ้นในจิตของตัวเอง นั่นคือ กิเลส ไม่ใช่ไปรู้อะไรเลย รู้นอกตัว ล้วนเป็นการปรุงแต่งทั้งสิ้น ล้วนเกิดจากการคาดเดา จากการอ่าน ฟัง หาใช่รู้แจ้งจากจิตไม่

หากรู้แจ้งจากจิต จะเห็นแต่กิเลสแล้วก็กิเลส เป็นเหตุให้ มีสติรู้เท่าทันต่อกิเลสที่เกิดขึ้นในจิตของตัวเอง ไม่ใช่ไปรู้เรื่องของคนอิ่นๆ หรือไปรู้ในบัญญัติต่างๆ

บัญญัติต่างๆล้วนเป็นหลุมพรางของกิเลสชั้นดี สำหรับคนที่ทำเพื่อความอยากมี อยากได้ อยากเป็น อยากสอน เรียกว่า ตัณหาความทะยานอยากต่างๆนั่นเอง เพียงแต่จะดูออกไหม รู้เท่าทันไหมเท่านั้นเอง

แม้แต่กระทั่งเรื่องราวของสังโยชน์ต่างๆก็ตาม ล้วนเป็นหลุมพรางของกิเลสทั้งสิ้น หากยังหลงสร้างเหตุอยู่ นั่นคือ สังโยชน์นั้นๆที่บอกว่าละได้ ล้วนเกิดจากความอยากทั้งสิ้น หาใช่ตามความเป็นจริงไม่

หากละได้จริง ละสังโยชน์ ก็คือ กิเลส หากละได้จริง จะไม่กล่าวโทษใดๆนอกตัวเลย ไม่ว่าจะเรื่อง ผีสาง เทวดา หรือกล่าวโทษสิ่งต่างๆนอกตัว ไม่มีเลย ไม่มีกล่าวโทษ แม้แต่วิธีการ รูปแบบใดๆก็ไม่กล่าวโทษ

ที่ยังกล่าวโทษอยู่ว่าเพราะเกิดจากสิ่งนั้น สิ่งนี้ ล้วนเกิดจากกิเลสที่มีอุปทานแล้วให้ค่าต่อสิ่งที่เกิดขึ้นตามความคิดของตัวเอง ถ้ายังมีการกล่าวโทษอยู่ นั่นคือ ยังมีวิจิกิจฉาอยู่เต็มๆ ยังละวิจิกิจฉายังไม่ได้

ที่เป็นเช่นนี้ เกิดเนื่องจาก ยังมองไม่เห็นตามความเป็นจริง ที่เกิดขึ้นจริงๆในจิตของตัวเอง คือ ความอยาก ความอยากที่เป็นกุศล อยากเป็นในสิ่งที่เรียกว่า กุศล มีสภาวะที่ละเอียดยิ่งนัก ต้องมีสติ สัมปชัญญะในระดับหนึ่ง จึงจะรู้เท่าทันได้
3#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-8-19 09:01 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
เจโตปริยญาณ :  รู้วาระจิตของคนและของสัตว


  บางทีการล่วงรู้ว่าใครคิดอะไรอยู่ในใจมันทำให้เราวุ่นวายไปด้วย

อย่าไปสนใจให้ความสำคัญว่าเป็นผู้รู้เป็นผู้วิเศษ

  ผู้ที่ฝึกจิตจนได้ เจโตปริยญาณแล้ว จงถือคติ รู้ก็สักแต่งรู้

เห็นก็สักแต่เห็น ถ้าไปเล่นกับมันมากๆจนหลง ญาณจะไม่เดินหน้าเลย

แถมซ้ำญาณยังอาจถอยหลังได้ จนสิ่งที่รู้ที่เห็นมันไม่ใช่ของจริง

ใครจะคิดอะไรก็ช่างเขา อย่าเอาจิตเข้าไปยุ่ง

และมันก็ไม่ใช่หนทางของการพ้นทุกข์ด้วย  เนื่องจากญาณที่สำคัญและจำเป็นที่สุดคือ

"อาสวักขยญาณ" เป็นปัญญาที่ขจัดอาสวกิเลสตัณหาให้หมดสิ้นไป

อภิญญาญาณข้อนี้เองจะเป็นหนทางให้หลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดได้อย่างแท้จริง
ขอบคุณครับ
ขอบพระคุณครับ
ยอดเยี่ยม
เยี่ยมๆๆๆๆ
ขอบคุณครับ
10#
 เจ้าของ| โพสต์ 2020-8-22 18:55 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ลงชื่อเข้าใช้ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้